O ห้วงอาวรณ์ .. O
Giovanni Marradi - September Love
O ดูเถิด .. รูปเรียวร่างคิ้วคางแก้ม- ซับเลือดแต้ม, เนตรชม้อยก็คอยเหลียว- เวียนสบเลศนัยชาย .. ที่คลายเกลียว- เข้ารัดเหนี่ยวโอบขวัญ .. ลอบพันธนา O ลมเช้าโชยแผ่วมา .. ล้อมอารมณ์ เมื่อเนตรคมเหลือบชม้อย .. เหมือนคอยท่า สบ .. ขัดเขิน .. ยิ่งแล้ว .. ในแววตา รมยา .. ก็วาบ-วกในอกชาย O นัยน์ตาซึ้งโศกหวาน .. นั้นซ่านแวว- ความผ่องแผ้วอ่อนโยนออกโชนฉาย มีรูปคราญบริสุทธิ์เป็นจุดปลาย- การทอดสายตาล้อม .. ไม่ยอมเบือน O เอนไหวเรียวกิ่งก้าน .. ดอกมาลย์สี- ลมวาดวีโลมเลียบก็เปรียบเหมือน- เลศในแววตาวาม .. นั้นตามเตือน- จนสุดเคลื่อนคล้อยผ่าน .. หอมหวานนั้น O เมื่อมีรูป .. มีใจ .. หวั่นไหวรูป เช่นลมวูบวาบผ่าน .. ช่อมาลย์ .. สั่น งามเจ้าเอยโลมไล้ .. ดั่งไฟควัน- แต่จะรุมล้อมขวัญ .. ตราบวันวาย O งามปีกผีเสื้อบิน .. กลางถิ่นทุ่ง ขณะรุ้งทินกรเริ่มชอนฉาย ลม-ร่ำกลิ่นหอมนักมาทักทาย ความเอียงอายก็อบร่ำในคำนึง O งามปีกผีเสื้อลายบินว่าย-วน เมื่อใจคนต้องพิษ .. ความคิดถึง แววแห่งความวุ่นว้า .. คล้ายตราตรึง- บนใจซึ้งทราบชู้ .. เช้าตรู่นั้น O โอภาสแดดอบอุ่น .. ล้อมฝุ่นดิน ใจผู้ดิ้นรนอยู่ .. ฤๅ-รู้หวั่น- กับการไขว่คว้าครอง .. ที่พ้องกัน- แต่เมื่อแววตานั้น .. คล้าย .. สั่นสะทก O งดงามความนัยชู้ .. ในตรู่สาง- ก็พรายพร่างโลมไล้อยู่ในอก หวานเอย .. สุดขับข่ม .. เมื่อลมวก- พาหวานปกคลุมครองทุกห้องใจ O ปีกผีเสื้อโบยบิน .. ล้อมกลิ่นหวาน เมื่อแรกกาลเบิกบทความสดใส เรณูเสียดช่อช้อย, รูปรอยใคร- ก็เสียดรูปขับไข .. ค้างนัยน์ตา O ลืมได้ฤๅ-แววชม้อยชม้ายสู่ แฝงเลศนัยซ่อนอยู่ .. ให้รู้ว่า- ความรู้สึกอ่อนหวาน .. ส่งผ่านมา- ให้ตอบรับคุณค่า .. และท่าที O คืนอบอุ่นอ่อนหวาน .. ที่หวานกว่า- หวานถ้วนทั้งบรรดา .. รูปราศี พร้องลำดับภพชาติ .. ขึ้นวาดวี- เยื่อใยดีสั่นพลิ้ว .. กลางริ้วลม O เหมือนรูปรอยคุณค่า .. ค่อยตราตรึง- ความซาบซึ้งแรงชู้ .. ลงสู่สม พาอกใจละห้อยหาเฝ้าปรารมภ์- แววเนตรคมเหลือบชม้อย .. เฝ้าคอยรอ O ริ้วลมร่ำโชยแล้วเพียงแผ่วค่อย เมื่อจริตอ่อนน้อยเหมือนคอยล่อ- ให้สายตาใฝ่เฝ้าพะเน้าพะนอ ยั่ว .. หยอกล้อเสน่หา .. แต่ครานั้น O พร้อม แดดใส .. ฟ้าคราม .. แห่งยามสาย คือ เอียงอาย .. วุ่นว้า .. แววตาหวั่น ชม้อยชม้ายเหลือบสบ .. แล้วหลบพลัน- ก่อนทรวงนั่นสั่นสะท้อน .. เกินผ่อนเพลา O พร้อม - แดดใสฟ้าครามแห่งยามสาย คือ ความหมายทอดทับความอับเฉา รื่นเย็นสายลมลูบ .. เมื่อรูปเงา- แห่งยามเช้าทอดร่างลงกลางทรวง O และแล้วก็มองเห็นความเป็นไป- ของอกที่โหยไห้ .. อาลัย-หวง แววอาวรณ์โลมไล้อยู่ในดวง- ตาที่ห่วงใยอยู่แต่ผู้เดียว O สายหยุดเจ้าหยุดกลิ่นแต่สิ้นสาย เมื่อตาชายคอยแต่ชะแง้ - เหลียว บนฟ้า .. นกร่อนคว้าง .. เมื่อร่างเรียว- เจ้ากอดเกี่ยวสายตา .. ล้ออารมณ์ O โบกบินปีกนกกางร่อนกลางหาว เมื่อเนตรวาววามชู้ .. เกินรู้ข่ม โลมลูบแดดอุ่นอาย .. ด้วยสายลม กลิ่นชื่นฉมกุสุมาลย์ .. ก็หว่านล้อม O อบอุ่นแดดยามสายโชนฉายสู่ เมื่อลมชู้พลิ้วผ่านทุกย่านหย่อม โดยแววตาผ่านนัย .. โดยใจยอม- ร่วมหล่อหลอมนัยชู้ .. ร่วมดูแล O ดูเถิด .. รูปเรียวร่าง .. คิ้วคาง .. แกม- ริ้วเลือดแต้มสองปราง .. ดุจร่างแห- เหวียงลงครอบคลุมใจ .. เกินไหว-แปร- เปลี่ยน-แกะแก้, ผูกพันจนมั่นคง O โอ .. แววนั่นที่เห็น .. ล้วนเป็นจริง คอย - วนวิ่งในตา .. เพื่อ -พาหลง- สู่เงื่อนบ่วงเจ้าวาง .. รอ-ย่างลง- ให้เรียวร่างเอวองค์ .. ได้แอบอิง ! O นัยน์ตาซึ้งโศกหวาน .. สบ .. ซ่านแวว- ความผ่องแผ้วอ่อนไหวของใจหญิง เจ้าเอยคำออดอ้อน .. ร่างผ่อนพิง- คงยากนิ่งงันอยู่ .. แม้-ครู่เดียว !
Create Date : 10 มกราคม 2556 |
|
12 comments |
Last Update : 17 เมษายน 2566 10:38:47 น. |
Counter : 3808 Pageviews. |
|
|
|
เมื่อก่อนวลีก็เป็นค่ะเขียนเร็วผิดเยอะแยะไปหมด ได้ครูหลายๆท่านทีเดียวช่วยติติง จึงระวังมากขึ้นยิ่งเขียนยิ่งใช้เวลานานขึ้น ผิดกับที่คาดหวังเอาไว้ว่าจะเขียนได้เร็วขึ้น จนบางครั้งเขียนไม่ออก ต่อกลอนไม่ได้เลย
วลีตั้งใจจะเขียนกลอนให้ได้ดีก่อน แล้วจะทยอยเขียนฉันท์ เขียนโคลง เพิ่ม แต่เวลาจำกัดสมาธิไม่ค่อยมีเลยเขียนไม่ค่อยออกต้องสมองโปร่งจริงๆ ยิ่งตอนนี้บทนี้คงลากยาวเลยยังไม่อยากให้จบค่ะ เพราะอาจหยุดเขียนอีกยาว หรือเลิกเขียนไปเลยไม่แน่ใจแล้วแต่สถานะการณ์ที่กำลังทำให้ชีวิตต้องปรับเปลี่ยน
วลีปลื้มกับคำชมของคุณสดายุค่ะเพราะ ทราบว่าคุณสดายุไม่ทำอะไรแบบฝืนๆ ขอบคุณนะคะ
ความคิดเห็นส่วนตัว ของคุณสดายุ วลีแอบนำมาปฏิบัติค่ะ ห้ามหวง อิๆ