"อาตมาไม่ได้พูดให้โยมเชื่อ แต่พูดให้โยมไปคิด".....หลวงพ่อจรัญ ฐิตธมฺโม
อนุสาสนีปาฏิหาริย์ หมวด ๒(๓)


หมวดที่ ๒ กรรมฐาน


๒.๗ กรรม

๐ เหนือฟ้า ยังมีฟ้า แต่มีอะไรเหนือกฎแห่งกรรม

๐ ผู้ที่เป็นชาวพุทธทุกคน ควรเชื่อและพยายามศึกษา ทำความเข้าใจในกฎแห่งกรรม อาตมาอยากจะกล่าวว่า “ชาวพุทธที่ไม่เชื่อในเรื่องกฎแห่งกรรมนั้น หาใช่ชาวพุทธไม่”

๐ พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสไว้ว่า บุคคลจะได้ดีหรือชั่ว จะได้รับสุขหรือทุกข์ ก็เพราะกรรมหรือการกระทำของตนเองทั้งสิ้น พระพุทธองค์ทรงเพียงบอกชี้ทางแห่งความดี หรือความชั่วให้เท่านั้น... ถ้าเราไม่ประกอบกรรมดีด้วยตัวของเราเอง ถึงจะสวดมนต์อ้อนวอน หรือบูชาท่านด้วยอามิสที่มีค่าเพียงใดก็ตาม ท่านก็ไม่อาจเป็นที่พึ่งแห่งเราได้ เพียงนับถือ แต่ไม่ปฏิบัติจะได้อะไรหรือ

๐ คนที่เชื่อเรื่องกรรม ย่อมสามารถอดทน ยอมรับความทุกข์ยากลำบาก ความผิดหวังความขมขื่น และเคราะห์ที่เกิดแก่ตนได้ ไม่ตีโพยตีพายแต่ประการใด ว่าโลกนี้ไม่มีความยุติธรรมเลย ตนไม่ได้รับความเป็นธรรม ทำดีแล้วไม่ได้ดี

๐ จิตใจคนเราจะเหมือนกันทุกคน ย่อมเป็นไปไม่ได้ ทั้งนี้ เนื่องจากกฎแห่งกรรมจากการกระทำที่ไม่เหมือนกัน ต่างคน ต่างทำบุญ ทำบาป แตกต่างกันมา

๐ กรรมให้ผลไม่เหมือนกัน ให้ผลทันเวลาและให้ผลในระยะยาวต่อไป ฉะนั้น ทุกคนจึงมีโอกาสรับกรรมไม่เหมือนกัน บางคนคิดว่าทำดีไม่ได้ดี ทำชั่วได้ดี ทั้งนี้เพราะความดีที่ทำไว้ครั้งนั้นยังมาไม่ถึง ความชั่วหนักกว่าก็มาให้ผลก่อน ส่วนความดีนั้นเบา ก็จะให้ผลในภายหลัง เพราะความดี ความชั่ว น้ำหนักไม่เท่ากัน

๐ หลายคนคิดว่ากฎแห่งกรรมไม่มีจริง จนถึงกับประชดประชันว่า ทำดีได้ดีมีที่ไหน ทำชั่วได้ดีมีถมไป ด้วยเห็นว่า คนทำกรรมชั่วได้รับผลเป็นคนร่ำรวย เป็นคนมีอำนาจวาสนา มีคนเคารพยกย่อง ตรงกันข้ามกับคนที่ทำงานด้วยความซื่อสัตย์ สุจริต ขยันขันแข็ง กลับต้องมีชีวิตที่ยากลำบาก หรือคนที่ทำงานไม่เป็น คนที่ไม่ทำงาน เลี่ยงงาน แต่ถนัดในการประจบสอพลอ กลับได้เลื่อนขั้นเลื่อนตำแหน่ง ก้าวหน้าดี...

๐ ควรเข้าใจในเรื่องการให้ผลของกรรม ซึ่งมี ๒ ชั้น คือ การให้ผลของกรรมในชั้นธรรมดา และการให้ผลของกรรมในชั้นศีลธรรม

การให้ผลของกรรมในชั้นธรรมดา เป็นการให้ผลที่ไม่คำนึงถึงหลักความชอบธรรม เช่น นาย ก. โกงเงินหลวงหรือขโมยทรัพย์ของคนอื่นมา ผลก็คือ ได้เงินซื้อบ้านและอยู่บ้านหลังนั้น นี่เป็นการให้ผลของกรรมชั้นธรรมดา การให้ผลของกรรมหาได้หยุดเพียงแค่นั้น แต่ยังจะให้ผลในอนาคตในขั้นศีลธรรมอีก คือ ทำดีจะต้องได้รับผลดีอย่างแน่นอน และถ้าทำชั่ว จะต้องได้รับผลชั่ว อย่างหนีไม่พ้น

กรรมบางอย่างอาจจะให้ผลในชาตินี้ บางอย่างอาจให้ ผลในชาติหน้า หรือ อาจให้ผลในชาติต่อ ๆ ไป เช่นเดียวกับการปลูกพืช พืชบางอย่างให้ผลภายในระยะเวลาไม่กี่เดือน บางอย่างก็เป็นปี บางอย่างก็หลายปี ไม่เท่ากันแล้วแต่ชนิดของพืช (กรรม : ทั้งดีและชั่ว) การที่ทำความชั่วแล้วได้ดีมีสุขอยู่ จึงเป็นเพราะกรรมชั่วยังไม่ให้ผล แต่กรรมดีที่เขา เคยทำยังคอยสนับสนุนอยู่ คนที่ไม่เชื่อเรื่องกรรมมักจะมองแค่ผลของกรรมชั้นธรรมดา

คนที่ทำความชั่วแล้วความชั่วยังไม่ให้ผล ก็คิดว่าตนเป็นคนฉลาด ดูถูกพวกที่เชื่อเรื่องกรรมว่า เป็นคนงมงาย คนทำชั่วได้ดีจึงเปรียบเสมือนคนที่รับประทานขนมเจือยาพิษ ตราบใดที่ยาพิษยังไม่ให้ผล ก็คิดว่าขนมนั้นเอร็ดอร่อยหวานลิ้น

การให้ผลของกรรม มี ๒ ทาง คือ
ผลทางจิตใจ เป็นเรื่องเกี่ยวกับผู้กระทำโดยเฉพาะ ทำแล้วได้รับผลทันที คือ ความสุขใจ ความปิติ หรือความทุกข์ใจ เศร้าหมองใจ
ผลทางวัตถุ เป็นเรื่องเกี่ยวเนื่องกับผู้อื่น หรือปัจจัยอื่นมาเกี่ยวข้อง จึงทำได้ยาก

คนทำดีจะให้ได้ดีทางวัตถุ (หวังลาภยศ สรรเสริญ) ต้องประกอบด้วยหลัก ๔ ประการ
๑. ทำดี ต้องถูกสถานที่
๒. ทำดี ต้องถูกตัวบุคคล
๓. ทำดี ต้องถูกกาลเวลา
๔. ทำดี ต้องทำให้เสมอต้นเสมอปลาย

การทำความดี เราควรจะหวังผลทางจิตใจมากกว่าวัตถุ บางคนอาจทำความดีจริง แต่ดีไม่ถึงขั้น คือ ทำดีเพียงเล็ก ๆ น้อย ๆ แล้วหวังผลแห่งความดีนั้น เมื่อไม่ได้รับผลตอบแทนก็หมดกำลังใจ น้อยใจ แล้วก็บอกว่าทำดีไม่เห็นได้ดี คนพวกนี้เหมือนคนปลูกพืชรดน้ำพรวนดินเพียงเล็กน้อย แต่หวังผลมากมาย เหมือนรดน้ำที่ยอด คิดว่าจะได้ออกดอกออกผลไว ๆ ฉันนั้น

คำว่า “ได้ดี หรือ ได้ชั่ว” ในทางโลกและทางธรรม มีความหมายต่างกัน

ทางโลก ได้ดี มักหมายถึง การได้ทรัพย์สมบัติ ได้อำนาจวาสนา ได้ตำแหน่งหน้าที่การงานดีขึ้น ส่วนได้ชั่ว หมายถึง พลาดหวังจากสิ่งดังกล่าว เป็นอัมพาต สมบัติโดนยึด เป็นต้น

ทางธรรม ได้ดี หมายถึงทำให้จิตใจดี เป็นสุข จิตใจสว่าง สะอาด สงบ ส่วนได้ชั่ว หมายถึง ทำให้จิตใจต่ำลง เศร้าหมอง เลวลง มืดมัว

๐ ถ้าชาติที่แล้ว ปาณาฯ ติดตัวมา ๖๐% รับรองชาตินี้ จะง่อยเปลี้ยเสียขา เป็นอัมพาต ถูกเขาฆ่า

๐ ถ้าชาติที่แล้ว อทินนาฯ ติดตัวมา ๖๐% รับรองชาตินี้ จะถูกจี้ปล้น ไฟไหม้บ้าน

๐ ถ้าชาติที่แล้ว กาเมฯ ติดตัวมา ๖๐% รับรองชาตินี้ จะมีเมียกี่คนมีชู้หมด มีผัวกี่คนเป็นของคนอื่นหมด

๐ ถ้าชาติที่แล้ว มุสาฯ ติดตัวมา ๖๐% รับรองชาตินี้ จะโดนหลอกลวง โดนโกหก

๐ ถ้าชาติที่แล้ว สุราฯ ติดตัวมา ๖๐% รับรองชาตินี้ จะเป็นโรคปัญญาอ่อน วิกลจริต

๐ เมื่อยังมีชีวิตอยู่ประกอบกิจ ด้วยอำนาจ โลภะ ตายไปจะเป็น เปรต

๐ เมื่อยังมีชีวิตอยู่ประกอบกิจ ด้วยอำนาจ โทสะ ตายไปจะเป็น อสูรกาย (ตกนรก)

๐ เมื่อยังมีชีวิตอยู่ประกอบกิจ ด้วยอำนาจ โมหะ ตายไปจะเป็น สัตว์เดรัจฉาน

๐ บุคคลที่มีพฤติกรรมดังนี้ แม้จากภพนี้ไปแล้ว ย่อมเป็นเปรตในภพหน้า

๑. อิจฉาริษยาคนร่ำรวยและสูงกว่าตน หรือดูถูกดูแคลนคนยากจน หรือต่ำกว่าตน
๒. ตระหนี่ไม่ทำทาน และยังกีดกันคนที่ทำทาน
๓. นำทรัพย์สินและของส่วนรวม มาเป็นของตน
๔. ติฉินนินทา กล่าวร้ายพระ และครูอาจารย์ของตน
๕. ยุยงสงฆ์และหมู่คณะให้แตกกัน
๖. ให้ยาหญิงมีครรภ์ เพื่อทำลายเด็กในครรภ์
๗. แช่งด่าคนที่ทำบุญและทำความดีต่อสังคมและพระสงฆ์
๘. ใช้อุบายทุจริตในการค้า
๙. ประทุษร้ายต่อพ่อแม่และคนในวงศ์ตระกูลของตน
๑๐. ไม่ยอมให้ทานข้าว (บริจาคข้าวเป็นทาน) และยังสาบานว่าไม่มีข้าวดังกล่าว
๑๑. ลักขโมยของคนอื่นมากิน แล้วสาบานว่าไม่ได้ขโมย
๑๒. กลางคืนถือศีล กลางวันเป็นพราน
๑๓. เป็นเจ้าเมือง หรือเป็นผู้ใหญ่ เป็นข้าราชการ ที่ชอบกินสินจ้างรางวัล
๑๔. ทำบุญด้วยของเหลือเดน ถวายภัตตาหารด้วยเนื้อหมาและสัตว์ที่มีเล็บ
๑๕. ข่มเหงรังแกคนยากคนจน ตัดไม้ทำลายป่า

อนาคตท่านจะย่ำแย่เป็นเปรตในอนาคต และจะเห็นทันตาในปัจจุบัน

๐ อำนาจโทสะ ไม่พอใจคนโน้นคนนี้ ตายขณะนั้นลงนรกไปเลย ทำบุญทอดกฐิน สร้างศาลา ยกช่อฟ้าหน้าบัน ก็ต้องลงนรกไป ผิดหวังแน่นอนด้วยอำนาจโทสะ

๐ อำนาจโมหะ ตายไปก็เป็นสัตว์เดรัจฉาน หาสติปัญญาไม่ได้ ตายจากสัตว์เดรัจฉานกลับมาเป็นมนุษย์ ก็ไร้สติปัญญา จะเรียนหนังสือได้ อย่าทำอารมณ์อย่างนั้นเลย แก้ปัญหาปัจจุบันเสียให้ทันท่วงที

๐ โยมคนหนึ่งเป็นเศรษฐี อายุ ๘๔ ปี รักษาอุโบสถมา ๓๐ ปี ทอดกฐินเก่ง ทอดผ้าป่าเก่ง แต่ตายเป็นเปรต ไปเที่ยวเอาของเขา เพราะอำนาจโลภะ เอาทรัพย์สมบัติของลูกชายคนโต มาให้ลูกสาวคนเล็ก ลูกเขย (สามีของลูกสาวคนเล็ก) เล่นการพนันผลาญหมด เลยเสียใจ ตรอมใจ ถึงแก่กรรมตายเป็นเปรต

๐ เมื่อสมัยก่อนเขาเป็นเศรษฐีมีเงิน ขี้เกียจทำบุญ ตายแล้วไม่ได้ไปเกิด เป็นเปรตอยู่ที่นั่น อยู่มา ๑๐๐ กว่าปีแล้ว เป็นปู่โสมเฝ้าทรัพย์ เจ้าของที่ใหม่จะขายก็ขายไม่ได้

๐ “หลวงพ่อตายแล้ว (หลวงพ่อขำ) เขาทำศพแล้ว ๕๐-๖๐ ปีผ่านไป หลวงพ่อยังต้องไปทวงหนี้เขา อดอยากเหลือเกิน ...พ่อทิดมีเงินมีทอง หมั่นทำบุญทำทานนะ อย่าไปให้ใครกู้อย่างนี้เลย...” ท่านบอกว่าสอนลูกสอนหลานนะ อย่าทำเลย อย่าขี้เหนียวเลย นี่แหละหลวงพ่อลำบากเหลือเกิน บัดนี้ยังหาที่เกิดไม่ได้เลย ไปเที่ยวทวงหนี้ ทวงแล้วเขาไม่ให้ ก็ตามทวงตลอดไป
(เปรตหลวงพ่อขำ อดีตเจ้าอาวาส วัดเสาธงทอง อ.พรหมบุรี จ.สิงห์บุรี ไปเข้าฝันโยมคนหนึ่งที่วัดโพธาราม อ.ศรีสำโรง จ.สุโขทัย เมื่อ พ.ศ.๒๕๑๗ หลวงพ่อของพวกเราบันทึกสัมภาษณ์ และตรวจสอบแล้ว)

๐ ที่วัดอัมพวันก็ยังมีชื่อ หลวงตาเฟื่อง เดี๋ยวนี้ยังอยู่ด้วย ตอนบวชไม่ทำกิจวัตรอะไร ขนแต่ของวัดเข้าบ้าน ตายแล้ว เป็นเปรตอยู่ที่วัดนี้ฯ (เขียนไว้เมื่อปี พ.ศ.๒๕๓๓)

๐ คนที่เป็นหนี้ (กรรม) เขายังใช้หนี้ (กรรม) ไม่หมด สร้างความดีไม่ขึ้น หากินไม่ขึ้น บางคนค้าขายร่ำรวยจริง แต่เก็บเงินไม่อยู่ ทำอย่างไรก็ไม่อยู่ ไม่รู้ออกไปไหนหมด อาตมาก็ดูให้ บอกให้ มานั่งกรรมฐาน แก้กรรมนี้เสีย ก็ได้ความว่า สร้างเวร สร้างกรรม มามาก ยังใช้ไม่หมด พอใช้เวรใช้กรรมหมด ก็อโหสิกรรม แผ่เมตตา บำเพ็ญกุศลเรียบร้อย ที่นี้เก็บเงินอยู่ละ เป็นเศรษฐีได้ นี่กลายเป็นคนมีเงินมีทองไปแล้ว นี่แหละ ใช้หนี้ใครไม่หมด ไม่เจริญหรอก ทำมาหากินไม่ขึ้น ขอฝากไว้สั้น ๆ

๐ ถ้าท่านอยากหมดเวรหมดกรรม อาตมาตอบสั้น ๆ อย่าไปสร้างเวรสร้างกรรมต่อไป แค่นี้พอแล้ว ค่อย ๆ ทยอยใช้ ไม่นานก็หมดไปเอง เหมือนกับเราไปขอยืมเงินเขามา ๑,๐๐๐ บาท ถ้าใช้คืนวันละบาทสองบาท ต้องใช้เวลานาน แต่ถ้าใช้วันละ ๑๐๐-๒๐๐ บาท เดี๋ยวมันก็หมดไปเอง

๐ สร้างความดี จะมองเห็นกรรม สร้างความชั่ว จะไม่เห็นอะไรเลย ต้องไปใช้ ดอกทบต้นในเมืองนรก

๐ สร้างกรรม เราเป็นคนทำ เราต้องเป็นคนแก้ จะไปให้คนอื่นแก้ไม่ได้... การเจริญกรรมฐาน ทำให้รู้กฎแห่งกรรมว่าเราเคยทำอะไรไว้ จะได้แก้กรรม (ชดใช้กรรม) ของตัวเอง ไม่ใช่คนอื่นแก้ให้ เราไปขอยืมเงินของเขามา แล้วให้คนอื่นรับใช้ มันจะถูกต้องไหม คงจะไม่ยุติธรรมกระมัง กฎแห่งกรรมนะ ท่านทั้งหลาย บางคนด่ากันว่ากัน พ่อบางคนเตะลูกทั้งรองเท้า เป็นเวรกรรมเจริญกรรมฐานไม่ได้หรอก ต้องอโหสิกรรมกันก่อน บางคนด่าสามี ทำกรรมฐานไม่ได้ผล เพราะไม่ได้อโหสิกรรมก่อน บางคนคิดไม่ดีกับพ่อ คิดไม่ดีกับแม่ ไม่ต้องทำกรรมฐานนะ ไม่ได้ผล ถ้าไม่อโหสิกรรมก่อนไม่ได้ผล เหมือนเราไปแจ้งความที่โรงพัก ถ้าไม่ถอนแจ้งความ มันก็มีความผิดต่อไป เป็นกฎแห่งกรรมนะ เราต้องถอน เราไปพูดด่าเขา ก็อโหสิกรรมถอนคำพูดออกจากการด่าเขาเสีย ถึงจะไม่มีเวรกรรมติดตัวไป อันนี้มีประโยชน์มาก ผู้ที่เจริญกรรมฐานถึงจะรู้ได้

๐ บุญกับบาป ลงล้างกันไม่ได้ บุญก็อยู่ส่วนบุญ บาปก็อยู่ส่วนบาป เปรียบเหมือนน้ำกับน้ำมัน...หากเราสร้างกรรมดี สร้างบุญกุศลให้มากเข้าไว้ แม้บุญกุศลจะไม่สามารถล้างกรรมชั่วได้ แต่หากบาปกรรมชั่วมีน้อย ก็จะยังตามไม่ทัน เพราะกุศลบารมีมากกว่า เมื่อเราสร้างบุญกุศลเป็นบารมีมากขึ้น เราก็แผ่ส่วนกุศลให้เจ้ากรรมนายเวร สร้างบุญกุศลครั้งใด ก็อุทิศทุกครั้งไป หากกรรมชั่วเรามีน้อยก็จะจางไป เพราะส่วนกุศลที่เราอุทิศ จะชดใช้หนี้กรรมไปในตัว เมื่อเราสร้างบุญกุศลมากขึ้น กรรมชั่ว ถึงไม่จาง ก็ค่อยห่างออกไป ยังตามไม่ทัน แต่หากหยุดสร้างบุญกุศลและหันมาสร้างกรรมชั่วสร้างบาปต่อไป กรรมชั่วก็จะเข้าใกล้ ติดตามมาทันสนองเร็วขึ้น หากเป็นกรรมหนักก็ยากที่จะหลบหลีกให้พ้นได้ แม้จะสร้างกรรมดีเพียงใดก็ตาม ก็ต้องรับกรรมหนักชาตินี้ไปก่อน จนกว่าจะหมดเวร ส่วนกรรมดีก็จะสนองภายหลังหรือชาติหน้า หรือเมื่อใช้หนี้อกุศลกรรมหมดแล้ว

(เรื่องนี้หลวงพ่อได้เล่าเปรียบเทียบไว้น่าฟังเป็นอีกเหตุผลหนึ่งว่า เหมือนเราไปยืมสตางค์เขามาแล้วไม่มีใช้ ก็คือเป็นหนี้เขา ต้องชดใช้ทั้งดอกและต้น เราอาจขอทำงานรับใช้เขา เพื่อลดดอก เมื่อเขาเห็นความดีเรามากเข้า เขาอาจไม่คิดดอก อดทนทำความดีให้เจ้าหนี้เห็นยิ่ง ๆ ขึ้น เขาอาจยกหนี้ให้หมดเลย : ผู้รวบรวม)

๐ กรรม สิ้นสุดที่ อโหสิกรรม.... ก่อนที่จะแผ่เมตตาออกไป ต้องอโหสิกรรมก่อนนะ ถ้าไม่อโหสิกรรมออกก่อน ท่านจะแผ่ไม่ออก อโหสิกรรมให้ใจสบาย ไม่โกรธใคร ไม่เกลียดใคร ไม่อิจฉาริษยาใคร แผ่เดี๋ยวนั้นถึงเดี๋ยวนั้น แล้วก็มีการตอบรับด้วยนะ อันนี้มันเป็นของใครของมัน อาตมาจะบอกกรรมวิธีแบบวิชาการนั้นคงไม่ได้ เพียงแต่แนะแนววิธีปฏิบัติเท่านั้น จากอำนาจของจิตด้วยการใช้สตินั่นเอง

๐ ถ้าไม่ได้ใช้ในชาตินี้ ก็ต้องใช้ดอกในชาติหน้านะ กฎแห่งกรรมมีจริง แต่กฎแห่งกรรมที่อาตมาประเมินผลและได้ประสบการณ์มารู้ล่วงหน้าได้ เพราะใช้สติระลึกก่อนเป็นตัวรู้ล่วงหน้า ตัวสัมปชัญญะเป็นตัวผลักดัน ทำให้แก้ไขเหตุการณ์ได้ทันเฉพาะหน้า ที่อาตมารู้นี้ก็เนื่องจากเราเจริญสมาธิ เจริญสติอยู่ตลอดเวลา ขอให้ท่านไปพิจารณาด้วยตนเอง ด้วยเจริญกุศลภาวนาไปเรื่อย ๆ ไม่จำเป็นต้องมีเวลาว่าง เวลาที่ท่านทำงานก็ภาวนาไป หูได้ยินเสียงก็ภาวนาไว้ ตั้งสติไว้ตลอดกาล กัมมัฎฐานมีความสำคัญต่อหน้าที่การงาน

๐ ขอเจริญพรว่า การแผ่ส่วนกุศลหรือแผ่เมตตาแก้กรรม จะแก้บทใด อย่าพูดเรื่องนั้น อย่าไปด่าไปว่า จะไม่มีทางแก้ไขได้ จะเป็นการหยิกเล็บเจ็บเนื้อ จะเหลือวิสัย.... วิธีแก้กรรม อย่าไปผูกใจเจ็บ ให้อโหสิกรรมเสีย ก็จะเป็นสุขทุกฝ่าย

๐ คำว่า ตัวกรรมเห็นชัด คือ เวทนา ถ้าเรานั่งเมื่อยแล้วเลิก เดินจงกรมเมื่อยแล้วเลิก รับรองทำอีกหมื่นปี ก็ไม่พบกฎแห่งกรรม จากการกระทำของตน ไม่พบแน่ ขอฝากปรารภธรรมไว้ในข้อนี้

๐ กรรมครั้งอดีตนั้น ต้องแก้ด้วยการเจริญทุกขเวทนา มีเวทนาแล้วต้องสู้ เวทนาจะ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป เราจะรู้ว่าเราทำกรรมอะไรไว้
กรรมปัจจุบัน แก้ด้วยการกำหนดทางอายตนะ ธาตุอินทรีย์ หน้าที่การงานให้มันดับไป อย่ามาติดใจและข้องอยู่ แต่ประการใด ไฟราคะ โทสะ โมหะ ก็จบไม่ลุกลามไปถึงอนาคต

๐ การอุทิศส่วนกุศลให้บรรพบุรุษบิดามารดาชาติเก่าครั้งอดีต ก็มีโอกาสมารับส่วนบุญกุศลด้วย เรามีบิดามารดามาหลายชาติ หลายกัปป์ หลายกัลป์ มาชาตินี้ก็มิทราบได้ว่า ใครเป็นบิดามารดาของเรา... พระเกจิอาจารย์ท่านเล่าสืบมา บางที บิดามารดา ญาติวงศ์พงศามาเกิดเป็นสุนัข เป็นวัน เป็นควาย ฯลฯ เราก็หารู้ไม่ เพราะล้มหายตายจากไปหลายชาติ... หลวงพ่อยกตัวอย่าง ชายหนุ่มจากจังหวัดปัตตานี ขึ้นไปรับจ้างทำไร่ไถนาที่จังหวัดพิจิต ได้พบครอบครัวที่ในอดีตชาติ เขาเคยเป็นพ่อบ้านของครอบครัวนี้ และเมื่อลูกหลานบ้านนี้ทำบุญให้บรรพบุรุษครั้งไร ก็รู้สึกอิ่มท้องตลอดทั้งวันทั้งคืน

๐ ท่านทั้งหลายเอ๋ย ที่เราสร้างบุญสร้างบาปกันมาเองนี่แหละ พ่อแม่สร้างความไม่ดีให้กับลูก ทำความไม่ถูกให้กับหลาน เวรกรรมก็จะโอนให้กับลูกของตน... ถ้าพ่อมีบุญ แม่มีบุญได้เจริญกรรมฐาน ลูกออกมาก็จะมีบุญวาสนาด้วย ถ้าพ่อมีเวร แม่ซ้ำมีเวร สร้างเวรสร้างกรรมร่วมกันมา ลูกจะมีสมองดีไม่ได้ เสียจริตผิดมนุษย์ ไม่สามารถจะสอนให้เขาดีได้.... อย่างที่พระพุทธเจ้าสอนไว้ ที่เราสวดมนต์ว่า “กัมมทายาโท กัมมโยนิ กัมมพันธุ กัมมปฏิสรโน ยัง กัมมังกรัสสามิ กัลยาณังวาปา ปะกังวา”

๐ การผสมเทียม (เด็กหลอดแก้ว) เกี่ยวข้องกับกฎแห่งกรรมอย่างไร พระเดชพระคุณหลวงพ่อได้ยกตัวอย่างเปรียบเทียบได้อย่างแยบยลและเข้าใจได้ชัดเจนว่า “การที่เราจะไปอยู่ บ้านหลังใหม่ (เกิดใหม่) ก็ต้องให้บ้าน (ตัวอ่อนหรือทารกในครรภ์) สร้างเสร็จก่อน (เมื่อตัวอ่อนเริ่มมีปัญจะสาขา คือมือสอง เท้าสอง สมองหนึ่ง) แล้ว เรา (จิตวิญญาณ) จึงจะเข้าไปอยู่ มิใช่เรายืนอยู่แล้วให้ช่างมาสร้างบ้านคร่อมตัวเรา การนำเชื้อของผู้ชายคนไหนมาไม่สำคัญ (เป็นส่วนหนึ่งของวัสดุก่อสร้าง) สำคัญอยู่แต่สามีภรรยาคู่นั้น ว่าเขาทั้งสองมี กรรมดีกรรมชั่วติดตัวมาอย่างไร ถ้ามีบุญกุศลติดตัวมาดี ก็จะได้จิตวิญญาณที่ดีมากำเนิด แต่ถ้ามีบาปกรรมชั่วติดตัวมา ก็จะได้สัตว์นรกมาเกิด เป็นความผูกพันที่มีต่อกันมาแต่อดีต ตามมาถึงภพชาติปัจจุบัน (ผู้ที่คิดจะทำต้องพิจารณาให้รอบคอบเป็นพิเศษ โดยเฉพาะกับคน เพราะอาจมีปัญหาสังคมตามมา อันเนื่องมาแต่ความผูกพันและความอบอุ่นในครอบครัว)

๐ เหตุเกิดที่อยุธยา ขอทานสองคนผัวเมียมีลูกชายออกมา ก็ทิ้งให้แม่ (ยาย) เลี้ยง ส่วนตัวเองก็ขอทานเป็นปกติ จนกระทั่งลูกโต (ชื่ออ้ายจุก) ยายก็พาหลานออกขอทานตามอาชีพของเขา วันหนึ่งผ่านบ้านเศรษฐีใจบุญแต่ไม่มีลูก ก็ไปยืนขอทาน เศรษฐีกลับต้องชะตาลูกขอทาน ก็ถามขอทานว่าลูกหรือ ขอทานก็บอกว่าไม่ใช่ เป็นหลาน ลูกของลูกสาว แล้วเอ่ยปากขอเอาไปเลี้ยง ในที่สุดครอบครัวขอทานก็ยกให้ และเศรษฐีสองสามีภรรยานี้ก็รักมาก ส่งเสียเรียนหนังสือจบแล้ว รับราชการตั้งแต่เป็นปลัดอำเภอย้ายหมุนเวียนจนมาเป็นผู้ว่าราชการจังหวัดพระนครศรีอยุธยา แล้วผู้ว่าคนนี้ยังแวะไปดูถิ่นกำเนิดของตัวเอง และยังแนะนำตัวเองกับคนที่มีชีวิตอยู่ เรื่องนี้ หลวงพ่อเล่าให้ญาติโยมฟังบ่อย ๆ เป็นความผูกพันมาตั้งแต่อดีตชาติ ภรรยาเศรษฐีมีเหตุให้ไม่สามารถมีลูกได้ ลูกจึงต้องมาอาศัยท้องขอทานเกิด เมื่อเกิดมาลักษณะผิวพรรณก็ไม่เหมือนลูกขอทานทั่วไป พอพบหน้ากันก็ถูกชะตาทันที นี่เป็นเพราะกรรมดีที่สร้างร่วมกันมา ผูกพันกันมาตั้งแต่อดีต ตัวอย่างนี้ประมาณสี่สิบปีมาแล้ว

๐ ท่านก็เลือกเอา เฮฮาตอนเป็นพระ ไม่สำรวมสังวรระวัง ไม่อยู่ในโอวาทอุปัชฌาย์ เป็นไปตามกรรมเองนะ... ตั้งแต่บวชมาหลวงพ่อไม่เคยเอาจีวรออก นอกเหนือจากสรงน้ำ เหงื่อออกหยดลูกคางก็ต้องห่มจนเคยชิน และสำรวมอยู่เสมอ พิจารณาปัจจยะปัจเวกขณะอยู่เสมอ ครองสบงทรงจีวรก็มีสติ พิจารณาปฏิสังขาโย อัชมยา ยถาปัจจยัง สำรวมอยู่ทุกวัน รับรอง ท่านมีใจเป็นกุศล จิตท่านก็เป็นบุญ ท่านเกิดความสุขในอนาคตแน่.... ถ้าท่านพิจารณาปัจจยะปัจเวกขณะ ๔ ประการตลอดแล้ว รับรองสึกหาลาเพศไปแล้ว ท่านจะทำอะไรก็ราบรื่น ประกอบอาชีพอะไรก็ประสบผลสำเร็จ

๐ ดูก่อนอานนท์ศรีอนุชา บัดนี้เราเป็นนักบวช เป็นหนี้ชาวแว่นแคว้น เป็นหนี้ญาติโยมมากหลาย จงใช้หนี้โยมเขา ใช้ค่าข้าวสุก ใช้ค่าปัจจัย ๔ เขานะ... อย่านิ่งดูดาย บริโภคปัจจัย ๔ ของโยม โดยไม่พิจารณา... พระสงฆ์ต้องเคร่งครัดในสีลาจารวัตร และพิจารณาปัจจัยทุกครั้ง ที่ใช้นุ่งห่ม... พระแต่ละรูปก็เป็นหนี้โยม แต่ละเม็ดข้าวสุกแล้ว ทำไมไม่ใช้หนี้โยม... กุฏิที่อยู่ ที่กินสะอาด ที่ถ่ายสะดวก มาบวชแล้วไม่ใช้หนี้โยม ไม่ช่วยกันกวาด ไม่ช่วยกันทำ ไม่รักษาของประชาชน สงฆ์ก็เป็นหนี้ประชาชน... รับรองกินกับนอน ตายแล้วไปเป็นเปรต พระพุทธองค์ทรงแสดงไว้ ตายไปแล้ว จะไปกินก้อนกรวด ก้อนทองแดงในเมืองนรก แน่นอนที่สุด เดี๋ยวนี้ พระที่วัดนี้ตายไปหลายองค์ กำลังกินก้อนกรวด ก้อนทองแดง อยู่ในเมืองนรก ไม่เคยใช้หนี้โยมเลย ใช้หนี้โยม ต้องสร้างความดีให้เป็นประโยชน์แก่ประชาชน

(ลูกศิษย์รุ่นเก่าเคยเล่าให้ฟังว่า แม่ใหญ่เข้าผลสมาบัติ ไปเที่ยวแดนนรก เห็นผ้าเหลืองหน้าประตูนรกเต็มไปหมด หลวงพ่อต้องไปตาม เพราะเกรงว่าจะหลงติด ทำให้การปฏิบัติไม่ก้าวหน้า : ผู้รวบรวม)

๐ ถึงโภชนาหารเจริญรุ่งเรืองวิตามินดีก็ตาม แต่ทำไม คนตายในวัยเด็ก ทำไมโดนยิงตาย โดนรถชน โดนอุบัติเหตุ โดนโรคมะเร็งกิน กระทั่งมียารักษาโรคอยู่มากมาย นั่นคือ กฎแห่งกรรม จากการกระทำเป็นกฎอันหนึ่ง

๐ พระท่านสอนว่า กิจโฉ มนุสสปฏิลาโภ การเกิดเป็นมนุษย์แสนจะยาก ยิ่งมีหน้าตาดียิ่งหายากที่สุด... บางคน มีศีลมาไม่ครบ เกิดมาขี้ริ้วขี้เหร่ บางคนเกิดมาง่อยเปลี้ยเสียขา บางคนตาบอดหูหนวก บางคนแถมยังปัญญาอ่อน บางคนเป็นอัมพาต... บางคนมีมา ทานดี แต่ชาติก่อน ก็เกิดเป็นลูกมหาเศรษฐีมั่งมีศรีสุข แต่เมื่อชาติก่อนเขาได้ทำการเบียดเบียนสัตว์มา ชาตินี้จึงสามวันดีสี่วันไข้ มีเงินก็ช่วยไม่ได้ บางคนไม่ได้สร้างเหตุแห่งปัญญามา ถึงเกิดเป็นลูกเศรษฐี เงินก็ช่วยซื้อวิชาไม่ได้... บางคนบ้านใหญ่บ้านโตราวกับวัง แต่กินข้าวกับน้ำตาไม่เว้นแต่ละวัน

๐ โลกมนุษย์มีแต่ ขี้เกียจ ขี้โกง ขี้อิจฉา ขี้ริษยา... สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเรานั้น ทรงแสดงเหตุผลชัดเจน สร้างความดีจะไปสวรรค์ ต้องมาที่โลกมนุษย์ ที่อิจฉากัน

๐ คนที่ไม่มีธัมมะ ชอบขี้เกียจ ขี้โกง ขี้อิจฉา ขี้ริษยา ชอบประทุษร้ายเขา จะมีแต่ความทุกข์ที่น่ากลัว โดยเฉพาะกับผู้บริสุทธิ์ที่ไม่มีความผิด จนได้รับโทษทัณฑ์ ผู้นั้นต้องถึงความพินาศ... โทษที่น่ากลัวคือ อิจฉา จะเกิดอาพาธเจ็บป่วยอย่างหนัก ต้องทนทุกข์ทรมาน คนที่ริษยา จิตจะกระวนกระวายและฟุ้งซ่านตลอดชีวิต

๐ ถ้าเราเกื้อกูลกัน ในวันนี้
จะเป็นญาติกัน ในวันหน้า
ถ้าเราเกื้อกูลกัน ครั้งอดีตชาติ
ต้องมาเป็นญาติกัน ในวันนี้
ขอฝากทุกคนในที่นี้ด้วย

๐ ชาติที่แล้วเคยเป็นสามีภรรยา เป็นคู่เวรคู่กรรมกันมา ชาตินี้มาเจอกัน ก็ต้องเป็นคู่เวรคู่กรรมกันต่อไป แต่ก็ไม่แยกจากกัน ต้องแก้ด้วยการแผ่เมตตา

๐ หญิง รัก หญิง หรือ ชาย รัก ชาย ในอดีตชาติเคยเป็นคู่กันมา แต่ผิดศีลบางประการ ต้องมาเกิดเป็นเพศอย่างเดียวกัน แล้วก็รักกันต่อไป

๐ ชาย ที่ปู้ยี้ปู้ยำ หญิง ทำให้เขาต้องเสียใจ จะไปเกิดเป็นโสเภณี ไปจนตาย และชาติต่อไป จะไปเกิดเป็นชายเป็นบ้าเสียสติ และในชาตินี้ลูกจะต้องเป็นโสเภณี

๐ ใครที่ หลอกลวงเขา ทำให้เขาลุ่มหลงมัวเมา ชาติต่อไปจะต้องเป็นบ้า

๐ เราชอบเขา เขาไม่ชอบเรา แสดงว่า เคยทะเลาะกันมา

๐ เขารักเรา เรารักเขา แล้วเขาก็ร้างเราไป เราก็คลุ้มคลั่ง เราสร้างกรรมให้ตัวเราเอง

๐ การแก้กรรมที่ยอดเยี่ยมที่สุด คือ การที่ญาติโยมมานั่งเจริญกรรมฐาน แล้วแผ่ส่วนกุศลให้เจ้ากรรมนายเวร ทุกท่านจะกลับร้ายกลายเป็นดี ลูกหลานจะมั่งมีศรีสุข จะประกอบอาชีพการงาน ก็จะมีเงินไหลนอง ทองไหลมา

๐ นี่แหละเวรกรรมตามสนองอย่างไร กฎแห่งกรรมจะบอกชัด การเจริญกรรมฐานจะแก้ได้ มันจะล้างมลทิน ได้ล้างกรรมเก่าที่มีมานานแล้ว จะมีแต่โชคดี มีปัญญา คนที่ไม่เคยอุปถัมภ์ ก็จะมาอุปถัมภ์ คนที่เป็นศัตรูกัน จะกลับมาเป็นมิตร



Create Date : 14 พฤษภาคม 2549
Last Update : 14 พฤษภาคม 2549 5:15:09 น. 0 comments
Counter : 598 Pageviews.

ถมทอง
Location :
กรุงเทพ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 56 คน [?]








.: เรื่องล่าสุด ๒๕๕๖ :. คลิกเลยค่ะ

๒ พ.ย. [คลิปเสียง]ธรรมเทศนา ๑๔

๑๔ ต.ค. [คลิป]พิธีถวายผ้าป่า๒๐๐กอง





pub-6092438163871112
Group Blog
 
 
พฤษภาคม 2549
 
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
28293031 
 
14 พฤษภาคม 2549
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add ถมทอง's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.