Group Blog
 
<<
พฤษภาคม 2557
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
25262728293031
 
4 พฤษภาคม 2557
 
All Blogs
 

O ฝนห่มลมเห่ .. O








Giovanni Marradi - Garden Of Dreams



O อัสนีครวญคร่ำ .. แสงรำร่าย
เมื่อแววตาเหลือบชายฝ่าสายฝน-
บอกถึงความอ่อนไหวของใจคน-
กลางเสียงครื้นคำรณ .. ที่บนฟ้า
O หยาดน้ำหล่นร่วง .. กลางห้วงหน-
ก่อนลิ่วหล่นพรากแถนทั้งแสนห่า-
เยี่ยงอาวรณ์หล่นแล้วในแววตา
เสน่หาแสนอบอุ่น .. ก็หมุนรอ !
O เจ้าดอกกุสุมาลย์ ..
เมื่อลมวีวาดผ่าน, ทั้งก้านช่อ-
ก็ไหวรูปรุมเร้าพะเน้าพะนอ-
รับรื่นหล่อเลี้ยงนวล .. ให้ชวนชม
O งามกลีบอ่อนเนียนเกลี้ยงจักเบี่ยงรูป-
รับโลมลูบลมล้อมเข้าห้อมห่ม
เนียนรูปปรางรอบล้อม, ที่จ่อมจม-
คืออารมณ์ถวิลชู้ .. ไม่รู้วาง
O โอภาสเคยรองเรื่อที่เหนือฟ้า
บัดนี้ลาลับถิ่นแต่สิ้นสาง
เหลือหม่นมืดโรยตัวอยู่ทั่วทาง
พร้อมแววอ้างว้างกลั้วอยู่ทั่วตา
O เมื่อเม็ดฝนหล่นลิ่ว .. ลมพลิ้วผ่าน-
ความอ่อนหวานทุกรอยก็คอยท่า
มีหัวใจ .. มีขวัญ .. คอยบัญชา
ปรารถนาซ่อนเร้นก็เค้นใจ
O คลื่นฝนห่มลมเห่ .. หวนเพพัด
น้ำสาดซัด .. สิ้นบทความสดใส
ธารดาวเคยวาบกระพริบ .. ที่ลิบไกล-
กลับสิ้นไร้รูปรอยให้คอยรอ
O ร่วงหล่นเม็ดลงพื้นแล้วตื่นแตก-
เป็นรูปน้ำเหยียดแยกขึ้นแตกช่อ
เมื่อนันย์ตาลอบชาย .. เหมือนฉายทอ-
แววออดอ้อนเคลียคลอ .. ให้ทรมาน
O โอ .. ระทึกสั่นไหว .. อกใครหนอ-
ฤๅ - เพียงพอเร้นซ่อนความอ่อนหวาน ?
เสียงกระซิบแทรกทรวง .. ในช่วงกาล-
ฤๅ - อาจต้านทานอยู่ .. แม้ครู่เดียว ?
O อัสนีครวญคร่ำ .. แก้มก่ำนั้น-
ก็แทรกขวัญห่วงละห้อย .. เฝ้าคอยเหลียว
บนผืนฟ้าร้างจันทร์เคยหันเรียว
เมื่อใจเหนี่ยวโน้มงามลงล่ามคา
O อัสนีผาดโผน .. แสงโชนช่วง
เมื่อความหวงแหนโฉมนั้นโถมถา-
เวียนระลอกในทรวง .. ทุกช่วงวา-
ระที่อาวรณ์ถวิล .. ยังดิ้นรน
O หล่นเม็ดลงร่วงแตก .. กระแทกพื้น
พร้อมลมรื่นโรยช่วงผ่านห้วงหน
หัวใจอีกดวงหนึ่ง .. คล้ายอึงอล-
ภาวะปนปลาบช่วง .. อีกดวงตา
O หล่นหยาดร่วงย้อย .. ดั่ง-พลอยเพชร-
ร่วงหล่นเม็ดยอแสงสำแดงค่า
เมื่ออาวรณ์อาลัย .. วาบไหวมา-
ก็เหมือนว่า .. วาบล่วงถึงดวงใจ
O ความอบอุ่น .. อ่อนหวาน ก็ปานว่า-
จะเผยออกแก่ตาจนพร่า .. ไหว
มีอาทรโอบเอื้อด้วยเยื่อใย-
เริ่มหลั่งไหลหล่อหลอมให้ยอมตน
O ลมเอย .. ฝากเสียงกระซิบสั่ง-
ถึงอีกฝั่งโค้งฟ้า .. กลางห่าฝน
ช่วยหอบความอาวรณ์สุมซ้อนบน-
ความอึงอลสั่นรัว .. อีกหัวใจ
O ฝนเอย .. ฝากเสียงกระซิบผ่าน-
แทรกโสตคราญโอบขวัญ .. พาสั่นไหว-
ด้วยอาวรณ์ปรารถนา .. ด้วยอาลัย
พร้อมอบอุ่นโลมไล้ .. จนใฝ่คอย
O หยาดน้ำยังหล่นร่วง .. กลางห้วงหน-
ฟ้าเบื้องบนเย็นเยียบ, ความเงียบหงอย-
กลับร่วงร้างบริบท .. จนหมดรอย
แววชม้อยชม้ายรับ .. ก็วับวาว
O ระยิบเอยแววตา .. ใต้ฟ้าต่ำ
เปล่งประกายร่ายรำในค่ำหนาว
ข่มโอภาสโชนช่วงทุกดวงดาว-
ยอแสงพราวพร่างสู่ .. ถึงผู้เดียว !
O ระยิบเอยแววตา .. ใต้ฟ้าหม่น
เหมือนคอยปนปลาบรอยให้คอยเหลียว
สายเยื่อใยม้วนพันเอาฟั่นเกลียว-
โอบรัดเหนี่ยวใจกาย .. สุดคลายแล้ว
.
.
O ค่ำ, ดึก, สาง, เช้า .. จนผ่าวร้อน
ลมเหนื่อยอ่อนผ่านริ้ว .. ยังพลิ้วแผ่ว
เมื่อสองดาวคมปลาบนั้นวาบแวว-
วามผ่องแผ้วตรึงสิ้น .. จิตวิญญาณ !




 

Create Date : 04 พฤษภาคม 2557
3 comments
Last Update : 12 เมษายน 2566 11:06:47 น.
Counter : 3566 Pageviews.

 

สดายุ..

"O คลื่นฝนห่มลมเห่ .. ที่เขลางค์
จนฟ้ากว้างสิ้นบทความสดใส
ธารดาวเคยวาบกระพริบ .. ที่ลิบไกล-
กลับสิ้นไร้รูปรอยให้คอยรอ"

เพิ่งทราบว่า ที่เขลางค์ ฝนลงชุก..และสดายุ อยู่ที่นั่น.. เลยไปนั่งอ่านประวัติของเขลางค์..
จนไปเจอหนังสือ "ลักษณะไทย" ซึ่งธนาคารกรุงเทพ แจกในพิธีเปิด สำนักงานใหญ่..
จึงสังเกตุเห็นว่า..ไทยมีการถ่ายทอดความรู้อยู่สองระดับ..

ระดับหนึ่งสำหรับคนในชั้นปกครองประเทศ
ก็จะใช้หลักฐานระหว่างประเทศ อ้างอิง มี เอกสารท้องถิ่น และพงศาวดารจาก กรมศิลปากร ประกอบ

กับอีกระดับหนึ่งคือ ชนชั้นถูกปกครอง..
ว่ากันเองด้วย"นักประวัติศาสตร์ "บางคนที่เคยไปเป็นลูกมือฝรั่งในการเขียนประวัติศาสตร์ แล้วนำมาใช้ คือ ตั้งสมมุติฐานว่า ทุกอย่างไม่จริง..เมื่อหาข้อมูลมาเพิ่ม (เท่าที่ตนหามาได้) ก็จะเขียนประวัติศาสตร์ ได้..
แต่ที่แย่ที่สุดคือ เมื่อคร้านที่จะหาข้อมูล ก็จะหยุดทิ้งไว้ที่ตรงนั้น แล้ว บอกว่า คนนั้นนั้น ไม่มีพ่อ มีแม่..55
ตัวอย่างเช่นงานค้นคว้าของ อาจารย์นิธิ ที่ทิ้งไว้ว่า เจ้าจอมมารดาเรียมในร๒ นั้นเป็นลูกเต้าเหล่าใครไม่ปรากฎ..
เป็นเพียงชาวบ้านธรรมดาที่บังเอิญมาเป็นเมียจ้าว..

แล้วจะมีคนไทยอีกกี่คนที่จะไปหาข้อมูลจากแหล่งอื่นมาเพิ่มเติมความรู้ให้ตนเอง..ต่อ..

"ความไม่รับผิดชอบ"ของนักประวัติศาสตร์นี่..น่าห่วงใยนัก..

มินตราเป็นคนไม่เก่ง จึงจำเป็นมากที่จะได้รับข้อมูลที่สมบูรณ์เพื่อประกอบความรู้ เพราะยังไม่เคยตั้งตนเป็นผู้รู้ได้สักที !

 

โดย: บุษบามินตรา IP: 192.99.14.36 5 พฤษภาคม 2557 7:15:33 น.  

 

มินตรา ..

ประวัติศาสตร์ไทยที่เรารับรู้อยู่นี้หากวิเคราะห์โดยหลักสามัญสำนึก ย่อมเป็นประวัติศาสตร์ที่บิดเบือนอยู่มากมาย

อย่างเช่น "การรัฐประหารที่มีการวางแผนไว้ล่วงหน้า" สามารถเขียนให้กลายเป็น "ความอาธรรม์จากความวิกลจริตจนเกิดจลาจลจนต้องมีการล้มล้าง" ได้

เราอาจวิพากย์ได้ถึงที่สุดในกรณีของ กรุงศรีอยุธยา และธนบุรีในทุกราชวงศ์ เพราะไม่มีกฎหมายปิดปากคุ้มครองแล้ว .. ดังนั้นประวัติศาสตร์ของ 2 กรุงที่กล่าวมาจึงมีมุมมองได้หลากหลาย

แต่เราไม่สามารถพูถึงอีก กรุง ในทั้งสามกรุงได้เพราะกฎหมายปิดปาก .. ประวัติศาสตร์ช่วงตั้งราชวงศ์ และช่วงการเกิดเหตุไม่คาดฝันกับ ราชาองค์ที่ 8 ที่เพิ่งผ่านมา เราไม่สามารถพูดความจริงตามสามัญสำนึกกันได้

หากมินตราเคยไปลำปาง คงจะเคยเห็นรถม้าลำปาง
และม้าลากรถนี้มีที่ครอบตาไม่ให้ตกใจเสียงรถรา แตรรถ ที่วิ่งกันสับสน เพราะม้าเป็นสัตว์ที่ตื่นตกใจง่าย

คนไทยภายใต้กฎหมายปิดปากที่มีโทษรุนแรงทั้งๆที่ไม่ใช่อาชญากรรมที่ทำให้ผู้คนทั่วไปเดือดร้อนอย่าง ฆาตกรรม ยาเสพติด ค้าแรงงานเด็ก โสเภณี ฯลฯ ก็ตาม .. ทำให้คนไทยเหมือนม้าลากรถเมืองลำปางที่ถูกปิดหูปิดตา

นักประวัติศาสตร์ก็เป็นคนไทยภายใต้กฎหมายนี้ .. เขียนความจริงได้เพียงส่วนเดียว

ประวัติศาสตร์ที่เป็นความจริง มีสองส่วน
ส่วนหนึ่ง ยอมให้คนรู้ได้
ส่วนหนึ่ง ไม่อาจยอมให้คนรู้ได้

ส่วนหลังจึงต้องบิดเบือน
ดังนั้นเราจึงต้องใช้หลักสามัญสำนึกไว้กลั่นกรองข้อมูล แบบ การสอบสวนของตำรวจที่ว่า ..

หลังเหตุการณ์ที่พูดแตกต่างกันไปหลายอย่างนั้นเกิดขึ้นแล้ว -> ใครได้ประโยชน์ ?

นั่นจะเป็นตัวบ่งชี้ที่ดีที่สุด

 

โดย: สดายุ... 5 พฤษภาคม 2557 7:54:38 น.  

 

สดายุ..

มินตราเคยอ่านหนังสือ เกี่ยวกับประวัติพระองค์เจ้ารังสิต มีประโยคหนึ่งที่กล่าวกัน..แล้วทำให้กระจ่างคือ..
ประชาชนสูญเสียพระมหากษัตริย์ไปแล้วพระองค์หนึ่ง..หาก จะดำเนินคดีต่อ เห็นทีประชาชนจะไม่มีกษัตริย์ เหลืออยู่อีกเลย...

ภาษาไทยน่ะ อ่านแล้ว ต้องไตร่ตรอง..จึงจะเข้าใจ..
ในขณะที่ภาษาเยอรมันนั้น จะชัดเจน จึงใช้เป็นภาษาวิชาการ และ ภาษาทหาร..

เราสองคนก็พูดภาษาที่คนอ่านต้องอ่านระหว่างบรรทัด ด้วย มิใช่รึ..555

"จนตายก็บอกไม่ได้"..555


 

โดย: บุษบามินตรา IP: 192.99.5.126 5 พฤษภาคม 2557 8:28:39 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


สดายุ...
Location :
France

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 151 คน [?]









O ใช่แน่หรือ ? .. O






O หรือธรรมชาติผ่านเวียน .. คอยเปลี่ยนโลก ?
ทั้งสุขโศกเร่งรุดยากหยุดไหว
หรือกำหนดยุดยื้อจากมือใด
จัดการให้แปลกแยกได้แทรกตัว
O หรือพบกันครั้งแรก, ความแตกต่าง
ถูกบ่มสร้างเหมาะควรอย่างถ้วนทั่ว
แต่ตา-รูป .. สบกัน, ที่สั่นรัว-
แรกที่หัวใจคน .. เริ่มอลเวง
O ละห้อยเห็นในยามห่างนามรูป
แต่ละวูบเนรมิตคอยพิศเพ่ง
งามทุกงามจารจรดเยี่ยงบทเพลง
พร้องบรรเลงด้วยมือช่วยยื้อยุด
O ย่อมเป็นมือสร้างเหตุแทรกเจตนา
ผ่านรูปหน้าอำนวยเข้าฉวยฉุด
ร้างไร้ความกริ่งเกรง, หากเร่งรุด
แทรกลงสุดหัวใจเพื่อไขว่คว้า
O แน่นอนว่ายากเว้น .. อยากเห็นรูป
และชั่ววูบวาบเดียวที่เหลียวหา
หวังทุกหอมรินไหลผ่านไปมา
ทั้งหางตาที่ชม้อยเหลือบคอยปราย
O โลกย่อมงามพร่างแพร้วเมื่อแผ้วผ่าน
ด้วยอ่อนหวานอ่อนโยนที่โชนฉาย
แม้นมิอาจโยกคลอนให้ผ่อนคลาย
ก็อย่าหมายโยกคลอนให้ผ่อนลง
O จะกี่ครั้งกี่ครา, ความอาวรณ์
เวียนรอบตอนจับจูงจนสูงส่ง
ด้วยรูปนามเทียบถวัลย์อย่างบรรจง
แตะแต้มลงผ่านจริตจนติดตรึง
O ความรู้สึกในอกย่อมยกตัว
หวานถ้วนทั่ว, รสประทิ่น, ถวิลถึง
เหมือนรุมล้อมหยอดย้ำลงคำนึง
ให้เสพซึ้งรสงามของ .. ความรัก
O วัฏฏจักรแห่งธรรม .. ย่อมย่ำผ่าน
เข้าขัด-คาน จับจูงความสูงศักดิ์
ของอาวรณ์หลบเร้น เพื่อเว้นวรรค
ที่เข้าทักทายทั่วทั้งหัวใจ
O หรือแท้จริงตัวตนถูกค้นพบ
การบรรจบ .. รูป-จริต แล้วพิสมัย
ปรารมภ์ของฝั่งฝ่าย .. นั้น-ฝ่ายใด
เพิ่งยอมให้เรื่องเฉลย .. ยอมเผยความ ?



Friends' blogs
[Add สดายุ...'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.