|
| 1 | 2 | 3 | 4 | 5 | 6 |
7 | 8 | 9 | 10 | 11 | 12 | 13 |
14 | 15 | 16 | 17 | 18 | 19 | 20 |
21 | 22 | 23 | 24 | 25 | 26 | 27 |
28 | 29 | 30 | 31 | |
|
|
|
|
|
|
|
O สัสสตทิฏฐิ .. ในสังคมไทย .. O
. .
......................................................................................
เข้าใจว่า แนวคิดนี้เป็นแนวคิดแบบ "พราหมณ์เคลือบพุทธ" ..
พราหมณ์ .. ฺภาษาอังกฤษเขียน Braham .. ศาสนา หรือ ลัทธิที่ไม่เอาพราหมณ์ เช่น พุทธ ไชนะ ชฎิล เรียกว่า อ-พราหมณ์
คำว่า.."อพราหมณ์ - Abraham" .. คือพวกไม่เอาพราหมณ์ ปฏิเสธพราหมณ์ .. เกิดจาก ชาวเยอรมันรัสเซีย Helena Petrovna Blavatsky (ชื่อเยอรมันเดิมคือ Helena Petrovna von Hahn-Rottenstern :1831-1891) เป็นคนค้นรากคำนี้มาได้ เพราะเธอไปศึกษาเรื่องอารยันที่อินเดียหลายปี..เธอศึกษาเรื่องชาติพันธุ์ของมนุษย์ (ข้อมูลจากคุณ "บุษบามินตรา")
คำนี้ "อพราหมณ์ - Abraham" อ่านแบบฝรั่งได้ว่า "อับราฮัม" หลังจาก "อับราฮัม" แล้วมีเรื่องราวต่อเนื่องอีกยาวเหยียด
(ต้องเขียนแยกออกไปอีกเรื่อง ไปทางเรื่องราวของยิว .. และอาจเป็นเรื่องราวที่เกี่ยวเนื่องกับช่วงเวลาชีวิตที่ "หายไปทางตะวันออก 13 ปี" ของ Jesus )
มีที่มาจาก การสังคายนาครั้งที่ 3 สมัยพระเจ้าอโศกมหาราช .. ที่เมื่อได้กระทำสังคายนาหลักพุทธธรรมจนเสร็จสิ้นแล้ว ก็ให้จดจารึกลงเป็นคัมภีร์ไตรปิฎก 9 ชุด เหมือนกัน .. พร้อมทั้งแต่งตั้งพระสมณะทูต 9 สายออกเผยแผ่ทั่วชมพูทวีป รวมทั้งแผ่นดินใกล้เคียงอย่างสุวรรณภูมิ
การสังคายนาครั้งที่ 3 นี้เกิดขึ้นเมื่อราว พศ.300 (เลขกลมๆ เพื่อง่ายแก่การจดจำ - ช่วงพระชนม์ชีพพระเจ้าอโศกคือ พศ.240-312)
ดินแดนสุวรรณภูมิในยุค พศ.300 มีชนชาติใดที่กระจัดกระจายอยู่อาศัยไปทั่ว ? พระโสณะ เป็นผู้เดินทางมาทางสุวรรณภูมิ
สมัยนั้นยังไม่มีภาษาไทย ยังไม่มีดินแดนไทย .. ท่านควรขึ้นฝั่งที่ใดเพื่อประดิษฐานพุทธศาสนา ?
อ่าวเมาะตะมะของพม่า หรือ อ่าวไทย ? ผู้เขียนมีความเห็นว่าเป็นอ่าวเมาะตะมะของพม่า ที่มีมอญครองแผ่นดินอยู่ในยุคนั้น
ภาษาในไตรปิฎก จารึกในสมัยพระเจ้าอโศก จ้าวผู้ครองแคว้นมคธ แล้วแผ่อำนาจไปจนจดดินแดนเปอร์เชีย กว้างใหญ่ไพศาลมากที่สุด - ดูแผนที่ประกอบ
เมารยะ คือ อาณาจักรของพระเจ้าอโศก สีม่วงในแผนที่
จากภาษามคธ (บาลี) เป็นภาษามอญก่อนแล้วเป็นไทยในที่สุด ไตรปิฎก โดยตัวหนังสือเองนั้นยากต่อความเข้าใจของผู้อ่าน - จึงต้องมีผู้รู้แต่งตำราอธิบายความหมายขึ้นมา เราเรียก "อรรถกถา"
คัมภีร์วิสุทธิมรรค คืออรรถกถา ที่เขียนโดย พระพุทธโฆษาจารย์ ราว พศ.1500
ภิกษุรูปนี้เป็นชาวอินเดีย เรียนจบไตรเภทของพราหมณ์มาก่อนที่จะมาบวชในพุทธศาสนา แล้วเดินทางไปศรีลังกา เขียนตำหรับตำราไว้มากมาย .. นับถือกันว่าท่านเป็นปราชญ์ชาวพุทธที่ยิ่งใหญ่ท่านหนึ่ง ที่แปลความไตรปิฎกไว้มากมาย รวมทั้งวิสุทธิมรรค
ชาติไทยเริ่มนับ 1 เอาเมื่อพ่อขุนศรีอินทราทิตย์ไม่ยอมขึ้นต่อขอมอีกต่อไป (เอาตามประวัติศาสตร์ชาตินิยมเดิมไปก่อน .. ขณะที่สมัยนี้เราไม่นับสุโขทัยเป็นราชธานีแรกอีกแล้ว )
ราชวงศ์สุโขทัยปกครองดินแดนภาคเหนือตอนล่าง อยู่ช่วงหนึ่ง จนถึงสมัยพระร่วง หรือพระเจ้าลิไท หรือ พระมหาธรรมราชาที่ 1
และคนนี้ที่เขียน ไตรภูมิกถา เมื่อประมาณ พศ.1888 เป็นไตรภูมิกถาที่อธิบายโลกไว้แบบ "โอกาสโลก" เหมือนวิสุทธิมรรคทุกประการ - จึงเชื่อได้ว่าท่านอ่านวิสุทธิมรรคมาก่อน แล้วเอามาเขียนไตรภูมิทีหลัง
"โอกาสโลก" คือ โลกภาวะที่ระบุไว้ว่า แผ่นดินหนาเท่าไร แผ่นน้ำหนาเท่าไร อากาศหนาเท่าไร สวรรค์มีกี่ชั้น นรกมีกี่ขุม มีต้นไม้ประจำสวรรค์กี่ต้น ฯลฯ
พวกนี้เป็นโลกของพราหมณ์ ที่ไม่มีในพุทธะวจนะ แม้แต่น้อย พระพุทธเจ้าไม่เคยสอน
โลกของพุทธะคือ กายยาววาหนาศอก ที่มีสัญญาและใจ เป็นโลกภายใน ที่ต้องคอยระวัง การสัมผัสกับโลกภายนอกแล้วปรุงแต่งอารมณ์ขึ้นมา
การคอยระวังนี้คือ สมาธิ การสัมผัสระหว่างโลกภายนอกกับโลกภายในนี้ ผ่านทาง วิญญาณทั้ง 6 คือวิญญาณ .. ทางตา .. ทางหู .. ทางจมูก .. ทางลิ้น .. ทางผิวกาย .. ทางจิตใจ
วิญญาณแบบนี้ เกิดดับ ทุกครั้งที่มีการปรุงแต่งเพราะหยุดไม่ทัน วิญญาณแบบนี้ หากหยุดทัน เพราะจิตมีกำลังรวดเร็ว เพราะฝึกฝนมานาน ก็สามารถควบคุมการปรุงแต่งเมื่อมีการสัมผัสกับคู่ของมัน (ตา กับ รูป)
หากควบคุมการสัมผัสระหว่างโลกภายใน กับโลกภายนอกได้ เราเรียกว่า อยู่เหนือโลก หรือเรียกว่า .. โลกอุดร .. เมื่อสมาสคำเข้าไปก็จะเป็น .. โลกุตระ
วิญญาณ 6 แบบนี้ เกิด ตั้งอยู่ ดับ เกิด ตั้งอยู่ ดับ เป็นวงจรตามแต่กำลังการปรุงแต่งของ "ปัญญาที่รู้ไม่ทันโลก" เราเรียกวัฏฏะสงสาร
ดวงมนัส หรือ วิญญาณแบบพราหมณ์ เป็นอย่างไร ? ตอบว่าไม่มีใครรู้ และไม่จำเป็นต้องรู้ อะไรที่มันรู้ด้วยตนเองไม่ได้ ต้องเชื่อคนอื่นเรื่อยไปนั้น .. พุทธะไม่สอนเด็ดขาด
และนั่นคือปัญหา อจินไตย คำนี้หมายถึงอะไร ?
อจินไตย ๔ - มีพุทธพจน์แสดงไว้ดังนี้ใน อจินตสูตร ความว่า
... "ประการนี้ อันบุคคลไม่ควรคิด เมื่อบุคคลคิดพึงเป็นผู้มีส่วนแห่งความเป็นบ้า เดือดร้อน อจินไตย ๔ ประการเป็นไฉน ดูกรภิกษุทั้งหลาย
.. พุทธวิสัยของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ๑ .. ฌานวิสัยของผู้ได้ฌาน ๑ .. วิบากแห่งกรรม ๑ .. ความคิดเรื่องโลก ๑
ดูกรภิกษุทั้งหลายอจินไตย ๔ ประการนี้แล ไม่ควรคิด เมื่อบุคคลคิด พึงเป็นผู้มีส่วนแห่งความเป็นบ้า เดือดร้อน ฯ " ... . . ชาติที่แล้วเป็นอย่างไร - ไม่มีใครรู้ได้ ชาติหน้าจะเป็นอย่างไร - ไม่มีใครรู้ได้
ต่อให้มีคำว่า คุณวิเศษในตน สำหรับผู้ที่ได้วิชชา 3 หรือ อภิญญา 6 มา .. เราที่ไม่มีคุณวิเศษนั้นๆ ก็รู้ไม่ได้ว่าใครคนไหนมี หรือ ไม่มี
เหมือนกับ หมอมีกล้องจุลทัศน์ที่มองเห็นเชื้อโรคเล็กมากที่ตาธรรมดามองไม่เห็น กล้องจุลทัศน์เปรียบเหมือน คุณวิเศษ
แม้หมอจะอธิบายอย่างไร เราก็เข้าใจไม่ได้ว่า เชื้อโรค หน้าตามันเป็นอย่างไร นอกเสียจากว่า เรามีกล้องจุลทัศน์สำหรับมองด้วยตัวเอง
กล้องจุลทัศน์ อาจหยิบยืมกันได้ แต่ คุณวิเศษ มันหยิบยืมกันไม่ได้
ดังนั้นหากจะพิสูจน์สิ่งที่อายตนะสามัญปกติรับรู้ไม่ได้ .. ก็ต้องฝึกจิตให้มีคุณวิเศษ แล้วค่อยลงความเห็นโดยไม่ต้องเชื่อใคร ตามหลัก "กาลามสูตร"
กาลามสูตร คือ พระสูตรที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงแก่ชาวกาลามะ หมู่บ้านเกสปุตตนิคม แคว้นโกศล (เรียกอีกอย่างว่า เกสปุตตสูตร ก็มี) กาลามสูตรเป็นหลักแห่งความเชื่อที่พระพุทธองค์ทรงวางไว้ให้แก่พุทธศาสนิกชน ไม่ให้เชื่อสิ่งใด ๆ อย่างงมงายโดยไม่ใช้ปัญญาพิจารณาให้เห็นจริงถึงคุณโทษหรือดีไม่ดีก่อนเชื่อ มีอยู่ 10 ประการ ได้แก่
1. มา อนุสฺสวเนน - อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการฟังตามๆ กันมา 2. มา ปรมฺปราย - อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการถือสืบๆ กันมา 3. มา อิติกิราย - อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการเล่าลือ 4. มา ปิฏกสมฺปทาเนน - อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการอ้างตำราหรือคัมภีร์ 5. มา ตกฺกเหตุ - อย่าปลงใจเชื่อ เพราะเดาว่าเป็นเหตุผลกัน
6. มา นยเหตุ - อย่าปลงใจเชื่อ เพราะการอนุมานคาดคะเน 7. มา อาการปริวิตกฺเกน - อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการเดาจากอาการที่เห็น 8. มา ทิฎฐินิชฺฌานกฺขนฺติยา - อย่าปลงใจเชื่อ เพราะเข้ากันได้กับทฤษฎีที่พินิจไว้แล้ว 9. มา ภพฺพรูปตา - อย่าปลงใจเชื่อ เพราะผู้พูดมีลักษณะน่าเชื่อถือ 10. มา สมโณ โน ครูติ - อย่าปลงใจเชื่อ เพราะนับถือว่า ท่านสมณะนี้ เป็นครูของเรา
เมื่อใดสอบสวนจนรู้ได้ด้วยตนเองว่า ธรรมเหล่านั้นเป็นอกุศลหรือมีโทษเมื่อนั้นพึงละเสีย และเมื่อใดสอบสวนจนรู้ได้ด้วยตนเองว่า ธรรมเหล่านั้นเป็นกุศลหรือไม่มีโทษ เมื่อนั้นพึงถือปฏิบัติ . . เรื่องที่ไม่ใช่ปัจจุบัน เป็นประเด็นที่ไม่มีประโยชน์ต่อใครทั้งสิ้น
จึงน่าแปลกมากที่พุทธะสาวกช่างเอามาเน้นพูด เน้นสอนกันเสียจริง !
=================================
Create Date : 03 สิงหาคม 2559 |
|
9 comments |
Last Update : 1 พฤษภาคม 2561 19:19:06 น. |
Counter : 1997 Pageviews. |
|
|
|
|
| |
โดย: บุษบามินตรา IP: 188.165.240.145 4 สิงหาคม 2559 17:46:41 น. |
|
|
|
| |
โดย: บุษบามินตรา IP: 188.165.240.145 4 สิงหาคม 2559 18:03:19 น. |
|
|
|
| |
โดย: สดายุ... 4 สิงหาคม 2559 18:46:54 น. |
|
|
|
| |
โดย: บุษบามินตรา IP: 188.165.201.164 4 สิงหาคม 2559 19:21:30 น. |
|
|
|
| |
โดย: บุษบามินตรา IP: 188.165.240.145 5 สิงหาคม 2559 4:11:08 น. |
|
|
|
| |
โดย: สดายุ... 5 สิงหาคม 2559 20:46:08 น. |
|
|
|
| |
โดย: บุษบามินตรา IP: 188.165.201.164 6 สิงหาคม 2559 3:26:54 น. |
|
|
|
| |
โดย: บุษบามินตรา IP: 188.165.240.145 6 สิงหาคม 2559 3:52:45 น. |
|
|
|
|
|
|
|
Location :
France
[ดู Profile ทั้งหมด]
|
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember ผู้ติดตามบล็อก : 151 คน [?]
|
|
|
|
|
|
|
|
ในครั้งนั้น คำสอนของพระพุทธเจ้าไม่ได้จดไว้เป็นตัวหนังสือ พระพุทธเจ้า...ทรงสอนด้วยภาษาท้องถิ่น ที่สื่อเข้าใจง่าย...
ครั้นพระองค์เสด็จดับขันธปริพพาน อริยสาวกต้องการให้คำสอนมีหลักการที่แน่นอน ได้ประชุมเรียบเรียงคำสอนจากภาษาพูดง่าย ๆ เป็นภาษาหนังสือ เพื่อสะดวกต่อการจำ แล้วแบ่งหน้าที่กันท่อง
ทว่าพระสาวกทั้งหมดก็ใช่ว่าจะรู้สิ่งที่ตรัสไว้ เพราะไม่ได้ติดตามพระองค์อยู่ประจำ จึงต้องคัดเลือกผู้ที่เห็นว่ามีความใกล้ชิดติดตามพระองค์มากกว่าคนอื่น
จึงได้พระอานนท์ เพราะพระอานนท์เคยเป็นพระอุปัฏฐากของพระพุทธเจ้า และมีชีวิตมาจนถึงภายหลังพุทธปรินิพพาน พระอานนท์กล่าวในที่ประชุมว่า ข้าพเจ้าสดับมาอย่างนี้ (เอวมฺเม สุตํ) ที่ประชุมได้วิพากษ์วิจารณ์หารายละเอียดในเรื่องนั้น ๆ ตามที่พระอานนท์กล่าวถึง วิธีนี้เรียกว่า สังคายนา คือ เรียบเรียงคำสอน...
การทำสังคายนาพระธรรมวินัยครั้งที่ 1 จึงได้จัดขึ้นที่ถ้ำสัตบรรณคูหา เมืองราชคฤห์ แคว้นมคธ ตามคำปรารภของพระมหากัสสปเถระ โดยมีพระเจ้าอชาตศัตรูเป็นองค์อุปถัมภ์ ใช้เวลาในการสังคายนารวบรวมพระธรรมวินัยอยู่ 7 เดือนจึงแล้วเสร็จ
การทำสังคายนาครั้งที่2 เกิดขึ้นเมื่อ พ.ศ. 100 ที่วาลิการาม เมืองเวสาลี แคว้นวัชชี ประเทศอินเดีย โดยมีพระยสกากัณฑกบุตร เป็นผู้ชักชวน พระเถระผู้ใหญ่ที่เข้าร่วมทำสังคายนาครั้งนี้ ...
ในการนี้พระเรวตะทำหน้าที่เป็นประธานผู้คอยซักถาม และพระสัพพกามีเป็นผู้นำในการวิสัชนาข้อวินัย การทำสังคายนาครั้งนี้มีพระสงฆ์มาประชุมร่วมกัน 700 รูป ดำเนินการอยู่เป็นเวลา 8 เดือน จึงเสร็จสิ้น
การเรียบเรียงครั้งที่ ๑ และครั้งที่ ๒ ยังไม่ได้เขียนเป็นหนังสือ
(ผศ.ดร.สมิทธิพล เนตรนิมิตร มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย)