"อาตมาไม่ได้พูดให้โยมเชื่อ แต่พูดให้โยมไปคิด".....หลวงพ่อจรัญ ฐิตธมฺโม
หลวงพ่อ...ผู้มีแต่ให้


เปิดเล่ม

จุดประสงค์ในการพิมพ์หนังสือเล่มนี้ นอกจากต้องการให้เป็นหนังสือสวดมนต์ประจำตัวที่บรรจุบทสวดมนต์พาหุงมหากาฯ อันศักดิ์สิทธิ์ไว้สวดคุ้มครองตนเองแล้ว ยังต้องการถ่ายทอดเรื่องราวบางส่วนของหลวงพ่อจรัญ ฐิตธัมโม ที่ได้พบเห็นในฐานะของลูกศิษย์ที่ได้รับการแผ่เมตตาจากท่าน จนทำให้ชีวิตร่างกายคงอยู่ในโลกใบนี้ได้ โดยยังมิต้องจากไปเพราะโรคร้าย แล้วยังมีจิตวิญญาณที่ดีงามกว่าเดิม พร้อมทั้งมีสติเพิ่มขึ้นอีกด้วย

ตลอดเวลาของการเป็นศิษย์ ได้ปวารณาตัวรับใช้ภารกิจต่าง ๆ เท่าที่จะทำได้ เพื่อตอบแทนบุญคุณท่าน ทำให้มีโอกาสได้รู้ได้เห็นปฏิปทาของหลวงพ่อพอสมควร ถึงระยะเวลาอาจไม่ยาวนานนัก แต่เชื่อว่าสามารถซึมซับความรู้สึก ลักษณะการทำงาน และความคิดของท่านได้ไม่มากก็น้อย วันที่ผ่านมานั้น เมื่อหลวงพ่อยังสบายดีอยู่ ท่านจะอบรมสั่งสอนลูกศิษย์ ด้วยความรัก ความเมตตา และมุ่งมั่นเพื่อให้ลูกศิษย์เป็นคนดี คำสอนจะเข้าใจง่าย เรียกว่าโดนใจของทุกคนก็ว่าได้

มาบัดนี้ หลวงพ่ออาพาธ ไม่สามารถใช้เสียงเพื่อย้ำเตือนคำสอนได้อีกแล้ว จะมีก็เพียงภาษาสายตา และภาษาท่าทางเท่านั้นที่ยังพอจะสื่อสารกับบุคคลอื่นได้ ฉะนั้นหากใครไม่ทำความเข้าใจให้ดี ก็อาจจะเข้าข้างตัวเอง และก่อให้เกิดพฤติกรรมที่สร้างปัญหาหนักใจแก่หลวงพ่อได้ ฉันจึงถือโอกาสนี้ ตีความภาษาเหล่านั้นออกมาให้ผู้อ่านได้รับทราบแทน

ข้อมูลทั้งหมดประมวลมาจากสิ่งที่ได้รู้ได้เห็นและได้ยิน รวบรวมแล้วนำมาเรียบเรียงถ่ายทอดเป็นลายลักษณ์อักษรในหนังสือเล่มนี้ เพื่อให้บ่งบอกถึงตัวตนความเป็นหลวงพ่ออย่างแท้จริง หากจะมีผิดพลาดอยู่บ้าง ก็เชื่อแน่ว่าเป็นเพราะปัญญาของฉันยังต่ำต้อย เกินกว่าจะหยั่งรู้ถึงบารมีในระดับที่สูงขึ้นของหลวงพ่อเท่านั้น

จึงฝากทุกท่านที่ได้อ่านหนังสือเล่มนี้ หากท่านเป็นลูกศิษย์ของหลวงพ่อจรัญ จงภูมิใจที่มีครูอาจารย์เยี่ยงนี้ แต่หากมิใช่ ท่านก็โชคดีที่ได้รับรู้ว่า ปัจจุบันยังมีพระดีให้กราบไหว้ได้อีกองค์หนึ่ง

พ.อ.หญิง วาสุณี อนันตรพีระ
กองวิทยาการ กรมการทหารช่าง
จังหวัดราชบุรี ม.ค.๔๙


%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%

หลวงพ่อ.. ผู้มีแต่ให้


เสียงระฆังที่ดังกังวานขึ้นในเวลาตีสาม เป็นสัญญาณที่บ่งบอกให้ทุกคน ไม่เว้นแม้แต่สุนัขทั้งหลายในวัดอัมพวัน ( เพราะทุกตัวจะเห่าหอนรับกันเป็นทอด ๆ ) ได้รับรู้ว่า ขณะนี้หลวงพ่อจะลงโบสถ์แล้ว หลายคนออกมานั่งรอกราบหลวงพ่ออยู่ที่ริมทางเดินปูน ซึ่งทอดจากกุฏิหลวงพ่อไปยังพระอุโบสถ

เมื่อถึงเวลาที่หลวงพ่อลงมาจากชั้นบน คุณนิรันดร์จะเป็นผู้ฉายไฟให้สัญญาณเพื่อรัวระฆังต่อ และฉายไฟนำทางให้กับหลวงพ่อ โดยมีพระภิกษุอีก ๒ รูป เดินตามคอยดูแลหลวงพ่อไปตลอดทาง ในห้วงเข้าพรรษานี้ หลวงพ่อจะลงโบสถ์ เพื่อเทศน์วินัยไตรมาสอันเป็นกิจวัตรที่ท่านกระทำมาตลอดเวลากว่า ๕๐ ปี นับตั้งแต่เป็นเจ้าอาวาสวัดอัมพวัน ลูกศิษย์ส่วนมากจะถือโอกาสนี้ มารอกราบหลวงพ่อตามรายทาง ก่อนจะเข้าไปร่วมทำวัตรเช้าในโบสถ์พร้อม ๆ กับหลวงพ่อ

ระหว่างที่ฉันนั่งรอกราบอยู่นั้น ก็สังเกตเห็นว่ามีสุนัข ๒ - ๓ ตัว เดินเตร่ไปมาบริเวณหอระฆัง ลักษณะท่าทางนั้นเหมือนกับมาเคลียร์พื้นที่ เมื่อหลวงพ่อลงมา และมีการให้สัญญาณฉายไฟ เจ้าสุนัขเหล่านี้จะเดินตามขบวนของหลวงพ่อ ในลักษณะของการรักษาความปลอดภัย ซึ่งทำให้ฉันประทับใจเป็นอย่างมาก คิดดูเถิด แม้แต่สุนัขที่มาอาศัยใบบุญของหลวงพ่อ ยังสำนึกในบุญคุณ ข้าว, น้ำที่หลวงพ่อเมตตาเลี้ยงดูให้กินอิ่มนอนหลับ และพยายามตอบแทนให้เท่าที่พวกมันทำได้

แล้วฉันซึ่งเป็นคนมีปัญญา มีความรู้ ไฉนจึงจะไม่ตอบแทนบุญคุณหลวงพ่อเล่า อย่าว่าแต่หลวงพ่อแผ่เมตตาช่วยต่อชีวิตในยามที่หมดอายุเลย แค่เพียงคำสอนของท่าน ที่ขัดเกลานิสัยใจคอเจ้าอารมณ์ และโมโหร้ายของฉันลง จนปล่อยวางเรื่องทุกข์ต่าง ๆ ไปได้ มีเวลาให้จิตได้ว่างเว้นจากความกังวล และสัมผัสความสุขได้บ้าง ก็นับว่าเป็นบุญคุณที่หาโอกาสตอบแทนได้แทบไม่หมดอยู่แล้ว

อาการที่ก้าวย่างอย่างเนิบช้า มือประสานไว้ตรงบริเวณหน้าท้อง อันแสดงถึงความสำรวมกาย สำรวมจิตเป็นอย่างดี โดยบุคลิกลักษณะ และรูปร่างของหลวงพ่อจะดูคล้ายนักรบโบราณ คือมีความองอาจแกล้วกล้า พูดจาเสียงดังฟังชัด น่าจะเป็นทหารมากกว่านักบวช แม้กระนั้นท่านก็ดูสงบสำรวม สมกับเป็นผู้มีสติในกาลทุกเมื่อ

นับตั้งแต่ฉันได้มาเป็นลูกศิษย์ของหลวงพ่อ เมื่อปี ๒๕๔๐ ฉันได้รู้เห็นปฏิปทาของท่าน และยอมรับว่าท่านเป็นพระผู้ทรงคุณพร้อมในทุกด้าน แม้ว่าจะเคยมีบางคนตำหนิติเตียนท่าน แต่หลวงพ่อก็ใช้หลัก “หลวงพ่อนิ่ง หลวงพ่อทน” จนบางครั้งฉันเคยทำบาปทางใจ คือ คิดว่าทำไมหลวงพ่อไม่เห็นดุว่าคนอื่นบ้างเลย ทั้ง ๆ ที่เห็นอยู่ว่าเขาทำผิด แท้จริงคือ หลวงพ่อได้เคยตักเตือนแล้ว แต่เขาทำไม่ได้ ท่านจึงวาง

ซึ่งตลอดระยะเวลา ๘ ปี ที่ฉันได้มีโอกาสรับใช้หลวงพ่อในงานบางอย่าง ทำให้สังเกตเห็นว่า สิ่งที่หลวงพ่อคิดแล้วพูดสั่งสอนลูกศิษย์ จนกระทั่งลงมือทำให้ดูเป็นตัวอย่างนั้น หากกล่าวว่าเป็นการบำเพ็ญบารมี ๑๐ ทัศ ก็น่าจะไม่ผิด ( ทั้งนี้ทั้งนั้น เป็นเพียงความคิดเห็นของผู้เขียนเพียงผู้เดียว ผู้อื่นไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย )

ถ้าจะพูดถึง ความเมตตา หลวงพ่อมีมากมายจนเกินประมาณ ผู้ที่เป็นลูกศิษย์จะรู้ซึ้งเรื่องนี้ดี ท่านจะเมตตาต่อทุกคนเสมอหน้า มีบางคนเคยคิดและพูดว่า หลวงพ่อรับแต่แขกไฮโซ ฉันอยากจะเตือนว่าอย่าแม้แต่จะคิด เพราะมันบาป น้อยครั้งเหลือเกินที่ท่านจะพูดตำหนิใครให้เจ็บช้ำ จนบางครั้งหลายคนพาลเข้าใจผิด และตีขลุมเอาแบบเข้าข้างตัวเองว่า สิ่งที่เขาพูดและทำนั้นถูกต้อง หรือบางทีเหมาเอาว่า หลวงพ่อพอใจที่เขาทำเช่นนั้นเสียด้วยซ้ำ

จึงไม่น่าแปลกใจว่า ใครต่อใครที่มากราบหลวงพ่อแล้ว เขาคิดว่าตนเองสนิทสนมกับหลวงพ่อมากจนขึ้นไปกราบหลวงพ่อบนกุฏิที่พักเวลาใดก็ได้ โดยมีเหตุผลว่า หลวงพ่อรู้จักเป็นส่วนตัวบ้าง มีธุระสำคัญเร่งด่วนบ้าง หรือบางคนต้องการแสดงให้คนอื่นเห็นว่าฉันสนิทกับหลวงพ่อ จะขึ้นไปกราบเมื่อใดก็ได้

ลืมคิดไปว่าการกระทำเช่นนั้น จะเป็นการรบกวนเวลาพักผ่อนของครูบาอาจารย์ ( ซึ่งมีอยู่น้อยเต็มที่ ) หรือทำให้คนอื่นมองแล้ว เข้าใจผิดว่าหลวงพ่อเลือกปฏิบัติ คิดดูง่าย ๆ ก็แล้วกันว่า หากหลวงพ่อสะดวกในการรับแขกบนกุฏิ แล้วท่านไม่น่าจะต้องเดินลงบันไดมาพบปะพวกเราทุกวัน วันละ ๒ รอบหรอก เพราะไหนจะเหนื่อย ไหนจะเท้าบวม สู้นั่งรอรับแขกบนกุฏิเสียเลยไม่ดีกว่าหรือ

แต่นี่ท่านต้องการเวลาเป็นส่วนตัว ที่จะได้พักกาย พักจิตบ้าง จะได้มีชีวิตอยู่เพื่อดูแลลูกศิษย์ต่อไป แต่พวกเราส่วนมากกลับทำตัวเป็นเรือพ่วงที่ผูกโยงติดกับหลวงพ่อตลอดเวลา หากจะใช้คำว่าพวกเราเห็นแก่ตัว คงไม่ผิดนัก

แม้แต่ฉันเองในอดีต ก็เคยนึกถึงแต่ตัวเอง เมื่อใดที่มีปัญหาหรือความเดือดร้อน ฉันจะนึกถึงหลวงพ่อ และมากราบเพื่อขอให้ท่านช่วยเหลือ ลืมคิดไปว่าหลวงพ่ออายุมากแล้ว สังขารก็ร่วงโรยและภารกิจมากมายจนหาเวลาว่างไม่ได้ แถมยังอาพาธอีกด้วย ที่สำคัญท่านมีลูกศิษย์ที่ต้องช่วยเหลืออีกไม่น้อย อย่างไรก็ตาม หลวงพ่อก็เมตตาช่วยเหลือฉันและครอบครัวเสมอมา

ยามที่พบปะเพื่อนฝูงญาติมิตรที่เป็นศิษย์ของหลวงพ่อครั้งใด ทุกคนก็จะเล่าถึงความเมตตาที่หลวงพ่อมีให้เฉกเช่นกัน คงเพราะบารมีแห่งความเมตตานี้เอง จึงกระทบใจฉันจนทำให้คิดว่าฉันควรรับใช้หลวงพ่อให้มากกว่ามารบกวนท่าน ทุกวันนี้หลวงพ่อยังมีเมตตากับฉันอย่างเสมอต้นเสมอปลาย แต่ฉันจะพยายามไม่เพิ่มภาระให้หลวงพ่ออีกโดยไม่จำเป็น

จากความเมตตาที่หลวงพ่อมีให้อย่างมากมายนั้น ทำให้คนบางคนที่มีโมหะอยู่ในจิตใจ หลงคิดว่าหลวงพ่อพอใจในสิ่งที่เขาคิด พูดและทำ จึงมักจะคิดพูดและทำสิ่งนั้นอยู่เสมอ ๆ แม้จะถูกท่านว่ากล่าวตักเตือนก็ยังไม่สำเหนียก จนกลายเป็นปัญหา ทำให้ท่านต้องเดือดร้อนอยู่เนือง ๆ และวิธีแก้ของหลวงพ่อ คือ วางอุเบกขา เรื่องของงานและหน้าที่นั้น หลวงพ่อได้กระทำอย่างไม่ขาดตกบกพร่องเลย แต่ในส่วนอื่น ท่านจะวางเฉย ไม่ว่ากล่าวติเตียนใคร เวลาลูกศิษย์ลูกหามากราบ อย่างดีก็ยิ้มพยักพเยิด วันไหนท่านเอ่ยปากทักทาย ก็ถือว่าเป็นวันมหามงคลเลยละ

ฉันเคยไปกราบหลวงพ่อในวันพระครั้งหนึ่ง ( ต้นเดือน ก.ย. ๔๘ ) ได้ฟังท่านให้โอวาทกับผู้ปฏิบัติธรรมที่มารับกรรมฐาน คำพูดของท่านพรั่งพรูออกมาล้วนมีแต่คำสอน และสุภาษิตที่หลวงพ่อเคยสอนลูกศิษย์มาแล้วนับเป็นสิบ ๆ ปี ที่พวกเราจำได้จนเจนใจแล้ว ( แต่ยังไม่ค่อยทำตามเท่าไรนัก ) ฉันน้ำตาร่วงด้วยความซาบซึ้งใจ ก็มันนานเกือบ ๔ ปีแล้ว ที่ไม่ได้ยินคำพูดเช่นนี้เลย นับแต่หลวงพ่อเริ่มอาพาธ แล้วหมอให้งดใช้เสียง

แม้กระนั้นฉันคิดว่า ถ้าคำพูดเหล่านั้นจะทำให้หลวงพ่อเหนื่อย และอาการอาพาธอาจทรุดลงได้ พวกเราคงไม่ต้องการฟังอีกแล้ว ขอให้หลวงพ่อมีชีวิตอยู่ยืนยาว ให้เราได้เห็นได้กราบเท่านี้ก็น่าจะเพียงพอแล้ว อย่าได้มีความอยากใด ๆ ที่ทำให้หลวงพ่อต้องหนักใจอีกเลย

ในการวางเฉยนั้นฉันสังเกตว่า ท่านกระทำหลังจากที่เคยให้ความเมตตา กรุณาช่วยเหลือมามากมายและเป็นเวลาหลายสิบปีแล้ว ถึงวันนี้สุขภาพหลวงพ่อก็ถดถอยลงไป ท่านจะพูดมากมายเช่นแต่ก่อนก็ไม่ได้ แค่เพียงพยุงตัวเอง เดินลงมาให้พวกเรากราบแต่ละครั้ง ก็ดูท่านเหนื่อยล้าไม่น้อยเลย ฉะนั้นก็อยู่ที่พวกเราจะสำนึกหรือยังว่า คำสอนที่หลวงพ่อพร่ำพูดให้เราฟังนั้น ต้องเร่งลงมือปฏิบัติให้ได้ผล เพราะหลวงพ่อคงไม่พูดซ้ำอีกเป็นแน่

การบำเพ็ญบารมีของท่านนั้น จะเห็นได้ชัดเจนมากในเรื่องของทาน ใครมีปัญหาเดือดร้อน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของภัยพิบัติใด ๆ ก็ตาม หลวงพ่อจะนำเงินและสิ่งของไปบริจาคด้วยเสมอ

ท่านสอนพวกเราว่าการจะให้สิ่งของแก่ผู้อื่นควรให้เป็นของใหม่ อย่านำของที่ใช้แล้วไปบริจาค ถ้าคนที่เคยคุ้นกับท่านมากราบเรียนว่าญาติเสียชีวิต ฉันจะเห็นหลวงพ่อสั่งให้ชำนาญนำผ้าไตรและปัจจัยมาร่วมทำบุญด้วยเสมอ บางครั้งโรงเรียนหรือวัดต้องการทุนทรัพย์ในการบูรณะอาคารสถานที่ หลวงพ่อจะช่วยเหลือไปตามความเหมาะสม

ที่เห็นจนชินตา ก็คือในวันที่ ๑๕ เมษายน ของทุกปี ซึ่งพวกเรารู้จักกันในนามของ “วันกตัญญู” หลวงพ่อจะมอบเสื้อผ้าสิ่งของให้แก่ผู้สูงอายุทั้งภายในและภายนอกวัด อันเป็นตัวอย่างที่ดีแก่ลูกศิษย์ในเรื่องความกตัญญู

และในห้วงแรกที่เข้าพรรษาแล้ว หลวงพ่อจะนำลูกศิษย์ตระเวนกราบครูบาอาจารย์หรือพระผู้ใหญ่ตามวัดต่าง ๆ เพื่อแสดงความกตัญญูรู้คุณเป็นประจำทุกปี แม้แต่ จอมพล ป. พิบูลสงคราม ซึ่งเคยมีอุปการคุณกับท่านเมื่อยังเป็นเด็ก ทุกวันนี้ท่านยังแสดงความระลึกถึงโดยมีรูปตั้งอยู่เตือนความจำด้วย

การประพฤติปฏิบัติของหลวงพ่อเรียบร้อยงดงาม เหมาะสมกับสมณะสารูป กลิ่นศีล ของหลวงพ่อหอมไกลไปถึงต่างแดน หลวงพ่อจะไม่ตำหนิติเตียนใคร และสอนลูกศิษย์ไม่ให้ตำหนิหรือว่าร้ายคนอื่นเช่นกัน ซึ่งฉันจะได้รับคำเตือนเสมอว่า “ไปไหนปากอย่าไว ใจอย่าเบา เรื่องเก่าอย่าเอามาคิด กิจที่ชอบ..ทำ” ทำให้ฉันสงบปากสงบคำไปได้มาก

เมื่อมองย้อนกลับไปในอดีต ทุกครั้งที่มีงานบุญของวัดอัมพวัน ไม่ว่าจะเป็นวันเกิด, วันปีใหม่ หรือวันกตัญญู เราจะเห็นหลวงพ่อมานั่งเป็นประธาน ด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส โดยเฉพาะเมื่อเห็นลูกศิษย์ลูกหามากันมากมาย ท่านมักนั่งนิ่ง ๆ ไม่ขยับกายด้วยความเมื่อยขบเหมือนคนอื่น บางครั้งนั่งตั้งแต่เช้าจนถึงตี ๒ ไม่เคยลุกไปไหนเลย ท่านอดทนจนน่าสรรเสริญ หรือแม้แต่ มีผู้ตำหนิติเตียนท่าน ทั้งทางเอกสารและคำพูด ท่านก็นิ่งเฉยไม่ตอบโต้ จนเขาหยุดไปเอง

มาถึงปัจจุบันอาการอาพาธของหลวงพ่อ ตั้งแต่ ปี ๒๕๔๔ เริ่มมากขึ้นจนแพทย์สั่งห้ามใช้เสียง แต่ท่านก็ยังคงปฏิบัติภารกิจการบริหารงานในวัดอัมพวัน งานบริหารคณะสงฆ์ในจังหวัดสิงห์บุรี อบรมสั่งสอนพระเณร และฆราวาสผู้มาปฏิบัติธรรม รวมถึงถ่ายทอดธรรมะผ่านทางตัวหนังสือในรูปของ กฎแห่งกรรม-ธรรมปฏิบัติ ซึ่งกระทำมาเป็นเวลาเกือบ ๒๐ ปี อย่างไม่ยอมหยุดพัก ( เมื่อก่อนมีการบันทึกเทปรายการชีวิตไม่สิ้นหวังด้วย )

และตลอดเวลากว่า ๕๐ ปีที่หลวงพ่อมาอยู่วัดอัมพวัน หลวงพ่อไม่เคยพักผ่อนก่อนเวลาตี ๒ เลย บางครั้งฉันมากราบจะเห็นหลวงพ่อลงมารับแขกสม่ำเสมอ แม้เวทนาที่เกิดจากการอาพาธจะมีมาก แต่ท่านก็กลั้นเวทนาไว้ได้จนจบภารกิจทุกครั้ง นับว่าท่านมีทั้งขันติและวิริยะที่สูงยิ่ง

สภาพร่างกายของหลวงพ่อทุกวันนี้ไม่แสดงให้เห็นเลยว่าอาพาธ เพราะหน้าตาผ่องใสสดชื่น ผิวพรรณเปล่งปลั่งมากกว่าเมื่อก่อนด้วยซ้ำ ลูกศิษย์ทุกคนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า แค่สิ่งที่เรามองเห็นด้วยตาเนื้อนั้น ก็บ่งบอกว่าหลวงพ่อได้บำเพ็ญเนกขัมบารมี ได้มากมายจนเกินกว่าที่พวกเราจะรับรู้ได้แล้ว

ชั่วชีวิตของหลวงพ่อ แม้ในวัยเด็กจะเคยทำบาปในการฆ่าสัตว์ตัดชีวิตมามากมาย แต่ก็หาได้มีเจตนาแท้จริงไม่ มีก็แต่ความคึกคะนองไปตามประสา ซึ่งเพียงเท่านั้นยังส่งผลเสียต่อชีวิตของท่านไม่น้อยเลย วันนี้หลวงพ่อได้ไถ่โทษด้วยการตั้งสัจจะอธิษฐานที่จะสร้างคนให้เป็นคนดี ท่านบอกขอ “ปลุกคนให้ตื่น เสกคนให้เป็นงาน” นับตั้งแต่ท่านตั้งสัจจะอธิษฐานไว้ หลวงพ่อก็ยังไม่เคยผิดคำพูดเลย ท่านเร่งงานสร้างคนอย่างไม่หยุดยั้ง และคนที่ท่านสร้างขึ้นมานั้นเป็นคนดีได้จริง ๆ

ฉันขอยืนยันด้วยเกียรติของนายทหารแห่งกองทัพบก เพราะว่าฉันเป็นลูกศิษย์ของหลวงพ่อจรัญ ที่ท่านให้ชีวิตใหม่และเป็นคนดีจริงขึ้นมาได้ ด้วยการทำตามคำสอนของหลวงพ่อ แม้จะไม่ร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ก็พูดได้ว่าดี ( เมื่อก่อนฉันก็เป็นคนดี แต่ดีในแบบของโลก )

วิธีสอนของหลวงพ่อไม่ได้ดุด่าว่ากล่าว แต่ท่านใช้การทำให้ดู เช่นความสุภาพเรียบร้อย จะเห็นท่านเดินเหินเนิบช้า ลุกนั่งสำรวมน่าดูไม่รุกลี้รุกลน ซึ่งแต่เดิมฉันจะนั่งพับเพียบปลายเท้าชี้ออกข้างนอกตลอดเวลา พอเห็นท่านเก็บปลายเท้าแนบลำตัวอย่างเรียบร้อย ก็รู้สึกละอายเลยต้องทำตาม เดี๋ยวนี้นั่งพับเพียบทีไร ปลายเท้าจะเก็บเรียบทุกที

คำสอนของหลวงพ่อก็น่าสนใจและจดจำได้ง่าย เพราะมีความคล้องจอง เป็นบทเป็นกลอน อย่างเช่น เวลาท่านจะเตือนว่าอย่าเป็นคนหน้าไหว้หลังหลอก ท่านจะพูดว่า คนบางคนนั้น “ต่อหน้ามะพลับ ลับหลังตะโก ต่อหน้าส้มโอ ลับหลังส้มเช้ง” สำเนียงที่ลงท้ายว่าส้มเช้งนั้นจะสูงจนจี้เข้าไปโดนใจคนฟัง ชนิดที่คงเลิกหน้าไหว้หลังหลอกไปเลย

หรือการเตือนลูกศิษย์มิให้ทำในสิ่งที่ไม่ควร เช่น ไปดูถูกคนอื่นว่าไม่ดีเท่าตนเอง หรือให้ร้ายคนอื่น แทนที่ท่านจะว่าตรง ๆ ให้ละอาย ท่านมักพูดว่า อย่าไปข้ามคนล้ม อย่าไปข่มคนรู้ อย่าไปขู่คนกล้า อย่าไปท้าคนพาล อย่าไปวานคนร้าย อย่าไปขายคนรัก อย่าไปกักคนรีบ อย่าไปบีบคนบอบ ฯลฯ ซึ่งคำพูดเหล่านี้ ฉันฟังแล้วจำจนขึ้นใจ หลายข้อก็ทำตามได้ง่าย และหลายข้อก็ทำตามยาก เพราะบางครั้งเกิดความขี้เกียจ ก็หาข้ออ้างต่าง ๆ นา ๆ จนหลวงพ่อคงระอากับความดื้อรั้นของศิษย์ ทุกวันนี้ท่านวางเฉยแล้ว จะมีก็เพียงแววตาที่ส่งกระแสห่วงใยอยู่เท่านั้น

การที่หลวงพ่อสามารถสอนคนนับแสนให้เข้าใจหลักธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จนถึงขึ้นนำไปปฏิบัติและประสบความสำเร็จในชีวิต คือทำหน้าที่ของตนเองได้ถูก มีหลักธรรมในการดำเนินชีวิตได้ นับว่าปัญญาของหลวงพ่อสูงยิ่ง เพราะคนที่เข้ามาฝึกปฏิบัติที่วัดอัมพวันนั้นมีหลากหลาย ต่างฐานะ ต่างความรู้ ต่างจริตนิสัย แต่ทุกคนสามารถเข้าใจคำสอน และปฏิบัติตามได้ ต้องบอกว่าไม่ธรรมดาเลย

การบำเพ็ญบารมีของหลวงพ่อนั้น คงมิใช่เกิดในชาตินี้เท่านั้น หากแต่คงบำเพ็ญมาหลายชาติหลายภพแล้ว ท่านจึงเป็นพระที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ เป็นธงชัยให้แก่ศิษย์ได้ประพฤติปฏิบัติตาม

ฉันภูมิใจที่เกิดมาชีวิตหนึ่งแล้วได้มีโอกาสเป็นลูกศิษย์ของหลวงพ่อ ได้ศึกษาและปฏิบัติกรรมฐาน โดยเฉพาะแนวทางสติปัฏฐาน ๔ ที่ทำให้ฉันสามารถใช้ชีวิตด้วยความมีสติอย่างทุกวันนี้ หากฉันนึกถึงหลวงพ่อครั้งใด ภาพของท่านก็จะมาวนเวียนอยู่ตรงหน้า คำสั่งสอนทั้งหลายก้องอยู่ในหู ย้ำเตือนให้ฉันนำมาคิด

เมื่อมีโอกาสก็ถ่ายทอดสู่ผู้ที่ได้พบปะพูดคุยกัน เป็นการเผยแผ่ธรรมะไปในตัว เดี๋ยวนี้หลวงพ่ออายุมากขึ้น สังขารร่างกายเริ่มเสื่อมไปตามวัย หนีไม่พ้นกฎธรรมชาติ แต่หลวงพ่อไม่เคยขาดหรือลางาน หลวงพ่อไม่เคยหนีงานอย่างที่พวกเราเคยทำ เพราะหลวงพ่อให้ความสำคัญกับเรื่องของเวลามาก

หลวงพ่อเคยบอกว่า เวลาเป็นสิ่งเดียวในโลกที่ทุกคนได้รับเสมอกัน ไม่มีใครได้เปรียบหรือเสียเปรียบกันเลยแม้แต่คนเดียว แต่ใครจะใช้เวลาแต่ละวินาทีอย่างมีค่า และคุ้มค่ากว่ากันนี่แหละเป็นเรื่องน่าคิดฯ

ฉะนั้นท่านจึงใช้เวลาทุกวินาทีอย่างมีคุณค่า งานสร้างคนเป็นงานยากที่สุดในโลกก็ว่าได้ เพราะจิตคนซับซ้อนเกินกว่าจะใช้สูตรสำเร็จ ในการสร้างให้ถึงขั้นที่เรียกว่าดี ผู้สอนต้องมีความพร้อมทุกด้านจึงจะทำได้ ซึ่งหลวงพ่อมีพร้อมทั้งทาน ศีล เมตตา ปัญญา ฯลฯ ดังกล่าวแล้ว ท่านจึงสร้างคนที่มีคุณภาพได้มากมาย

เวลาของหลวงพ่อเหลือไม่มากนัก แต่เวลาของฉันอาจจะเหลือน้อยยิ่งกว่า วันนี้ฉันเดินตามรอยเท้าของหลวงพ่อได้อย่างเชื่องช้า จนเหมือนคลานไป บางครั้งเคยหยุดเดินเสียด้วยซ้ำ แต่ฉันสัญญากับตัวเองว่า วันหนึ่งเมื่อฉันวางภาระต่าง ๆ ลงได้ ฉันจะไปให้ถึงเส้นชัยอย่างแน่นอน

ฉันอยากให้หลวงพ่อได้รับรู้ว่า ฉันรักและเคารพหลวงพ่อ อยากตอบแทนบุญคุณที่หลวงพ่อให้ชีวิตใหม่แก่ฉัน ทั้งชีวิตใหม่ที่มีลมหายใจ และชีวิตใหม่ในทางธรรม แต่พลังทางร่างกายและจิตใจของฉันก็อ่อนล้าเหลือเกิน เท่าที่เป็นอยู่และกระทำได้ คือประพฤติปฏิบัติตัวเป็นคนดี ไม่สร้างภาระให้ตัวเองและผู้อื่น ( โดยเฉพาะหลวงพ่อ ) และรับใช้ท่านเท่าที่ขีดความสามารถฉันมีอยู่ เหนือสิ่งอื่นใดฉันมีเพียงธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งหลวงพ่อพร่ำสอนเท่านั้นที่เป็นแสงสว่างและเป็นกำลังใจให้ฉัน

ทั้งหมดที่เขียนขึ้นมามิใช่ทั้งหมดที่หลวงพ่อกระทำ ยังมีความดีอีกมากมายที่ฉันไม่มีโอกาสได้รับรู้ แต่ตลอดระยะเวลาที่ฉันรู้จักท่าน สิ่งที่รู้และเห็นจนนำมาถ่ายทอดสู่ท่านผู้อ่านนี้ ก็นับว่ามากพอสำหรับที่คนธรรมดาอย่างฉันจะสัมผัสได้แล้ว มิใช่ของง่ายเลยที่จะมุ่งมั่นบำเพ็ญบารมีเหล่านี้จนครบถ้วน และเป็นรูปธรรมชัดเจนเช่นนี้

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีพระราชดำรัสว่า “การทำให้บ้านเมืองมีความปกติสุขเรียบร้อย จึงมิใช่การทำให้ทุกคนเป็นคนดี หากอยู่ที่การส่งเสริมคนดีให้ปกครองบ้านเมือง”

แม้หลวงพ่อจะไม่มีโอกาสปกครองบ้านเมือง เพราะท่านเป็นพระ แต่การที่ท่านปกครองวัดด้วยความดีเป็นตัวอย่างที่ดีแก่ลูกศิษย์และคนทั่วไป เมื่อลูกศิษย์เหล่านั้นเจริญเติบโตในอาชีพการงาน ก็สามารถนำธรรมะที่ท่านสอนทั้งหมดไปประพฤติปฏิบัติ หรือถ่ายทอดให้กับผู้ใกล้ชิดและผู้ใต้บังคับบัญชาได้รู้ และปฏิบัติตามความสงบร่มเย็นย่อมเกิดขึ้นในสังคมเฉกเช่นกัน

ฉันขอวิงวอนให้พวกเราทุกคนยังคงรักหลวงพ่อ เหมือนที่เรารักอยู่เช่นนี้เถิด แต่อย่าให้ความรักนั้นก่อให้เกิดความหลงผิด ยึดมั่นถือมั่นว่าหลวงพ่อคือของเรา หลวงพ่อต้องเป็นอย่างที่เราอยากให้เป็น หลวงพ่อต้องทำอย่างที่เราอยากให้ทำ เพราะจะกลายเป็นบาปติดตัวเราไปทุกภพทุกชาติ หรือการที่เราทำอะไรถวายท่าน ก็ไม่ควรนำมาอ้าง เพราะเมื่อเราทำดีมีความกตัญญูรู้คุณ ความดีย่อมเกิดกับเราอยู่แล้ว จึงควรพิจารณาให้ถ่องแท้ก่อน เพื่อหลวงพ่อจะได้ไม่หนักใจ

บทความนี้เขียนขึ้นเพื่อให้สหธรรมิกของฉัน ตระหนักรู้ถึงภาระและหน้าที่ของครูบาอาจารย์ที่มีต่อพวกเราซึ่งเป็นศิษย์ ว่าท่านได้ทุ่มเทชีวิตและวิญญาณเพื่อพระศาสนาและพวกเรามาตลอด แล้วพวกเราเล่าได้ทำอะไรเพื่อตอบแทนบุญคุณท่านบ้าง รู้แล้วเริ่มลงมือทำตั้งแต่วันนี้ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป


%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%

คำสอนของ หลวงพ่อ
ในโอกาสที่ศิษยานุศิษย์เข้าร่วมปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน
กับหลวงพ่อ ๒๙ ส.ค. - ๕ ก.ย. ๒๕๔๔

เจริญพร อุบาสก อุบาสิกา ผู้ใคร่ต่อธรรมสัมมาปฏิบัติ นับว่าท่านโชคดีที่มาปฏิบัติร่วมกับเรา เราจะเข้าผลสมาบัติ ไม่ได้เข้ามานาน การปฏิบัติธรรมนั้นเป็นการนำจิตใจเข้าถึงคุณงามความดี เข้าถึงคุณพระศรีรัตนตรัย ถ้าท่านไม่ปฏิบัติธรรมแล้ว จิตจะไม่ถึงพระรัตนตรัย จะอ่านหนังสือมากแค่ไหนก็อ่านได้ทุกคน แต่จุดมุ่งหมายของชีวิตจิตใจนั้นจิตไม่ถึง จิตจะเข้าถึงหลักธรรมคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ด้วยการปฏิบัติธรรม

ตัวอย่างเช่น เมื่อมีงานพิธีต่าง ๆ ทุกท่านรับศีลด้วยกันทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นงานศพ งานบวชนาค งานทำบุญขึ้นบ้านใหม่ ถวายทาน ถวายกฐิน หรือถวายผ้าป่า ศีลนั้นรับกันได้ทุกคน ปากรับได้ตั้งแต่ปาณาฯ จนถึงสุราฯ แต่รับแล้วก็ไปฆ่าสัตว์ ไปลักทรัพย์ ไปล่วงประเวณี ไปหลอกลวงโลกหวังเอาลาภ ไปดื่มสุรายาเมา เพราะว่าปากรับได้ แต่จิตไม่ยอมรับ เราปฏิบัติธรรมกันนี้ เราต้องเอาจิตรับด้วย

อาตมาคิดมานานว่าปีนี้เป็นปีที่ยี่สิบสองยี่สิบสามของชีวิตเรา หลังจากต้องหมดอายุมาแล้วเมื่อ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๒๑ หมดสัญญาแล้วเขาไม่ให้ต่อ เราก็ต้องย้ายบ้าน อย่าไปดื้อแพ่ง อย่าไปสู้ขึ้นโรงศาล เพราะไม่ใช่ที่ของเรา ไม่ใช่บ้านของเรา หมดสัญญาก็ต้องไปตามสัญญา เรามีสัญญากันหมดทุกคน เมื่อเราหมดสัญญา เราก็ต้องตายใช่หรือไม่


หมดอายุแล้ว ถ้าจะอยู่ต่อ ก็ต้องขอต่อสัญญา นี่เปรียบเทียบให้ฟัง การขอต่อสัญญานั้น เจ้าของบ้านเขาจะให้ต่อหรือไม่ก็ได้ ถ้าเขาบอกไม่ให้ต่อก็อยู่ต่อไม่ได้ ขอขึ้นราคาก็ต้องขึ้นราคา จาก ๑๐ บาท เป็น ๑๐๐ บาท ถ้าสู้ก็ต่อสัญญาได้ ถ้าไม่สู้ก็ต้องไปหาที่อยู่ใหม่ เหมือนเราตายจากโลกไปฉันนั้น ท่านทั้งหลายก็ต้องหมดสัญญาเหมือนกัน

รถก็ต้องมีวันหมดน้ำมัน คิดแต่จะทำงาน ไม่รู้ว่าจะตายวันนี้พรุ่งนี้ เหมือนรถจะหมดน้ำมันเมื่อไรก็ไม่รู้ ท่านอาจจะไปตายระหว่างทางที่รถหมดน้ำมันฉันนั้น ท่านทั้งหลายอาจจะไม่ทันได้นึกถึงตรงนี้ก็ได้

วันนี้จะทำความเข้าใจเกี่ยวกับการปฏิบัติธรรม ที่มากันเป็นกลุ่มเป็นคณะ เป็นร้อยเป็นพัน ถ้าไม่เข้าใจก็จะไม่ได้ผลอะไรเลย ได้แต่พิธีกรรมไป คนที่จิตเข้าถึงธรรมะได้มีน้อยมาก มีเพียงร้อยละ ๑ เท่านั้น ปีนี้เป็นปีสำคัญของอาตมา จะทอดผ้าป่า ๒๐๐ กว่าวัด อันนี้เป็นการเพิ่มราคาตนเอง เช่น ที่ดินที่เราเช่าเขาหมดสัญญาแล้ว เขาขอขึ้นราคา ถ้าสู้ก็อยู่ต่อได้ สู้คืออะไร ? คือทำชีวิตให้สูงขึ้นให้เท่ากับราคาที่เขาต้องการ ให้ท่านทำความเข้าใจตรงนี้ไว้

การเข้าถึงพระรัตนตรัยนั้นไม่ใช่ด้วยการอ่านหนังสือแล้วก็กล่าวว่า พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ แล้วจะเข้าถึง นั่นยังไม่ถึงพระรัตนตรัย เข้าถึงยากมากไม่ใช่ของง่าย ท่านอย่าคิดว่าเข้าวัดแล้วจะสบาย ถ้าท่านคิดว่ามาสร้างความดี มาพบความลำบาก แล้วท่านจะพบของดี ถ้าท่านคิดว่าของดีสบายของชั่วลำบาก ท่านจะผิดหวัง น่าเสียดายและท่านจะไม่ได้อะไรกลับไป ท่านมาตัวเปล่าแล้วท่านก็กลับไปตัวเปล่า ไม่มีอะไรติดตัวกลับไปเลย น่าเสียดายมาก

การได้เกิดมาเป็นมนุษย์และได้พบพระพุทธศาสนานั้นแสนยาก ท่านมีโอกาสดีแล้วปฏิบัติให้ดี อดทนให้ได้ ตายเป็นตาย ท่านจะได้รับของดีกลับไป มนุษย์สมบัติ มีบ้านใหญ่โต มีที่ทางมากมาย มีเงินทองมากมาย ท่านอย่าตีความว่าเป็นของดี เงินทองซื้อความดีไม่ได้ ท่านปฏิบัติตามอาตมา ท่านจะรู้เอง จะเกิดความรู้เห็นด้วยตัวท่านเอง ไม่ใช่ไปรู้จากการอ่านหนังสือ

พวกที่ไปเรียนเป็นมหาเปรียญ ๙ ประโยค แต่ไม่เคยปฏิบัติธรรมเลย อ่านแต่หนังสือแล้วแปลไปสอนชาวบ้านชาวโลกเขาว่า เอวัมเม สุตัง เอกัง สะมะยัง ภะคะวา (เราได้ยินได้ฟังมาอย่างนี้) รู้เรื่องไหม รู้แต่คนแปล แปลได้แต่เฉย ๆ เหมือนอย่างแปลภาษาไทยเป็นภาษาอังกฤษ แปลภาษาอังกฤษให้เป็นภาษาไทยเท่านี้เอง แต่ไม่รู้อย่างลึกซึ้งว่ามีความหมายเห็นอย่างไร น่าจะตีความให้ลึกซึ้งกว่านี้ แต่ทุกคนไม่เข้าใจเพราะเข้าไม่ถึง ไม่ซึ้งใจ

ถึงแม้มีเงินทองมากมายก็ซื้อความดีไม่ได้ ซื้อความสำเร็จในชีวิตไม่ได้ จะซื้อความสะดวกสบาย ซื้อรถ ซื้อคอนโด ซื้อบ้านกี่หลัง ก็ยังมีความทุกข์ มีบ้านหลายหลังทำความสะอาดไม่หมด มันก็เกิดทุกข์ นี่แหละซื้อความหมดทุกข์ไม่ได้ เงินทองซื้อความสะดวกสบายได้ แต่ซื้อความดีและซื้อความสำเร็จในชีวิตไม่ได้

การปฏิบัติธรรมไม่ใช่ของง่ายเลย ต้องเอาจิตเข้าไปถึง ไม่ใช่เอาปากไปถึง ตัวอย่างเช่น รับศีล ปาณาติปาตา เวระมะณี อย่างนี้ใครก็รับได้ แต่รับด้วยปากแล้วจิตมันไม่รับ จิตมันไม่ถึงธรรมะ ระหว่างปฏิบัติธรรมห้ามอ่านหนังสือ บางแห่งปฏิบัติ ๓ วัน อธิบายญาณ ๑๖ แจกหนังสือญาณ ๑๖ เลย มัวแต่ไปอ่านหนังสือว่าเราถึงญาณไหนแล้ว ละเลยการปฏิบัติ ก็จะไม่ได้อะไรเลย

ความจริงอาตมาไม่ได้ชวนญาติโยม อาตมาจะเข้ากรรมฐานของเรา ๗ วัน ๗ คืน อาจจะไม่ฉันข้าวทั้ง ๗ วันก็ได้ แต่นี่โยมพลอยมาด้วย ก็ต้องแบกน้ำหนักถ่วงอีกแล้ว มีตัวถ่วงเรือโยงต้องเสียน้ำมันมาก เครื่องยนต์ต้องทำงานหนัก ต้องโยง ต้องพ่วง จะทำอย่างไร ก็ต้องพ่วงกันไป ถ้าอาตมาแก้พ่วงเมื่อไรก็เข้าถึงฝั่งเลย

คนที่นั่งหลับตาแล้วอธิษฐานไปสวรรค์ อธิษฐานไปนิพพาน อธิษฐานให้รวย อธิษฐานให้ครอบครัวมีความสุข เป็นไปไม่ได้ ไม่ต้องไปอธิษฐาน อย่างนี้นอธิษฐานผิด

คำว่า “อธิษฐาน” ตัว ฐ ฐาน แปลว่าสร้างความดี อย่าละทิ้งหน้าที่การงาน รับผิดชอบในตัวเอง นี้เรียกว่าอธิษฐาน คนที่ไม่รับผิดชอบ ละทิ้งการงานเสียไม่เรียกอธิษฐาน แปลผิด ไม่ใช่อธิษฐานว่าขอให้ลูกฉันดี ขอให้สามีฉันดี ขอให้ค้าขายได้กำไร อย่างนี้ไม่เรียกว่าอธิษฐาน แต่เรียกว่า “ขอ” ขอให้รวย แต่มันเหลือวิสัยที่จะเป็นไปได้ จะรวยหรือไม่รวยอยู่ที่ใจ ถ้ามีเมตตาปรานีอารีเอื้อเฟื้อ ขาดเหลือคอยดูกัน จะรวยอยู่ตรงนี้ รวยน้ำใจ “รวย” แปลว่า อิ่มเอิบหัวใจ ปีติยินดีในหัวใจ สบายอกสบายใจ ถึงเหนื่อยกายแต่ก็ไม่เหนื่อยใจ ตรงนี้ถึงจะเรียกว่าความดีมีอยู่ในจิตใจของตน ใจเราเท่านั้นที่รู้

ที่เรานั่งกรรมฐานก็เพื่อเป็นการชดใช้กรรม ไม่ใช่มาตัดกรรม ท่านทั้งหลายมีกรรมมาหลายชาติ ถ้าท่านทำจริง ท่านจะรู้แน่นอน ภายใน ๗ วันนี้ จะเห็นกรรมทันที กรรมนี้คือความทุกข์ ทุกข์ที่จะเห็นก่อน คือปวดเมื่อยทั่วสรรพางค์กาย น้ำตาแทบจะหยดออกมา นี่คือตัวทุกข์ จะได้รู้ทุกข์ด้วยตัวเอง ไม่ใช่ทุกข์เรื่องครอบครัว ทุกข์เรื่องลูก มันคนละเรื่องกัน ไม่ใช่มานั่งปวดเมื่อยแล้วกลับบ้าน แล้วก็จะไม่รู้ถึงตัวทุกข์ ไม่รู้กฎแห่งกรรมว่าเราทำกรรมอะไรไว้

ไม่เช่นนั้นอาตมาก็ไม่รู้ว่าวันพรุ่งนี้รถจะคว่ำแล้ว จะใช้หนี้ที่เคยต้มเต่าแล้ว รู้ว่า นี่แหละตัวทุกข์สำคัญมาก เราทำให้เขาทุกข์ เราจะเห็นเป็นความสุข หรือที่เอาทุกข์ไปให้เขา แล้วแย่งเอาความสุขเขามานั้นใช้ไม่ได้ ความสุขความทุกข์เป็นเรื่องตัวใครตัวมัน ไม่ใช่มาจิ้ม ๆ จ้ำ ๆ แล้วกลับไปเลย เรียกว่าบวชชีพราหมณ์นั้นไม่ใช่

การมาปฏิบัติธรรมจะต้องปลูกศรัทธา ปลูกความเชื่อความเลื่อมใสลงในคุณพระศรีรัตนตรัย ถ้าท่านไม่มีศรัทธา อย่ามาปฏิบัติ ทำโดยเสียไม่ได้ และทำโดยตามเพื่อนตามฝูง ท่านจะไม่ได้อะไรเลย และไม่ใช่มาปฏิบัติแล้วได้ปุบปับ เรียน ม.๑ ถึง ม.๖ ต้องใช้เวลาถึง ๖ ปี แค่ ๓ – ๔ วันจะได้อะไรหรือ ดังนั้นต้องทำต่อเนื่อง เอาความดีใส่ เอาความชั่วออกไป ความดีมีมาก ความชั่วก็เข้ามาไม่ได้ เพราะความดีเต็มจิตใจเราแล้ว ความชั่วจะมีช่องเข้าได้อย่างไร

คนที่เข้าถึงธรรมะจริง ๆ จะไม่สร้างความชั่วอีกต่อไป จะละทิฐิมานะได้ และจะไม่นินทาว่าร้ายใส่ร้ายป้ายสีใคร จะไม่ผูกใจโกรธท่านผู้ใด มีแต่จิตใจเป็นกุศล มีแต่เมตตาตลอดเวลา ทั้งคนดีและคนชั่วช่วยหมด ให้เขาเป็นคนดีให้ได้ นี้ประการหนึ่ง นอกจากนั้นแล้วต้องปลูกฝังตั้งศรัทธาให้เชื่อมั่นตั้งแต่บัดนี้ แล้วก็ตัดปลิโพธกังวล ถ้าท่านตัดปลิโพธกังวลทางบ้านไม่ได้แล้ว รับรองท่านไม่ได้ผล มานั่งกรรมฐานยังห่วงคนโน้นห่วงคนนี้ ห่วงงานโน้นห่วงงานนี้ ท่านจะไม่ได้อะไรเลย

อาตมาก็ต้องตัด ซึ่งเราเคยทำมาแล้ว ตัดก็ตัดได้มานานแล้ว บางอย่างเราจะไม่ใส่ไว้ในสมอง ให้เสียสมองไปโดยปราศจากประโยชน์ จะทำให้สมองฝ่อ ถ้าเราตื่นเต้นในจิตใจทางไม่ดีหัวใจจะโต ตับก็จะอักเสบ สมองอักเสบ โรคภัยไข้เจ็บจะเกิดขึ้นกับตัวเรา

จงปลูกฝังตั้งศรัทธาให้มั่น แล้วพิจารณาถึงตนเองว่าตัดปลิโพธกังวลอย่างไร ต้องคิดถึงตัวเอง เราเกิดเป็นมนุษย์แสนจะยาก เราทำไมถึงทนความยากลำบากไม่ได้ เราโชคดีที่สุดแล้ว เกิดมาไม่เป็นใบ้บ้าเสียจริตผิดมนุษย์ ตาก็ดี หูก็ดี อาการครบ ๓๒ จึงให้หมั่นสร้างความดี รักษาสมบัติมนุษย์ไว้

อย่าประมาท คิดว่าเราจะยังไม่ตาย จะอายุตั้ง ๑๐๐ ปีเชียวหรือ อย่างไรก็ต้องตายแน่นอน แต่ว่าเป็นวันนี้หรือพรุ่งนี้ ไม่มีใครรู้ได้ ถ้าปฏิบัติธรรมให้สูงขึ้นจะรู้ได้ ตัวเองเป็นอย่างไร ไม่มีใครมาบอก เราต้องบอกตัวเอง ไม่ต้องไปหาหมอดู เราดูหมอเอง โดยมีสติอยู่เสมอ จะบอกตัวเองได้

ช่วงชีวิตของคนเรานั้น แบ่งออกได้เป็นดังนี้

๑. ปฐมวัย เริ่มตั้งแต่ ๑ ปี ถึง ๒๕ ปี ต้องศึกษาเล่าเรียน
๒. มัชฌิมวัย เริ่มตั้งแต่ ๒๕ – ๕๐ ปี เข้ากลางคนแล้ว เป็นวันทำงาน
๓. ปัจฉิมวัย เริ่มต้น ๕๐ ขึ้นไป อย่าประมาท เตรียมพร้อมที่จะตายอย่างสงบ

อาตมาให้มาลองตายดู คือการมานั่งกรรมฐาน ตายให้มันตายซิ แล้วเราจะรู้ว่าการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป เป็นอย่างไร นั่งกรรมฐานต้องให้เห็นทุกข์ ถ้าเรานั่งสบายแล้วครูไม่มาสอนก็จะไม่ได้อะไร

คนมีบุญถึงจะนั่งกรรมฐานเจริญกุศลภาวนาได้ คนไร้บุญวาสนาเขาจะไม่สนใจกรรมฐาน เลี่ยงบอกห่วงโน่นห่วงนี่ ยังไม่มีเวลา ขณะกำลังอยู่ในวัยกลางคนและปฐมวัย ไม่ได้สนใจความดี พอปัจฉิมวัยจะมานั่งกรรมฐาน จะมาสร้างความดีตอนแก่ มันไม่ทันการณ์ เพราะร่างกายมันร่วงโรยแล้ว

เพราะฉะนั้นท่านทั้งหลายต้องตั้งใจจริง ตัดปลิโพธ อย่าไปสนใจดูหนังสือ ไม่อ่านหนังสือพิมพ์ ไม่อ่านหนังสือธรรมะ ให้อยู่ห้องละคน ต่างคนต่างทำ และอยู่เงียบสงัดปฏิบัติธรรมแต่เพียงผู้เดียว ไม่คุยไม่ยุ่งกับใคร แต่ไม่ใช่เข้าห้องเงียบไปเลย แล้วทำถูกหรือไม่ถูกก็ไม่รู้ ไม่เคยออกมาเลย ต้องมีครูคอยสอน แนะนำการปฏิบัติให้ถูกต้อง เราทำให้ดีที่สุด ไม่ต้องห่วงคนโน่นไม่ต้องห่วงคนนี้ ว่าเขาจะได้หรือไม่ได้ ห่วงตัวเองให้มากที่สุด ต้องไม่คุยกับใคร มีสติอยู่กับตัว ไม่ต้องไปสนใจคนอื่น ถ้าไปสนใจที่อื่น สมาธิไม่เกิด ไม่มีกำลังพอ ปัญญาก็ไม่เกิด เวลามีเท่ากัน แล้วแต่ใครจะได้ประโยชน์และใช้เวลาคุ้มค่ากว่ากัน

ดังนั้นทุกท่านโปรดตัดปลิโพธกังวล บางคนมานั่งกรรมฐาน แม่ป่วย เราก็บอกว่า “หนูทำกรรมฐานช่วยแม่เถอะ หนูไปก็ช่วยอะไรไม่ได้ หมอเขาช่วยทางกาย เราช่วยทางจิต นั่งกรรมฐานให้แม่หน่อยได้ไหม ขอให้ตัดปลิโพธกังวลให้ได้” พอนั่งกรรมฐานครบ ๗ วัน แม่ก็ฟื้นแล้ว หายแล้ว ช่วยกันได้อย่างนี้ เฉพาะพ่อแม่กับลูก กับคนอื่นช่วยไม่ได้ ไม่ใช่สายโลหิตเดียวกัน ถ้าสายโลหิตเดียวกันเหมือนต้นไม้ต้นหนึ่งมีรากฝอยรากแก้วกระจายไปแต่ต้นเดียวกัน รดน้ำตรงไหนมันก็ช่วยไปบำรุงยอดบำรุงให้ออกดอกไว ๆ ได้

การกำหนดจิต คือ เอาสติตั้งไว้ที่จิต เรียกว่ากำหนดจิต ทำจิตให้มีปัญญา เมื่อก่อนอาตมาจะไม่บอกเรื่องกำหนดจิต จะไม่บอกว่ามีสติ ตอนนี้ต้องพูดว่า ต้องมีสติอยู่ที่จิต เช่น ยืนหนอ ๕ ครั้ง อาตมาไปได้มาจากขอนแก่น ตอนที่เราคอหักพับไป ได้ประสบการณ์ด้วยตนเอง หายใจทางสะดือได้ สติรู้ที่ลิ้นปี่ นอกจากนั้นไม่มีความรู้สึก มืออยู่ที่ไหน แขนอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ ตาก็มองไม่เห็น หูก็ตึง แต่สติรู้ทุกอิริยาบถที่ลิ้นปี่ จึงต้องให้กำหนดคิดตรงนี้ เกิดที่ตรงนี้

สำนักอื่นเขาให้คิดที่หัว แต่ข้อเท็จจริงอยู่ที่ลิ้นปี่นี่หายใจยาว ๆ ตั้งสติหายใจให้ลึก ๆ และมีสติรู้ลมหายใจเข้าออกตลอดเวลา รับรองว่าได้ผลแน่นอน เราฟื้นคืนมาได้เพราะอย่างนี้ สะดือนี่หายใจได้แน่นอน ถ้าเราไม่ฝึกมาเลยจะไม่รู้และทำไม่ได้

ถ้าเข้าผลสมาบัติได้ จะรู้ว่าหายใจทางสะดือได้แน่นอน และเข้านิโรธสมาบัติ หายใจเข้าทางไหน ไม่หายใจทางจมูก หายใจทางเส้นโลหิต ออกมาตามเหงื่อ มันจะถ่ายเทไปเอง ด้วยลมละเอียดมาก เอากล้องส่องตามตัวจะเห็นว่าตัวเรามีรูเต็มไปหมด เหงื่อตามรูนี้ไม่ใช่ซึมออกตามผิวหนัง รูเล็กมากไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยสายตา เอาร่างไปฝังดินยังไม่ตายเลย

พระในประเทศไทยที่อยู่ในป่ามีหลายองค์ เข้านิโรธสมาบัติ คือไม่หายใจทางจมูก แต่หัวใจยังเต้นอยู่ แต่เต้นน้อยมาก ถ้าไม่เต้นก็ต้องตาย แต่ลมหายใจจะออกมาทางเส้นโลหิต ทางผิวหนัง อันนี้เรียกนิโรธสมาบัติ มีความสำคัญมากสำหรับนักปฏิบัติพระกรรมฐาน

ถ้าเราตั้งใจปฏิบัติ ทำด้วยความศรัทธาและถูกต้อง ออกมาด้วยความเคารพของจิต ตั้งสติสัมปชัญญะ จิตไม่ฟุ้งซ่าน จะทำอะไรจิตก็สงบ จะทำอะไรด้วยความถูกต้อง เราต้องการที่จะผ่านความทุกข์ให้ถึงความสุขให้ได้ แต่ในโลกมนุษย์นี้นั้นไม่มีอะไรที่เป็นความสุข มีแต่ความทุกข์ทั้งหมด นอกจากทุกข์กาย แล้วก็ยังมีทุกข์ใจอีก ทุกข์ด้วยโรคภัยไข้เจ็บ

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม จากการกระทำของเรานั้นเอง อาตมาขอเจริญพรว่า กุสะลา ธัมมา อกุสะลา ธัมมา คนเราเกิดมามีหูมีตามีปากมีฟันเหมือนกัน แยกหญิงชาย แต่มีเวรกรรมมาไม่เหมือนกัน

การเจริญกรรมฐานนั้น ถ้าเราทำให้เสมอต้นเสมอปลาย มันจะปรากฏออกมาสอนเราเรื่อย ๆ เรียกว่า “สมถกรรมฐาน” “วิปัสสนากรรมฐาน”

สมถะ คือการศึกษาฝึกฝนจิตให้สงบเป็นสมาธิ เช่น เดินจงกรม ขวาย่างหนอ ซ้ายย่างหนอ

วิปัสสนา คือศึกษาแสวงหาความรู้ในเรื่องตัวเอง รู้ไตรลักษณ์ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เข้าใจว่าไม่มีอะไรแน่นอน ทุกสิ่งมีการผันแปรอยู่ตลอดเวลา รู้รูป นาม ขันธ์ห้า ทุกสิ่งเป็นอนิจจังไม่เที่ยง ปวดเมื่อยไปทั่วสรรพางค์ก็ต้องกำหนด ท่านต้องผ่านด่านมารทั้งหลาย ต้องชนะมารเหล่านั้นได้ ชนะศัตรูในตัวเองด้วยสติ ศัตรูภายนอกไม่ต้องไปกลัว

การทำความดีมีอุปสรรคมาก ต้องผ่านด่านมารต่าง ๆ
เรามานั่งกรรมฐานก็เพื่อชนะมาร ชนะใจตัวเอง เพราะมารอยู่ในตัวเรา ไม่ใช่อยู่ที่คนอื่น



Create Date : 10 มิถุนายน 2549
Last Update : 11 มิถุนายน 2549 0:07:34 น. 0 comments
Counter : 1435 Pageviews.

ถมทอง
Location :
กรุงเทพ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 56 คน [?]








.: เรื่องล่าสุด ๒๕๕๖ :. คลิกเลยค่ะ

๒ พ.ย. [คลิปเสียง]ธรรมเทศนา ๑๔

๑๔ ต.ค. [คลิป]พิธีถวายผ้าป่า๒๐๐กอง





pub-6092438163871112
Group Blog
 
<<
มิถุนายน 2549
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
252627282930 
 
10 มิถุนายน 2549
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add ถมทอง's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.