sansook
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 40 คน [?]




คลิกๆๆ รูปสวยๆน่ารักๆไว้ส่งต่อเพียบ...

คลิกๆๆ รูปสวยๆน่ารักๆไว้ส่งต่อเพียบ...


คลิกๆๆ รูปสวยๆน่ารักๆไว้ส่งต่อเพียบ...
โค้ดนี้เป็นภาพพื้นหลังนำไปวางที่ช่อง Script Area ค่ะ https://youtu.be/K2vg5yDgVX4
Group Blog
 
<<
กุมภาพันธ์ 2555
 
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
26272829 
 
6 กุมภาพันธ์ 2555
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add sansook's blog to your web]
Links
 

 

ตอนที่ ๒๒ วัดใจ



พอฟ้าสางภายใต้หมอกในยามเช้าตรงหน้ากระท่อมหลังใหญ่มีชายฉกรรจ์นับสิบยืนถืออาวุธพร้อมสัมภาระเพื่อเตรียมออกเดินทาง เมื่อชยินลงจากกระท่อมซาเยร์จึงเดินเข้าไปรายงานถึงความพร้อม แล้วพยักหน้าเมื่อผู้เป็นนายออกคำสั่งให้เขาไปทำอะไรบางอย่างก่อนจะหมุนตัวมุ่งหน้าไปทำตามคำสั่งนั้น

เตโชที่เพิ่งเดินลงจากกระท่อมหันไปจ้องใบหน้าเรียบเฉยของพี่ชายแล้วเหลือบมองตามร่างแกร่งที่เดินห่างออกไป ก่อนปรายตาไปยังทิศซึ่งเป็นที่ใช้จำกัดอิสรภาพของเชลยสาว

“นั่นซาเยร์กำลังจะไปไหน”

เมื่อเห็นว่าทิศทางที่คนสนิทของพี่ชายมุ่งหน้าไปหาใช่กระท่อมของหญิงสาวทั้งสองคนเป็นน้องจึงอดถามขึ้นไม่ได้

“ฉันให้ไปตามมองเทร์” ชยินตอบแค่นั้น

“ไปตามมาทำไม...” ขณะเตโชจะขยับปากถามต่อเสียงทรงอำนาจของอีกฝ่ายก็โพล่งขัดขึ้นเสียก่อน

“เลิกถามสักทีมันไม่ใช่หน้าที่ของนาย”

“แต่ฉันก็มีสิทธิรู้ความเป็นไปในค่ายเหมือนกัน”

แม้เตโชจะอ้างสิทธิของตนแต่ชยินไม่ได้ใส่ใจกับมันนักนอกจากพยักหน้าให้ทหารสองนาย และหมุนตัวเดินตรงไปยังกระท่อมของแพทย์หญิงทั้งสองแล้วทำเฉยกับคำกล่าวอ้างนั้น

เมื่อเห็นพี่ชายเดินห่างออกไปเตโชจึงยกมือขึ้นเท้าสะเอวมองตามร่างสูงใหญ่ไปอย่างหัวเสีย ก่อนหันไปมองทิศทางที่คนสนิทของพี่ชายเดินลับหายแล้วนิ่วหน้าเพราะสงสัยว่าชยินให้ซาเยร์ไปตามมองเทร์มาทำไม

นภัสชลมองร่างสูงใหญ่เดินท่อมๆ ตรงมาด้วยสีหน้าไม่ใคร่สู้ดีนัก ก่อนยืดตัวขึ้นหันไปมองใบหน้าที่เต็มไปด้วยความรู้สึกนานัปการของเพื่อนแล้วพ่นลมหายใจหนักๆ ออกมาเพราะไม่รู้ว่านับจากนี้ไปพวกเธอจะต้องพบเจอกับเรื่องอะไรอีก

“พวกเขามานั่นแล้วลี” หญิงสาวเอ่ยพร้อมกับหันไปแนบสายตากับช่องเล็กๆ อีกครั้ง ก่อนจะถอยออกมายืนกระวนกระวายอยู่ข้างแคร่

“ลีว่าเขาจะยอมให้เราตามไปด้วยไหม” นภัสชลถามด้วยสีหน้ายุ่งยากใจเพราะเกรงว่าผู้ชายหน้าดุที่กำลังเดินมานั่นจะไม่เห็นดีเห็นงามกับข้อต่อรองของพวกเธอ

“มันก็ต้องลองดู...แต่เราว่าเธอน่าจะรออยู่ที่นี่นะ” วริสาจ้องหน้าเพื่อนสีหน้ากังวล

“ได้ยังไงมาด้วยกันก็ต้องไปด้วยกันสิ”

“ข้างนอกนั่นมีแต่ป่าจะมีสัตว์ร้ายหรือเปล่าก็ไม่รู้ แล้วไหนจะคนพวกนั้นอีกถึงเขาไม่ทำอันตรายเราแต่อาวุธในมือเหล่านั้นก็ไว้ใจได้เสียที่ไหนเกิดพวกเขารบรากันขึ้นมาเธออาจได้รับอันตราย”

“คงไม่มีอะไรหรอกมั้ง...ขนาดนายมองเทร์อะไรนั่นยังบอกให้เราตามลีไปด้วยเลยนี่นา...”

“จริงอยู่ที่มองเทร์อยากให้เธอไปด้วยแต่เราจะเชื่อใจเขาได้สักแค่ไหน”

“เชื่อได้ไม่ได้เราก็ต้องลองเสี่ยงดู...เราว่าถึงนายนั่นไม่น่าไว้ใจแต่เขาก็คงรู้อะไรมาบ้างล่ะ” นภัสชลสนับสนุนแม้จะไม่ค่อยชอบหน้าบุคคลที่เอ่ยถึงนัก

ขณะวริสากำลังจะอ้าปากโต้แย้ง เสียงกุกกักพร้อมกับร่างสูงใหญ่ของชยินที่โผล่เข้ามาก็ทำให้ทั้งสองหยุดบทสนทนาในทันที

“นั่นอะไร”

แม้จะเห็นว่าชายหนุ่มกำลังเดินมาแต่พอได้ยินคำถามที่มาพร้อมกับสายตาดุดันของเขาจ้องมาที่พวกตนนภัสชลก็ถึงกับยืนแข้งขาสั่นจนอ้าปากไม่ขึ้นนอกจากขยับไปยืนชิดเพื่อน

“ผมถามว่านั่นอะไร” ชายหนุ่มชี้มือไปยังเป้ที่วางอยู่บนแคร่แล้วถามเสียงเข้ม

“ก็เห็นว่ามันเป็นเป้” วริสาสูดลมหายใจเข้าปอดแล้วตอบกลับเสียงแข็ง

“ไปเอามาจากไหน” คำถามห้วนสั้นที่มาพร้อมกับสีหน้าเอาผิดกำลังทำให้วริสาเริ่มเปลี่ยนความรู้สึกกลัวเป็นหมั่นไส้และความรู้สึกนั้นกำลังก่อมวลท้าทายขึ้นมาทีละนิดๆ จนทำให้เธอกล้าตอบโต้กลับไป

“คนของคุณเอามาให้...มันคงไม่มีปัญหาอะไรใช่ไหมหากฉันจะมีเป้ไว้ใส่สัมภาระบ้าง”

“มันไม่มีปัญหาแน่ถ้าเป้มีแค่ใบเดียว” ชยินตอบคำถามนั้นพร้อมกับเบนสายตาไปจับนิ่งอยู่ตรงใบหน้าตื่นๆ ของหญิงสาวอีกคน

“เราสองคนจะออกเดินทางไปพร้อมกับพวกคุณ” วริสาช่วยให้ความกระจ่างในขณะนภัสชลเริ่มเบียดร่างเข้าแนบชิดกับเพื่อน

“พวกคุณเข้าใจอะไรผิดหรือเปล่า...ผมเคยบอกแล้วไม่ใช่หรือว่ามีคุณคนเดียวเท่านั้นที่จะเดินทางไปกับเราส่วนหมอจะต้องรออยู่นี่”

นภัสจ้องสายตาดุดันจับนิ่งอยู่ที่วริสาก่อนเบนมายังตนก่อนกลืนน้ำลายลงคอ แม้กลัวแสนกลัวแต่เพราะเกรงว่าวริสาจะเห็นดีเห็นงามกับคำพูดของคนหน้าดุเธอจึงรวบรวมความกล้าแล้วพูดออกไป

“ไม่นะ...ลีไปไหนฉันก็จะไปด้วย”

“ไม่ได้คุณต้องรออยู่ที่นี่”

“พวกเรามาด้วยกันฉันไม่รออยู่ที่นี่แน่...”

ดวงตาคมกริบจ้องใบหน้าเผือดซีดของคนที่กำลังยืนกรานเสียงแข็งประกายตาอ่อนลง เมื่อเห็นว่าใบหน้าเจ้าของเสียงแข็งขันนั้นเต็มไปด้วยความหวาดกลัว แม้บนความกลัวนั่นจะมีความเด็ดเดี่ยวปะปนออกมาด้วยก็ตาม

“คุณล่ะว่าไง”

พอเห็นสีหน้าเอาจริงหากเต็มไปด้วยความหวาดหวั่นจ้องนิ่งมาที่ตนชยินจึงหันไปเลิกคิ้วกับวริสาแล้วถามเสียงเรียบ

พอคนที่มีอำนาจชี้ขาดเบนสายตากลับมาวริสาจึงหันไปทางเพื่อนรัก เมื่อสายตาสบกับดวงตาคู่หวานความคิดหลายอย่างก็แล่นฉิวออกมา ขณะกำลังจะยกมือสนับสนุนคำพูดของชยินนภัสชลที่มองท่าทีของเพื่อนได้ทะลุราวตาเห็นก็พูดดักคอขึ้น...

“เราตกลงกันแล้วนะลี”

วริสามองใบหน้าที่เต็มไปด้วยความเด็ดเดี่ยวของเพื่อนรัก ก่อนเบนสายตาไปยังชยินอีกครั้งและพ่นลมหายใจแล้วจึงโพล่งถ้อยคำที่ไม่อยากเอ่ยออกไปว่า

“ฉันกับเพื่อนจะออกเดินทางไปพร้อมกับพวกคุณ”

“คงไม่ได้เพราะเพื่อนคุณไม่ได้อยู่ในงานของผม” คำปฏิเสธที่มาพร้อมกับดวงตาคมกริบแม้ทำให้วริสารู้สึกหวั่นๆ แต่เวลานี้มันกลับมีอานุภาพน้อยกว่าดวงตาเว้าวอนของเพื่อนที่จ้องนิ่งมาที่เธอ

“นั่นมันงานของคุณ ฉันกับเพื่อนเราตกลงกันไว้แล้วว่าอย่างไรก็จะไปด้วยกัน ถ้าคุณยืนยันว่านภัสต้องรออยู่ที่นี่ก็ลืมอาวุธพวกนั้นได้เลย”

ชยินจ้องใบหน้าเรียบเฉยหากดวงตาฉายประกายหวาดหวั่นชั่วแวบแล้วยักไหล่คล้ายไม่ใส่ใจกับข้อต่อรองนั่น

“คุณกำลังสร้างเงื่อนไขและต่อรองกับผมหรือหมอ”

“เปล่า...ฉันเพียงบอกความต้องการมันไม่ใช่ข้อต่อรองอะไรทั้งนั้น”

“แต่เท่าที่ฟังผมคิดว่ามันใช่” ชายหนุ่มว่าพลางเหลือบสายตาไปทางนภัสชลแล้วยิ้มตรงมุมปาก

“ให้ฉันไปด้วยเถอะนะสัญญาว่าจะไม่เป็นตัวถ่วง” เมื่อเห็นท่าทางไม่สะทกสะท้านกับคำขู่ของอีกฝ่ายคนที่กลัวถูกทิ้งจึงขอร้องเสียงอ่อนลง

“คงไม่ได้ข้างนอกนั่นมันมีแต่อันตราย พวกเราไม่ได้ออกท่องป่านะหมอแค่เพื่อนคุณเพียงคนเดียวผมยังรับประกันความปลอดภัยให้ไม่ได้เลย อย่าสร้างภาระให้กับเราดีกว่า”

“ฉัน...”

“พอเถอะเราเสียเวลามาพอแล้วคุณรออยู่ที่ค่ายส่วนคุณหยิบเป้นั่นแล้วตามผมออกไปเดี๋ยวนี้” คำพูดของนภัสชลถูกมือของอีกฝ่ายยกขึ้นปรามพร้อมกับคำสั่งที่ตามมาติดๆ

“ฉันจะไม่ไปไหนทั้งนั้น” วริสาเงยหน้าแล้วจ้องอีกฝ่ายประกายตาแข็งกร้าว

“งั้นก็อย่าหาว่าผมใจร้ายก็แล้วกันถ้าจะให้คนมาลากหมอออกไป” และคำตอบรับของชยินที่แข็งกร้าวยิ่งกว่าก็โพล่งสวนกลับมา

“เอาสิแต่สิ่งที่พวกคุณได้ไปมันจะมีเพียงร่างกายที่ปราศจากลมหายใจ และมันคงไม่มีความหมายกับงานของคุณ”

คำท้าทายที่ดังขึ้นพร้อมๆ กับอาวุธร้ายถูกดึงออกมาหยุดสายตาคมกริบชั่วครู่

“คุณคงไม่คิดทำอะไรโง่ๆ หรอกนะ”

แม้จะตกใจกับความบ้าบิ่นที่ไม่คาดคิดแต่ชยินก็ไม่ได้แสดงทีท่าว่าจะคล้อยตามกับคำขู่สักเท่าไร

“ถ้าอยากรู้ก็ลองออกคำสั่งดูสิ...เวลานี้คุณก็รู้ว่าฉันไม่มีอะไรต้องเสีย” นภัสชลมองท่าทางของเพื่อนด้วยความตื่นตะลึงเพราะไม่คิดว่าวริสาจะกล้าเอาชีวิตเข้าต่อรอง

“ถ้าคุณคิดว่าแค่คำขู่ปัญญาอ่อนนั่นมันจะทำให้ผมเออออด้วยขอบอกไว้เลยว่ามันไม่ได้ผล หยิบเป้แล้วออกไป...เดี๋ยวนี้”

พอเห็นท่าทางของชยินยังไม่ยอมอ่อนข้อให้ วริสาจึงมองสีหน้าเอาจริงของเขาอย่างลังเล

“ลี...เก็บปืนเถอะ”

ในขณะดวงตาแข็งกร้าวสองคู่จ้องกันไม่กะพริบคนที่เป็นตัวต้นเหตุก็ชักใจไม่ดีเมื่อเห็นอาวุธร้ายในมือของเพื่อน

“ไม่ล่ะ...มาคิดดูอีกทีการที่ไม่มีเรายืนอยู่ตรงนี้มันอาจเป็นผลดีกับเธอก็ได้”

“เธอหมายความว่ายังไง”

“ถ้าไม่มีเราพวกเขาก็ไม่มีอะไรไปต่อรองกับอาวุธพวกนั้น...และเมื่อทุกอย่างเปลี่ยนไปเธอก็จะได้กลับบ้านยังไงล่ะ” คำตอบของวริสาทำเอาคนฟังถึงกับใจหายวาบและมันไม่ได้มีเพียงนภัสชลเท่านั้นที่กำลังหวาดหวั่นกับสิ่งที่ไม่คาดไม่ถึง

“ไม่นะลี...อย่าพูดแบบนั้นเก็บปืนเถอะเราขอร้อง”

ชยินมองดวงตาแข็งกร้าวที่ส่องประกายเด็ดเดี่ยวออกมาด้วยความไม่สบายใจ แม้ใจหนึ่งไม่เชื่อว่าหญิงสาวจะกล้าเหนี่ยวไกปืนนั่น แต่เขาก็ไม่อยากไว้ใจอาวุธร้ายในมือของเธอเช่นกัน

“ถ้าคุณคิดว่ามันช่วยได้ก็เชิญลั่นไกแล้วไปสบายซะ” ชายหนุ่มเหลือบสายตาไปยังนภัสชลแล้วหันไปพูดท้าทายเพราะมั่นใจว่าอย่างไรเธอคงไม่กล้าเอาชีวิตเข้าแลกแน่ก่อนหมุนตัวเดินออกจากกระท่อมแล้วเลิกสนใจกับข้อต่อรอง

แซะ.../ไม่...

เสียงสับไกปืนที่ดังขึ้นพร้อมกับเสียงร้องของนภัสชล ทำเอาคนที่กำลังจะก้าวขาออกจากกระท่อมหมุนตัวกลับในทันที ดวงตาคมกริบจ้องใบหน้าเผือดซีดของหมอสาวใจเด็ดที่ยืนหลับตาแน่นอย่างตื่นตะลึงเพราะไม่คิดว่าเธอจะกล้าลั่นไกจริงๆ

“ลี...เป็นยังไงบ้างอย่าทำแบบนี้อีกนะ...อย่าทำ” นภัสชลโผเข้าไปปัดปืนในมือพลางเขย่าร่างอ่อนเปลี้ยของเพื่อนแล้วบอกน้ำเสียงสั่นเครือ

“บ้า! คุณเป็นบ้าไปแล้วหรือยังไง...” พอหายตื่นตะลึงชยินจึงตะคอกออกไปอย่างหัวเสีย

“มีอะไรหรือหมอ” แต่ก่อนที่ชายหนุ่มจะทันเอาเรื่องวริสา เสียงของใครคนหนึ่งก็ดังขึ้น พร้อมกับเจ้าของเสียงเดินเข้ามาจ้องใบหน้าแข็งกร้าวของนายทหารตาดุสีหน้าไม่พอใจ

“ชยินอย่าบอกนะว่านายใช้ไอ้ปืนนั่นขู่พวกหล่อน” เมื่อไม่มีใครปริปากภูริชจึงชี้มือไปยังอาวุธบนพื้นแล้วสันนิษฐานตามหลักฐานที่ปรากฏอยู่

“ถ้าไม่รู้อะไรก็ช่วยหุบปากแล้วออกไปข้างนอกในนี้ไม่ใช่เรื่องของนาย”

“คงไม่ได้...เพราะนายกำลังรังแกผู้หญิง”

“หุบปากเสียๆ ของนายซะมองเทร์...ถ้ายังไม่อยากเจ็บตัว” ชยินเข่นเขี้ยวบอกเสียงขุ่น

“อ้าว...พูดแบบนี้ก็สวยสิสหาย”

พอถูกขู่ภูริชจึงถลกแขนเสื้อขึ้นพลางขยับต้นคอไปมาเมื่อเห็นท่าทางของคู่ปรับกำลังกรุ่นจนใกล้ได้ที่อยู่รำไร

“เกิดอะไรขึ้นเหรอหมอ...พี่ทำอะไรพวกเธอ” เตโชที่เพิ่งวิ่งมาถึงถามเสียงรัวเร็ว พลางกวาดตามองไปรอบๆ แล้วหยุดสายตาอยู่ที่หญิงสาวทั้งสอง พอเห็นใบหน้าของพวกเธอเผือดซีดราวกำลังหวาดกลัวกับอะไรสักอย่างเขาจึงเบนสายตาไปยังพี่ชาย

“พวกแกเลิกมองหน้าฉันได้แล้ว...เราแค่มีปัญหากันนิดหน่อย” ชยินตะคอกเต็มเสียง

“พี่ชายนายโคตรลูกผู้ชายเลยเตโช...ดูเอาเถอะขนาดกับผู้หญิงยังไม่เว้น...ฉันชักไม่แปลกใจแล้วสิที่ถูกเขาหาเรื่องเอาบ่อยๆ”

แม้ไม่ทราบว่าทำไมถึงมีเสียงหวีดร้องดังขึ้นและมั่นใจว่าชยินคงไม่ได้รังแกใคร แต่นายทหารหน้าเข้มก็ยังจุดไฟเผาอีกฝ่าย จนคนถูกสุมไฟตั้งท่าจะเดือดขึ้นอีกรอบ

“เอ่อ...ผู้กองไม่ได้ทำอะไรพวกเราหรอก...ฉันแค่ใช้ปืนนั่นยิงตัวเองแต่โชคไม่ดีนิดหน่อยเพราะนายให้ปืนแต่ลืมใส่ลูกกระสุน”

“อะไรนะ!”

คำตอบสั่นเครือของคนที่เพิ่งได้สติแม้ช่วยยุติข้อสงสัยแต่มันก็ทำเอาคนที่เพิ่งเข้ามาถึงกับถามย้ำเสียงหลง

“ผมให้ปืนไว้เพื่อใช้ป้องกันตัว คุณเกิดบ้าอะไรขึ้นมาถึงได้เอาปืนมาส่องตัวเองเล่นแบบนั้น” ภูริชถามน้ำเสียงทั้งอึ้งและตกใจเพราะไม่คาดคิกว่าวริสาจะใจเด็ดขนาดเอาความตายเข้าต่อรอง แล้วลอบมองใบหน้าของพี่เถื่อนอย่างหวาดๆ และเสียงตวาดที่มาพร้อมดวงตาแข็งกร้าวก็ทำเอาตัวต้นเหตุถึงกับยิ้มไม่ออก

“ใครอนุญาตให้แกเอาปืนมาให้หล่อน มองเทร์ฉันน่าจะขุดหลุมแล้วฝังแกไว้ที่นี่”

“ก็ฉันหวังดี”

“แกหวังดีหรือหวังร้ายกันแน่ เตโชเห็นความเหิมเกริมของไอ้ลิงป่านี่หรือยัง”

ภูริชถึงกับแยกเขี้ยวเมื่อได้ยินสรรพนามที่อีกฝ่ายให้เรียก

“เฮ้ย...ไอ้กระทิงดุพูดแบบนี้ตั้งใจชวนฉันขึ้นสังเวียนเรอะ”

“หุบปากซะมองเทร์...เพราะฉันใกล้จะหมดความอดทนกับแกเต็มทีแล้ว”

“หมอเมื่อกี้ทำไมไม่เอาปืนนั่นเล็งที่หัวของเขา...คนอะไรไม่มีเหตุผลเอาซะเลย” ภูริชพูดแล้วหันไปทางวริสา

“พวกนายสองคนเลิกกัดกันสักทีจะได้ไหม แล้วทำไมคุณต้องเอาปืนนั่นมาขู่พวกเรา”

“ฉันกำลังขอร้องหัวหน้านายต่างหาก” วริสาเหลือบตามองคนถามแล้วบอกเสียงอ่อย

“ขอร้องด้วยลูกปืนเนี่ยนะ...ไม่เข้าท่าเลย...เห็นไหมว่าผมกำลังจะซวย” นายทหารหน้าเข้มตำหนิ

“ตกลงคุณจะทำตามคำขอของฉันไหม” วริสาไม่ได้สนใจกับคำตำหนินั้นนัก นอกจากหันไปถามคนที่สามารถให้ทุกอย่างตามความประสงค์

“เขาขออะไรนายงั้นเรอะ” ภูริชหันไปถามนายทหารหน้าดุ

“นั่นสิพี่พวกหมอขออะไร” เตโชถามขึ้นบ้างเมื่อเห็นพี่ชายยังนิ่งเฉย

“เธอขอให้ฉันพาเพื่อนไปด้วย...พวกแกเลิกมองฉันเป็นไอ้หน้าตัวเมียสักทีจะได้ไหม” ชยินตอบพร้อมกับปรามสายตาสองคู่ที่จ้องราวเขาเป็นคนร้ายด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าว

“คุณจะพาเพื่อนไปด้วยทำไม...ข้างนอกนั่นไม่ใช่สวนสนุกนะจะบอกให้” นภัสชลหันไปมองหน้าคนพูดด้วยสีหน้าประหลาดใจก่อนจะอ้าปากตอบโต้ว่าที่พวกเธอต้องต่อรองก็เพราะเขาเป็นคนแนะนำ แต่อะไรบางอย่างที่ฉายออกจากดวงตาคมกล้านั่นกลับทำให้เธอเลือกที่จะเงียบแล้วนิ่งฟังว่าเขาจะพูดอะไรต่อ

“มองเทร์พูดถูกข้างนอกนั่นมีแต่อันตรายหมอควรให้เพื่อนรออยู่ที่ค่าย แต่ถ้าคุณเป็นห่วงผมขอรับรองด้วยเกียรติว่าจะดูแลเธอเป็นอย่างดี” เตโชสนับสนุนและให้การรับรองเสร็จสรรพ

“ในเมื่อข้างนอกนั่นมีอันตรายแล้วทำไมพวกคุณยังพาเพื่อนฉันออกไป” นภัสชลตั้งคำถามออกไปบ้าง
“เพราะเราไม่มีทางเลือกน่ะสิ อีกอย่างถึงแม้ข้างนอกนั่นจะมีอันตรายแต่เธอเพียงคนเดียวพวกเราดูแลได้ ส่วนคุณถ้าไปด้วยบอกตรงๆ ว่ามันจะเป็นการเพิ่มภาระเสียมากกว่า”

ชยินแทบไม่เชื่อหูของตัวเองว่าคำพูดนั้นจะออกจากปากของมองเทร์ พอคู่ปรับช่วยพูดเขาจึงเหลือบมองหน้าคนพูดด้วยประกายตาพึงพอใจ

“แต่คุณ...”

“เอาน่าหมอเลิกทำตัวมีปัญหาสักทีโตๆ กันแล้วพูดอะไรให้เข้าใจบ้าง คุณรออยู่นี่เสร็จธุระจะรีบพาเพื่อนมาคืนตกลงไหม” ภูริชรีบพูดดักเพราะรู้ว่าหญิงสาวจะเอ่ยอะไรออกมา ก่อนชายตาไปยังหญิงสาวอีกคนแล้วจ้องเธอด้วยประกายตาบางอย่าง วริสามองดวงตาคมกล้าที่จับนิ่งมาที่เธอแล้วนิ่วหน้าแม้ไม่เข้าใจว่าในสายตานั่นกำลังบอกอะไรแต่ก็ไม่ได้ปริปากตอบโต้ว่าที่พวกเธอต้องทำตัวมีปัญหาเป็นเพราะคำแนะนำของใคร

“เราตกลงกันแล้วว่าอย่างไรก็จะไปด้วยกันถ้าพวกคุณยังไม่เข้าใจว่าฉันต้องการอะไรก็ลืมอาวุธพวกนั้นซะ...เพราะฉันก็จะไม่ไปไหนเหมือนกัน...ออกไปได้แล้ว”

“อ้าว...แบบนี้มันก็ไม่ดีสิชยินเพราะฉันลืมอาวุธพวกนั้นไม่ได้...ขืนกลับไปหน่วยเหนือมือเปล่าได้ถูกเล่นงานตาย” ภูริชหันไปทางผู้กองหน้าดุแล้วบอกหน้าตื่น

“นายก็รู้ว่าเราพาไปทั้งหมดไม่ได้”

“ถ้าหล่อนคิดเอาอาวุธมาแลกกับความปลอดภัยเพื่อนก็ช่างหล่อนปะไร พาไปหมดนี่แหละฉันไม่เสี่ยงถูกท่านนายพลตำหนิแน่” ชยินมองหน้าคนพูดแล้วขมวดคิ้วเข้าหากัน

เตโชหันไปมองหน้าพี่ชายพอเห็นประกายคิดหนักฉายชัดออกมา ชายหนุ่มจึงช่วยเป็นกระบอกเสียงสนับสนุนนายทหารหน้าเข้มแล้วออกความคิดเห็นบ้าง

“ถ้าจะพาไปทั้งสองคนก็คงไม่ถึงกับเป็นการเพิ่มภาระหรอกกระมังเพราะพี่ให้มองเทร์เดินทางไปด้วยไม่ใช่หรือไหนจะซาเยร์อีกล่ะ”

“นั่นสิถ้านายกลัวหล่อนเป็นอันตรายเดี๋ยวฉันจะระวังท้ายให้ก็ได้ รีบออกเดินทางเถอะเราเสียเวลามามากแล้ว อีกอย่าเกิดหมอบ้าดีเดือดขึ้นมาอีกฉันว่าวันนี้เราคงได้ทำศพหมอพร้อมกับศพของตัวเองแน่ๆ”

พอได้เสียงสนับสนุนคนที่ยืนลุ้นมาสักพักก็รีบคว้าโอกาสมาซะ ชยินยืนชั่งใจอยู่ชั่วครู่ แม้เขาจะมีความคิดที่แตกต่าง แต่เมื่อเห็นว่าหากยังลังเลก็ยิ่งเสียเวลาชายหนุ่มจึงพยักหน้าก่อนออกคำสั่งแล้วเดินกลับออกไป

เมื่อทุกอย่างเป็นไปตามความต้องการภูริชจึงลอบถอนใจอย่างโล่งอก ชายหนุ่มหันไปขอบอกขอบใจเตโชพร้อมกับกระซิบย้ำเรื่องการถล่มค่าย พอเห็นสีหน้าครุ่นคิดของอีกฝ่ายจึงตบมือลงบนหัวไหล่นั่นแล้วพยักหน้าชวนสองสาวให้เดินตามออกไป




 

Create Date : 06 กุมภาพันธ์ 2555
3 comments
Last Update : 6 กุมภาพันธ์ 2555 13:56:42 น.
Counter : 674 Pageviews.

 

ช่วงนี้มาทำงานแล้ว มีเนทใช้ตามปกติแล้วค่ะ ถ้าไม่ติดงาน คงอัพให้ได้ทุกวันนะคะ

 

โดย: sansook 6 กุมภาพันธ์ 2555 13:59:34 น.  

 

ตามมาให้กำลังใจ ยังไม่ได้อ่านนะคะรอเป็นชุดอยู่

 

โดย: tuk_ora 6 กุมภาพันธ์ 2555 14:23:17 น.  

 

หายไปน้าน..นานเนอะ งั้นคุณยายก็เหนื่อยละเนอะ แต่น้องนางงามคงไม่งอแงหรอก

 

โดย: chajee 6 กุมภาพันธ์ 2555 15:05:15 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.