Group Blog
 
 
มีนาคม 2555
 
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
25262728293031
 
20 มีนาคม 2555
 
All Blogs
 

O ชั่วฟ้าดินสลาย ๒ .. ! O







.. ๙
๑๙๕ แล้วรูปคราญแห่งบ้านอัมพวา
พร้อมธิดาบุตรชายก็ย้ายถิ่น
เพื่อเคียงแกล้วผู้กล้า .. แห่งธานินทร์-
ให้ผู้คนทั้งสิ้นได้ยินดี





๑๙๖ งามเอยรูปคราญ .. แห่งวานวัน
เป็นมิ่งขวัญคู่ทุกข์ในทุกที่
รูปงามเชิดชูหน้า .. แก่สามี
คุณสมบัติกุลสตรี .. เจ้ามีพร้อม

๑๙๗ ช่วยส่งเสริมหน้าที่ .. สามีเจ้า
จนเสียงเล่าลือผ่านทุกย่าน .. หย่อม
เติบเต็มด้วยสุขล้ำให้ด่ำดอม
จนหล่อหลอมสองใจ .. อยู่ใกล้ชิด

๑๙๘ เมื่อคุณพระ .. ก้าวหน้าในหน้าที่
ก็ด้วยศรีแหนหวงทั้งดวงจิต
งดงามคุณความดี .. ทั้งชีวิต
ศักดิ์และสิทธิ์คุณหญิง .. ก็ทอดรอ

๑๙๙ สุขสงบดวงขวัญ .. ในวันผ่าน
ด้วยอ่อนหวาน .. พูนเพิ่มช่วยเติมต่อ
ความเข้าใจคู่เคียง .. ก็เพียงพอ-
จนเกิดก่อ .. ความหวัง .. กำลังใจ

๒๐๐ เมื่อมีลูกปลูกฝังแต่ยังเยาว์
นั่นคือเบ้าหลอมคิด .. อวยจิตให้-
ผ่านสุขโศก .. มั่นคงจำนงนัย
พาเข้าไขชักนำ .. เข้าทำการณ์

๒๐๑ เช้าหนึ่งเมื่อ .. แถวพระค่อยละที่
หมู่แกล้วก็จรลี .. ถึงที่บ้าน
หมวก .. ดาบ .. เปื้อนเลือดคน .. อยู่บนพาน
แจ้งข่าวผู้วายปราณ .. ชีพลาญลบ

๒๐๒ มีโองการปรากฎ .. อวยยศศักดิ์
เมื่อน้าตารินหนัก..เกินกักกลบ
ใจงามราวจะขาดซึ่งชาติภพ
ร่างก็กองทรุดซบ .. ลงจบพื้น

๒๐๓ ทั้งพ่อแม่ .. รู้ข่าวก็ราวว่า-
ชีพชีวาจะลับล่มด้วยขมขื่น
ความอาดูรเจ็บช้ำ .. ที่กล้ำกลืน
ย่อมสุดฝืนถอดถอน .. ให้ผ่อนคลาย

๒๐๔ ราวโลกจะแหลกลงที่ตรงหน้า
ทรมาท่วมอยู่ไม่รู้หาย
อกแม่ลูกจะเปล่าเปลี่ยวอยู่เดียวดาย
จนตราบวายชีวาตม์ .. แห่งชาตินี้

๒๐๕ ศักดิ์ศรี, เลือด ชายไทย .. ก็ได้หลั่ง
และกายฝังฝากดิน ..ในถิ่นที่-
ได้ปกป้องด้วยชาติ .. เป็นราชพลี
เพื่อแผ่นพื้นปฐพี .. อยู่จีรัง

๒๐๖ เลือดไทย .. พร้อมศักดิ์ศรีอย่างที่เห็น-
ย่อมแฝงเร้นเค้าเรื่องอยู่เบื้องหลัง
เพียงเพื่อชีพไพรินทร์ .. จักภินท์พัง
แม้นดินฝังกลบหน้า .. ฤๅอาลัย

๒๐๗ เศร้าเสียงพญาโศก
ยามกล่อมโลกย่อมบีบใจ
เรื่องหลังก็หลั่งไหล
ละภาพไหวภาพใคร-จำ

๒๐๘ หมื่นพันจำนรรจ์เปรียบ
ฤๅอาจเทียบที่เคยทำ
หยอกหัวเย้ายั่วคำ
จักย้อนย้ำซ้ำซ้ำหน

๒๐๙ โดยภาพทุกภาพนั้น
ย่อมบีบคั้นหัวใจคน
ละภาพละภาพพ้น
ย่อมมืดมนในหนทาง

๒๑๐ แท้เทียวคือทอดทิ้ง
ทำใจหญิงแทบวายวาง
แท้เทียวคือทิ้งขว้าง
ให้อ้างว้างอยู่เอกา

๒๑๑ กลางเสียงพญาโศก
ย่อมชุ่มโชกด้วยน้ำตา
เสียงโศกย่อมโศกสา-
หัสะว่าจะพร่าเผา

๒๑๒ นกร้องคนพร้องพร่ำ
ด้วยชอกช้ำกระหน่ำเอา
ลมลูบเหมือนรูปเงา
คอยหยอกเย้ารุมเร้าทรวง

๒๑๓ เมื่อรักไยมารุก
ด้วยทัณฑ์ทุกข์ที่ทาบทวง
เมื่อห่างไยต้องหวง
จิตเหนี่ยวหน่วงด้วยห่วงใย

๒๑๔ กี่ภพจึงหลบพ้น
กี่ชีพป่นวัฏฏ์วนไป
กี่วงรอบหลงใหล
จึงหยุดไหวหยุดรอบวง

๒๑๕ มีคู่ย่อมรู้ค่า
รู้ปรารนารู้จำนง
กี่คู่เล่าอยู่คง
ตราบชีพปลงชาติวายปราณ

๒๑๖ สิ้นเสียงสำนึกสั่ง
ก็ภินท์พังกำลังพาล
มากมายความทรมาน
ก็บรรสารให้เสพสม

๒๑๗ ทึกทึกสะท้อนจิต
กระอุฤทธิอารมณ์
ราวชีพจะลีบจม
ด้วยสุดข่มความอาดูร

๒๑๘ ชาติหน้าหรือชาติไหน
ขอรักได้แจ่มจำรูญ
สืบสายอย่าสิ้นสูญ
คอยเกื้อกูลอยู่ด้วยกัน

๒๑๙ สิ้นถ้อยอธิษฐาน
ก็ถึงกาละชีวัน
วูบดับลงฉับพลัน
ให้โศกศัลย์คร่ำครวญเสียง

๒๒๐ ย่าหลานเข้าช่วยอุ้ม
แม่ผู้ทุมนัสเพียง-
วิญญาณจะลาญเคียง
มโนภาพต่อคราบมรณ์

๒๒๑ อกใจนั้นไหวแผ่ว
แทบขาดแล้วอยู่รอนรอน
อาลัยทั้งอาวรณ์
นั้นสุดถอนให้ขาดหาย

๒๒๒ อวยสุขโอนทุกข์ยาก
ยอมลำบากทั้งใจกาย
เพื่อเมียไม่เสียดาย
ยอมกรากกรำอยู่ซ้ำหน

๒๒๓ สิ้นแล้วดวงแก้วน้อง
ให้ร่ำร้องทุรนทน
สิ้นชาติอำนาจคน
ผู้จำนนต่อเวรกรรม

๒๒๔ สิ้นร่มจะบังร้อน
เพื่อทาน-ทอนแรงแดด-ทำ
สิ้นบุญจะหนุนนำ
พาชอกช้ำระกำ-สูญ

๒๒๕ ตรมตรอมพรั่งพร้อมหน้า
เพื่อเหว่ว้าทั้งอาดูร
โถมถั่งเข้าดั่งกูณฑ์
คอยเพิ่มพูนฤทธิ์เผาผลาญ

๒๒๖ โอ่หนอ..คณาอา-
วุธะกล้าคงนับนาน-
เปื้อนฝุ่นอยู่บนพาน.
รอรอบกาล-ลบด้านคม



.. ๑๐
๒๒๗ ที่ใจเมือง .. ผู้คน .. สับสนย่าง-
ไปท่ามกลางสำเนียง .. ศัพท์เสียง – ขรม
รูปหน้างาม .. สายตา .. พร้อมอารมณ์-
สบ, ผูกปมผูกเงื่อนเกินเคลื่อน .. คลาย





๒๒๘ สบแล้วก็เมินหลบ .. แล้วสบอีก
จะเลื่อนหลีกเลี่ยงไปก็ใจหาย
จะพ้นผ่านไปเสีย .. ก็เสียดาย-
กับชม้ายชายตอบ .. คอยลอบมอง

๒๒๙ งามรูปหน้า .. ผมสลวย-แววขวยเขิน-
คล้ายรอเพ่งพิศเพลิน .. จนเกินป้อง
เนียนแก้มหน้า .. ตาระยับแววจับจอง-
เมื่อผ่านพ้อง .. ครั้นจะพราก-ย่อมยากนัก

๒๓๐ ดูเถิด-รูปเอวองค์ที่ตรงหน้า
คล้ายรอให้สายตาลองฝ่า .. หัก
เจ้าเอยชม้ายสู่ .. เหมือนรู้ชัก-
ชวนมาตักตวงงาม .. ผูกล่ามใจ

๒๓๑ และทุกครั้งเมื่อยิ้ม .. แก้มอิ่มนั่น-
ก็บีบคั้นเอ็นดู .. จนรู้ได้-
ด้วยจุมพิตหอมหวานส่งผ่านไป
ฝากลำลมอ่อนไหวโลมไล้แทน

๒๓๒ แก้มอิ่มนวลเนื้อสาว .. ก็ราวว่า-
สัมผัสค่าอ่อนหวานที่ผ่านแล่น
จากหัวใจ .. แววตา .. ล่องฝ่าแดน-
เข้าห้อมแหนเนียนเนื้อ-แก้มเรื่อนั้น

๒๓๓ กาแฟหอมกรุ่นกลิ่น .. ครั้นสิ้นรส-
ก็เมื่อบทบาทใหม่เริ่มไหวสั่น
เป็นบทบาทอ่อนหวาน .. แปลก-ปานกัน-
กับหอมปันแปลกรสให้ทดลอง

๒๓๔ สืบความหมายผ่านล่วง .. ของช่วงห่าง-
ในแห่งที่หนทาง .. ระหว่างสอง
เฝ้าตอบแทนคืนกลับ .. คอยรับรอง
เพื่อตรึกตรองแปลความ .. เอาตามใจ

๒๓๕ ดูเถิด .. แก้มฝาดเรื่อ .. เนียนเนื้อนิ่ม-
คล้ายผ่านความเอิบอิ่ม .. ลอบยิ้มให้
จะยินหรือโผนผกห้วงอกใคร-
ที่ระทึกสั่นไหวอยู่ .. ในตน !

๒๓๖ รื่นรมย์ กับรูปองค์ .. ที่ตรงหน้า-
ที่เหลือบตาล้อมขวัญเป็นพันหน
สบเมียงเมิน บังพราง .. ของบางคน
หวานหอมก็ล้อมลนให้ .. อลเวง !

๒๓๗ ยั่วเย้ยแล่นระลอกราวบอกว่า-
จะอยู่ล้อทรมา .. ต่อตา-เพ่ง-
เลือดบนแก้มเรื่ออยู่...ควรรู้เอง-
มัวแกลนเกรงอยู่ไย...นะใจชาย

๒๓๘ อันมณีน้ำวาม .. เนื้องามแสน
ฤๅอาจแทนด้วยแก้ว .. แม้นแววฉาย-
จากเหลี่ยมมุมแสงต่ำ .. ตกรำบาย
จะแค่คล้ายน้ำปลั่ง .. ชั่วครั้งคราว

๒๓๙ จึงมณีน้ำปลั่ง .. ที่ตั้งอยู่-
แค่เพียงดู .. ไม่คืบ เข้าสืบสาว-
เอาแต่งเรือนแหวนประดับ .. ให้วับวาว
หรือ - คืบก้าวเข้าไป .. เพื่อได้รู้ ?

๒๔๐ ยิ้มรับความงดงาม .. ในท่ามกลาง-
การเร้นพรางอารมณ์ .. เฝ้าข่มอยู่
แววตาที่สบตอบ .. คอยลอบดู-
เหมือนคอยเร้าแรงชู้ .. ไม่รู้วาง !

๒๔๑ รอคอยจะพบกันในวันหน้า
เมื่อคุณค่าพ้องกัน .. เกินกั้นขวาง
รสประณีตความร้อย .. ในรอยทาง
ก็มอบวางชักนำ .. เหยียบย่ำรอย

๒๔๒ แต่สิ้นชาติวาสนาชะตาคู่
เพียงรับรู้เปลี่ยวเปล่า .. และเศร้าสร้อย
แสงชีวันทอดทอ .. เพียงรอคอย
บรรจบด้วยขวัญน้อย .. ทุกรอยใจ

๒๔๓ แม้นเพรงกรรมเชี่ยวกราก .. จำพรากภพ
จักเกลื่อนกลบแรงถวิล .. ฤๅสิ้นได้
สัญญาตรึงลงทรวง .. ถ้วนปวงนัย-
ร่างมอดไหม้กี่ครั้ง .. ก็ยังคง

๒๔๔ เที่ยวท่องล่องฟากฝั่ง .. วัฏฏ์สังสาร
ล้วนหอมหวานเร้ารุม .. ให้ลุ่มหลง
กี่รอบร่าง, ดวงจิต-ถึงปลิดปลง
จึงเสริมส่งหลุดพ้น .. ด้วยตนเอง

๒๔๕ จากอุบัติ .. ตั้งอยู่ .. จนรู้รส
ตราบเบิกบทเร้ารุมเข้ากุมเหง
จำเริญการหยอกยั่ว .. ไม่กลัวเกรง
การรุดเร่งอารมณ์ .. อันสมยอม

๒๔๖ กำซาบรสรมย์แสนย์ .. อันแหนหวง-
ทอดทับทรวงสั่นสะท้านด้วยหวานหอม
โอนอบอุ่นซาบซ้ำ .. ให้ด่ำดอม
ด้วยอารมณ์รอบล้อม .. อยู่พร้อมแล้ว

๒๔๗ มาเถิดเจ้า .. อกอ้อมรอน้อมอิง
จงผ่อนพิงหัวใจอันไหว .. แผ่ว
รั้งรอฤๅเนตรปลาบ .. จงวาบแวว
ให้รู้แนวสืบสม .. อารมณ์นั้น

๒๔๘ พบเจอแล้วจำพราก .. ซ้ำซากนัก
ยังคงถูกกุมกัก .. เกินหักบั่น
คล้ายหัวใจตอบรับข้ามกัปกัลป์
เย้ยโทษทัณฑ์ทรมา .. ด้วย-อาลัย

๒๔๙ กี่วงเวียนสงสารผันผ่านล่วง
ยังคล้องบ่วงรัดรึง .. มาถึงได้
กี่ช่วงภพชาติดับ .. เลือนลับไป
ยังอยู่ในสัญญาไม่ล้าเลือน

๒๕๐ มีคนพร้อมหัวใจ .. แม้นไหวหวั่น-
หากดวงขวัญ .. ยิ่งใหญ่ยากใครเหมือน
มีมาดมั่นในจิต .. เกินบิดเบือน
เพื่อแล่นเลื่อนเสน่หา .. สัญญาใจ

๒๕๑ เพื่อคอยเตือนดวงจิต..สัมฤทธิ์รู้
ว่าเพียงผู้เดียวนั้นที่ฝันใฝ่
บรรจบรูปแล้วยากเกินพรากไป
ตราบบรรลัยชีพม้วยลงด้วยกรรม

๒๕๒ เหมือนรอบบุญแรงบาปได้สาปส่ง
ตรึงจำนงคงอยู่ให้รู้สัม-
ผัส .. อ่อนหวานน้อมแนบ .. ที่แอบอำ-
ลงตอกย้ำอาลัยด้วยใครนั้น

๒๕๓ คล้ายติดตามมาทวง .. บำบวงพากย์
ก่อนพลัดพรากเลือนลับ .. แตกดับขันธ์
จึงเผยรูปรอยโจทก์ .. ชี้โทษทัณฑ์
ผูกรัดพันชีพเชื้อด้วยเยื่อใย

๒๕๔ ถวิลรูป..ฤๅเว้น-อยากเห็นหน้า
ละห้อยหาอาวรณ์ .. เกินผ่อนไหว
หรือบาปกรรมเคยสร้างแต่ปางใด
รุมเร้าใจตรึงมั่น .. แต่สัญญา

๒๕๕ แม้นรอบกรรมวงวัฏฏ์ของสัตว์โลก
จะเจือโศกเคล้าคลุกไปทุกหน้า
คงยอมรับชะตากรรม .. ให้นำพา
ล่องลอยฝ่าอาวรณ์ .. อย่าผ่อนเลย

๒๕๖ หวังสบโทษทัณฑ์มี .. เท่าที่สร้าง
พากย์เอ่ยอ้างเคยมี .. จักคลี่เผย
เพื่อความอ่อนหวานละมุนอันคุ้นเคย-
จะรอให้ชิดเชยอย่างเคยมี

๒๕๗ ฤๅรับบุญร่วมบาตรแต่ชาติก่อน
จึงสุดผ่อนเพลาค่ารูปราศี
แรกบรรจบหัวใจจึงไหววี
พ้องความวาบหวามที่เคยมีมา

๒๕๘ คงตักบาตรร่วมขันแต่วันก่อน
ดาลถ้วนคำบวงอ้อนกลับย้อนหา
จำหลักความมุ่งมั่นลงสัญญา
เพื่อตรึงตราแต่ในน้ำใจเดียว

๒๕๙ จักรอคอยละห้อยเห็นอยู่เช่นนี้
รอ-ท่าทีแววตา .. ละล้าเหลียว
รอ-ดวงใจปลิดปลิวด้วยนิ้วเรียว
เมื่อเจ้าเหนี่ยวเด็ดวางลง-กลางใจ

๒๖๐ รอคอยตราบ .. พบกันในวันนี้
ก็วันที่รูปฝัน .. พร้อมฝันใฝ่-
บรรจบหวานผ่านเจือ .. สู่เนื้อใจ
ร่วมอาลัยผูกพันตามสัญญา

๒๖๑ รอคอยตราบ .. พบกันในวันนี้
ในวันที่หวานละมุนและคุณค่า-
ได้เติบตนผ่องผาย .. สบสายตา
เจ้าเอย .. รู้ไหมว่า .. ใครอาวรณ์ ?




.. ๑๑
๒๖๒ คะนึงนึก-ความวอนแสนอ่อนหวาน ..
.. ปางพี่มาดหมายสมานสุมาลย์สมร
ดังหมายดวงหมายเดือนดารากร
อันลอยพึ้นอัมพรโพยมพราย ..





.. แม้นพี่เหิรเดินได้ในเวหาส
ถึงจะมาดก็ไม่เสียซึ่งแรงหมาย
มิได้ชมก็พอได้ดำเนิรชาย
เมียงหมายรัศมีพิมานมอง ..

.. นี่สุดหมายที่จะมาดสุมาลย์สมาน
สุดหาญที่จะเหิรเวหาสห้อง
สุดคิดที่จะเข้าเคียงประคอง
สุดสนองใจสนิทเสน่ห์กัน ..

.. โอ้แต่นี้นับทวีแต่เทวศ
จะต้องนองชลเนตรกันแสงศัลย์
จะแลลับเหมือนหนึ่งดับเดือนตะวัน
เมื่อเลี้ยวเหลี่ยมสัตภัณฑ์ยุคนธร ..

.. ยิ่งคะนึงยิ่งนานจะเห็นพักตร์
ฉวยฉุดรักแล้วจะทอดฤทัยถอน
ไม่เห็นกรรมว่าจะนำให้ไกลกร
ไม่เห็นรักว่าจะรอนให้แรมโรย ..

.. อกเอ๋ยเมื่อได้เคยประโลมเล่น
ครั้นห่างเห็นแล้วก็ได้แต่เตือนโหย
ยามดำเนิรเดินดินอาดูรโดย
ก่นแต่โกยกอบทุกข์มาทับกาย ..

.. จะผ่อนผันฉันใดก็ใช่ที่
อันนับปีแต่จะเริดจะร้างหาย
จะอาดูรแต่ผู้เดียวอยู่เปลี่ยวกาย
มิได้วายความถวิลที่จินตนา ..

.. แม้นกุศลเราสองเคยร่วมสร้าง
ขอร่วมห้องอย่าได้ห่างเสน่หา
เสียงผลที่ได้เพิ่มบำเพ็ญมา
ขอร่วมชีวาร่วมวางชีวาวาย ..

.. เกิดไหนขอให้ได้ถนอมพักตร์
ความรักอย่าได้ร้างอารมณ์สลาย
รักนุชอย่าได้สุดเสน่ห์คลาย
ขอสมหมายที่ข้ามาดสมาทาน ..


๒๖๓ สร้อยสุมาลย์บานช่อ .. ร่ำรอพร้อม-
แฝงฝากกลิ่นรายล้อม .. รสหอมหวาน
อกเอยแต่โลมลูบด้วยรูปคราญ
ก็เอ่อซ่านรอบซึ้งอยู่อึงอล

๒๖๔ เมื่อโคมฟ้าลอยดวง .. โชนช่วงแสง
งามก็แฝงฝากช่วงทั้งห้วงหน
พร้อมผึ้งภู่ .. ภุมรินเริ่มบินวน
สีสันโกสุมบน .. ก็เบ่งบาน

๒๖๕ ปีกวิหคแผ่กาง .. ลอยร่าง-ร่อน
สูงต่ำตอนเสาะหาภักษาหาร
ท่ามกลางเสียงนกแว่ว .. ลมแผ่วพาน
หนึ่งรูปคราญก็ลอยล่อให้รอชม

๒๖๖ แต่พบกัน .. อาวรณ์ก็ร่อนคว้าง
อยู่ท่ามกลางแดดทอ .. มาลย์ช่อ-ฉม
เสริมกำลังปรารถนา .. แห่งอารมณ์-
เข้าสั่งสมแนบทรวง .. เกินล่วงล้าง

๒๖๗ หรือพบกัน .. จากกรรมชี้นำทิศ
จึงเมื่อพิศยามแรก .. สุดแยกห่าง
หรือรอบบุญแรงกรรมนั้นนำทาง-
ยกก้าวย่างผ่านเงา .. สบเว้าวอน

๒๖๘ โอ นั่น น้ำเนตรพรับ .. แวววับไหว
สื่อส่งให้พร่ำพลอด .. ความออดอ้อน
แล้วค่อยถ่ายคะนึงหา .. รอบอาวรณ์-
ลงสุมซ้อนความรัก .. ให้ตักตวง

๒๖๙ ราวหวานหอมทั้งหล้า .. น้อมมาให้-
อยู่ชิดใกล้, อ้อมแขน-ผู้แสนหวง-
ก็อยู่รอก่อกรรมเช่นคำบวง-
ล้อมร่างดวงสวาดิน้อยผู้กลอยใจ

๒๗๐ ครั้งนั้น..คำ, ความผอง .. ท่านกรองร้อย
กอปรโศกสร้อยรันทม .. เกินข่มไหว
ด้วยความรัก .. แหนหวง .. ด้วยห่วงใย-
ก่อนบรรลัยชีพดับ .. เลือนลับกัน

๒๗๑ ครั้งนี้ .. ความอาวรณ์เจ้าอ่อนน้อย
ใช่เพียงถ้อยความพร้อมรอกล่อมขวัญ
หากมีความอ่อนไหว .. เหมือนไฟควัน-
เต้นเปลวสั่น-เร้ารุมลงสุมทรวง

๒๗๒ รุ่มร้อนเอย .. ครันครบอยากพบหน้า
ด้วยคำนึงปรารถนา .. ไม่ล้าล่วง
เมื่องดงามผ่านคาบลงทาบทวง
ใจทั้งดวง .. ก็เหนี่ยวงาม .. ผูกล่ามใจ

๒๗๓ เฝ้าแต่คอยละห้อยเห็นไม่เว้นช่วง
ด้วยความหวงแหนอยู่ .. จนรู้ได้-
ว่าแม้นชีพดับดิ้นจนสิ้นไป-
ยังอาลัยอาวรณ์ .. ยากผ่อนเพลา

๒๗๔ โอ อกใครหนอระส่ำ .. คล้ายคร่ำครวญ
ล่มกำสรวลโศกสร้อย .. ทุกรอยเหงา
แต่เมื่องามสดใส .. แห่งวัยเยาว์-
อยู่รุมเร้า .. โลมรุกไปทุกตอน

๒๗๕ โกสุมเชิดเรณูเหมือนรู้เชิง-
ให้ภู่เหลิงห้อมเห่ .. หยาดเกสร
เช่นอกคนครวญคร่ำ .. ถ้อยคำวอน
ด้วยหลงเหลิงออดอ้อน .. สะท้อนสะท้าน

๒๗๖ งามรูปองค์ชาติเชื้อ .. ก็เหลือรู้-
จะอาจกู้ตัวตน .. ให้พ้นผ่าน
คงเกินใจมุ่งมั่น .. อาจบันดาล
เข้าต่อต้านปรารถนา .. แรงอาลัย

๒๗๗ โอ งามคงจะตามลงล่ามพัน-
ผูกดวงขวัญเว้าวอนผู้อ่อนไหว
โอ คาบยามอบอุ่นละมุนละไม
เหมือนคอยไล้โลมยั่ว..เย้ยตัวตน

๒๗๘ กลีบพะยอมนิ่มเนื้อ .. นั้นเหลือนุ่ม
ลมผ่าวรุมไหวระรัว .. ก็กลัวหล่น
ค่อยโน้มแนบด่ำดอม .. กรุ่นหอมปรน-
เปรอใจวนว่ายหอม .. ไม่ยอมร้าง

๒๗๙ งดงามเอย .. มาลย์สรวงเมื่อร่วงหล่น
พร้อมใจคนหลงชู้ไม่รู้สร่าง
ร่อนโล้สายลมหวน .. เสียงครวญคราง
พาความอ้างว้างซบลงกลบดิน

๒๘๐ ฟังเถิด .. ความอาวรณ์ .. เจ้าอ่อนน้อย
จักเฝ้าร้อยความสู่ .. ไม่รู้สิ้น
จะเช่นลมหายใจอันไหลริน-
คอยหล่อเลี้ยงชีวิน .. จนสิ้นใจ

๒๘๑ นบองค์พระปฏิมา .. รูปราศี
ความลูกมีพร่ำพ้อ .. เพียงขอให้-
คำสัตย์เมื่อมอบสู่ .. ถึงผู้ใด-
ย่อมมีนัยสัตย์นั้น .. จวบวันวาย

๒๘๒ น้อมจิตนอบ .. องค์พระ .. นมัสการ
มีรูปคราญบริสุทธิ์เป็นจุดหมาย
วางอาวรณ์อาลัยจากใจชาย-
มอบต่อสายสวาดิชู้ .. เพียงผู้เดียว

๒๘๓ งดงามเอย .. แววระยับยามพรับพริ้ม
จักเผยยิ้มย้อนตอบ .. หรือลอบเหลียว ?
ฟ้าหม่นมัว .. ลมพลิ้ว, เหมือนนิ้วเรียว-
เอื้อมมาเหนี่ยวเด็ดใจ .. เอาไปครอง !

๒๘๔ ลับรูปแล้ว .. รูปหน้า, แววตานั้น-
คล้ายยังสั่นไหวรับ .. การจับจ้อง
ทิ้งรูปนามทอดทับ .. การรับรอง-
ของหัวใจพร่ำพร้อง .. หมายปอง .. เงา

๒๘๕ เผยรูปขึ้นต่อตา .. ค้ำคาขวัญ
เพรียกร่องรอยผูกพันแห่งวันเก่า
แต่เมื่อแววซ่อนยิ้ม .. แสนพริ้มเพรา-
คล้ายคอยเย้ายั่วงาม .. เข้าล่ามพัน

๒๘๖ เลือนรางด้วยรูปพรรณ .. ในสัญญา-
ที่เหมือนว่าค่อยกระจ่างขึ้นกลางขวัญ
ตั้งแต่ตาสบรูป .. ที่วูบพลัน-
คือใจวูบวาบสั่น .. ขึ้นทันใด

๒๘๗ ชายฟ้าเลื่อน, ดวงวันค่อยผันผ่าน-
สู่คาบกาลเมฆแซม .. ฟ้าแจ่มใส
แดดยามสายเห็นระยิบอยู่ลิบไกล
รูปอำไพก็แทรกแดด .. ขึ้นแวดล้อม

๒๘๘ คะนึงนึก .. เรียวรูปไหววูบนั้น-
ภาษรำพันก็พร้อมสรรพ .. รอขับกล่อม-
ให้รองรับแรงถวิล .. ด้วยยินยอม-
กุมกักด้วยหวานหอม .. จนยอมใจ



.. ๑๒
๒๘๙ จน .. ร่วมบุญตักบาตร .. อาวาสเหนือ
เพ่งจิตเพื่อแรงบุญจักหนุนให้-
กำลังแห่งเสน่หาแรงอาลัย-
ท่วมอกใจพาถวิล .. พลอยดิ้นรน






๒๙๐ ลงสองเข่ากรประนม..คอก้มต่ำ
บำบวงธรรมตรึกตรองครรลองผล
แว่วคำพระกล่าวกล่อม..เข้าล้อมลน
ก็แช่มชื่นเหลือล้นอยู่บนใจ

๒๙๑ เรียวนิ้วงามจับของประคองถวาย
แล้วหมอบกายหน้าก้ม, น้ำพรมใส่
เป็นน้ำมนต์บริกรรมพากย์ธรรมนัย
ป้องอาลัยอาวรณ์ให้ทอนแรง

๒๙๒ ราวหอมรื่นพัสตร์ห่ม..บังบ่มผิว
ร่ำลมริ้วผ่าวแนบ..เข้าแอบแฝง
นาสิกใกล้หอมอยู่..ฤๅรู้แปลง-
เปลี่ยนจากแหล่งพักตร์ละม่อม..กรุ่นหอมนั้น

๒๙๓ กลิ่นธูปและควันเทียน..ไหวเวียนอยู่
เมื่อตารู้..งามพิไลเริ่มไหวสั่น
ประกายวับวามอยู่เกินรู้-กัน
จนกราบพระคล้อยหัน..ก็พลันพบ

๒๙๔ งดงามนักเจ้าเอย..เมื่อเผยสู่
สบเนตรนิ่งงันอยู่เกินรู้หลบ
เกศินีนวลปรางสะอางครบ
จะเลือนลบจากใจอย่างไรพ้น

๒๙๕ แว่วพระสวดธรรมบท..ปรากฎเสียง
ความเรื่อยเรียงให้สดับ..อยู่สับสน
วงพักตร์หวาน, ธรรมนัย-แว่วไหววน
พร้อมอกหนึ่งอึงอล..อยู่บนยาม

๒๙๖ มาไหว้พระทำบุญ..เพื่อหนุนชาติ
หวังบำราศทุกข์โศกแห่งโลกสาม
ให้นัยธรรมหลอมเหลว..ส่วนเลวทราม
พาข่มข้ามขวากขวางที่วางรอ

๒๙๗ ด้วยศักดิ์ศรีชายผู้..ไม่คู้ต่ำ
ไม่อาจย่ำทางสู่..ท่านผู้ขอ
ตรองข้อธรรมร้อยเรียงย่อมเพียงพอ
เอาเติมต่อวิชชาเป็นอาภรณ์

๒๙๘ มาทำบุญถวายพระ..สังฆทาน
ให้พระผ่านนัยธรรมขึ้นย้ำสอน
แจ่มกระจ่างโศกสุขไปทุกตอน
แล้วรับพรรื่นล้ำ..พร้อมน้ำมนต์

๒๙๙ หอมกรุ่นรูปพัสตรา..เบื้องหน้านั้น
ก่อนค่อยผันพักตร์เหลียว..มาเกี่ยวผล-
จากรูปเผยสบต้อง..ตาของคน
ลุกลามอลวนไหวที่ในทรวง

๓๐๐ โพธิ์ยังคงระบัดใบ..เมื่อใจล่อง-
สู่พักตร์ผ่องเนตรวามที่ลามล่วง-
มาจับจองนัยคำ..ถ้อยบำบวง-
ให้โชนช่วงรอบกรรม..มุ่งบำเพ็ญ

๓๐๑ ศักดิ์สิทธิ์เสียจริงหนอ..คำขอนี้
จึงมือที่ผู้ใดมองไม่เห็น
คล้ายจับจูงชาติภพ..บรรจบ-เป็น-
นัยแฝงเร้นจดจ่อ...เฝ้ารอคอย

๓๐๒ อารามวัดเรือนไม้ที่ริมน้ำ
อีกครั้งที่รอบกรรมและคำถ้อย
พาบรรจบรูปแพงผู้แฝงรอย
ให้คนพลอยถวิลเห็นไม่เว้นวาย

๓๐๓ ใกล้เจดีย์โบสถ์เก่า..อันเก่าคร่ำ
คือคลื่นน้ำลมพลิ้วเป็นริ้วสาย
บนเรือนไม้นัยธรรม..แว่วรำบาย
ความมุ่งหมายพิสมัยแห่งใจคน

๓๐๔ รูปอดีตเจ้าหลวงนั้นตั้งเด่น
ที่บวงเซ่นเถ้าปวง..เริ่มร่วงหล่น
คือวัดโกษาวาส..ที่ชาติชน
เคยสืบผลธรรมพุทธโดยดุษณี

๓๐๕ ก้มกราบรูปองค์พระ..รูปพระพุทธ
เหลื่อมทองผุดผ่องตา..เรื้องราศี
พักตร์สงบงันอยู่..ช่วยชูชี-
วาตม์คนที่รุมร้อน..ได้ผ่อนลง

๓๐๖ ใกล้ใกล้ที่นั่งสงฆ์...ใกล้องค์พระ
แว่ววาทะกล่อมจิตให้คิดบ่ง-
เอาเสี้ยนแหลมแซมจิต..พาปลิดปลง
แล้วเสริมส่งรอบกรรมในสัมมา

๓๐๗ กราบองค์พระลมรื่นใจตื่นพร้อม
เมื่อคล้ายกรุ่นกลิ่นหอม...ละม่อมหน้า-
จะวาบไหวบริบทออกจดตา
ใจเอยแต่ละล้าเหลียวหาเงา

๓๐๘ เกษินีนวลปราง..หันข้างอยู่
คล้ายรอกู้ส่วนเสี้ยว..ความเปลี่ยวเหงา-
แห่งอาวรณ์รูปนั้นให้บรรเทา
ดูเถิด..คำพระเจ้า-ยืดยาวจริง

๓๐๙ แล้วก้มกราบรูปสงฆ์..บรรจงน้อม
ผมหล่นล้อมวงหน้า..จบหน้านิ่ง
เพียงชั่วยามรูปพิไล..หยุดไหวติง
กลับนานยิ่งในคะนึงของหนึ่งคน

๓๑๐ มาด้วยเพื่อนอีกสอง..ผู้ปองธรรม
เพื่อขัดค้ำครอบจิตจากพิษฉล
งามรูปลักษณ์กิริยาก็น่ายล
คล้าย-งามล้นล้ำล่วงถึงดวงใจ

๓๑๑ เงยหน้าเจ้า..หันหน้าเข้าหาเพื่อน
เนตรคล้อยเบือนสบกัน..ก็พลันไหว-
วาบหวามละลามล่วงสู่ทรวงใน
โอ้อกใครระทึกก้องดั่งกลองตี

๓๑๒ สบแล้วเมินเมียงหลบ..แล้วสบอีก
ด้วยสุดตาจะอาจปลีก...หลบหลีกหนี
ชั่วเงียบงันหัวใจ..กลับไหววี
ราวมือที่แฝงเร้น..บีบเค้นลง

๓๑๓ ช่างอ้อยสร้อยอ้อยอิ่ง..เสียยิ่งแล้ว
เนตรผ่องแผ้ว..แก้มคางเรียวร่างหงส์
ราวแทรกรูปดิ่งด่ำ..ให้ดำรง
แนบจำนงพาใจพลอยไขว่คว้า

๓๑๔ จนเสียงพระการุณ..บอกบุญ-แว่ว
เมื่อฝนหลั่งลงแล้ว..แน่แน่ว..ว่า-
งานสมโภชองค์พระ..สืบชะตา-
ยกช่อฟ้า..ขึ้นตั้งจะยังมี

๓๑๕ เชิญ..มาร่วมตักบาตรหนุนชาติภพ
คล้อยบรรจบคุณค่าและราศี
เสริมส่งวาสนาและบารมี
คล้ายวาทีตอบกลับ..จะรับคำ

๓๑๖ อีกเพียงสองสัปดาห์จะมาถึง
ให้รูปหนึ่งตักบาตรร่วมยาตรย่ำ-
พาจิตใจก้าวย่างสู่ทางธรรม
เพื่อโน้มนำสัมมา..จิตนารี

๓๑๗ มองหน้าแววอุทธัจก็ชัดแจ้ง
บรรโลมแต่งแก้มเนื้อจนเรื่อสี
ลมล่องน้ำหลากไหล..เงื่อนไมตรี-
ราวจะคลี่คลายบ่วง..คล้องดวงใจ

.... มีร่มบังกันให้พ้นไอแดด
ท่ามกลางแวดล้อมก้าวของบ่าวไพร่
ตาดแพรทองงามควรห่มนวลใย
จึงผ่องใสหยัดอยู่ไม่รู้จาง....

....มาร่วมบุญงานบวชฟังสวดพระ
หวังลดละ..ทุกข์ผองสิ้นหมองหมาง
แต่กราบก้มงามควรทุกส่วนนาง
ตราบเยื้องย่างสง่าล้วนให้ควรมอง....

๓๑๘ ราวว่าจินตภาพฟ้องให้มองเห็น
งามเกินเว้นตาพรับเมื่อจับจ้อง
กระโปรงผ้าสีพื้น, แพรผืนทอง-
คล้ายเหลื่อมสองภาพซ้อน..แต่ตอนนั้น

๓๑๙ เช้านี้ลมพลิ้วไหว..โลมไม้ดอก
คล้ายยั่วหยอกโยกให้..พุ่มไหวสั่น
ภุมรินเร่งรุดล้อมบุษบัน
เมื่อแรกวันเริ่มช่วงด้วย..ดวงไฟ

๓๒๐ อ้อยอิ่งกลาง-หมอกเช้าอันขาวขุ่น
คืออกอุ่นอาวรณ์-ผู้อ่อนไหว
ริ้วลมร่ำแผ่วผ่าน-ดอกมาลย์ไกว
เช่น-อาลัยถวิลอยู่..ไม่รู้วาง

๓๒๑ ร่อนเร่เสาะสุมาลย์อันหวานหอม
ผึ้งบินล้อมเรณู..แต่ตรู่สาง
ละม่อมรูปอิริยาและท่าทาง
ก็ล้อมขวางกักกันคอยบัญชา

๓๒๒ เฝ้าคอยมานับนานแต่กาลไหน
จึงหัวใจแต่ละห้อยเฝ้าคอยหา
ห้วงคำนึงทั้งผอง, ในสองตา-
จึงเหมือนว่าประทับอยู่แต่ผู้เดียว

๓๒๓ หรือพิมพ์ลงสัญญาแต่คราที่-
ร่วมวาทีพร่ำพร้อง..รอข้องเกี่ยว
จะกี่ภพกี่ชาติ, สวาดิเกลียว-
จงรัดเหนี่ยวผูกกันนิรันดร

๓๒๔ อ่อนหวานศัพท์สำเนียงความเอียงอาย
เหมือนผุดพรายออกเผยจากเคยซ่อน
เติมแต่งรูปบัญชาให้อาวรณ์-
จำเริญตอนงดงามขึ้นล่ามดึง



.. ๑๓
๓๒๕ อุษากาลผ่านคล้อย..สูรย์ลอยเด่น
ค่อยแฝงเร้นความนัยส่งไปถึง
หวังอีกทรวงห่วงหา..จักตราตรึง
กับหวานซึ้งอาวรณ์..ที่ย้อนคืน






๓๒๖ รอเถิดรูปนิรมิตโศภิตผู้-
รอบแรงชู้โอบกระหวัด..อย่าขัดขืน
นัยหนึ่งเมื่อหยัดหยั่ง..จักยั่งยืน
อย่าคิดฝืนฝ่าหักแม้สักครา

๓๒๗ จะยิ่งกว่าภุมรินหลงกลิ่นหอม
ภายใต้อ้อมแขนหวง..ผู้ห่วงหา-
ย่อมมีเพียงหอมหวานแห่งมารยา
รอเจ้าถาโถมลง..อย่างปลงใจ

๓๒๘ หมอกขุ่นขาวลับล่มกับลมร่ำ
เมื่ออกคร่ำครวญนั้น..คงสั่นไหว-
อยู่กับความปรารถนา..แรงอาลัย
ด้วยรูปพักตร์ผู้พิไล..ตรึงนัยน์ตา

๓๒๙ อ้อยอิ่งกลางแดดสาย..อบอายอุ่น
กับงามหนึ่งละเมียดละมุนด้วยคุณค่า
ลมโรยแผ่วพลิ้วสายปัดป่ายมา
คล้ายรอท่ารอทีผู้มีใจ

๓๓๐ หวังยิ่งกว่าภุมรินหลงกลิ่นหอม
คือ-หลงอ้อมแขนชู้..เกินกู้ไหว
หวังอาวรณ์เร้ารุม..เช่นขุมไฟ-
โหมเข้าใส่อกนั้น..ค่ำยันเช้า

๓๓๑ อย่าได้มีหมองหมาง..เป็นอย่างอื่น
ทุกตาตื่นหัวใจแต่ใฝ่เฝ้า
ถวิลหาอ้อมแขนห้อมแหนเงา
คอยโอบร่างรูปเยาว์..ค่ำเช้าเย็น

๓๓๒ รอคอยมานับนานแต่กาลไหน
จึงหัวใจแต่ละห้อยเฝ้าคอยเห็น
ห้วงคำนึงทั้งผอง, ล้วนผ่องเพ็ญ-
ของรูปพักตร์งามเด่น .. ไม่เว้นวาย

.. จะผ่อนผันฉันใดก็ใช่ที่
อันนับปีแต่จะเริดจะร้างหาย
จะอาดูรแต่ผู้เดียวอยู่เปลี่ยวกาย
มิได้วายความถวิลที่จินตนา ..

.. แสนเทวศสุดทวีครั้งนี้เอ๋ย
ไม่เห็นเลยว่าจะน้อยวาสนา
แต่ปางไกลแสนอาลัยทุกเวลา
ครั้นคิดมาไม่เห็นหน้าแล้วอาวรณ์ ..

.. แสนรักจะร่วมเรือนเหมือนบุหรง
ที่พิศวงภานุมาศประภัสสร
เมื่อเลี้ยวลับศีขรินลงรอนรอน
สุดอาวรณ์ที่นกยูงจะหมายปอง ..

.. แสนวิตกเหมือนกระต่ายที่ใฝ่ฝัน
แสงพระจันทร์งามจรเวหาสห้อง
พระจันทร์อยู่สำราญวิมานทอง
ฤาจะปองใจหมายกระต่ายดง ..

.. สงสารอก กระต่ายป่าพฤกษาชาติ
จะวายชีวาตม์ดับจิตด้วยพิศวง
แสนคะนึงถึงเสน่ห์ที่จำนง
ก็เหมือนอกกระต่ายดงที่หลงเดือน ..


๓๓๓ น้ำค้างหยดพร่างพร้อย .. ดั่งพลอยเพชร
ว่อนวางเม็ดพราวพร่างอยู่กลางเถื่อน
ต่างฤๅความวับไหว .. เมื่อใครเบือน-
สายตาวับไหวสะเทื้อน .. จนเกลื่อนรอย

๓๓๔ หวัง-อย่าเช่น .. น้ำค้างใสเกาะใบพฤกษ์
ที่ยามดึกหยาดปวง .. ค่อยร่วงผล็อย
จนต้องแสงยามสาง .. ก็จางรอย
แววปริบปรอยชม้อยสู่ .. อย่า-รู้ร้าง

๓๓๕ น้ำใจหลั่งลงขวางตรู่สางนั้น
หมายล่ามขวัญ .. ฝากชู้อย่ารู้ห่าง-
เช่นแดดทอ .. ค่ำมืดย่อมจืดจาง
อีกน้ำค้างทุกรอยก็พลอยเลือน

๓๓๖ ใช่เพียงแค่คืนค่ำ .. ที่ฉ่ำชื่น
หากใจรื่นรมย์อยู่ก็ดูเหมือน-
ว่าแววตาชายชม้อยยามคล้อยเบือน-
คอย-แล่นเลื่อนเสน่หาล้อมอารมณ์

๓๓๗ หยาดน้ำค้างต้องแสง .. อาจแห้งหาย
หาก-รูปหมายปองอยู่เป็นคู่สม-
นั้น-เหมือนคอยรุมเร้า .. ให้เฝ้าชม
ฤๅ-ขับข่มล้างไหว .. กับใยดี ?

๓๓๘ น้ำใจ..ใช่น้ำค้างเมื่อสางตรู่
แสงวันทอทอดสู่..ไม่รู้หนี
เมื่อแปรเป็นเยื่อใยและไมตรี
ย่อมสุดที่สุดทาง..จักร้างลา

๓๓๙ ย่อมมิใช่ดวงพิลาสของหยาดแก้ว
เหือดแห้งแล้วจากแหล่งเมื่อแสงจ้า
ย่อมจะไม่รวนเรด้วยเวลา
ย่อม..ต้องตราตรึงอยู่..ให้รู้กัน

๓๔๐ ร้อนพันแสงจากสรวงแม้นล่วงสู่
หมายหยัดสู้รังสีไม่มีหวั่น
หวังหยาดให้รองรับ..ชั่วกัปกัลป์
ประโลมขวัญ..รื่นอยู่อย่ารู้แล้ง

๓๔๑ หวัง - สังคีตพรรณนา..แว่วคราค่ำ
คืนส่วนรำพันพากย์..ลอบฝาก-แฝง
เช่นน้ำค้างหยาดประดับ..ก่อนปรับแปลง-
เป็นน้ำใจเติมแอ่ง...กลางแหล่งทรวง



.. ๑๔
๓๔๒ ภาพเลือนรางเยียบเย็น .. ของเพ็ญค่ำ
มีร่างใครกลางน้ำ .. พายจ้ำจ้วง
พร้อมอาวรณ์อาลัยอยู่ในดวง-
ตาคู่ช่วงแววพรับ ให้รับรู้ ..





๓๔๓ ค่ำนั้นลมเย็นเยียบ .. คนเงียบเหงา
คำนึงเงาภาพฝัน .. นิ่งงันอยู่
แสนวุ่นวายอ่อนไหวหัวใจตรู
จึงย่างสู่ห้องพระ .. ชำระใจ

๓๔๔ กรอบประตูก้าวข้าม .. ทำตามสอน
ทรุดกราบที่ตั่งหมอน .. ด้วยอ่อนไหว
ขอคุณพระคุ้มครองต้านผองภัย
ป้องลูกไว้ให้พ้น .. ม่านมนตรา

๓๔๕ ผู้เป็นแม่ .. มองอยู่ไม่รู้เหตุ
เกิดอาเพศใดเล่าจึงเข้าหา-
ความรำงับ .. ให้ธรรมได้ย้ำยา
ไตร่ตรองอาการเห็น .. ด้วยเอ็นดู

๓๔๖ เติบโตเต็มวัยสาว .. อะคร้าวลักษณ์
รูปขนง-วงพักตร์ .. ประจักษ์อยู่
ดั่งบุปผาช้อยช่อ .. ขึ้นรอชู
ให้โลกรู้รสประทิ่นด้วยยินดี

๓๔๗ งามเกินใครจะหาญฝ่า .. เข้ามาเทียบ
หมายปองเปรียบวาสนา .. รูปราศี
บุคคลิกอิริยา .. ท่วงท่าที
ก็สุดที่สุดทาง .. จักพรางไว้

๓๔๘ ทุกนิทราหลับฝัน .. แสนบรรเจิด
จนก่อเกิดผูกพัน .. ความฝันใฝ่
ด้วยรูปภาพเลือนราง .. รอยร่างใคร ?
ที่สร้างความหวั่นไหวแก่ใจนี้

๓๔๙ เก็บเงียบแต่ลำพัง .. ไม่พลั้งเผย
จะเอื้อนเอ่ยบอกไปก็ใช่ที่
จึงตั้งใจซ่อนเร้นความเป็น-มี
สืบท่วงทีต่อเนื่อง .. ภาพเบื้องไกล

๓๕๐ รูปพระพุทธ .. งามสงบ-มองสบนิ่ง
ช่วยอกหญิงผ่อนคลายวุ่นวายได้
ทองเหลืองเหลื่อมแสงรอง .. ดั่งห้องใจ-
เรื่อรองความแจ่มใส .. ผ่านนัยน์ตา

๓๕๑ วางวงหน้าหมอบซ่อนซบท่อนแขน
ให้ทิพแหนห้อมเห่ .. สู่เวหา
เพื่อปรุงปรนเชื่อมสุบิน-ห้วงจินตนา
หมายเหนี่ยวรอบมรคาบรรจบวง

๓๕๒ ล่องลอยเอย ..ผ่านทิพสู่ลิบไกล
เผยห้องใจทุกหลืบ .. ร่วมสืบส่ง
เพื่อหล่อเลี้ยงภาพภวังค์ .. ให้ยังคง
ร่วมดำรงคำมั่น .. คำสัญญา

๓๕๓ ในฝันเห็นจะจะ .. รูปพระ-เจ้า
ที่คอยเฝ้ากราบไหว้, รูปใบหน้า-
งามสงบเหลื่อมแสง .. ย้อนแยงตา-
เผยมรรคาทอดเชื่อม .. ด้วยเหลื่อมเงา

๓๕๔ พิมพ์เดียวกับรูปทองในห้องพระ
เพื่อวาระ .. ปลิดปลดกำสรดเศร้า
ได้กราบกรานกล่อมขวัญให้บรรเทา-
ความร้อนเร่าเผาผลาญ .. ด้วยมารยา

๓๕๕ กรอบประตูเตียงตั่ง .. ที่ตั้งอยู่
ทั้งโต๊ะหมู่เรียงรายก็คล้ายว่า-
จะเป็นชุดเดียวกันสืบกันมา
ในสกุลวงศาบรรดามี

๓๕๖ ในนิทราหลับฝัน .. ผูกพันอยู่
กับภาพผู้ .. ใบหน้ากอปรราศี
ค่อยพ้นผ่านเลือนราง .. ในบางที
ให้หน้า-ที่คมคาย .. สู่สายตา

๓๕๗ ท่วงทีท่า .. เช่นแกล้วในแถวทัพ
แต่จะทับทอดรอยให้คอยหา
ขวัญเอยเมื่อแผ่วผ่านด้วยมารยา
ปรารถนาลอบเร้นก็เค้นทรวง

๓๕๘ แต่เติบกายเต็มสาว .. ก็คราวนี้
ดวงฤดีรูปเยาว์ .. เหมือนเฝ้าห่วง-
ว่ายามฝันรอยภาพจะทาบทวง
คอยเหนี่ยวหน่วงล่วงล้ำอยู่ค่ำเช้า

๓๕๙ หวาดหวั่นเวียนวิตก .. ก็-อกหญิง
ราวปลดทิ้งส่วนเสี้ยวความเปลี่ยวเปล่า-
จนทอนแรงแฝงเร้นไม่เห็นเงา
หากรุมเร้าคอยคะนึง .. ใครหนึ่งนั้น !

๓๖๐ ภาพเรือน้อยลอยลำ .. พายจ้ำจ้วง
ริ้วโคมสรวงน้ำส่าย .. ก็พรายสั่น
เมื่อรูปเนื้อผุดผ่อง .. มือ-ต้องกัน-
ก็ล่ามพันชาติภพ .. ยากลบเลือน

๓๖๑ สัญญาเก่าวาบผุดไม่สุดสิ้น
แทรกสู่จินตนาการ .. พาผ่านเคลื่อน
ดวงใจเอย .. สุดคิดสุดบิดเบือน
บ่วงกรรมเหมือนรอวาง .. ให้ย่างเท้า

๓๖๒ อีกค่ำคืนหลับลึกกลางดึกดื่น
ท่ามกลางเสียงโอดอื้น .. ในคืนเก่า
คืนนั้นจันทร์หลบเร้นไม่เห็นเงา
และเปลี่ยวเปล่าเคล้าคลอให้ทรมา

๓๖๓ โอ้ .. ธิดามนตรีผู้มีศักดิ์
เมื่อร้างรักเฝ้าแต่คอยละห้อยหา
คะนึงคิดแนบขวัญ .. ถ้อยบรรดา-
ที่พรรณนาโอบกล่อมกลาง .. อ้อมใจ

๓๖๔ บุหลันโรจน์อำไพที่ในฟ้า
คะนึงนึกถึงหน้าเคยปราศรัย
ค่ำคืนจะนิทราเคียงหน้าใคร
ที่จะใสผ่องล่วงถึงดวงมน

๓๖๕ แต่ละภาพทาบทอด .. สุดถอดถอน
แรงอาวรณ์ย้อนย้ำ .. ซ้ำซ้ำหน
คะนึงถึงเงาร่างของบางคน
ใจเอยทนทรมานนับนานมา

๓๖๖ เหนี่ยวร่างน้อยทอดทับอยู่กับอ้อม-
อกผู้พร้อมเพียบรัก .. อยู่หนักหนา
อธิษฐาน .. ร้อยถวิลสองวิญญาณ์
ร่วมดินฟ้า .. เกิด-ดับทุก .. กัปกัลป์



.. ๑๕
๓๖๗ ภาพใครนั้น .. พร่ำพลอดการออดอ้อน
ค่อยแทรกซ้อนโหมใส่ .. ห้วงใจฝัน
เรือนริมน้ำ .. วารี .. รังสีจันทร์
ก็วาบขึ้นครบครัน .. ในสัญญา





๓๖๘ แต่พบเจอเผลอจิตเฝ้าคิดถึง
เริ่มซาบซึ้งรอคอยละห้อยหา
จนอ่อนหวานวาบไหวที่นัยน์ตา
ก็เหมือนว่าเกินซ่อน...อาวรณ์นั้น

๓๖๙ ค่อยค่อยเพิ่มผูกพัน..ความหวั่นไหว
ห้วงดวงใจหวังอ้อมอกกล่อมขวัญ
ใจที่เคยหม่นแกม..ดั่งแรมจันทร์
ก็ค่อยผันรูปเช่น..เดือนเพ็ญดวง

๓๗๐ ค่อยเอ่อหวาน..ซ่านสู่ให้รู้สึก
จนล้ำลึกเกินขับให้ลับล่วง
จะรู้ไหมที่ทาบทับอยู่กับทรวง
เป็นหนึ่งผู้สร้างบ่วง..กลางห้วงใจ

๓๗๑ งดงามเอยภาพฝัน..ในวันนี้
กับปลาบปลื้ม-ดวงฤดี..แอบมีให้
ที่แอบแฝงเร้นอยู่..จิตผู้ใด
หมายมอบให้เก็บรับ..แนบกับทรวง

๓๗๒ ถวิลถึงแต่วิตกสะทกสะท้อน
จนอาวรณ์โลดแล่น, ความแหนหวง-
ก็ค่อยค่อยโหมประดังใจทั้งดวง
ค่อยค่อยหน่วงเหนี่ยวจิตให้ติดตรึง

๓๗๓ เหมือน..สุดที่จะเอื้อนจะเอ่ยออก
สุดเผยบอกห้วงใจ..ว่าใฝ่ถึง
หากอบอุ่นลึกล้ำช่วงคำนึง
คอยเหนี่ยวดึงอารมณ์ให้สมยอม

๓๗๔ สุดที่ใจจะหลบจะลี้หาย
สุดจะบ่ายเบี่ยงต้านความหวานหอม
สุดคิดจะสอดแทรกความแปลกปลอม
เมื่อใจนั้นพรั่งพร้อม..หล่อหลอมใจ

๓๗๕ แม้นตัวห่างใจเอย..ฤๅเคยคิด
เมื่อแรงฤทธิ์เสน่หาเริ่มบ่าไหล
มีถวิล..ปรารถนา..มีอาลัย-
นั้นวุ่นวายสั่นไหวอยู่ในตน

๓๗๖ รอคอยละห้อยเห็น..ฤๅเว้นว่าง
ครั้นเหินห่างเลือนลับก็สับสน
เยื่อใยทอดม้วนปลาย, ใจว่ายวน
คือใจคนวนว่าย..พันสายใย

๓๗๗ จะรู้ฤๅ..ว่าใจของใครคิด
รุมอยู่ด้วยแรงฤทธิ์รอบพิสมัย
จะรู้ฤๅ..รูปนิมิตกลางจิตใคร
ย่อมมีไว้มอบคะนึงเพียงหนึ่งเดียว

๓๗๘ จะรู้ฤๅ..ว่าจิตที่คิดอยู่
หวังรับรู้..เผื่อแผ่การแลเหลียว
จะรู้ฤๅ..ปรารมภ์..รอกลมเกลียว
เต็มส่วนเสี้ยวใจนี้..เกินลี้ลา

๓๗๙ จากพบเจอ..เหม่อลอยละห้อยเห็น
จนลอบเร้นเฝ้าคอยละห้อยหา
บัดนี้หวานวาบแล้วที่แววตา
เผยทีท่าออกรู้..คือ..ผู้ใด

๓๘๐ แล้วงานยกช่อฟ้า .. ก็มาถึง
พาแรงซึ้ง, อาวรณ์ .. ผู้อ่อนไหว-
เฝ้าวนเวียนชะเง้อหา .. รูปหน้าใคร-
ผู้อกใจกังวล .. ทุรนรอ !

๓๘๑ ผ่านเช้า .. เข้าสายจนสายล่วง
พร้อมหัวใจหนึ่งดวง .. เฝ้าบวงขอ-
ให้เพรงบุญเคยทำช่วยย้ำ .. ยอ-
ยกชาติต่อชาติงาม .. ทุกยามไป

๓๘๒ ผ่านเช้า .. เข้าสายจนสายล่วง
คล้ายคำบวงขีดบท, ความสดใส-
ก็เผยรูปผ่านมา .. ให้ - ตา .. ใจ-
พลอยวูบไหวเร้ารัวอยู่ทั่วตน !

๓๘๓ ยิ้มรับความสดใส .. แห่งวัยเยาว์-
รูปพริ้มเพราเปล่งปลั่งอีกครั้งหน
ชั่วยามนั้น .. ใจชายแต่ว่าย .. วน-
หวานก็ล้นเอ่อแล้ว .. ทั่วแววตา

๓๘๔ งามรูปหน้านงคราญ .. ครั้นผ่านช่วง
ราวตอบรับคำบวง .. ความห่วงหา-
ในอกทรวงร่ำรอ .. เฝ้าทรมา-
ก็เหมือนว่าล่มลับ .. ลำดับนั้น

๓๘๕ เอ็นดูความผ่องแผ้ว .. เมื่อแววตา-
ที่คอยลอบเหลือบมา .. คล้าย-พร่าสั่น-
ด้วยขัดเขิน .. เมิน-สบ .. เลี่ยงหลบ, พลัน-
ที่อกใจวูบหวั่น .. ไหวสั่นระทึก !

๓๘๖ นั่งต่อหน้าหลวงพ่อ .. โน้มคอ, พร้อม-
กรุ่นกลิ่นหอมล้อมอยู่ .. จนรู้สึก
แววในตาวับวาวดั่งดาวพฤกษ์-
ครองค่ำดึกยอช่วงบนสรวงฟ้า

๓๘๗ นั่งต่อหน้าหลวงพ่อ .. ร่ำรอหอม-
อวลผ่านล้อมลนขวัญ .. ให้ฟันฝ่า-
ด้วยหัวใจมุ่งมั่นคอยบัญชา-
เร่งรอบวงเสน่หา .. สู่อารมณ์

๓๘๘ ในแววตาหลวงพ่อเหมือนพอรู้-
ว่าหญิงชายทุกผู้ .. สุดรู้ข่ม
ตาสบรูป .. ปรารถนาคือปรารมภ์-
เป็นคู่สร้างคู่สม .. ด้วยสมยอม

๓๘๙ กราบพระ-บำบวง..ผ่านปวงภาษ
ลดามาศก็อวลกลิ่นให้ถิ่นหอม
ผ่านความหมายลึกล้ำ...ให้ด่ำดอม
จนหล่อหลอมปริศนาอยู่คาใจ

๓๙๐ กราบพระ-บำบวง..ผ่านท่วงที
ของจิตที่จบรูปจนวูบไหว
ผ่านเปลวเทียนควันธูป .. ผ่านรูปใคร
โปรดช่วยให้สืบถวิล...ด้วยยินดี

๓๙๑ ในสายตาหลวงพ่อ ก็พอเห็น-
แววลอบเร้น.ในตา ทำหน้าที่-
แทนอารมณ์ปรารถนา .. แทนท่าที-
ของผู้ที่สมยอมอยู่พร้อมกัน

๓๙๒ แล้วสายตาเข้าใจ .. เรื่องในโลก
ก็เห็นภาพสุขโศก .. ค่อยโยกสั่น-
สองใจที่พ่วงวาสน์มาพาดพัน
ให้รอบฉันทาภพ .. ตระหลบล้อม !

๓๙๓ แล้วตาผู้รู้-ทราบ .. สภาพธรรม
ก็เห็นกรรมหมุนรับ .. การขับกล่อม-
ดวงวิญญาณ, เจตจินต์ .. ให้ยินยอม-
รวมใจน้อมแนบลง .. หน้าองค์ธรรม

๓๙๔ มืออบอุ่นกุมเหนี่ยว .. มือเรียวเกาะ
เดินลัดเลาะบนทาง .. ร่วมย่างย่ำ
สาธุการเพรงบุญช่วยหนุนนำ
ช่วยยัน-ค้ำ .. เสน่หาแรงอาวรณ์

๓๙๕ สิ้นช่วงการรอคอยละห้อยหา
ข่มยิ้มอยู่ในหน้า .. แววตาซ่อน-
ร่องรอยความปรารถนา .. แสนอาทร
เมื่อนึกย้อนรูปคราญ .. วาบผ่านตา

๓๙๖ เมื่อครั้งสบโฉมตรู .. เอ็นดูนัก
เมื่อเผยพักตร์รูปเรียว .. เมื่อเหลียวหา
เมื่อนิลเนตรเมียงชม้าย .. เจ้าชายมา-
ก็สิ้นท่า .. สั่นทั่ว-ทั้งหัวใจ

๓๙๗ งามเอยดวงนิลเนตร .. กับเลศซ่อน-
ที่จะวาบความวอน .. ด้วยอ่อนไหว
เมื่อผ่านแววโชนเชื้อ .. จะเหลือใด-
ป้องอกใจ .. ล่วงพ้นจากพันธนา ?



.. ๑๖
๓๙๘ กระโปรงดำเสื้อขาว .. ค่อยก้าวย่าง
แก้มคิ้วคางเนตรคม .. งามสมหน้า
มีจิตใจมุ่งมั่นคอยบัญชา
เร่งศึกษาเรียนรู้ .. ไม่ดูดาย






๓๙๙ ใจเลื่อนลอยล่องไปสู่ใครหนึ่ง-
ที่คำนึงซึ้งอยู่ไม่รู้หาย
แต่จากกันห่างเห็น .. เหมือนเร้นกาย
หรือสิ้นสายเยื่อใย .. ร้างไมตรี ?

๔๐๐ บ่อยครั้งที่ใจหญิง .. ทั้งนิ่งเงียบ
หวังปรุงเปรียบความหมายออกคลายคลี่-
เพื่อหล่อเลี้ยงเจตจินต์ .. ให้ยินดี-
ต่อครั้งที่โน้มเหนี่ยวก้อยเกี่ยวกัน

๔๐๑ นั่งเหม่อลอยปล่อยฝัน .. สู่วันเก่า
ด้วยเงียบเหงาหัวใจ .. ด้วยไหวหวั่น
ด้วยเหว่ว้า .. เกินคำจักรำพัน
ใจเอยหัวใจขวัญ .. เจ้าสั่นคลอน

๔๐๒ หนังสือวางตรงหน้า .. ใบหน้าก้ม
หากสุดข่มใจจดกับบทสอน
บางความหมายรุมเร้า .. แสนเว้าวอน-
พาความอ่อนหวานพร้อม .. เข้าล้อมใจ

๔๐๓ จนอีกปลายม้านั่ง .. คล้ายดั่งเคลื่อน
คล้ายใครนั่งแล้วเขยื้อน .. ขยับใกล้
จนวงหน้ารูปเรียว .. เบือนเหลียวไป
แล้ว-ดวงใจดวงนั้น .. ก็สั่นสะท้าน !

๔๐๔ นิ่งขึงตะลึงงัน..เมื่อพลันพบ
คล้อยบรรจบรูปฝัน..เมื่อวันผ่าน
ที่..ระทึกเต้นรับอยู่นับนาน
คือใจคราญหวานล้ำ..เข้ากล้ำกราย

๔๐๕ เถิด-แววเนตร..ฝืนอาย..รำบายบอก
ให้ระลอก..อ่อนโยน..นั้นโชนฉาย-
แรงอาวรณ์..ซาบซึ้ง..ต่อหนึ่งชาย
สืบความหมาย..สัมพันธ์..นิรันดร

๔๐๖ เมื่อมือรวบ..มือนุ่ม..เข้ากุมกอด
จิตฤๅคลายพร่ำพลอด..กับออดอ้อน
เมื่อเนตรคราญผ่านเงา..แทนเว้าวอน
จิตก็อ่อนโยนเหลือ..ด้วยเยื่อใย

๔๐๗ ยิ้มให้ด้วยหัวใจ..ที่ใฝ่ถึง
ด้วยซาบซึ้งต่อกัน..ด้วยหวั่นไหว
ด้วยถวิล..ปรารถนา..ด้วยอาลัย
ด้วยเยื่อใย..สายสวาดิ..พันพาดทรวง

๔๐๘ มือตระกองรูปหน้า...สบตาจ้อง
ใจสี่ห้อง..ผ่องแผ้วไม่แล้วล่วง
พระเอย..ฤๅนัยคำ..ที่บำบวง
จะเริ่มช่วงกำลังเข้าสั่งการ





๔๐๙ เคลื่อนคล้อยเกี่ยวก้อยกุม..ลับมุมตึก
ร่มเงาพฤกษ์บดบัง..คล้ายดั่งม่าน-
ก็รวบร่างจบจูบ..จน-รูปคราญ-
ใจหวิวหวั่นสั่นสะท้าน..ระทวยองค์

๔๑๐ อ่อนไหวด้วยอ่อนหวาน..ใครผ่านสู่
เมื่อรับรู้เร้ารุม..ก็ลุ่มหลง
ท่ามระลอกชื่นชู้..ฤๅรู้ปลง
เหลือแต่ร่วมจำนง..ร่วมวงกรรม

๔๑๑ มือเกาะแขน-เนตรรื่น..ใจตื่นรับ
ร่วมลำดับอภิรมย์โบยบ่มร่ำ
ขณะสูรย์พร่างแพร้ว..ลมแผ่ว-พรำ
กระซิบคำ-คำหนึ่งก็ตรึงทรวง

๔๑๒ จับจูงมือก้าวย่างในทางเที่ยว
ความเปล่าเปลี่ยวใจแก้วก็แล้วล่วง
เหลือหวานหอมหลอมหลั่ง..ใจทั้งดวง
ทั้งแหนหวงห่วงหาทั้งอาวรณ์

๔๑๓ รอเถิดรอบ..รมยารูปราศี
แม้นกุมเก็บใจนี้..หลบลี้-ซ่อน
จะตามสืบเสาะหาด้วยอาทร
ตราบม้วยมรณ์วง-วัฏฏ์เป็นภัสม์-ธุลี



จบ




 

Create Date : 20 มีนาคม 2555
21 comments
Last Update : 30 กันยายน 2565 7:15:23 น.
Counter : 3997 Pageviews.

 

กลอนบรรยายเรื่องได้สนุก เพลงเพราะภาพสวยน่ารัก เลือกเก่งจริงๆ

 

โดย: ฟา IP: 115.67.128.63 24 มีนาคม 2555 11:31:41 น.  

 

เรื่องสนุกมากค่ะ แอบอยากเป็นนางเอก อิอิ

 

โดย: medkhanun 26 มีนาคม 2555 14:14:19 น.  

 

สวัสดีครับ


ฟา..
ชอบก็มาติดตามต่อ ... คนเขียนยังไม่ยอมจบ



เม็ดขนุน..
อยากเป็นนางเอก รึเราน่ะ..55
แล้วเอาใครเป็นพระเอกดีล่ะ

 

โดย: สดายุ... 27 มีนาคม 2555 7:55:17 น.  

 

แวะมาเยี่ยมยามเย็น...สวัสดีครับ

 

โดย: **mp5** 27 มีนาคม 2555 17:56:03 น.  

 



O กี่ภพจึงหลบพ้น
กี่ชีพป่นวัฏฏ์วนไป
กี่วงรอบหลงใหล
จึงหยุดไหวหยุดรอบวง

จะเป็นนางเอกบ้าง...นางในวรรณคดีนะ..

 

โดย: บุษบามินตรา IP: 79.221.149.246 27 มีนาคม 2555 17:58:10 น.  

 

ยิ้มสวัสดีค่ะคุณสดายุ..


ฟ้ามาส่งยิ้มพร้อมกำลังใจให้ค่ะ..เห็นกลอนที่รจนาได้ไพเราะเป็นเรื่อง..เป็นราวได้มากมายถึงเพียงนี้

ฟ้าก็อดชื่นชมในฝีมืออันเก่งฉกาจของคุณเสียมิได้..ฟ้าต้องยอมรับว่า..คุณเยี่ยมมากจริงๆค่ะ

มิตรภาพเป็นสิ่งที่มีค่า..แม้มีเงินตราก็มิอาจซื้อหากันได้..ใช่มั้ยค่ะ


"อย่าแค่มองเพียงเปลือกแล้วเลือกคบ
สิ่งที่หลบอยู่ภายในนั้นไม่เห็น
อาจเป็นสิ่งเลิศล้ำค่ากว่าที่เป็น
มองให้เห็นถึงความจริงยิ่งเข้าใจ"

ขอให้มีความสุขและสนุกกับการทำงานกันอย่างไม่เหนื่อยล้านะคะ

 

โดย: พิรุณร่ำ 28 มีนาคม 2555 9:47:48 น.  

 

สวัสดีครับ

MP5...
ยินดีที่แวะมา




มินตรา...
อยากเป็นนางเอก...ก็ต้องหาพระเอกให้เจอก่อน..55




คุณฟ้า...
กลอนที่เห็นเขียนไปเพื่อตอบสนองความต้องการของตัวเอง
เป็นสำคัญ...ขอรับ

กลอนที่เอามาลง..ความหมายดีมากครับ
"..มิตรภาพเป็นสิ่งที่มีค่า..แม้มีเงินตราก็มิอาจซื้อหากันได้..ใช่มั้ยค่ะ.."
เห็นด้วยครับ...เป็นมานานและจะเป็นเช่นนั้นตลอดไป

ทำงานอย่างมีความสุขนะครับ...

 

โดย: สดายุ... 28 มีนาคม 2555 11:41:28 น.  

 



"มินตรา...
อยากเป็นนางเอก...ก็ต้องหาพระเอกให้เจอก่อน..55"

เจอแล้วค่ะ ตอน" กาแฟหอมกรุ่นกลิ่น .. ครั้นสิ้นรส-"

O กาแฟหอมกรุ่นกลิ่น .. ครั้นสิ้นรส-
ก็เมื่อบทบาทใหม่เริ่มไหวสั่น
เป็นบทบาทอ่อนหวาน .. แปลก-ปานกัน-
กับหอมปันแปลกรสให้ทดลอง

แต่สนใจ"กาแฟหอมกรุ่นกลิ่น" มากกว่า...555

 

โดย: บุษบามินตรา IP: 79.221.128.236 28 มีนาคม 2555 16:41:40 น.  

 



กลิ่นกาแฟ .. เป็นตัวตัดภาพเรื่องราวให้กลับมาสุ่โลกยุคปัจจุบัน
เป็นตัวที่ทำให้ผู้อ่านเข้าใจได้...โดยไม่ต้องพูดอะไรยืดยาว..
คงเช่นเดียวกับ เสียงรถยนต์ รถไฟฟ้า เครื่องบิน...ที่สามารถแยกบริบทของยุคสมัยกับ เสียงการวาดพายคัดทะแยงสู้แรงน้ำ
ของยุคสมัก่อน ได้เป็นอย่างดี



 

โดย: สดายุ... 29 มีนาคม 2555 5:17:13 น.  

 


สดายุคะ

O รอเถิดรอบ..รมยารูปราศี
แม้นกุมเก็บใจนี้..หลบลี้-ซ่อน
จะตามสืบเสาะหาด้วยอาทร
ตราบม้วยมรณ์วง-วัฏฏ์เป็นภัสม์-ธุลี


นี่แปลว่า "รมยารูปราศี"ต้อง..
รอจน"ตราบม้วยมรณ์วง-วัฏฏ์เป็นภัสม์-ธุลี" ซิคะนี่
เพราะใคร"จะตามสืบเสาะหาด้วยอาทร"...
ไม่มีโอกาสจะพบกันตราบจน..ม้วยมรณัง...
1360เฮ้อ..

 

โดย: บุษบามินตรา IP: 79.221.156.74 29 มีนาคม 2555 11:21:38 น.  

 


ลบค่ะ 1360น่ะ่ พิมพ์พลาด ขออภัย

 

โดย: บุษบามินตรา IP: 79.221.156.74 29 มีนาคม 2555 11:26:39 น.  

 


มินตรา

O รอเถิดรอบ..รมยารูปราศี
แม้นกุมเก็บใจนี้..หลบลี้-ซ่อน
จะตามสืบเสาะหาด้วยอาทร
ตราบม้วยมรณ์วง-วัฏฏ์เป็นภัสม์-ธุลี

คำว่า "แม้น" หมายถึง เรื่องราวยังไม่เกิดขึ้น
เป็นการสมมุติไปก่อนล่วงหน้า ว่า...

รอไปเถิด"สาวน้อย" (หมายถึงอายุไม่เกิน 30 ... ) รูปงาม
แม้จะหลบลี้หนีหน้าอย่างไร อย่าหวังว่าจะหนีไปได้พ้น
นอกเสียจากว่า ร่างกายคนคนนี้แตกดับไปเสียก่อน
หรือ นอกเสียจากว่า จิตใจคนคนนี้หักวงวัฏฏะสงสาร (ผ่านสู่วิมุติภาวะ) ได้โดยสิ้นเชิงแล้วเท่านั้น

นี่คือคำแปลที่ครบใจความที่ต้องการสื่อ...

 

โดย: สดายุ... 29 มีนาคม 2555 13:29:24 น.  

 

สวัสดีค่ะ
ชอบประโยคนี้ค่ะ...."นอกเสียจากว่าจิตใจคนคนนี้หักวงวัฏฏะสงสาร (ผ่านสู่วิมุติภาวะ) ได้โดยสิ้นเชิง"

......ถ้า..ใครก็ตาม ..เข้าสู่เส้นทางนี้ได้...ขออนุโมทนา...สาธุ

.....ตอนนี้ตัวเองก็กำลังหาทางอย่างที่ว่าอยู่เหมือนกันค่ะ......
ช่วยอวยพรให้ด้วยนะคะ

ขอบคุณล่วงหน้า

 

โดย: จิดา IP: 10.32.1.75, 182.53.176.214 29 มีนาคม 2555 21:52:47 น.  

 



ดายุ...

O แม้นเพรงกรรมเชี่ยวกราก .. จำพรากภพ
จักเกลื่อนกลบแรงถวิล .. ฤๅสิ้นได้
สัญญาตรึงลงทรวง .. ถ้วนปวงนัย-
ร่างมอดไหม้กี่ครั้ง .. ก็ยังคง

"นอกเสียจากว่า จิตใจคนคนนี้หักวงวัฏฏะสงสาร (ผ่านสู่วิมุติภาวะ) ได้โดยสิ้นเชิงแล้วเท่านั้น"

อย่างนี้รึ จะมา"นอกเสียจากว่า.." ได้อีก...ฮึ..ฮึ..

 

โดย: บุษบามินตรา IP: 79.221.155.35 29 มีนาคม 2555 22:50:00 น.  

 



สวัสดีค่ะ...

ยุ่งๆกับเจ้าม๊อคคาและสตาร์บัค ไม่ได้เข้ามาอ่านเลยเจ้าค่ะ...

ตอนนี้เค้าพากันไปสวรรค์แล้ว...

เล็กขอเอาไปวางในเฟสฯนะเจ้าคะ?

มีความสุขมากๆนะคะ ขอให้งานที่มีปัญหาผ่านไปด้วยดีนะคะ พี่เก่งมากอยู่แล้วเล็กเชื่อแบบนั้น...เป็นกำลังใจให้เสมอเจ้าค่ะ :'))

ขอบคุณค่ะ

 

โดย: น้องเล็ก IP: 118.172.110.143 30 มีนาคม 2555 9:00:17 น.  

 

จิดา...

เรื่องนี้ ต้องนับเป็น "วาสนา" ของคนที่จะเกิดมีจิตใจลงกันได้ หรือ "ฝักใฝ่" แนวทางแบบไหน เป็นต้นว่า..

.. สวนโมกข์ - เน้นการใคร่ครวญในธรรม การใช้เหตุผลด้วยปัญญา ไม่เชื่ออะไรง่ายๆ
.. วัดป่าสายพระอาจารย์มั่น เน้นการปฏิบัติภาวนา
.. สันติอโศก - เน้นศีลพรต เป็นอยู่อย่างสมถะ
.. ธรรมกาย - เน้นการนั่งหลับตา สะสมบุญ เพื่อไปถอนกินเอาชาติหน้า สร้างวัตถุธรรมใหญ่โต จัดตั้งเครือข่ายธนาคารบุญ
.. วัดท่าซุง - เน้นการฝึกจิตแนว มโนมยิทธิ ฤทธิ์ เดช ปาฏิหารย์
.. วัดบ้านทั่วไป เน้นพิธีกรรม สวดศพ เผาศพ ยกช่อฟ้า จัดงานบุญให้ชุมชนรอบด้านเข้าร่วมตามวาระ

ทั้งสิ้นทั้งปวง ย่อมเริ่มต้นที่ มรรคมีองค์แปดข้อแรก คือ "สัมมาทิฏฐิ" นั่นเอง ..

และเราจะรู้ได้ก็ด้วยการกลับไปหา .."พระพุทธวจนะ" แต่เพียงอย่างเดียว เท่านั้น

และในเส้นทางสู่วิมุติภาวะนี้ - ภาวะ"ศรัทธา"อาจจำเป็นต้องวางกองไว้ที่ต้นทางก่อน

ศรัทธา นี้มีทั้ง .. สัมมาศรัทธา และ มิจฉาศรัทธา
เมื่อมองด้วยหลักเหตุผลแล้ว สัมมาศรัทธา..นั้นมีไม่กี่ข้อ
เช่น ...

.. ความศรัทธาว่า พระพุทธองค์ตรัสรู้ชอบด้วยพระองค์เอง ควรแก่การศึกษาเรียนรู้เป็นอย่างยิ่ง ไม่มีอะไรยิ่งไปกว่า

.. ความศรัทธาว่า ธรรมที่พระพุทธองค์ตรัสรู้นั้นชอบยิ่งแล้ว ไม่มีอะไรยิ่งไปกว่า

.. ความศรัทธาที่ว่า ธรรมที่พระองค์ตรัสสอนจะไม่ขัดแย้งกันเองโดยเด็ดขาด

.. ความศรัทธาที่ว่า ธรรมที่พระองค์ตรัสสอนทั้งปวง วิญญูชนสามารถเรียนรู้ตาม สัมผัสได้ด้วยตนเอง และสามารถได้รับผลอันควรแก่ปัญญาของตนๆ ทุกคนไป .. ไม่มีเรื่องเหนือโลก ลึกลับซับซ้อนให้เป็นความคลุมเครือเลยแม้แต่น้อย


และหากมี"บางจิตใจ" ไม่อาจลงกันได้กับ สัมมาศรัทธาที่กล่าวมา และอาจเลยเถิดไปจนท่วมอยู่ด้วย มิจฉาศรัทธา ก็ต้องนับเป็นความสูญเปล่าของจิตวิญญาณ อันเป็นเรื่องของปัจเจกชน ที่ใครก็ช่วยไม่ได้ ก็คงต้อง "หมุนวงรอบ"กันต่อไปนับนานจนกว่าจะมี"วาสนา" ลงกันได้กับแนวทาง สัมมาทิฏฐิ

ที่จริงก็คือ การมี"จริต" ตอบรับ หรือ ปฏิเสธสิ่งต่างๆรอบตนนั่นเอง ที่เรียกว่า วาสนา

การมองเห็น "ชายห่มจีวรสักยันต์เคี้ยวหมาก" ของlสายตาคนหลากหลาย ย่อมมีความหมายที่หลากหลายกันไปตาม "จริต" แห่งหมู่ชนนั้นด้วยจริงไหม ?

บางคน ศรัทธา ว่าเป็นผู้วิเศษ ผ่านอาการที่ชายผู้นั้นปรุงแต่ง - บัวดอกที่ 4

บางคน เฉยๆ ยกมือไหว้ แล้วไม่คิดอะไรมาก - บัวดอกที่ 3

บางคน รู้สึกว่า ผู้ลดละตัวตน ไยยังติด"หมาก"อันเป็นสภาพธรรมหยาบๆอยู่เลยเล่า ก็ไม่รู้สึกศรัทธา แต่อาจไหว้ผ้าเหลืองอันเป็นตัวแทนแห่งความดีงาม - บัวดอกที่ 2

บางคน เห็นแล้วยิ้มเลย ว่าชายห่มจีวรนั้น ไม่มีภาวะของผู้สละโลกให้เห็นอยู่เลย รอยสักยันต์ที่คงมีมาก่อนบวชบ่งบอกถึง "มิจฉาทิฏฐิ"ก่อนบวช .... การเคี้ยวหมาก ซึ่งเป็นสิ่งเสพติดอย่างอ่อน คือการที่ยังหลงติดอยู่ในโลก ... จีวรที่ส่วมใส่เล่า หาได้มีความหมายเกี่ยวเนื่องด้วย "ความดีแห่งตัวตน"ไม่ ...เป็นเพียงสมมุติภาวะของ"สี" บนเนื้อผ้าเท่านั้นเอง จึงไม่ยกมือไหว้ จึงเลี่ยงไปเสีย - บัวดอกที่ 1

ผู้ที่จะบรรลุธรรมได้ ก็เช่นจิตใจของบัวดอกที่ 1 และ 2 (ซึ่ง 2 นี้ยังต้องลดอุปาทานอีกมาก)

ผมหวังว่าผู้มีจริตแห่งตนแนบแน่นอยู่กับเหตุผล ย่อมกอปรด้วยภาวะแห่งบัวดอกที่ 1 และ 2 นั้น..ย่อมมีความเป็นไปได้ต่อภาวะที่ต้องการไปให้ถึง

หากจะอวยพรก็ขออวยพรให้มีจิตที่สอดรับกับความมีสัมมาทิฏฐิ...คือ "มีสติทุกการสัมผัสกับปัจจัยแวดล้อม" - นี่คือ ปฏิจจสมุปบาทอย่างย่อ ในประโยคเดียว

 

โดย: สดายุ... 30 มีนาคม 2555 9:12:39 น.  

 

มินตรา


O แม้นเพรงกรรมเชี่ยวกราก .. จำพรากภพ
จักเกลื่อนกลบแรงถวิล .. ฤๅสิ้นได้
สัญญาตรึงลงทรวง .. ถ้วนปวงนัย-
ร่างมอดไหม้กี่ครั้ง .. ก็ยังคง


บทนี้เป็นการเดินตามแนวคิดของชนส่วนใหญ่ในสังคม
เพื่อให้เข้าใจง่ายเท่านั้นเอง .. เป็นการเขียนที่สอดรับกับการมีภาวะ อัตตาถาวร (อาตมัน) อย่างพราหมณ์ ซึ่งคนส่วนใหญ่เชื่อถือตามนี้...(ยกเว้นคนเขียน)

ความเพริดแพร้วพิสดารตามแนวคิดแบบพราหมณ์ (ฮินดู) สามารถนำมาเป็นแก่นเรื่องแนวโรแมนติกได้ดีมาทุกยุคทุกสมัย..คนถึงชอบอุบายธรรมแบบ ภควัตคีตา มากเป็นพิเศษจนจับยึดเป็นจริงเป็นจัง...









น้องเล็ก...
สัตว์เลี้ยงก็เหมือนคน เลี้ยงแล้วผูกพัน
พอตายไปก็มีผลต่อจิตใจคนเลี้ยง
ดีที่สุดคือ อย่าไปเลี้ยงอะไร ให้เกิดภาระ และความผูกพัน
เพราะมันจะเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวเราอยู่กับโลกนี้ไปนับนาน


 

โดย: สดายุ... 30 มีนาคม 2555 9:33:06 น.  

 

จิดา..

ผมเริ่มทะยอยนำ "พุทธประวัติจากพระโอษฐ์" จากการแปลของท่านพุทธทาส มาลงไว้ในบล็อค "พุทธธรรม" ที่จะลงครั้งละตอนไปเรื่อยๆจนกว่าจะครบ...


ลองค่อยๆอ่านดู

 

โดย: สดายุ... 30 มีนาคม 2555 10:59:16 น.  

 

สวัสดีค่ะ
........ที่เข้ามาคุยด้วยทั้งๆที่ยุ่งมากๆด้วยเหตุผล.....เพื่อมาชวนท่านคุยเรื่องหลักธรรมคำสอนนี่ล่ะค่ะ
....ตอนนี้กำลังสนใจอ่านเรื่องของวิชชา 3 และสังโยชน์
ดูถึงความสำคัญของหลักธรรมที่เกี่ยวข้องกับเรื่องดังกล่าว
เพราะที่สุดมันคงจะไปจบอย่างที่ท่านกล่าวกระมัง

....ชวนคุยเรื่องนี้แล้ว...คงพอจะทำให้ท่านผ่อนคลายและมีความสุขได้บ้างนะคะ

.....ขอให้รักษาสุขภาพ กาย แลใจ ด้วยนะคะ....เพื่อเป็นที่พึ่งของคนที่ท่านรักไปนานนานค่ะ


 

โดย: จิดา IP: 10.32.1.75, 113.53.0.58 30 มีนาคม 2555 14:22:30 น.  

 

สวัสดีค่ะพี่

ทึ่ง เพราะค่่ะ ไม่รู้จะเขียนไร ขออ่านก่อนนะคะ ยาวดีจัง อ่านเพลินเลยค่ะ

 

โดย: ภาพวาด IP: 171.4.243.100 1 เมษายน 2555 16:27:16 น.  

 

https://onairseries-subthai.com/If-the-Weather-Is-Good-Ill-Find-You-2020-%E0%B8%8B%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B9%84%E0%B8%97%E0%B8%A2

 

โดย: สดย IP: 49.230.22.31 14 กรกฎาคม 2563 16:44:46 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


สดายุ...
Location :
France

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 151 คน [?]









O ใช่แน่หรือ ? .. O






O หรือธรรมชาติผ่านเวียน .. คอยเปลี่ยนโลก ?
ทั้งสุขโศกเร่งรุดยากหยุดไหว
หรือกำหนดยุดยื้อจากมือใด
จัดการให้แปลกแยกได้แทรกตัว
O หรือพบกันครั้งแรก, ความแตกต่าง
ถูกบ่มสร้างเหมาะควรอย่างถ้วนทั่ว
แต่ตา-รูป .. สบกัน, ที่สั่นรัว-
แรกที่หัวใจคน .. เริ่มอลเวง
O ละห้อยเห็นในยามห่างนามรูป
แต่ละวูบเนรมิตคอยพิศเพ่ง
งามทุกงามจารจรดเยี่ยงบทเพลง
พร้องบรรเลงด้วยมือช่วยยื้อยุด
O ย่อมเป็นมือสร้างเหตุแทรกเจตนา
ผ่านรูปหน้าอำนวยเข้าฉวยฉุด
ร้างไร้ความกริ่งเกรง, หากเร่งรุด
แทรกลงสุดหัวใจเพื่อไขว่คว้า
O แน่นอนว่ายากเว้น .. อยากเห็นรูป
และชั่ววูบวาบเดียวที่เหลียวหา
หวังทุกหอมรินไหลผ่านไปมา
ทั้งหางตาที่ชม้อยเหลือบคอยปราย
O โลกย่อมงามพร่างแพร้วเมื่อแผ้วผ่าน
ด้วยอ่อนหวานอ่อนโยนที่โชนฉาย
แม้นมิอาจโยกคลอนให้ผ่อนคลาย
ก็อย่าหมายโยกคลอนให้ผ่อนลง
O จะกี่ครั้งกี่ครา, ความอาวรณ์
เวียนรอบตอนจับจูงจนสูงส่ง
ด้วยรูปนามเทียบถวัลย์อย่างบรรจง
แตะแต้มลงผ่านจริตจนติดตรึง
O ความรู้สึกในอกย่อมยกตัว
หวานถ้วนทั่ว, รสประทิ่น, ถวิลถึง
เหมือนรุมล้อมหยอดย้ำลงคำนึง
ให้เสพซึ้งรสงามของ .. ความรัก
O วัฏฏจักรแห่งธรรม .. ย่อมย่ำผ่าน
เข้าขัด-คาน จับจูงความสูงศักดิ์
ของอาวรณ์หลบเร้น เพื่อเว้นวรรค
ที่เข้าทักทายทั่วทั้งหัวใจ
O หรือแท้จริงตัวตนถูกค้นพบ
การบรรจบ .. รูป-จริต แล้วพิสมัย
ปรารมภ์ของฝั่งฝ่าย .. นั้น-ฝ่ายใด
เพิ่งยอมให้เรื่องเฉลย .. ยอมเผยความ ?



Friends' blogs
[Add สดายุ...'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.