งาสาร ฤาห่อนเหี้ยน หดคืน คำกล่าว สาธุชนยืน อย่างนั้น
Group Blog
 
 
เมษายน 2553
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
252627282930 
 
9 เมษายน 2553
 
All Blogs
 
พระเจ้าแผ่นดิน

>




ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ศิลปินแห่งชาติ ได้เขียนไว้หนังสือสถาบันพระมหากษัตริย์ว่า “พระเจ้าแผ่นดิน” หมายถึง ผู้ทรงดูแลแผ่นดิน และทรงมีพระราชภาระในการทำให้เกิดความอุดมสมบูรณ์แก่แผ่นดิน ประชาชน และประเทศชาติ” พระมหากษัตริย์ไทย ทุกพระองค์ได้ทรงปฏิบัติภารกิจอันยิ่งใหญ่นี้ ต่างๆกันไป ส่งผลให้ชาติไทยของเรา มีความรุ่งเรืองมาถึงปัจจุบัน บางพระองค์มีความโดดเด่นเป็นพิเศษในด้านต่างๆเป็นที่จารึกจดจำอยู่ในหัวใจของคนไทย และควรที่จะถ่ายทอดไปยังเยาวชนรุ่นหลังให้ได้รับทราบ ได้ซาบซึ้งอย่างไม่ขาดตอน จะทำให้คนรุ่นหลังได้เข้าใจถึงที่มาของชาติไทย ได้ภาคภูมิใจในความเป็นไทย ทำให้มีความจงรัก ภักดีต่อประเทศชาติ ประเทศไทยเราจะได้มั่นคง ยั่งยืนตลอดไปอย่างไม่มีวันล่มสลาย
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ก็เป็นพระมหากษัตริย์อีกพระองค์หนึ่ง ที่ทรงพระปรีชาสามารถ มีสายพระเนตรที่ยาวไกล ได้ทรง ปรับปรุง เปลี่ยนแปลง และทรงริเริ่ม วางพื้นฐานโครงสร้างของชาติไทยให้สามารถพัฒนาต่อไปได้ทัดเทียมอารยะประเทศจนประเทศไทยรุ่งเรืองมาจนถึงในปัจจุบัน พระราชกรณียกิจของพระองค์นั้นพอจะสรุปย่อได้ดังนี้
๑. ด้านการเมือง การปกครอง
- ทรงจัดตั้งสภาที่ปรึกษาราชการแผ่นดิน แต่ก่อนนั้นการบริหารราชการแผ่นดิน อำนาจสิทธิขาดอยู่ที่พระเจ้าแผ่นดิน หรือผู้สำเร็จราชการ หรือเจ้าผู้ครองเมืองเท่านั้น เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๑๖ พระองค์ได้โปรดให้จัดตั้งสภาที่ปรึกษาราชการแผ่นดิน ซึ่งประกอบด้วยข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ ที่ทรงวางพระราชหฤทัยจำนวน ๑๑ คน และสภาองค์มนตรีอีกจำนวน ๔๙ คน รวมเป็น ๖๐ คน ซึ่งเป็นการเปลี่ยนอำนาจ จากอำนาจการบริหารราชการแผ่นดินจากคนๆ เดียว ไปเป็นการบริหารโดยกลุ่มบุคคล
- ทรงปฏิรูประบบการบริหารราชการส่วนกลาง ปี พ.ศ. ๒๔๓๑ มีการยกเลิกระบบจตุสดมภ์ใน ที่มีการปกครองแบบ เวียง วัง คลัง นา โดยให้เสนาบดี ดูแล ๓ เขตพื้นที่ใหญ่ๆ คือสมุหกลาโหม (เหนือ-อิสาน), สมุหนายก (กลาง-ใต้) และกรมท่า (ตะวันออก) ทำให้เกิดความเป็นธรรมและมีการทำงานที่ไม่ซ้ำซ้อนมีมาตรฐานเดียวกัน ให้ตั้งกรมทำหน้าที่ ตามแบบอย่างประเทศตะวันตกรวม ๑๒ กรม และทดลองทำงานให้เป็นเวลาเช่นเดียวกับประเทศตะวันตกคือ ใช้เวลาทำงาน ๐๘๓๐ -๑๖๐๐ น. ให้มีการรับส่งหนังสือ และมีการบริหารงานบุคคลเป็นต้น และในปี พ.ศ. ๒๔๓๕ จึงให้มีการขยายกรมเป็นกระทรวง ๑๒ กระทรวงตามแบบตะวันตก ซึ่งถือเป็นการปฏิรูประบบการบริหารราชการส่วนกลางขึ้น
- ทรงจัดตั้งระบบมณฑลเทศาภิบาล เป็นการปฏิรูปอย่างแท้จริง ที่ถือว่าเป็นการปฏิรูปที่ยิ่งใหญ่มาก สาเหตุเนื่องมาจากระบบการปกครองของประเทศไทยในสมัยนั้น มีเมืองขึ้น เป็นจำนวนมากมีลักษณะเป็นประเทศที่มีประเทศราช และใช้ระบบการปกครองแบบศักดินาสวามิภักดิ์ มีการส่งส่วยและเครื่องราชบรรณาการมาถวายเป็นรายปี การเปลี่ยนการปกครองใหม่นี้เป็นกุศโลบายของพระองค์ คือนำเอาข้าหลวงจากส่วนกลางไปปกครองประเทศราชเหล่านั้นอย่างถาวร และให้ขึ้นตรงกับส่วนกลาง ที่เดียว โดยทดลองทำที่มณฑลราชบุรีก่อน เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๓๗ เนื่องจากเป็นเมืองเล็ก และมีประชากรน้อย ครั้งแรกก็ทรงให้ข้าราชการจากส่วนกลางช่วยราชการไปก่อน และเมื่อได้ปกครองเต็มตัวแล้วก็จะไม่มีการต่อต้าน เมื่อทรงดำเนินการที่มณฑลราชบุรีสำเร็จ ก็ทรงขยายออกไปจนทั่วประเทศ ทรงทำให้ประเทศราช เปลี่ยนแปลง เป็นจังหวัดของประเทศไทย และทำให้ประเทศไทยกลายเป็น “ราชอาณาจักรไทย” จนถึงปัจจุบัน
๒.ด้านการทหาร
- การยกเลิกระบบไพร่ แต่เดิมการทหารของไทยนั้นอยู่ในระบบไพร่ กล่าวคือ ตามธรรมเนียม แล้วถือว่า "กษัตริย์เป็นเจ้าของไพร่พลทั่วราชอาณาจักร" แต่ในทางปฏิบัติแล้วกษัตริย์จะเป็นผู้แจกจ่ายไพร่พลของพระองค์ให้อยู่ภายใต้การปกครองของข้าราชการอันได้แก่เจ้านายและขุนนาง จำนวนไพร่พลที่จะได้รับนั้นขึ้นอยู่กับ "จำนวนศักดินา" ของตัวขุนนางแต่ละคน หากเป็นเจ้านายหรือข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ก็ย่อมจะมีไพร่หรือเลขอยู่ในสังกัดเป็นจำนวนมาก การคุกคามจากมหาอำนาจตะวันตกโดยเฉพาะอังกฤษและฝรั่งเศส นับเป็นเหตุผลสำคัญที่จะต้องสร้างเอกภาพของชาติให้เกิดขึ้นโดยเร็วเพื่อให้มีศักยภาพมากพอที่จะเผชิญกับภัยคุกคามตามนี้ ทรงทำลายระบบไพร่ลงแล้วสถาปนาระบบ ทหาร โดยยึดถือแนวทางแบบกองทัพตะวันตก เริ่มจากการจัดตั้ง "หน่วยทหารมหาดเล็ก" แล้วในที่สุดก็นำไปสู่การจัดตั้งกระทรวงกลาโหมขึ้น เมื่อ พ.ศ. ๒๔๓๕โดยออกพระราชบัญญัติลักษณะการเกณฑ์ทหารขึ้น และนำไปทดลองที่มณฑลปราจีนบุรี ซึ่งมีขุนนางอยู่น้อย การต่อต้านของขุนนางจากการที่สูญเสียไพร่ จึงมีน้อยเมื่อเป็นทหารแล้ว ก็จะมีการฝึกและมีสวัสดิการ ,เสื้อผ้า , เบี้ยเลี้ยง ฯลฯ และเมื่อทำการฝึกจบแล้วก็จะได้รับเงินทองกลับไป เพื่อเป็นการประชาสัมพันธ์ว่าเป็นทหารนั้นเป็นสิ่งที่ดี เมื่อสำเร็จและได้รับการยอมรับแล้วก็ทรงขยายไปเรื่อยๆ จนกระทั่งปี พ.ศ.๒๔๔๘ พระราชบัญญัติลักษณะการเกณฑ์ทหารก็บังคับใช้เกือบทั่วประเทศ จนกลายเป็นรากฐานสำคัญของไทยมาจนตราบเท่าทุกวันนี้ เป็นการกล่าวได้ว่าประเทศไทยสามารถทำลายระบบไพร่ ให้หมดไปจากประเทศ และสถาปนา ระบบการทหารของกองทัพ แบบตะวันตกขึ้นมาได้
๓. ด้านเศรษฐกิจ
- ทรงการปฏิรูประเบียบการเงินการคลัง โดยมีการจัดตั้ง หอรัษฎากรพิพัฒน์ ขึ้น มีการวางกฎระเบียบเกี่ยวกับการส่งเงินของกรมและจัดเก็บภาษีเสียใหม่ ซึ่งจากแต่ก่อนการจัดเก็บภาษีทำกันโดยกรม (๑๒ กรม ) และยังไม่มีกติกาว่ากรมทั้ง ๑๒ กรมจัดเก็บภาษีได้เท่าไร ส่งให้กรมพระคลังข้างที่เท่าใด เมื่อจัดเก็บภาษีมาแล้ว ก็จัดส่งให้กรมพระคลังข้างที่ของในหลวงเพียงเล็กน้อย เนื่องจากไม่มีระเบียบแน่นอนตายตัว สาเหตุที่พระองค์ท่านมีการปฏิรูป ระเบียบว่าด้วยการส่งเงินก่อนเพราะพระองค์เห็นว่า “ เงินที่ส่งให้กรมพระคลังข้างที่นั้นส่งมาเป็นจำนวนน้อย ขอให้ส่งมาเป็นการแน่นอน เพื่อให้ท้องพระคลังมีเงินได้และสามารถนำไปใช้ในการบริหารราชการได้ ” และพระองค์ทรงเห็นว่าเงินเป็นปัจจัยหนึ่งที่มีความสำคัญที่จะปฏิรูประบบต่างๆ ได้
๔.ด้านสังคมจิตวิทยา
- ทรงประกาศเลิกทาส การเลิกทาสนี้เกิดจากอิทธิพลของลัทธิการล่าอาณานิคม ซึ่งลัทธินี้มีปรัชญาที่โฆษณาชวนเชื่อว่าเขาอยากเข้ามาช่วยเหลือประชาชนของประเทศ ที่มีการปกครองที่ป่าเถื่อน ดังนั้นตราบใดที่ประชาชนยังเป็นทาสอยู่มาก ประเทศไทยก็จะถูกกล่าวหาว่าเป็นประเทศที่ป่าเถื่อนอยู่ ซึ่งเคยมีชาวฝรั่งเศสชื่อ “ ดาปาดัว ” มาทำการสำรวจพบว่าจำนวนทาสของไทยมีเป็นสัดส่วนถึง ๑ ใน ๓ ของประชากรทั้งหมดซึ่งในขณะนั้นประชากรของไทยมีเพียงประมาณ ๕ ล้าน ๖แสนคน ทรงประกาศให้มีการเลิกทาสในปี พ.ศ. ๒๔๑๖ โดยพระบรมราชโองการว่า “ ลูกทาสคนใดที่เกิดในปี พ.ศ. ๒๔๑๑ เมื่ออายุครบ ๒๐ ปีบริบูรณ์ก็ให้เป็นไทยได้ ” พระองค์ทรงใช้กลวิธี โดยเอาเวลามาเป็นเงื่อนไขในการปฎิบัติ และทรงวางหลักเกณฑ์ไว้ในการไถ่ถอนทาส ทำให้ทาสเป็นไท เป็นระยะไป เพื่อลดการต่อต้านในการเปลี่ยนแปลง ทำให้การเลิกทาสไม่เกิดการเสียเลือด เนื้อและชีวิตเหมือนกับประเทศอื่นๆ ในยุโรป และสหรัฐอเมริกาที่การเลิกทาส ทำให้เกิดสงครามกลางเมืองขึ้น
- ทรงปฏิรูปด้านการศึกษา ผลของการประกาศ เลิกทาสทำให้ในปี พ.ศ.๒๔๓๒ ทาสเป็นไททั้งหมด แต่เมื่อเป็นไทยแล้ว ปรกฎว่า คนไทยส่วนมาก ขาดความรู้ ความสามารถ จึงทรงเปิดโอกาสให้ประชาชนชาวบ้านธรรมดาเรียนหนังสือได้ ซึ่งแต่ก่อนจะมีเฉพาะลูกของขุนนางในวังเท่านั้นที่เรียนหนังสือ ในปี พ.ศ. ๒๔๒๔ พระองค์ทรงริเริ่มให้มีโรงเรียนแห่งแรกของประเทศไทยซึ่งเป็นโรงเรียนสามัญชนชื่อว่า “ โรงเรียนวัดมหรรณพาราม” เป็นโรงเรียนเอกชนแห่งแรกและนอกจากนั้นยังทรงสนับสนุนให้บาทหลวงสอนศาสนาคริสต์ เปิดโรงเรียนสอนหนังสือได้ ทรงแต่งตั้งให้สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ซึ่งทรงเป็นเสนาบดีกระทรวงมหาดไทย ได้เป็นเสนาบดีกระทรวงธรรมาการ ควบอีกหนึ่งตำแหน่งหนึ่ง เพื่อให้มาปฏิรูปการศึกษาโดยออกพระราชบัญญัติการศึกษาภาคบังคับ ให้คนไทยในสมัยนั้น ทุกคนต้องเรียนหนังสือเป็นอย่างน้อย ๓ ปี และให้วัดเป็นแหล่งสอนหนังสือทั่วประเทศ
- ทรงปฏิรูประบบกฎหมาย จากการที่สมัยรัชการที่ ๔ประเทศไทยได้เสียสิทธิสภาพนอกอาณาเขต ให้กับประเทศอื่นๆ ทั้งหมดนั้นเป็นเพราะกฎหมายของประเทศไทยมีลักษณะป่าเถื่อน จึงต้องมีการปฏิรูปกฎหมายของประเทศไทยให้เป็นที่ยอมรับ ของนานาอารยประเทศเหล่านั้น รัชกาลที่ ๕ ทรงปฏิรูป กฎหมายของไทยอีก ๕ ฉบับด้วยกันคือ ประมวลกฎหมายอาญา ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ประมวลกฎหมายแพ่ง
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ภาคธรรมนูญศาลยุติธรรม โดยทรงได้เชิญชวนชาวต่างประเทศทั้งทางเอเซียและชาวตะวันตกมาเป็นที่ปรึกษา และร่วมร่างกฎหมายกับข้าราชการไทย เมื่อสำเร็จแล้วก็ประกาศใช้ แต่กว่าจะได้สิทธิ์สภาพนอกอาณาเขตคืนมาทั้งหมดก็ล่วงไปกว่าปี พ.ศ. ๒๔๗๐ หลังจากประเทศไทยชนะสงครามโลกครั้งที่ ๑ ในสมัยรัชการที่ ๖
- ทรงปฎิรูประบบสาธารณูปโภค การสื่อสาร และการคมนาคม ได้เริ่มมีการนำความทันสมัยมาสู่สังคมไทยในเรื่องไฟฟ้า ประปา ไปรษณีย์ และรถไฟ เข้ามาใช้ในประเทศไทย เป็นพื้นฐานให้มีการพัฒนามาจนถึงในปัจจุบัน
จากคุณูประการเหล่านี้พระองค์ท่านทรงได้รับสมญานามว่า “ สมเด็จพระปิยะมหาราช ” ที่ยิ่งใหญ่ของชาวไทย นับได้ว่าสถาบันพระมหากษัตริย์ของไทยนั้น ได้นำสังคมไทยไปสู่ความเจริญรุ่งเรือง ความทันสมัย และความสงบสุข ของ บรรดาพสกนิกรโดยแท้ คนไทยทุกคนจึงเข้าใจในความหมายหนึ่งของพระมหากษัตริย์ว่าทรงเป็น “ พระเจ้าแผ่นดิน ”ผู้ทรงดูแลแผ่นดิน และทรงมีพระราชภาระในการทำให้เกิดความอุดมสมบูรณ์แก่แผ่นดิน ประชาชน และประเทศชาติ



- - - - - -พ.อ.สาธิต ศรีสุวรรณ / ๒๑ ต.ค.๕๑ - - - - - - - -



Create Date : 09 เมษายน 2553
Last Update : 9 เมษายน 2553 15:28:48 น. 7 comments
Counter : 3649 Pageviews.

 
เรารักในหลวง...ค่ะ


โดย: teung_pookie วันที่: 9 เมษายน 2553 เวลา:23:32:12 น.  

 
.....จะมีใครอีกใหมในโลกที่ทำประโยชน์เพื่อคนอื่นอย่างเดียว โดยไม่หวังผลตอบแทนแต่อย่างใด
....จะมีใครอีกใหมในโลกที่พากเพียรกระทำการเพื่อลูก 45ล้านคนของท่านโดยไม่หยุดยั้ง เป็นระยะเวลา 60กว่าปีโดยไม่หยุดยั้งแม้แต่เวลาที่ป่วย
.....จะมีใครอีกใหมในโลกที่่ยอมมอบชีวิตทำงานให้ลูกๆของท่าน 45ล้านคน จนไม่มีแม้แต่เวลาที่จะใด้ใช้ชีวิตอย่างสบายบ้างอย่างเป็นส่วนตัว
......จะมีใครอีกใหมในโลกที่ยอมให้ลูกๆที่หลงผิดบางคนของท่าน จาบจ้วง ด้วยความนิ่งเฉยและความรักความเมตตาอย่างไม่มีประมาณ
.......จะมีใครอีกใหมในโลกที่แม้แต่อายุเกินหกสิบแล้ว คนอื่นเขามีเวลาเกษียณ แต่พ่อคนนี้ไม่เคยคิดจะเกษียณจากการที่ต้องทำงานเพื่อลูกๆ 45ล้านคนของท่าน
.....................พ่อคนนี้ พ่อหลวงของเรา


โดย: สหสกส IP: 113.53.176.40 วันที่: 10 เมษายน 2553 เวลา:23:16:10 น.  

 
หนูรักในหลวง


โดย: Noo IP: 202.149.25.235 วันที่: 13 เมษายน 2553 เวลา:20:52:13 น.  

 
โปรดอ่าน...........
การลิดรอนสิทธิในการสื่อสารคือเผด็จการ

โดย ดร.ยุกติ มุกดาวิจิตร คณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

รัฐบาลอาจจะมีอำนาจตามกฎหมายที่จะดำเนินการปิดเว็บไซต์ 36 แห่งตั้งแต่วันที่ 7 เมษายน 2553 และออกประกาศของกระทรวง ICT เมื่อ 12 เมษายน 2553 ห้ามเผยแพร่ภาพและวิจารณ์การใช้กำลังทหารติดอาวุธสงครามสลายการชุมนุมจนเป็นเหตุให้มีการบาดเจ็บและเสียชีวิตในวันที่ 10 เมษายน 2553 แต่สิ่งที่รัฐบาลกำลังทำเป็นการลิดรอนสิทธิเสรีภาพของประชาชนอย่างรุนแรง การกระทำดังกล่าวแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่ารัฐบาลนายอภิสิทธิ์กำลังเป็นรัฐบาลเผด็จการ โดยมิได้ตระหนักว่าผลของการใช้อำนาจเผด็จการนี้จะยิ่งก่อให้เกิดความขัดแย้งที่ขยายวงกว้าง และฝักรากลึกยืดเยื้อในสังคมไทยไปอีกนาน กล่าวคือ

ประการแรก การที่รัฐบาลเน้นปิดกั้นข่าวสารในโลกอินเทอร์เน็ต ชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของโลกอินเทอร์เน็ตต่อสังคมปัจจุบัน ที่อินเทอร์เน็ตเป็นส่วนหนึ่งของการดำเนินชีวิตประจำวัน คนใช้อินเทอร์เน็ตเพื่อการเรียนรู้ เพื่อการแสดงออกทางความคิด เพื่อการสร้างสรรค์อัตลักษณ์ เพื่อการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร โดยสรุปแล้วคือคนใช้อินเทอร์เน็ตสร้างสรรค์สังคม ทั้งสังคมในชีวิตประจำวันและสังคมในอุดมคติ

ในระบอบประชาธิปไตย หากรัฐบาลเห็นว่ากิจกรรมใดๆ ที่เว็บไซต์เหล่านั้นกระทำเป็นการละเมิดกฎหมาย รัฐบาลก็สามารถใช้กระบวนการยุติธรรม เพื่ออาศัยอำนาจศาลในการปิดเว็บไซต์เหล่านั้น การอาศัยอำนาจศาลนับได้ว่าเป็นวิธีควบคุมการละเมิดกฎหมายอย่างถูกต้องและชอบธรรมในระบอบประชาธิปไตย

แต่การปิดกั้นการสื่อสารด้วยอำนาจทางการบริหาร ด้วยการอ้าง พรก. ฉุกเฉินซึ่งให้อำนาจรัฐบาลอย่างล้นพ้นเกินการตรวจสอบได้เพื่อการปิดกั้นข่าวสาร ไม่แตกต่างจากการเอากระบอกปืนมาจ่อหัวไม่ให้คนพูดคุยถกเถียง การปิดเว็บไซต์ของรัฐบาลเป็นการละเมิดสิทธิการติดต่อสื่อสารและการสร้างสรรค์สังคมของประชาชนอย่างร้ายแรง รัฐบาลกำลังวิสามัญฆาตกรรมการสื่อสารของผู้คนในสังคมโดยไม่ผ่านกระบวนการยุติธรรม

ประการที่สอง รัฐบาลอาจมองว่าการปิดเว็บไซต์เป็นวิธีการที่ถูกต้องในการระงับความขัดแย้งในปัจจุบัน แต่รัฐบาลต้องศึกษาให้เข้าใจว่าความขัดแย้งนี้ผังรากลึกในสังคมไทยมายาวนานกว่าการชุมนุมที่เพิ่งผ่านมาเพียงเดือนหนึ่งนี้

ความขัดแย้งทางการเมืองครั้งนี้มิใช่ความขัดแย้งทางการเมืองในระยะสั้น รัฐบาลควรศึกษาให้เข้าใจว่าความขัดแย้งนี้ยืดเยื้อมาเป็นทศวรรษแล้ว การเคลื่อนไหวทางการเมืองในปัจจุบันเป็นผลมาจากการที่ประชาชนส่วนหนึ่ง เกิดความรู้สึกว่าพวกเขาถูกทำให้กลายเป็นพลเมืองชั้นสองต่อเนื่องมาตั้งแต่หลังรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 จนกลายมาเป็นสำนวนเรียกตนเองว่า "ไพร่" ส่วนปัญหาระยะยาวยิ่งกว่านั้น รัฐบาลนี้คงพอรู้อยู่บ้างว่าผู้คนในสังคมไทยตกอยู่ในภาวะของความไม่เท่าเทียมกันทางสังคม เศรษฐกิจ และการเมืองมายาวนานและฝังรากลึกเพียงใด

การปิดกั้นข่าวสาร ปิดกั้นการสื่อสารในสื่อทางเลือก จะยิ่งทำให้กลุ่มคนที่ไม่สามารถสื่อสารด้วยช่องทางการสื่อสารทั่วไป รู้สึกถึงการถูกกดทับให้กลายเป็นพลเมืองชั้นสอง ตอกย้ำความไม่เท่าเทียมกันในสังคมมากยิ่งขึ้น

ประการที่สาม การปิดกั้นการสื่อสารนี้ชี้ให้เห็นว่ารัฐบาลนายอภิสิทธิ์มีกรอบความเข้าใจเรื่องการสื่อสารอย่างคับแคบและดูถูกประชาชน ในขณะนี้รัฐบาลกำลังมุ่งสื่อสารกับประชาชนเพียงด้านเดียว สื่อหลักที่รัฐบาลใช้คือ "ฟรีทีวี" ซึ่งอยู่ในการควบคุมของรัฐทั้งหมด รัฐบาลอาจคิดว่าการสื่อสารผ่านทีวีเหล่านี้มีต้นทุนต่ำและได้ผลสูง รัฐบาลมีความเชื่อว่า ประชาชนจะเชื่อฟังข่าวสารที่รัฐบาลนำเสนอด้านเดียวอย่างเชื่องๆ

แต่รัฐบาลหารู้ไม่ว่าพฤติกรรมการบริโภคสื่อในปัจจุบันเปลี่ยนแปลงไปมากแล้ว ฟรีทีวีเป็นเพียงทางเลือกหนึ่งในหลายๆทางเลือก ไม่ว่าจะเป็นเคเบิลทีวีหรือจานดาวเทียม ตลอดจนหนังสือพิมพ์และสื่อทางเลือกต่างๆในอินเทอร์เน็ต ดังนั้นจึงมีเพียงคนที่สนับสนุนรัฐบาลหยิบมือเดียว ที่พร้อมจะเชื่อและรับรู้ข่าวสารผ่านทางฟรีทีวี ส่วนประชาชนผู้ตื่นตัวทางการเมืองจำนวนมากจะหันไปหาสื่อทางเลือกอื่นๆเพื่อรับรู้ข่าวสารมากยิ่งขึ้นเรื่อยๆ

ไม่เพียงรัฐบาลจะไม่สามารถโน้มน้าวให้คนเชื่อในสิ่งที่รัฐบาลนำเสนอผ่านฟรีทีวีเท่านั้น แต่สื่อทางเลือกอื่นๆจะเติบโตขึ้นเรื่อยๆ เพื่อนำเสนอข่าวสารที่ให้แง่มุมที่แตกต่างจากที่รัฐบาลเสนอ

ประการสุดท้าย การปิดกั้นข่าวสารไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาความขัดแย้งครั้งนี้ได้เลยแม้แต่น้อย แต่กลับจะขยายวงของความขัดแย้งมากยิ่งขึ้น ทำให้กลุ่มคนที่อยู่ตรงกลางๆ หรือไม่ได้ "เป็นแดง" กลับถูกผลักหรือต้องเดิน "เส้นทางสายแดง" มากยิ่งขึ้นเรื่อยๆ ไม่ต่างอะไรกับ "การเข้าป่า" เมื่อ 30 กว่าปีที่แล้ว ซึ่งการเข้าป่าเป็นเส้นทางที่นักศึกษาหลายคนเลือกเดินโดยมิได้มีใจเป็นคอมมิวนิสต์มาก่อน

หนทางในการ "ลงใต้ดิน" ของชุมชนในอินเทอร์เน็ตนั้นมีได้หลายทาง คนในโลกอินเทอร์เน็ตเห็นการปิดกั้นข่าวสารในโลกอินเทอร์เน็ตเป็นเรื่องน่าขัน เนื่องจากกลุ่มผู้ใช้อินเทอร์เน็ตจะสามารถสร้างทางลัดทางลอด ก้าวข้ามการปิดกั้นควบคุมของรัฐได้เสมอ การที่เว็บไซต์บางเว็บมิได้หลีกลี้จากอำนาจรัฐแต่ต้น มิได้หมายความว่าเว็บไซต์เหล่านั้นไม่รู้ทางเลี่ยง หากแต่พวกเขาต้องการดำเนินการอย่างโปร่งใส อยู่ภายใต้กฎหมายของรัฐไทยและพร้อมรับการตรวจสอบการละเมิด

แต่หากรัฐบาลผลักไสให้เว็บไซต์เหล่านี้ลงใต้ดินเสียแล้ว กฎหมายของรัฐไทยก็จะไร้ความหมาย และการละเมิดและผลของการละเมิดกฎหมายก็จะรุนแรงยิ่งกว่า ในอนาคตอันใกล้ เชื่อได้ว่ารัฐบาลนายอภิสิทธิ์จะไม่สามารถรับผิดชอบต่อผลกระทบจากการต่อต้านของชุมชนอินเทอร์เน็ตได้

กล่าวโดยสรุป หากรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จะไม่ตระหนักถึงประเด็นต่างๆ ข้างต้น แต่กระทำการใดๆ เพียงเพื่อรักษาอำนาจของตนและพวกพ้อง นายอภิสิทธิ์และพวกพ้องก็จะยังคงดำรงอำนาจอยู่ได้ด้วยข้ออ้างทางกฎหมายอย่างแน่นอน แต่ทว่า นายอภิสิทธิ์จะได้รับการตีตราว่าเป็นเผด็จการผู้สร้างความขัดแย้งยืดเยื้อในสังคมไทยตลอดไป


ที่มา : //www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1271432655&grpid=&catid=02



Create Date : 18 เมษายน 2553
Last Update : 18 เมษายน 2553 14:56:56 น. 12 comments

Add to
Counter : 86 Pageviews.


โดย: kai IP: 125.26.144.18 วันที่: 19 เมษายน 2553 เวลา:18:53:53 น.  

 
ทรงล้ำเลิศพระพลานามัย
พระราชหฤทัย ทรงพระเกษมสันต์
ประทับเหนือ ดวงใจ ไทยนิรันดร์
พระมิ่งขวัญชาติจง ทรงพระเจริญ


โดย: รักเมืองไทย IP: 222.123.97.170 วันที่: 6 พฤษภาคม 2553 เวลา:11:26:16 น.  

 
พระนำไทยพ้นภัยนานา พระผู้เป็นบิดาของแผ่นดิน ประเทศไทยมั่นคงอยู่ได้ด้วยสถาบันชาติ ศาสนา และสถาบันพระมหากษัตริย์ ประชาชนคนไทยล้วนทราบซึ้งในหัวใจ ในพระมหากรุณาธิคุณของในหลวงของคนไทย


โดย: รักเมืองไทย IP: 222.123.97.170 วันที่: 6 พฤษภาคม 2553 เวลา:11:35:14 น.  

 
ขอให้พระองค์ทรงพระเจริญ


โดย: สยาม พรหมทะสาร IP: 125.26.178.210 วันที่: 5 ธันวาคม 2554 เวลา:23:38:37 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

sathit 1
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]




Friends' blogs
[Add sathit 1's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.