Group Blog
 
<<
มีนาคม 2559
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
2728293031 
 
24 มีนาคม 2559
 
All Blogs
 

O คิมหันตะสมัย .. O








Giovanni Marradi - Heroes



O แผ่วพลิ้ว .. ลมทะเลเหมือนเห่กล่อม-
เอารื่นเข้าแวดล้อม .. อยู่พร้อมท่า
ขณะรูปเยาว์วัยล้อมนัยน์ตา
ทั้งผืนน้ำแผ่นฟ้า .. ก็พร่าเลือน
O ใช่พื้นน้ำพลิ้วกระเพื่อมแสงเหลื่อมรับ
แต่เป็นแววพริ้มพรับคอยขับเคลื่อน-
แทรกอารมณ์ห่วงละห้อยเฝ้าคอยเตือน-
ให้ทุกการขยับเขยื้อน .. ต้องเหมือนคอย !
O มีดวงวันเดียวนั้นบนชั้นฟ้า
พร้อมแววตาวามช่วง .. ผู้-ห่วงละห้อย
น้ำต้องแสงวามระยิบ, แววปริบปรอย-
จักเฝ้าแต่ชายชม้อย รอคอยใคร ?
O ลมเห่คลื่นแดดระยิบ .. ไกลลิบอยู่
แววตาตื่นตอบชู้ .. กลับอยู่ใกล้
ตอบตื่นความสั่นรัวแห่งหัวใจ
ที่สั่นไหวปลาบปลั่ง .. อยู่ทั้งดวง !
O หาดทรายขาวแทรกบทฟ้าจดน้ำ
รื่นลมร่ำดอกแดดก็แผดช่วง
กระซิบในงามเงียบก็เทียบทวง-
เพียบเพ็ญความแหนหวงทุกช่วงยาม
O ซ่าเสียงคลื่นลมระงมศัพท์
เหมือนคอยขับกล่อมหวัง .. โลกทั้งสาม
เมื่อเนียนแก้มเนื้อนวลเริ่มลวนลาม-
แทรกงดงามแนบตัวกลางหัวใจ
O ศัพท์เสียง .. คลื่นลมระงมอยู่
เมื่องามจู่จับจองความผ่องใส
ที่ทั้งแดด .. ลม .. คลื่น .. เย็นรื่นใด
บำราศไปสิ้นแล้วจากแววตา
O คลื่นน้ำ, แดดระยิบ, ฟ้าลิบโล่ง
ขาด-เชื่อมโยงทุกวูบที่รูปหน้า-
เผยออดอ้อนรำพันในสัญญา
ชี้-บัญชาห่วงเห็นไม่เว้นวาย
O คลื่นม้วนตัวโตนตอบอยู่รอบหาด
ล้อลมลาดล่องต่ำ .. ที่รำร่าย
งามนัก .. ผู้จำเริญความเขินอาย
ตรึงตาชายโลมแต้มเพียงแก้มนั้น
O ไหวคลื่นน้ำเกยหาดขึ้นวาดรอย
ตาปริบปรอยเหลือบปราย .. ก็ส่ายสั่น-
อยู่กับชั่วลมร่ำความรำพัน
เพื่อโอบขวัญพิมพ์ดวง แนบห่วงใย
O ริ้วลมร่ำคร่ำครวญ, ลำดวนเอ๋ย-
มีรำเพยแห่งคำ .. ลมร่ำให้-
บอกว่า .. งามลามล่วงถึงดวงใจ
และอาลัยวามช่วง .. ทั้งดวงตา !
O ปีกนกคลี่แผ่เห็นไม่เว้นช่วง
คลื่นลมพลิ้วผ่านทรวงผู้ห่วงหา
น้ำลูบฝั่ง .. รูปขวัญก็บัญชา-
ปรารถนาในอกให้ยกตัว
O ลมผ่านริ้ว เห่คลื่นให้ตื่นรับ
รูปในตาพริ้มหลับก็พรับยั่ว
หน้าผาก, แก้ม-นวลพรรณ, เสียงสั่นรัว-
แว่วจากขั้วหัวใจ .. เพียงให้ยอม
O ใกล้เพียงแก้มเนื้อนวล .. นั้นจวนจรด
หอมก็จดอารมณ์ให้จมจ่อม
ทรายขาว, คลื่น, แดด-ทอก็รอพร้อม-
อุ่นแนบอ้อมแขนโลภ .. ที่โอบรับ
O ทรายขาว, คลื่น, ดอกแดดที่แวดล้อม
รอเห่กล่อมรูปน้อยให้คอยสดับ
ท่ามกลางอ้อมแขนกอด .. รูปทอดทับ
บทการขับกล่อมชู้ .. ฤๅ – รู้แล้ว ?




 

Create Date : 24 มีนาคม 2559
27 comments
Last Update : 16 เมษายน 2566 11:15:11 น.
Counter : 5612 Pageviews.

 


"O ใช่พื้นน้ำพลิ้วกระเพื่อมแสงเหลื่อมรับ
แต่เป็นแววพริ้มพรับคอยขับเคลื่อน-
แทรกอารมณ์ห่วงละห้อยเฝ้าคอยเตือน-
ให้ทุกการขยับเขยื้อน .. ต้องเหมือนคอย ! "

เฮ้อ..อิจฉา... ใครที่... " มีดวงวันเดียวนั้นบนชั้นฟ้า
พร้อมแววตาวามช่วง .. ผู้-ห่วงละห้อย " !

 

โดย: บุษบามินตรา IP: 37.59.6.32 24 มีนาคม 2559 16:32:46 น.  

 

มินตรา ..

เมืองไทยกำลังร้อนจัด .. กลางวันพุ่งขึ้นถึง 40 C
ไม่ทราบว่าที่ยุโรปหนาวร้อนอย่างไรตอนนี้ ..

หากมินตรามีโอกาสไปอิตาลี ..
สิ่งที่อยากไปที่สุดคือที่ไหนครับ ?

 

โดย: สดายุ... 24 มีนาคม 2559 20:01:39 น.  

 

สดายุ...

วันนี้ 9 องศา C เริ่มอุ่นขึ้นเรื่อยเรื่อย...ปลายหนาว เข้าฤดูใบไม้ผลิ ค่ะ

คนเยอรมันไปมีบ้านพัก แถว Toscana (ภาษาอังกฤษ Tuscany) มาก
มินตราเลยไปแถบนี้บ่อย เพราะเป็นเขตที่มีวัฒนธรรมมานาน
สมัยที่เป็นอาณาจักรโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ ( Holy Roman Empire) ก่อนที่จะมีกำเนิดเป็นประเทศต่างต่างอย่างในปัจจุบันนี้ ก็มีคนเยอรมันมาก

มีอาหารอร่อย ของโปรดมากคือ fiorentina Steak ไวน์ มะกอก ศิลป โบราณคดี

 

โดย: บุษบามินตรา IP: 37.59.6.32 24 มีนาคม 2559 20:58:13 น.  

 


แล้วหากมี"ชายในฝัน" ไปด้วย ก็จะขับรถบนถนนเลียบชายฝั่ง Amalfi coast ไป Sorrento

ถนนเลียบชายฝั่งนั้นมีแล้ว ซึ่ง UNESCO จองไว้8790
แต่"ชายในฝัน" ยังไม่มี 555

 

โดย: บุษบามินตรา IP: 94.23.252.21 24 มีนาคม 2559 21:19:38 น.  

 

ยุโรป


อิตาลี-ฟลอเรนท์


แคว้น Tuscany มีเมืองหลวงชื่อ ฟลอเรนท์ .. ใกล้ๆเมือง ปีซ่า ที่เป็นที่ตั้งหอเอนเมืองปิซ่า ใช่ไหม ?

 

โดย: สดายุ... 25 มีนาคม 2559 6:29:11 น.  

 


สดายุ..

ใช่ค่ะ ฟลอเรนท์ เป็นเมืองหลวงของแคว้น ทอสคานา ( Toscana =ภาษาอังกฤษ Tuscany)

อิตาลี แบ่งเป็น 20 แคว้น (regions) ซึ่งมี 5แคว้นเป็นแคว้นอิสระ (autonomy)ปกครองตนเอง มีกฎหมาย( Constitution) ของตนเอง
และในนั้น มีประเทศอิสระ 2 ประเทศ คือ ซานมารีโนและนครรัฐวาติกัน

ประเทศไทยกำลังเจริญรอยตามอิตาลีกระมัง เพราะมีประธานาธิบดีหญิงประกาศตนแล้วนี่ ! (มิใช่คุณยิ่งลักษณ์แน่ )
ทราบใช่ไหมว่า เวลาคนยุโรปทางตอนเหนือพูดถึงอิตาลี นี่...ยอดจะเป็น"ความไม่มีระบบเลย" (Chaos)

แคว้นทางตอนเหนือของอิตาลี สามแคว้นที่ฐานะดี คือ ..ลอมบาร์เดีย(Lombardia)ซึ่งมีเมืองหลวงคือ มิลาน
(Milano)
..ทอสคานา (Toscana) มีเมืองหลวงของแคว้น คือฟลอเรนซ์ (Florence)
..เอมีเลีย-โรมัญญา(Emilia-Romagna) เมืองหลวงของแคว้น คือโบโลญญา(Bologna) ซึ่งมีชื่อเรื่องซ๊อสมะเขือเทศหมูสับ ราดหน้าสปาเกตตี้ (Spaghetti Bolognese)

และในระบบการอุดมศึกษา ที่กำลังปรับ ให้มีมาตรฐานเดียวกันทั้งยุโรป จะมีคำว่า "Bologna Process" ซึ่งมาจากชื่อเมืองนี้ด้วย เพราะมีการประชุมรัฐมนตรีศึกษาทั่วยุโรป และลงนามในมติเรื่อง ระบบอุดมศึกษากันที่นี่

และในการปรับระบบการศึกษานี้ ...ระบบที่เข้ม ก็ต้องลดตัวลง ในขณะที่ระบบอ่อน ก็ต้องยกระดับขึ้น..
จนโพรเฟสเซอร์เยอรมันหลายท่านใช้คำว่า
" Bolognese Process" แทน..
คงเพราะเละเทะ ในเนื้อหาทางความรู้ แบบ ซ๊อส มะเขือเทศ 555

(เลขตรงนี้ น่ะพิมพ์พลาดค่ะ กรุณาลบตัวเลขด้วย ....UNESCO จองไว้ "8790" ....)

 

โดย: บุษบามินตรา IP: 37.59.6.32 25 มีนาคม 2559 12:49:42 น.  

 

มินตรา ..

ผมพอรับรู้มาบ้างว่า ..
.. คอรัปชั่นมากที่สุดในยุโรปตะวันตกคืออิตาลี
.. มาเฟียมากที่สุดในยุโรปตะวันตกคืออิตาลี โดยเฉพาะมาเฟียจาดเกาะซิซิลี (จนเอามาสร้างหนังอมตะตลอดกาล The Godfather)
.. Chaos Theory = ทฤษฎีความโกลาหล เอามาใช้เหมาะ คำนี้เสียงคล้าย ciao ที่แปลว่าสวัสดีเลยนะ 55

การรับรู้มีว่า ..
เยอรมัน .. อุตสาหกรรม (fully industrailized country ชาติเดียวในโลก)
ฝรั่งเศส .. เกษตรกรรม
อังกฤษ .. การเงิน
อิตาลี .. ศิลปะ อาหาร

ใช่ไหม ?

 

โดย: สดายุ... 25 มีนาคม 2559 18:07:54 น.  

 

สดายุ..
ตอนนี้สถิติคนว่างงานในอิตาลี11,5 % ในไตรมาสที่สามของปี 2015
คนอิตาลีอายุ 24ปี จึงมีงานทำ...อายุมากกว่านั้น ว่างงาน ทั้งทั้งที่เศรษฐกิจอิตาลี ดีขึ้น1% ในปี 2015
...ปัญหาคือระบบราชการที่ล่าช้าและ ยึกยักในระบบมาเฟีย ที่ถ่วงการค้าและการลงทุนในอิตาลี รวมทั้งระบบภาษีที่สูงมากเมื่อเปรียบกับประเทศอื่นในยุโรป
..มินตรารู้จักบารอนชาวซิซิเลียน แต่ท่านเป็นตระกูลฑูตทั้งพ่อ และปู่ รวมไปถึงพ่อของปู่ด้วย...ไม่มีคราบมาเฟียเลย..
เคยแซวกันว่า เกาะซิซิเลียนมีแต่มาเฟียมิใช่รึ ท่านตอบว่า นี่ล่ะ ตัวจริง !

แค่ขายไวน์ปีละ 44,9 Millionen Hektolitern ฝรั่งเศสก็อยู่กับเกษตรกรรมได้....นี่ยังไม่นับลูกค้าจากจีนที่ เพิ่งมาสนใจ สั่งไวน์ และแชมเปญ เพิ่มขึ้นทุกปี ไม่ว่าจะเป็น Sauvignon Blanc, Chardonnay, Cabernet Sauvignon, Shiraz, Syrah, Merlot, Pinot Noir
แล้วนี่ยังไม่นับพื้นที่การเกษตร ที่นำไปคิดเงินจาก สหภาพยุโรปให้สนับสนุน ทุกปีอีก !


ป่าไม้ในเยอรมัน เป็นป่าเศรษฐกิจของเอกชน ซึ่งกินพื้นที่ หนึ่งในสามของแผ่นดินเยอรมัน

ฉะนั้นแม้นว่า อุตสาหกรรม จะสูงถึง 25,5 % ของ ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ
เยอรมันก็ยังเตรียมพื้นที่เกษตรไว้มากพอที่หากจำเป็น ก็สามารถผลิตอาหารเลี้ยงประชาชนในประเทศได้เอง

69,0 % (สถิติ ปี2013)ของรายได้ประชาชาติ มาจากงานบริการ เช่น การธนาคาร งานประกันทุกชนิด
ซึ่งเมื่อตอนที่อังกฤษพูดเรื่องการออกจากอียู (Brexit) เยอรมันขานรับทันทีว่า
ฟรังฟรวท(Frankfurt am Mainz) มีเจ้าหน้าที่ผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินพร้อมที่จะทำงานด้านการเงินแทนลอนดอนทันที...เล่นเอาองค์กรการเงินในลอนดอน และนักธุรกิจอังกฤษ ออกมาต่อต้านการลาออกจากสมาชิกอียูของอังกฤษ ทันที

เพราะด้านอุตสาหกรรมในอังกฤษก็ด้อยลง เนื่องจากไม่ได้เตรียมคนงานในโรงงานไว้เพียงพอ..แล้วโอกาสเดียวที่เหลืออยู่ทางเศรษฐกิจคือ ด้านการเงินอันมีผลต่อการซื้อขายเงินปอนด์ นำเงินรายได้เข้าประเทศ อีกด้วย
( แม้นว่า ธนาคารกลางยุโรป (European Central Bank, ECB) จะตั้งอยู่ที่ ฟรั้งฟรวท)

เยอรมัน มีปัญหาว่างงานและ ด้านเศรษฐกิจน้อย ประชาชนมีระบบชีวิตที่ดี เพราะ
รัฐบาลเตรียมสร้างคุณภาพคน ในทุกสาขาล่วงหน้า ..รัฐลงทุนดูแลประชาชน
คนงานในเยอรมันจึงเป็น ช่างฝีมือ มีความชำนาญในงานที่ทำ

สรุปคือ เยอรมันใช้ คุณภาพคน เป็น ทุนมนุษย์ ( human capital) ในการสร้างเศรษฐกิจ มิใช่ ลงทุนด้วยเงิน ในการ สร้างอุตสาหกรรม


 

โดย: บุษบามินตรา IP: 37.59.6.32 26 มีนาคม 2559 1:18:36 น.  

 

มินตรา ..
ผมยอมรับนะว่าคนเยอรมันรวมทั้งกลุ่มสแกนดิเนเวียร์มีคุณภาพสูงมาก (รวมทั้งคุณภาพชีวิต-สังคม ที่น่าจะสูงที่สุดในโลก)

ไทยเรามีปัญหาตรงที่ผู้มีอำนาจจัดการเรื่องราวในแผ่นดิน ด้อยความสามารถ และสายตาสั้น ไม่ยอมพัฒนาคนอย่างจริงจัง ..

เมืองไทยย่อหย่อนในการใช้กฎหมายมากในทุกองคาพยพ .. เคร่งครัดบังคับใช้อยู่เพียงมาตราเดียว .. ..

หากว่ากฎหมายทั้งหมดได้รับการดูแลเอาใจใส่เยี่ยงมาตราเดียวนั้น ไทยเราจะเป็นแบบญี่ปุ่น ..

ดังนั้นคนไทยที่มีโอกาสได้อยู่ในสังคมคุณภาพ มีความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินอย่างเยอรมันแล้วจึงนับว่าโชคดี ..

 

โดย: สดายุ... 27 มีนาคม 2559 9:13:39 น.  

 

สดายุ..

สวีเดนเป็นแหล่งวัตถุดิบของเยอรมัน ไม่ว่าจะแร่ธาตุ หรือ ผลิตผลจากป่าไม้ และ เป็นคู่ค้าที่สำคัญมาก

ราชวงศ์ แบรนาดอท (Bernadotte) ของสวีเดน แม้นจะมีรากมาจาก นายพลฝรั่งเศส แต่เป็นเชื้อสายเยอรมัน ยังมีญาติเป็นเจ้าของเกาะ"ดอกไม้"ไมเนา (Mainau) ที่ ทะเลสาบคอนชตัน (Lake Constance)ชายแดนเยอรมันต่อสวิส

ในศตวรรษที่ 11& 12 สมัยที่ แชมเปญ เป็นที่นิยมมาก จนมีการค้าขายไปทางยุโรปเหนือ จึงมีระบบ โอนเงิน(money transfer) ขึ้นในศตวรรษที่13 ด้วยพ่อค้าชาวยิวจากแคว้น ลอมบาร์เดีย(Lombardia)....
ผู้ทำการค้าขยายดินแดน ลงมาตามแม่น้ำไรน์ จนถึงไรน์ตอนใต้ ไปถึง เนเธอแลนด์
ฉะนั้น ใคร ที่ทำธุรกรรมทางการเงิน ไม่ว่าจะมาจากดินแดนไหน จึงถูกเรียกตาม พ่อค้าการเงิน ว่า ลอมบาเดน (Lombarden = Bankers)
นี่คือต้นกำเนิดระบบธนาคาร

เป็นระบบการเงินที่ดอกเบี้ยสูง และเวลาสั้น.. และ บางสัญญาการเงิน ไกลไปถึงต้องใช้ด้วยชีวิต ..
จำเรื่อง เวนิสวาณิช ได้ใช่ไหมคะ
ของเชคสเปียร์ ( 1564 - 1616)
นี่ล่ะคือพ่อค้าจากแคว้น ลอมบาร์เดีย(Lombardia) จนในศตวรรษที่15 มีการต่อต้าน จนถึงขนาดไล่ออกจากบางดินแดนในยุโรป

 

โดย: บุษบามินตรา IP: 94.23.252.21 28 มีนาคม 2559 2:32:40 น.  

 

มินตรา ..

นั่นสิ .. สวีเดนแผ่นดินกว้างใหญ่ไพศาลถึง 449,964 ตร.กม. แต่มีประชากรเพียง 9.593 ล้าน (พ.ศ. 2556 ธนาคารโลก)

ส่วน เยอรมัน พื้นที่ 357,050 ตร.กม.แต่มีคนถึง 80.716 ล้าน

(ขณะที่ไทยเรามีพื้นที่ 513,115 ตร.กม.แต่มีคนถึง 67 ล้าน)

หารยาวแล้ว สวีเดนมีความหนาแน่นของพลเมืองต่อพื้นที่ต่ำมาก .. บ้านในสวีเดนจึงน่าจะมีเนื้อที่กว้างขวางมากนะครับ

ตอนผมไป คนสวีเดนรุ่นใหม่ส่วนใหญ่พูดอังกฤษได้ทั้ง
100% และสต๊อคโฮล์มที่มีคนเพียง 1.5 ล้านมีรถไฟฟ้าใต้ดินสะดวกสบายมาก

ระบบจัดการสังคมดีเลิศแบบนั้น น่าจะเกิดจากมีรายได้จากทรัพยากรธรรมชาติมากนะ

ผมแปลกใจเสมอมาว่า ... ทำไมทวีปยุโรปแทบทุกประเทศ (อาจยกเว้นเฉพาะ อัลบาเนีย ประเทศเดียว) ถึงเป็นประเทศพัฒนาแล้วทั้งหมด แม้แต่ยุโรปตะวันออกที่เคยอยู่ใต้ลัทธิคอมมิวนิสต์มาเกือบศตวรรษ ?

รวมทั้งที่อพยพไปจากยุโรปเหนือไม่ว่า ..
สหรัฐ .. อังกฤษ ไอริช ส่วนใหญ่
แคนาดา .. อังกฤษ ฝรั่งเศส
ออสเตรเลีย .. อังกฤษ
นิวซีแลนด์ .. อังกฤษ

ขณะที่อพยพไปจากยุโรปใต้ ไม่ว่า ..
บราซิล .. โปรตุเกส เป็นส่วนใหญ่
อาเจนติน่า และที่เหลือทั้งหมดจนถึงเมกซิโก .. สเปน
กลับยังไม่พัฒนาแล้วสักที

รวมทั้งเอเชีย ที่มีประเทศมากมาย กลับมีพัฒนาแล้วแค่ 5 ประเทศเท่านั้นคือ ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ไต้หวัน ฮ่องกง สิงคโปร์ เท่านั้นเอง ?

มินตราอยู่ยุโรปมานาน น่าจะเข้าใจสาเหตุได้ดีนะ

 

โดย: สดายุ... 28 มีนาคม 2559 21:16:29 น.  

 

ดายุ...

คำตอบคือ
"การอบรม และ การศึกษา " (Erziehung und Bildung)
ต้องใช้ภาษาเยอรมัน เพราะ มีความหมายในคำ แน่นกว่า แปลเป็นภาษาอังกฤษ ..
-------------
"พ่อค้าในลอนดอน"มิใช่ชาว อังกฤษ แต่เป็น ชาวเยอรมันที่ย้ายไปทำธุรกิจที่นั่น...(มีบทความเป็นภาษาเยอรมันพร้อมหลักฐาน มาตั้งแต่ สมัยยังเป็นอาณาจักรโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ )
หากถามตนเองว่าทำไม เกาะอังกฤษ จึงเรียกตนเองว่า
Anglo-Sachsen จึงจะทราบว่า...
ในศตวรรษที่5 พวกเยอรมันซักซัน ย้ายไปอยู่บนเกาะ จึงใช้ภาษาในเครือ ภาษาเยอรมัน

พระสวามี พระนางเจ้าวิคทอเรีย (Victoria:1819 -1901) เป็นเจ้าชาย เยอรมัน...Prinz Albert von Sachsen-Coburg und Gotha

พระนางเจ้า เอลิซาเบธ ที่สอง ก็เป็นสายราชวงศ์ จากเยอรมัน

ตะนี้คงตอบคำถามได้ว่า ระบบของยุโรปตอนเหนือ มาจากไหน...ทั้ง ยุโรปตะวันตก และ ตะวันออก
----------
เยอรมันจึงมีระบบ อบรม มาตั้งแต่อนุบาล (Kindergarten)

ตระกูล คาร์ล มาร์ค เองก็มาจาก ผู้สอนศาสนาชาวยิว แถบแม่น้ำไรน์

คาร์ล มาร์ค มีทฤษฎีชนชั้นว่า มี
-ชนชั้น นายทุนขุนนาง "บัวจิออยซี "(Bourgeoisie)
-ชนชั้น กรรมกรชาวนา " โพรเลอทาเรียท"(Proletariat)

และ..ปัญหาชนชั้น...สามารถแก้ได้ด้วย.....
"การอบรม และ การศึกษา " (Erziehung und Bildung)

คาร์ล มาร์ค และ เองเงลส์ ได้เขียนเรื่องนี้ไว้ที่
"Marx / Engels, Über Erziehung und Bildung"

นักวิชาการลงมติเป็นเอกฉันท์ ในศตวรรษที่21นี้ว่า
"การอบรม และ การศึกษา " แก้ความยากจนและยกระดับมนุษยชาติได้ จึงได้ลงนโยบายในสหประชาชาติ เมื่อตอน ปี 2000 ( UN Millennium Project)

ขอจบด้วย มาร์คว่า...

การศึกษาสามารถทำให้ชนชั้นกรรมกรชาวนา ขยับมาเป็นชนชั้นกลาง (มีบ้านหนึ่งหลัง รถหนึ่งคัน ปริญญาหนึ่งใบ) ได้...
แต่ต้องใช้เวลาถึง 7 ชั่วคน ในการที่จะเป็นชนชั้นสูงได้
(เพราะต้องเรียนรู้วัฒนธรรม จริยธรรม จน เข้าในเนื้อ )



 

โดย: บุษบามินตรา IP: 37.59.6.32 29 มีนาคม 2559 0:54:43 น.  

 

มินตรา ..

ผมมองว่าชนชั้นสูงแท้จริงไม่มี ..
สมัยอยุธยา .. ฐานันดรศักดิ์ลงมาแค่ "หม่อมเจ้า" ปลายแถวไปจากนี้นับเป็น "ไพร่" ทั้งสิ้น

ต่อมาไม่แน่ใจว่า สมัย ร5. หรือ ร.6 มาต่อแถวอีกทั้ง มรว.และ มล. .. แบบแผนดั้งเดิมไม่มีนะ แต่มาสร้างขึ้นใหม่ ..

เมื่อพระเจ้าทรงธรรม สวรรคต โอรสคือพระเชษฐาธิราช ขึ้นครองราชย์ต่อ มีสมุหพระกลาโหม (จมื่นศรีสรลักษณ์) เป็นผู้ค้ำบัลลังก์ให้ คงคล้ายๆสมเด็จเจ้าพระยามหาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค) ในสมัยต้นรัชกาลที่ 5

ในที่สุดสมุหพระกลาโหมที่คุมอำนาจทหารในมือก็ชิงบัลลังก์ จับพระเชษฐาธิราชทุบด้วยท่อนจันทน์แล้วตั้งตัวเป็นกษัตริย์เสียเองคือ พระเจ้าปราสาททอง ซึ่งเป็นพระชนกของพระนารายณ์

สามัญชนแท้ๆ ตั้งตัวเป็นเจ้า ไม่เห็นต้องใช้เวลานานเลย เมื่อเป็นกษัตริย์ ก็ต้องถือเป็นชนชั้นสูงแล้วจริงไหม ?

 

โดย: สดายุ... 29 มีนาคม 2559 19:51:33 น.  

 

ดายุ...
ในกาลอดีต คำว่าอารยัน (อริยะ,อริยกะ) ใช้เรียกกลุ่มคนผู้มีความก้าวหน้าทางเกษตรกรรม (มีความรู้ความสามารถ)
ในพระพุทธศาสนา คือ อริยะ หรือ อริยกะ หมายถึง ผู้เจริญ ผู้ประเสริฐ
...........................
ชาวอารยัน หรืออินโดอารยัน เป็นผู้สืบเชื้อสายมาจากพวกอินโดยูโรเปียน
ชาวตะวันตกเรียกว่า เปอร์เซีย หมายถึง อิหร่าน
มีภูมิลำเนาอยู่ทางตอนกลางของทวีปเอเซีย บริเวณรอบๆ ทะเลแคสเปียน ภายหลังได้เดินทางเข้าสู่อินเดีย ยึดครองดินแดนแถบลุ่มแม่น้ำสินธุ จากพวก ดารวิเดียน(ทราวิฑะ:สันสกฤต) และเป็นผู้วางรากฐาน
ระบบวรรณะในประเทศอินเดีย (วีคิพิเดีย)

ชาวมอญ และไทย จะเป็นพวกอารยัน ที่ขยายเขตมาอยู่ใน เอเซียตะวันออกเฉียงใต้ มิใช่ชนพื้นเมืองที่ เป็น พวก ขมุ เจ้าถิ่นเดิม
..................................
พราหมณ์ (= ผู้ท่องคัมภีร์ ) มีความรู้ ก็เลยถือตัวไว้ตน
จนเกิด การปฎิวัติทางศาสนา กำเนิดศาสนาต่างต่างขึ้น
ทั้งจาก พราหมณ์ และ อพราหมณ์

พระพุทธเจ้า(สายพราหมณ์) ทรงคัดค้านความยึดถือค่านิยมดังกล่าว
ทรงให้นัย ความเป็นอารยันในแนวใหม่
ให้โอกาสคนทุกวรรณะเข้ามาสู่สังคมของอริยสงฆ์
เมื่อได้มาพัฒนาตนจะกลายเป็นอารยัน (อริยชาติ)

ฉะนั้น การสืบสาย อารยัน มาหลายชั่วคน จึงนับกันว่า เป็นชนชั้นสูง

มิใช่ จากลูกพยาบาลหลานช่างทอง จู่จู่จะมานับตนว่า เป็นชนชั้นสูงได้...
หากไม่ "พัฒนาตนจนกลายเป็นอารยัน (อริยชาติ)"

พระพุทธเจ้าทรงบอกให้มีชีวิตอยู่ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงโดยรู้เท่าทัน
ให้เข้าใจชีวิตตามเป็นจริง มองเห็นสิ่งที่ดูตรงกับที่ได้เห็น เมื่อเห็นไม่ควรหลงติด เพราะถ้าติดย่อมพ้นไปไม่ได้

การสอนความจริงของชาวอารยัน (อริยสัจจ์) ทำให้รู้ว่า คำสอนของพระพุทธเจ้าเหมาะกับอารยันมากกว่าผู้ที่ไม่ใช่อารยัน
ผู้ปฏิบัติตามได้จะเป็น อารยัน หรือ อริยะ
//www.mcu.ac.th/site/articlecontent_desc.php?article_id=425&articlegroup_id=104

 

โดย: บุษบามินตรา IP: 94.23.252.21 30 มีนาคม 2559 2:59:01 น.  

 

มินตรา ..

พุทธศาสนากำเนิดในท่ามกลางอารยะสมัยนะ ..

ร่วมยุคพุทธกาล ..
.. ในทางตะวันตกก็มี เฮราเครตุส ของกรีก ผู้ประกาศว่า "ทุกอย่างไหล" - อนิจจะลักษณะ

.. ในทางตะวันออกก็มี เหลาจื๊อ เจ้าลัทธิเต๋า ที่ไม่ทราบว่าจะเรียกภาวะนั้นที่จิตวิญญาณรับรู้ได้ ไม่มีรูป ไม่มีนาม แต่มีอยู่ จึงเรียกว่า เต๋า ไปพลางๆก่อน - อนัตตะลักษณะ

.. พุทธธรรม มีความโดดเด่นที่หลักไตรลักษณะ คือ ..
ทุกขะลักษณะ
อนิจจะลักษณะ
อนัตตะลักษณะ
แต่เถรวาทไทยตีความผิดเพี้ยนไปหมด ..

เพราะติดตังกับไตรภูมิพระร่วง ที่บรรยาย นรก สวรรค์ แบบ "โอกาสโลก" คือมีภาวะแห่งรูปธรรมให้ยึดถือ และโลกแบบนี้ไม่มีวันจบ มันสืบเนื่องไม่จบไม่สิ้น จึงต้องมี อดีต ปัจจุบัน อนาคต ขึ้นมารองรับแนวคิดนี้

ในขณะที่โลกของพระพุทธเจ้าเป็น "ภาวะโลก" เป็นภาวะแห่งนามธรรมที่แวดล้อมจิตวิญญาณให้มีปฏิสัมพันธ์อยู่

ดังนั้นโลกแบบ ภาวะโลกนี้ จึงจบได้ เมื่อจิตใจคนเราเข้าใจสิ่งรอบตัวได้อย่างถ่องแท้ คือ แม้โลกภาวะยังเลื่อนไหล ต่อไปตามวิถี แต่จิตที่รู้ทันการเลื่อนไหล มันหยุดได้ จบได้ เพราะเข้าใจอย่างถ่องแท้ ไม่มีเผลอ ไม่มีหลง

.
.

ผมสนใจ"อารยัน" ที่ไปตั้งหลักแหล่งบนแผ่นดินเยอรมันมากกว่า ว่าทำไม อังกฤษ ฝรั่งเศส หรือ สวีเดน ไม่ใช่อารยัน .. ทำไมมีแค่ เยอรมันกับออสเตรีย เท่านั้น ?

 

โดย: สดายุ... 30 มีนาคม 2559 21:03:14 น.  

 

ดายุ...

คำว่า อารยัน"Aryan" แปลกันว่า เกิดมาสูง หรือ เป็นผู้ดี (“high born” or “noble” )

ในเมืองไทยก็มี ตระกูลเชื้อสายอารยัน สืบต่อมา เฉพาะในอยุธยาก็ 6 ชั่วคน
แล้วยังมี อารยัน สายมอญ สายไทย ตระกูลพราหมณ์ที่เพชรบุรี อีก ..
ชนชั้นปกครองไทยเค้านับกันถูก แต่ไม่ได้ให้ประชาชนศึกษา เรียนรู้ จน ประชาชนต้องมานั่งแต่งประวัติศาสตร์ชาติไทยกันเอง แถว "สนามหลวง" 555

ศึกษาเรื่อง ..ทหารพระบัณฑูร.. ในประวัติศาสตร์ แล้วจะทราบ
จากนั้น ต้องย้ายเมืองหลวง ...

ตอนนี้ในรัตนโกสินทร์ ก็ต่อมาอีก 6 ชั่วคนแล้ว... ดูท่าจะต้องย้ายเมืองหลวงอีก..

ในศตวรรษที่19 นักวิชาการในยุโรปสนใจคำนี้ที่ปรากฎใน ฤคเวท (Rigveda) มาก เพื่อศึกษาปรัชญา และต้นกำเนิด อารยชน

นักการฑูต ขุนนาง ฝรั่งเศส โจเซฟ อาร์เธอ คอม เดอ โก โกบิเนอ (Joseph Arthur, Comte de Gobineau 1816 – 1882) ซึ่งเป็นนักเขียนนิยาย ก็เลยแยก ประเภทเชื้อชาติ( racial category) ว่า....
ชนทางยุโรปเหนือ และสแกนดิเนเวีย .. ผมสีทอง ตาสีฟ้า คือ ชาวอารยันที่แผ่ขยายวัฒนธรรม และความเจริญ อยู่ทั่วโลก และ แยก เจ้าถิ่นเดิม ว่าเป็นชาวป่าชาวเขา

แถมยังแบ่งว่า ชาวอารยันที่เป็นลูกผสมกับเจ้าถิ่นเดิม เป็น อารยันชั้น รองรองลงไป เช่นในสเปญ ปอร์ตุเกส

ในขณะที่ ชาวอารยันกับอารยันเท่านั้น จึงจะเป็นอารยันแท้ เช่น ยุโรปตอนเหนือ และ ในเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ ก็ที่ กรุงสยาม เท่านั้น

ฮิตเลอร์จึงนำทฤษฎีแยกเผ่าพันธุ์ ที่ไม่มีวัฒนธรรม ไม่มีการศึกษาอบรม ว่ามิใช่ ชนชั้นสูงเยี่ยงอารยัน โดยยึด การสืบสายเลือดเป็นหลัก
แล้วก็แปลคำว่า "อารยัน" ผิดไปหมด...

ทั้งทั้งที่ "Aryan".... คำนี้ เป็นคำที่ใช้ เกี่ยวกับ ...ศาสนา วัฒนธรรม และ ภาษาศาสตร์ ( religious, cultural and linguistic) ...
มิใช่ใช้กับ เชื้อชาติ (racial)
จนนักวิชาการ หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ให้เลิกใช้คำว่า อารยัน ไป
และให้ใช้คำว่า "Indo-Iranian" และ "Indo-European" แทน

ทำไมผู้ที่สนใจเรื่อง อารยัน อย่าง สดายุ จะไม่ทราบ...
นี่ต้องการเฉไฉ ไม่เขียนกลอน มาหลอกล่อให้ คนอ่าน ช่วยเขียนโน่น ตอบนี่ แทนนี่..!


 

โดย: บุษบามินตรา IP: 94.23.252.21 31 มีนาคม 2559 18:45:58 น.  

 



มินตรา ..
ส่วนตัวผมนั้นชอบ ผมทอง ตาสีฟ้า มาแต่ไหนแต่ไร ..
สมใจเมื่อไปเยือนสต็อคโฮล์มเมื่อนานมา ที่แม่สาวสวีดิชนอกจากผมทอง ตาสีฟ้าแล้ว ยังผอมเพรียวสูงท่วมหัวดีเหลือเกิน ..

เพียงแต่เอามาเป็นแบบประกอบโคลง กลอน ไม่ได้ เพราะมันไม่เข้ากัน กับลักษณะแบบ Thai Traditional .. กับ .. Modern Figure แห่งรูปหน้าแบบนั้น

สาวน้อยเชื้อสายปุโรหิตขอม ที่ถูกกวาดต้อนมาอยุธยาครั้งเจ้าสามพระยายกทัพไปตีนครวัด แบบรูปล่างสิ ถึงเข้ากับโคลงมากกว่าอื่นใด ..



O ลมเช้าลูบแผ่นน้ำ - - - กระเพื่อมวง
เมื่อรุ่งแสงเริ่มผจง - - - จับฟ้า
เลื่อนรอบแล่นริ้วดรงค์ - - - โรยกระทบ ฝั่งเนอ
แสงแรก, ลมอ่อนล้า - - - ลูบ, โน้มนำ-คะนึง ฯ

O คำนึงวกย้อนสู่ - - - ยามสาง นั้นนา
ลมร่ำ, ผืนพลอย-วาง - - - หยาดล้อม
จีวร, บาตร, รูป-กลาง - - - กุศลบท
กรรทบ, ปรุงแต่ง-พร้อม - - - แวดล้อมประนอมขวัญ ฯ

O รูปจีวร-ก้าว, ย่าง - - - หยุด, รอ
รูปพักตร์พริ้มเพราลออ - - - นอบ, ไหว้
ข้าวหอมกรุ่น, แดดทอ - - - กระทบรูป
หน้าจบน้อม, แดดไล้ - - - ลูบเนื้อเนียนถนอม ฯ

O คำข้าว, ช่อดอกไม้ - - - ถวายพระ
น้อมรูป, เชิญสัจจะ - - - จบเกล้า
น้อมจิต, รับพุทธะ - - - ธรรมท่าน แล้วแฮ
ภาพงดงามยามเช้า - - - อยู่, เชื้อเชิญประชัน ฯ

O รูปจีวร-ก้าวผ่าน - - - พ้นสมัย
เหยียบโลก, ย่ำอาลัย - - - ล่มล้าง
รูปเนตรเหลือบ, หฤทัย - - - โยกแกว่ง
สบ, นิ่ง, ใจล่องคว้าง - - - สุดคว้า, สุดขืน ฯ

O รูปจีวรล่วงพ้น - - - เพียงตา
อีกรูป-งำลีลา - - - ลอบชม้าย
ธรรมพระแว่ว, เพทนา - - - แนบอก
สบเนตร, แววเนตรคล้าย - - - ข่มสะเทิ้น, ครวญธรรม ฯ

O หลังภาพ-ผมหล่นล้อม - - - รูปพักตร์,
ธรรมพระ, สัมมามรรค, - - - เนตรชม้อย,
บาปบุญ, จดจำหลัก - - - ลงจิต
คือโลกบัดนั้นคล้อย - - - เคลื่อนเร้าแรงถวิล ฯ


 

โดย: สดายุ... 31 มีนาคม 2559 21:44:30 น.  

 

"เจ้าคุณสดายุ "....

" ศีลข้อที่ 3 กาเมสุ มิจฉาจารา เวรมณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ " นะคะ 555

 

โดย: บุษบามินตรา IP: 94.23.252.21 1 เมษายน 2559 17:14:01 น.  

 

มินตรา ..

ในบรรดาร้อยกรองไทยอันมี กาพย์ กลอน โคลง ฉันท์ ..
แม้กลอนแปดจะเป็นที่นิยมและแพร่หลายที่สุด แต่บทนารีปราโมชที่เขียนด้วยโคลงสี่สุภาพ ให้ความอ่อนหวานละเมียดละไมได้ดีไม่แพ้กลอนนะ ในความคิดผม

เห็นด้วยไหมครับ ?

 

โดย: สดายุ... 1 เมษายน 2559 19:41:11 น.  

 

ดายุ..

มินตราทราบแต่ว่า โคลง ฉันท์ นี่ พวกจ้าวนายชั้นสูง จะใช้ในการสื่อสารเพื่อ บอกระดับ ความรู้ ความสามารถกัน ..วัฒนธรรมทางภาษาสูงกว่า เพราะต้องเชี่ยวชาญและรู้ "คำ" มากพอ จนนำมาเรียง เป็น"ความ"ได้ลึกซึ้ง....

แต่ส่วนตัวแล้วมินตรา โปรด เพราะ เป็นการใช้คำบอกความรู้สึก ที่ไม่โฉ่งฉ่าง โท่งโท่ง แบบ ภาษากลอนแปด
ที่สุนทรภู่ ชอบใช้...
มีความรู้สึกว่า กลอนแปดนี่ ขี้เมาที่ไหนที่ใจสุนทรีย์ ครึ้มครึ้มขึ้นมา ก็ ร่ายมาเป็นกลอนได้ ..ทั้งเพลงเรือ เพลงฉ่อย

 

โดย: บุษบามินตรา IP: 37.59.6.32 1 เมษายน 2559 23:50:16 น.  

 


มินตรา ..
ฉันท์นี่เขียนบทนารีปราโมชน้อยกว่าฉันทลักษณ์อื่นๆ ครับ .. แต่ความอ่อนหวานสู้โคลงไม่ได้นะ



๑๔
O ใจเห็นจะเช่นอุทกะ-ลม
ขณะพรมประโลมรา-
ตรียามเพราะงามภวะสถา-
ปนะภาวะรมย์เพ็ญ

O ปมเหตุเพราะเนตระชม้อย
ฤดิคอย ก็ ลำเค็ญ
ตอบเลศกะเนตระ ก็ เห็น-
ภวะเต้นขจ่างตา

O โดยเลศะเนตระยุพะเยา-
วะระเร้า บ ร้างลา
เชื่อมใจและใจประดุจะผา-
ณิตะทา ณ ดวงมาน
.
.
.
O ตาสบ, ตาสื่อให้ - - - หวนคะนึง
แก้มอิ่มเนียน, ตอกตรึง - - - แต่นั้น
เนตรวามวับ, ทอดถึง - - - เทียบบท
รูปปากอิ่ม, บีบคั้น - - - บีบเค้น-ให้ถวิล ฯ

O ถ้วนสิ้นความผ่องแผ้ว - - - ผ่านเผย
ราวช่อมาลย์รอเชย - - - ชิดใกล้
ต้องลมร่ำ, รำเพย - - - รส, กลิ่น
งามรูป, หอมรส-ให้ - - - ห่วงละห้อย-หวนกระเหิม ฯ

O ปลายปีกบางคว้างลิ่ว - - - ลอยลม
พร้อมรูปเนตรปลาบคม - - - เหลือบค้อน
ปีกนกโบก, อภิรมย์ - - - รออยู่
รอ-ว่าแววเหลือบ-อ้อน - - - ออดให้มองเห็น ฯ

 

โดย: สดายุ... 2 เมษายน 2559 8:07:30 น.  

 

ดายุ...

ฝีมือ กาพย์ห่อโคลง (ใช่ไหมคะ) ขนาดนี้ มิใช่ วิศวกรพระนครเหนือ...
แต่เป็นศิษย์ คุณหญิง จินตนา ยศสุนทร !

สตรีทั้ง สองภาพที่"ยิ้ม"..และ ภาพที่"แย้ม"...
ทำให้นึกถึง เจ้าฟ้าธรรมาธิเบศร....

" งามทรงวงดั่งวาด... งามมารยาทนาดกรกราย.....
งามพริ้มยิ้มแย้มพราย... งามคำหวานลานใจถวิล.....
แต่เช้าเท่าถึงเย็น ... กล้ำกลืนเข็ญเป็นอาจิณ.....
ชายใดในแผ่นดิน ... ไม่เหมือนพี่ที่ตรอมใจ "
— กาพย์เห่สังวาส

กำลังมีความรู้สึกว่า สดายุตั้งคำถามสั้นสั้น เพื่อ ทดสอบความรู้
....และวิธีตอบ ก็คง ทำให้เห็นวิธี "อบรม และ การศึกษา" ของมินตรา นะนี่...
"น้องเล็ก" ของสดายุ อาจจะไม่ชอบวิธี เที่ยว ที่มินตราแนะไป ก็ได้นะ ..

เพราะ .. โจเซฟ อาร์เธอ คอม เดอ โกบิเนอ (Joseph Arthur, Comte de Gobineau 1816 – 1882) ท่านแจงไว้ว่า ...ชนสามผิว...สี ..ขาว ดำ เหลือง ..นี่
ชนผิวเหลือง จะ "แก่วัตถุ "
...และ วิธีเที่ยวของมินตรา ไม่มีรายการ ชอปปิ้งเลย !
เรียนเธอว่า...en route แล้วกัน...555

 

โดย: บุษบามินตรา IP: 37.59.6.32 2 เมษายน 2559 13:34:23 น.  

 

ดายุ..

เรื่องโคลง ฉันท์ กาพย์ กลอน น่ะ มินตราสู้สดายุ ไม่ได้...
เลยยก เจ้าฟ้าธรรมาธิเบศร มาสู้ ! 555

 

โดย: บุษบามินตรา IP: 94.23.252.21 2 เมษายน 2559 15:47:01 น.  

 

มินตรา ..
ที่ยกมาเป็น วสันตดิลกฉันท์ ๑๔ ที่เขียนในแนวนารีปราโมช กับโคลงสี่สุภาพมาให้ดูเปรียบเทียบกัน ..

ส่วนรูปสาวน้อยแสนสวยเป็นนางเอกช่อง 7 สี ชื่อ นาว-ทิสานาฏ ศรศึก .. รูปนี้ถ่ายชุดไทยกับนิตยสาร FINALE รู้สึกว่าหนังสือทีมนี้ ทำภาพชุดไทยออกมาสวยเสมอ .. เข้าใจเลือกนางเอกที่หน้าตาไทยๆมาถ่าย ..

เจ้าฟ้ากุ้งส่วนมากเขียน กลอน๘ .. กาพยานี๑๑ ..
มีโคลงเฉพาะที่เขียนในกาพย์ห่อโคลง ซึ่งต้องมีความหมายเดียวกันทั้งกาพย์ทั้งโคลง .. ตัวอย่างเช่น ...

๑๑
ลำดวนเจ้าเคยร้อย - - - กรองเป็นสร้อยลำดวนถวาย
เรียมชมดมสบาย - - - พี่เอาสร้อยห้อยคอนาง

ลำดวนปลิดกิ่งก้าน - - - สนสาย
กรองสร้อยลำดวนถวาย - - - ค่ำเช้า
ชูชมดมกลิ่นสบาย - - - ใจพี่
เอาสร้อยห้อยคอเจ้า - - - แนบหน้าชมโฉม

และโคลงที่เขียนประกอบกาพย์ยานีในบทเห่เรื่องกากี เช่น ...

สุบรรณแผลงเดชล้ำ - - - บินบน
กางปีกบังสุริยน - - - มืดฟ้า
ร่อนลงสู่ไพชยนต์ - - - ปรางค์มาส
เข้านั่งแอบนุชเคล้า - - - แนบเนื้อนวลสมร
๑๑
สุบรรณสำแดงฤทธิ์ - - - ให้มืดมิดปิดอำพร
ร่อนลงตรงบัญชร - - - จรสู่น้องแก้วกากี
กล่าวรสพจนาตถ์ - - - สายสุดสวาทเจริญศรี
ผินหน้ามาพาที - - - พี่คือชายชาญสกา
ประสงค์จำนงรัก - - - จึงลอบลักเข้ามาหา
หวังเชิญแก้วกานดา - - - ไปสู่ฟ้าพิมานจันทร์
เสวยรมย์สมบัติพี่ - - - ในฉิมพลีเกษมสันต์
แล้วจะพาเจ้าจรจรัล - - - เที่ยวชมชั้นพระเมรุธร
พี่จะชี้ชมทรายแก้ว - - - งามพรายแพร้วเชิงสิงขร
แม่น้ำสีทันดร - - - สิงขรกั้นเป็นกรรกง
จะพาชมพิทยาธร - - - ฝูงกินนรแลเหมหงส์
เหล่าสัตว์ตระกูลวงศ์ - - - อยู่ในดงเขาสัตภัณฑ์
จะได้ชมนารีผล - - - งามสกนธ์ดังแสร้งสรรค์
อยู่ยอดเขาอัศกรรณ - - - ฝูงคนธรรพ์มาเชยชม
จะพาไปไกรลาส - - - เฝ้าเบื้องบาทพระสยม
ดูเทพมาบังคม - - - จับระบำรำผาลา
เทพบุตรตีวงซ้าย - - - สาวสวรรค์ย้ายมาฝ่ายขวา
แทรกเปลี่ยนเวียนไปมา - - - กรคว้าไขว่พัลวัน
อย่าอาลัยมนุษย์เลย - - - ไปชมเชยพิมานสวรรค์
ว่าพลางทางติดพัน - - - ผันจุมพิตชิดชมนาง ๚

เสียดายที่ไม่มีวรรณกรรมโคลงสี่โดดๆ ของท่าน
ผมเคยเอาเพลงยาวเจ้าฟ้ากุ้งมาประกอบกลอนเรื่องยาว "สายธารกาลเวลา" ช่วงต้น รวมทั้งกาพย์เห่เรือที่เอามาแปลงเป็นฉันท์ใน "นิราศรอยอดีต" บล็อคฉันท์

 

โดย: สดายุ... 2 เมษายน 2559 17:08:28 น.  

 

มินตรา ..
ที่จริงบทนี้เขียนผิดฉันทลักษณ์นะ

สุบรรณแผลงเดชล้ำ - - - บินบน
กางปีกบังสุริยน - - - มืด"ฟ้า"
ร่อนลงสู่ไพชยนต์ - - - ปรางค์มาส
เข้านั่งแอบนุช"เคล้า" - - - แนบเนื้อนวลสมร

ตรง "ฟ้า" ต้องสัมผัสสระกับตรง "เคล้า" แต่นี่ไม่ใช่

น่าจะแก้เป็น
เข้านั่งแอบนุช-"คว้า" - - - นิ่มเนื้อทะนุถนอม

 

โดย: สดายุ... 2 เมษายน 2559 17:53:28 น.  

 

ดายุ..
การอ่านคำในโคลงฉันท์กาพย์กลอนนี่
คุณครูบอกว่าให้อ่านเสียง ตาม ฉันทลักษณ์ ...
(มิใช่ไปจับผิดว่ากวี เขียนไม่ถูกต้อง ระดับนี้แล้ว ทำไมจะเขียนไม่ถูกต้อง )
คำนี้ สมัยโน้น เสียงคงไม่เหมือนเราอ่านในสมัยนี้นะ

เป็นหน้าที่ของคนอ่าน ต้องอ่านให้เสียง ลง ฉันทลักษณ์ เอง หาก มีความรู้ ! 555

 

โดย: บุษบามินตรา IP: 94.23.252.21 2 เมษายน 2559 19:53:01 น.  

 

มินตรา ..

พูดถึงเจ้าฟ้ากุ้งต่อ ..
ข้อมูลจากวิกิพีเดีย..

"เจ้าฟ้าธรรมธิเบศไชยเชษฐ์สุริยวงศ์ (คำให้การชาวกรุงเก่าว่า เจ้าฟ้านราธิเบศร์) เสด็จพระราชสมภพเมื่อใดไม่ปรากฏหลักฐาน พระองค์เป็นพระราชโอรสพระองค์ใหญ่ในสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ ประสูติแต่กรมหลวงอภัยนุชิต (หรือพระพันวัสสาใหญ่) โดยพระมารดาของพระองค์สืบเชื้อสายมาจากสกุลพราหมณ์บ้านสมอพลือ ที่มีต้นสกุลมาจากเมืองรามนคร มัธยมประเทศ"

เจ้าฟ้ากุ้งมีเชื้อสายพราหมณ์จากฝ่ายพระมารดา จากเมืองรามนคร มัธยประเทศ ..

เมื่อหาข้อมูลต่อ ว่าบ้านสมอพลือ อยู่ที่ไหน ก็ได้คำตอบว่า ..

................................

พราหมณ์สมอพลือ หมายถึงตระกูลพราหมณ์เก่าแก่ของเมืองเพชรบุรี มีถิ่นฐานอยู่รวมกันเป็นหมู่ใหญ่ที่บ้านสมอพลือ ต. สมอพลือ อ. บ้านลาด จ. เพชรบุรี

ยังมีเชื้อสายพราหมณ์ตั้งบ้านเรือนหนาแน่นอยู่ริมแม่น้ำเพชรจนทุกวันนี้

น้ำจากแม่น้ำเพชร ไหลผ่านทางวัดท่าไชย บ้านสมอพลือ เป็นน้ำศักดิ์สิทธิ์ตักไปเป็นน้ำเสวยของ ร.4, ร.5, ร.6 และใช้ทำพิธีศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ เพราะผ่านบ้านพราหมณ์ผู้มีเทพมนตร์

ตระกูลพราหมณ์สมอพลือยุคอยุธยา มีธิดา 2 คน เป็นมเหสีสมเด็จพระเจ้าบรมโกศ แล้วมีโอรส คือ เจ้าฟ้ากุ้ง, เจ้าฟ้าเอกทัศน์, เจ้าฟ้าอุทุมพร, ฯลฯ

สุนทรภู่ เขียนนิราศเมืองเพชรบอกตระกูลสายแม่กับสายพ่อของท่านเองว่าเป็น“พราหมณ์รามราช” อยู่เมืองเพชรบุรี น่าจะเกี่ยวข้องกับพราหมณ์สมอพลือด้วย

บ้านสมอพลือจากวัดท่าไชย ริมถนนเพชรเกษม ยาวเลียบแม่น้ำเพชรไปทางตะวันตก

มีเกร็ดความรู้เกี่ยวกับบ้านสมอพลืออีกเรื่องคือ ..

..“เมียตบเมียแต่งเป็นเมียหมา เมียฉุดคร่าเป็นเมียเทวดา”

นี่เป็นคติหาเมียของลูกผู้ชายเมืองเพชรบุรีที่ว่า “อยากได้เมียก็ต้องฉุดเอา” และเหตุที่ฉุดผู้หญิงเป็นเมียเพราะรักจริง จึงต้องยกย่องเป็นเมียเทวดา

ที่คัดมานี้ได้จากหนังสือพราหมณ์สมอพลือ โดย ทวีโรจน์ กล่ำกล่อมจิตต์ นักหนังสือพิมพ์ นักค้นคว้าประวัติศาสตร์ อยู่ จ. เพชรบุรี เล่าเรื่องเมียเทวดาของตระกูลพราหมณ์เมืองเพชรบุรี

“การครองคู่ลักษณะเมียเทวดา หรือฉุดสาวมาครองคู่นั้น แทบจะเป็นธรรมเนียมทั่วไปของหนุ่มเมืองเพชร ไม่เฉพาะเป็นของตระกูลพราหมณ์เท่านั้น การฉุดมาด้วยความหลงใหล เป็นเหตุให้ผู้เป็นสามีต้องรับผิดชอบเป็นพิเศษ จนคนทั่วไปเห็นเป็นการหงอ” อ. ล้อม เพ็งแก้ว เขียนบทบรรณาธิการอธิบายเพิ่มเติมเรื่องเมียเทวดาของหนุ่มเมืองเพชร

ลูกสาวพราหมณ์เมืองเพชรจำนวนไม่น้อย“ถูกฉุดแบบเต็มใจ” สอดคล้องกับสาวสมัยก่อนนัดหมายให้หนุ่มมาฉุด ถือเป็นเรื่องปกติ ไม่ผิดกติกาวัยเจริญพันธุ์ เพราะถ้าไปสู่ขอดีๆ ก็ไม่มีวันได้ พ่อแม่ฝ่ายหญิงไม่ยอมง่ายๆ เลยต้องเต็มใจให้ถูกฉุด "

ที่มา .. สุจิตต์ วงศ์เทศ .. //www.sujitwongthes.com/2013/05/siam09052556/

.............................

สงสัยว่า จะต้องเอาวิธีของหนุ่มบ้านสมอพลือมาใช้บ้างแล้ว .. 555

 

โดย: สดายุ... 3 เมษายน 2559 10:18:42 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


สดายุ...
Location :
France

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 151 คน [?]









O ใช่แน่หรือ ? .. O






O หรือธรรมชาติผ่านเวียน .. คอยเปลี่ยนโลก ?
ทั้งสุขโศกเร่งรุดยากหยุดไหว
หรือกำหนดยุดยื้อจากมือใด
จัดการให้แปลกแยกได้แทรกตัว
O หรือพบกันครั้งแรก, ความแตกต่าง
ถูกบ่มสร้างเหมาะควรอย่างถ้วนทั่ว
แต่ตา-รูป .. สบกัน, ที่สั่นรัว-
แรกที่หัวใจคน .. เริ่มอลเวง
O ละห้อยเห็นในยามห่างนามรูป
แต่ละวูบเนรมิตคอยพิศเพ่ง
งามทุกงามจารจรดเยี่ยงบทเพลง
พร้องบรรเลงด้วยมือช่วยยื้อยุด
O ย่อมเป็นมือสร้างเหตุแทรกเจตนา
ผ่านรูปหน้าอำนวยเข้าฉวยฉุด
ร้างไร้ความกริ่งเกรง, หากเร่งรุด
แทรกลงสุดหัวใจเพื่อไขว่คว้า
O แน่นอนว่ายากเว้น .. อยากเห็นรูป
และชั่ววูบวาบเดียวที่เหลียวหา
หวังทุกหอมรินไหลผ่านไปมา
ทั้งหางตาที่ชม้อยเหลือบคอยปราย
O โลกย่อมงามพร่างแพร้วเมื่อแผ้วผ่าน
ด้วยอ่อนหวานอ่อนโยนที่โชนฉาย
แม้นมิอาจโยกคลอนให้ผ่อนคลาย
ก็อย่าหมายโยกคลอนให้ผ่อนลง
O จะกี่ครั้งกี่ครา, ความอาวรณ์
เวียนรอบตอนจับจูงจนสูงส่ง
ด้วยรูปนามเทียบถวัลย์อย่างบรรจง
แตะแต้มลงผ่านจริตจนติดตรึง
O ความรู้สึกในอกย่อมยกตัว
หวานถ้วนทั่ว, รสประทิ่น, ถวิลถึง
เหมือนรุมล้อมหยอดย้ำลงคำนึง
ให้เสพซึ้งรสงามของ .. ความรัก
O วัฏฏจักรแห่งธรรม .. ย่อมย่ำผ่าน
เข้าขัด-คาน จับจูงความสูงศักดิ์
ของอาวรณ์หลบเร้น เพื่อเว้นวรรค
ที่เข้าทักทายทั่วทั้งหัวใจ
O หรือแท้จริงตัวตนถูกค้นพบ
การบรรจบ .. รูป-จริต แล้วพิสมัย
ปรารมภ์ของฝั่งฝ่าย .. นั้น-ฝ่ายใด
เพิ่งยอมให้เรื่องเฉลย .. ยอมเผยความ ?



Friends' blogs
[Add สดายุ...'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.