O ฝนห่มลมเห่ .. O
Giovanni Marradi - Garden Of Dreams
O อัสนีครวญคร่ำ .. แสงรำร่าย เมื่อแววตาเหลือบชายฝ่าสายฝน- บอกถึงความอ่อนไหวของใจคน- กลางเสียงครื้นคำรณ .. ที่บนฟ้า O หยาดน้ำหล่นร่วง .. กลางห้วงหน- ก่อนลิ่วหล่นพรากแถนทั้งแสนห่า- เยี่ยงอาวรณ์หล่นแล้วในแววตา เสน่หาแสนอบอุ่น .. ก็หมุนรอ ! O เจ้าดอกกุสุมาลย์ .. เมื่อลมวีวาดผ่าน, ทั้งก้านช่อ- ก็ไหวรูปรุมเร้าพะเน้าพะนอ- รับรื่นหล่อเลี้ยงนวล .. ให้ชวนชม O งามกลีบอ่อนเนียนเกลี้ยงจักเบี่ยงรูป- รับโลมลูบลมล้อมเข้าห้อมห่ม เนียนรูปปรางรอบล้อม, ที่จ่อมจม- คืออารมณ์ถวิลชู้ .. ไม่รู้วาง O โอภาสเคยรองเรื่อที่เหนือฟ้า บัดนี้ลาลับถิ่นแต่สิ้นสาง เหลือหม่นมืดโรยตัวอยู่ทั่วทาง พร้อมแววอ้างว้างกลั้วอยู่ทั่วตา O เมื่อเม็ดฝนหล่นลิ่ว .. ลมพลิ้วผ่าน- ความอ่อนหวานทุกรอยก็คอยท่า มีหัวใจ .. มีขวัญ .. คอยบัญชา ปรารถนาซ่อนเร้นก็เค้นใจ O คลื่นฝนห่มลมเห่ .. หวนเพพัด น้ำสาดซัด .. สิ้นบทความสดใส ธารดาวเคยวาบกระพริบ .. ที่ลิบไกล- กลับสิ้นไร้รูปรอยให้คอยรอ O ร่วงหล่นเม็ดลงพื้นแล้วตื่นแตก- เป็นรูปน้ำเหยียดแยกขึ้นแตกช่อ เมื่อนันย์ตาลอบชาย .. เหมือนฉายทอ- แววออดอ้อนเคลียคลอ .. ให้ทรมาน O โอ .. ระทึกสั่นไหว .. อกใครหนอ- ฤๅ - เพียงพอเร้นซ่อนความอ่อนหวาน ? เสียงกระซิบแทรกทรวง .. ในช่วงกาล- ฤๅ - อาจต้านทานอยู่ .. แม้ครู่เดียว ? O อัสนีครวญคร่ำ .. แก้มก่ำนั้น- ก็แทรกขวัญห่วงละห้อย .. เฝ้าคอยเหลียว บนผืนฟ้าร้างจันทร์เคยหันเรียว เมื่อใจเหนี่ยวโน้มงามลงล่ามคา O อัสนีผาดโผน .. แสงโชนช่วง เมื่อความหวงแหนโฉมนั้นโถมถา- เวียนระลอกในทรวง .. ทุกช่วงวา- ระที่อาวรณ์ถวิล .. ยังดิ้นรน O หล่นเม็ดลงร่วงแตก .. กระแทกพื้น พร้อมลมรื่นโรยช่วงผ่านห้วงหน หัวใจอีกดวงหนึ่ง .. คล้ายอึงอล- ภาวะปนปลาบช่วง .. อีกดวงตา O หล่นหยาดร่วงย้อย .. ดั่ง-พลอยเพชร- ร่วงหล่นเม็ดยอแสงสำแดงค่า เมื่ออาวรณ์อาลัย .. วาบไหวมา- ก็เหมือนว่า .. วาบล่วงถึงดวงใจ O ความอบอุ่น .. อ่อนหวาน ก็ปานว่า- จะเผยออกแก่ตาจนพร่า .. ไหว มีอาทรโอบเอื้อด้วยเยื่อใย- เริ่มหลั่งไหลหล่อหลอมให้ยอมตน O ลมเอย .. ฝากเสียงกระซิบสั่ง- ถึงอีกฝั่งโค้งฟ้า .. กลางห่าฝน ช่วยหอบความอาวรณ์สุมซ้อนบน- ความอึงอลสั่นรัว .. อีกหัวใจ O ฝนเอย .. ฝากเสียงกระซิบผ่าน- แทรกโสตคราญโอบขวัญ .. พาสั่นไหว- ด้วยอาวรณ์ปรารถนา .. ด้วยอาลัย พร้อมอบอุ่นโลมไล้ .. จนใฝ่คอย O หยาดน้ำยังหล่นร่วง .. กลางห้วงหน- ฟ้าเบื้องบนเย็นเยียบ, ความเงียบหงอย- กลับร่วงร้างบริบท .. จนหมดรอย แววชม้อยชม้ายรับ .. ก็วับวาว O ระยิบเอยแววตา .. ใต้ฟ้าต่ำ เปล่งประกายร่ายรำในค่ำหนาว ข่มโอภาสโชนช่วงทุกดวงดาว- ยอแสงพราวพร่างสู่ .. ถึงผู้เดียว ! O ระยิบเอยแววตา .. ใต้ฟ้าหม่น เหมือนคอยปนปลาบรอยให้คอยเหลียว สายเยื่อใยม้วนพันเอาฟั่นเกลียว- โอบรัดเหนี่ยวใจกาย .. สุดคลายแล้ว . . O ค่ำ, ดึก, สาง, เช้า .. จนผ่าวร้อน ลมเหนื่อยอ่อนผ่านริ้ว .. ยังพลิ้วแผ่ว เมื่อสองดาวคมปลาบนั้นวาบแวว- วามผ่องแผ้วตรึงสิ้น .. จิตวิญญาณ !
Create Date : 04 พฤษภาคม 2557 |
|
3 comments |
Last Update : 12 เมษายน 2566 11:06:47 น. |
Counter : 3566 Pageviews. |
|
|
|
"O คลื่นฝนห่มลมเห่ .. ที่เขลางค์
จนฟ้ากว้างสิ้นบทความสดใส
ธารดาวเคยวาบกระพริบ .. ที่ลิบไกล-
กลับสิ้นไร้รูปรอยให้คอยรอ"
เพิ่งทราบว่า ที่เขลางค์ ฝนลงชุก..และสดายุ อยู่ที่นั่น.. เลยไปนั่งอ่านประวัติของเขลางค์..
จนไปเจอหนังสือ "ลักษณะไทย" ซึ่งธนาคารกรุงเทพ แจกในพิธีเปิด สำนักงานใหญ่..
จึงสังเกตุเห็นว่า..ไทยมีการถ่ายทอดความรู้อยู่สองระดับ..
ระดับหนึ่งสำหรับคนในชั้นปกครองประเทศ
ก็จะใช้หลักฐานระหว่างประเทศ อ้างอิง มี เอกสารท้องถิ่น และพงศาวดารจาก กรมศิลปากร ประกอบ
กับอีกระดับหนึ่งคือ ชนชั้นถูกปกครอง..
ว่ากันเองด้วย"นักประวัติศาสตร์ "บางคนที่เคยไปเป็นลูกมือฝรั่งในการเขียนประวัติศาสตร์ แล้วนำมาใช้ คือ ตั้งสมมุติฐานว่า ทุกอย่างไม่จริง..เมื่อหาข้อมูลมาเพิ่ม (เท่าที่ตนหามาได้) ก็จะเขียนประวัติศาสตร์ ได้..
แต่ที่แย่ที่สุดคือ เมื่อคร้านที่จะหาข้อมูล ก็จะหยุดทิ้งไว้ที่ตรงนั้น แล้ว บอกว่า คนนั้นนั้น ไม่มีพ่อ มีแม่..55
ตัวอย่างเช่นงานค้นคว้าของ อาจารย์นิธิ ที่ทิ้งไว้ว่า เจ้าจอมมารดาเรียมในร๒ นั้นเป็นลูกเต้าเหล่าใครไม่ปรากฎ..
เป็นเพียงชาวบ้านธรรมดาที่บังเอิญมาเป็นเมียจ้าว..
แล้วจะมีคนไทยอีกกี่คนที่จะไปหาข้อมูลจากแหล่งอื่นมาเพิ่มเติมความรู้ให้ตนเอง..ต่อ..
"ความไม่รับผิดชอบ"ของนักประวัติศาสตร์นี่..น่าห่วงใยนัก..
มินตราเป็นคนไม่เก่ง จึงจำเป็นมากที่จะได้รับข้อมูลที่สมบูรณ์เพื่อประกอบความรู้ เพราะยังไม่เคยตั้งตนเป็นผู้รู้ได้สักที !