O รูปนามนั้น .. O
Secret Garden - Poéme
-1- O หมอกเช้า .. หม่นมัวคลุมทั่วถิ่น ลดามาลย์ลมรินอวยกลิ่นหอม เหลืองแสดแดงช้อยช่อดั่งรอดอม- รสหวานล้อมภุมรินให้บินวน O ภาพที่สูง .. หลากสีมาลีล้อม โอนกลิ่นหอมห้อมเห่ห้วงเวหน ภาพในตาพักตร์ละม่อมก็ล้อมลน พาอกใจดิ้นรนอยู่อลเวง O หนาวลมร่ำโลมขวัญ .. ลูบพรรณพุ่ม ผ่านความหมายเร้ารุมเข้ากุมเหง หวานใดหนอซ่านสู่ .. ไม่รู้เกรง- การรุดเร่งอาลัยอกใจนี้ O อีกครั้งและอีกคราว .. อีกหนาวเหน็บ เอื้อมกอปรเก็บหอมหวานสุมาลย์สี อีกครั้งแห่งน้ำใจและไมตรี จะค่อยรี่ไหลระลอกเผยออกตา O กลางหมอกขาว .. หนาวลมที่พรมพร่ำ มีถ้อยคำผู้คอยละห้อยหา ฝากลมหนาวกล่อมใจผู้ไกลตา ปรารถนาถวิลเห็น .. ไม่เว้นวาย O เต็มตื้นทั้งหมื่นแสนความแหนหวง เช่นพันแสงลอยดวงขึ้นช่วงฉาย ถนอมเถิดอาวรณ์อย่าผ่อนคลาย เก็บไว้รอรำร่ายเมื่อปลายวัน O ให้โลกรู้ผูกพันแสนบรรเจิด ที่ค่อยค่อยก่อเกิด .. ว่าเฉิดฉัน เพื่อเร่งรอบหมุนวน .. ให้คนพัน- ธนาการใจนั้นจนมั่นคง O และเพื่อว่าคืนวันที่ผันเปลี่ยน หรือวกเวียนเยี่ยงไร .. ก็ไม่หลง จะเพ็ญแรมแต้มจันทร์กี่พันวง ยังจำนงจำเนียรไม่เปลี่ยนแปลง O สูรย์พร่างพร้อยลอยฟ้า .. จนตาพรับ จันทร์ร้างดวงล่วงลับ .. จนดับแสง นัยแห่งรอบอาวรณ์ยังร้อนแรง คอยแต้มแต่งพร่างแพร้วลงแววตา O ถวิลแรงปรารถนาในตาเจ้า จะยังคงรูปเงาที่เฝ้าหา ไว้เติมแต่งมุ่งมั่นลงสัญญา พันธนาผูกไว้อย่าได้เลือน O รูปเอย ความโดดเดี่ยว .. ในเที่ยวทาง- ด้วยก้าวย่างคู่เคียง .. อาจเบี่ยงเคลื่อน- จนย่ำเหยียบพรหมลิขิตให้บิดเบือน พร้อมแล่นเลื่อนเสน่หา .. ร่วมปรารมภ์ O รูปเอย รูปนาม .. ผู้งามแม้น- รูปทิพแถน, รายล้อม .. เข้าห้อมห่ม- เสริมจิตานุภาพ .. ให้ปลาบคม เพื่อตัดข่มพรหมลิขิต .. ลงลิดรอน O หมอกเช้า .. เข้าสายก็หายสิ้น เทียบ-หอมมาลย์รวยริน .. แอบกลิ่นซ่อน ย่อมเพียงรูปนามเจ้า .. ที่เว้าวอน- เผยออดอ้อนหวานล้ำ .. แนบ-คำนึง !
-2- O หอมรสรื่นรวยริน .. ของกลิ่นโมก รำบายโบกแผ่วเบา .. รุมเร้าถึง รูปพิมพ์พักตร์เพรียกสิทธิ์ .. ลงติดตรึง- ความหวานซึ้ง, ห่วงละห้อย .. เกินปล่อยวาง O ลิบลิบกระพริบช่วงแห่งปวงดาว ก็ดูราววิบไหว .. แสนไกลห่าง- จากโลกหล้า, เปลื้องปรุงแสงรุ่งราง- คงอยู่ค้างฟ้าทะมื่นในคืนแรม O ลิบลิบดารดาษดวง .. ในสรวงฟ้า เช่นนัยน์ตาวามแสงเมื่อแต่งแต้ม- ด้วยรูปรอยรอบอุทธัจ .. รำบัด-แกม คาบนั้นแซมสอดหมาย .. รำบายความ O เพียงแสงช่วงปวงดาว .. เห็นวาววับ งามอันเห็นระยิบระยับ .. หรือดับ-ห้าม ? โลกทั้งดวงดูเหมือน .. จะเลื่อนตาม และอบอุ่นวาบหวาม .. คล้ายลามลน O จึงน้อมรับระยับช่วง .. แห่งดวงดาว อันวาบวาวปลาบปลั่งอีกครั้งหน ความอ่อนหวานอ่อนไหวแห่งใจคน ราวโซ่ตรวนพันวน .. เกินด้นดึง O ระทึกและสั่นไหว .. อกใครหนอ- หลังเติมต่ออาลัยส่งไปถึง ร่วมครอบครองคุณค่าอันตราตรึง เสพหวานซึ้งซ้ำอยู่ไม่รู้เลือน O นึก-ระทึกวาบหวิวจนริ้วแก้ม- ราวเกลี่ยแกมเลือดฝาดเข้าปาดเปื้อน- เพื่ออยู่รอ-สายตา .. ผ่านมาเยือน รอ-ด้วยใจสั่นสะเทื้อนสะทกสะท้าน O เลือดในอกผู้รอ .. เมื่อหล่อเลี้ยง อบอุ่นย่อมเหลือเพียง .. ลำเลียงผ่าน ขัดเขินสักเพียงใด .. หนอใจคราญ ฤๅซึ้งซ่านเพียงไหน .. หนอใจคน O ชั่วเคลิ้มคิดคล้อยตาม .. กับความว่า- อาจ-วุ่นว้านัยศัพท์ .. ที่สับสน- บางความหมายหยิบยก .. ย่อมวก-วน เพื่อแฝงนัยให้คนวก-วนคิด O ชั่วเคลิ้มคิดคล้อยตาม .. ถ้อยความสื่อ ตรองเถิดหรือ .. ความปวงจากดวงจิต- ล้วนเร่งรอบอาลัย .. มาใกล้ชิด เพื่อถือสิทธิ์ปักปลูกความผูกพัน O แม้นหนทางขวางกั้น .. ด้วยอรรณพ อาจบรรจบด้วยใคร .. แต่ในฝัน ยังยอมอยู่เปล่าเปลี่ยว .. ใต้เสี้ยวจันทร์ ด้วยใจหนึ่งใจนั้น .. ดื้อรั้น-คอย O ดึกสงัดพราวพร่าง .. น้ำค้างหยด ลมตอบบท .. แขเปลื้องแสงเงื่องหงอย แรงคำนึงโชนช่วง .. ใจล่วง-ลอย ถึงรูปรอยพักตร์พิไล .. ผู้ไกลตา O ในฝัน .. ฝันว่าฝน .. ร่วงหล่นสาย เนื้อ, อุ่นอาย, อ้อมแขน .. ที่แม้นว่า- หากโลกนี้แหลกยับไปกับตา ยอม-ชีวาดับล่วง .. กับทรวงนั้น !
Create Date : 17 ตุลาคม 2556 |
|
3 comments |
Last Update : 30 เมษายน 2566 10:57:20 น. |
Counter : 3414 Pageviews. |
|
|
|
^^
เด๋วค่อยมาแปลไทยเป็นไทย อิอิ
ฝนตกทั้งวันทั้งคืนเลย หมดฝนคราวนี้คงหนาวแล้ว
ดูแลสุขภาพด้วยนะคะ