ก้าวต่อไป:
หลังจากที่เราพาชีวิตผ่านร้อนผ่านหนาวมาหลายปี
อาจจะมีบางเวลาที่เรารู้สึกว่าชีวิตยังไม่ได้ดั่งใจ
รู้สึกว่าชีวิตยังไปไม่ได้ไกลเท่าที่หวังไว้
รู้สึกว่าชีวิตก้าวไปข้างหน้าอย่างเชื่องช้า
ทั้งๆที่เราก็พยายาม สร้างความก้าวหน้าให้กับชีวิตอย่างเต็มที่แล้ว
แต่ก็ดูเหมือนว่าชีวิตยังไปไม่ถึงไหนยังไปไม่ถึงจุดหมายสักที
ยิ่งเดินไปก็เหมือนเป้าหมายยิ่งห่างยิ่งก้าวก็เหมือนยิ่งย่ำอยู่กับที่
จากวันเป็นเดือนจากเดือนเป็นปี
ชีวิตก็ยังเดิมๆ
ไม่ค่อยเห็นความเปลี่ยนแปลงของชีวิตตัวเองเท่าไร
นานวันเข้าก็ชักจะเหนื่อยกับการเดินทางของชีวิต
ไม่อยากดิ้นรนอะไรให้มากมายอีกต่อไป
เพราะรู้สึกว่าพยายามเท่าไรก็ไม่เกิดผลสำเร็จเสียที
ความตั้งใจเดิมที่เคยคิดไว้ว่าจะทำชีวิตให้เป็นอย่างนั้นอย่างนี้
ก็ไม่อยากจะคิดไม่อยากจะทำอีกแล้ว
อยากจะพับโครงการและเก็บความฝันเข้ากรุให้มันจบเรื่องไป
จริงๆแล้วความรู้สึกเหนื่อยล้าเบื่อหน่าย
ท้อแท้กับชีวิต ไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาดอะไร
แต่เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นกับเราได้เสมอ
เพราะชีวิตคือการเดินทาง
การเดินทางก็ย่อมจะทำให้เราต้องอ่อนล้าบ้าง
เพราะเราจะต้องฟาดฟันกับปัญหาอุปสรรคต่างๆ
ต้องใช้พลังงานความคิดและหัวใจ
คอยประคับประคองให้ชีวิตยืนหยัดอยู่ได้
ฉะนั้นเวลาที่เราเกิดความรู้สึกเหนื่อยหน่ายกับชีวิต
เราก็อย่าเพิ่งตกอกตกใจหรือกังวลมากจนเกินไป
เมื่อชีวิตมันเหนื่อยนัก เราก็พักใจเสียหน่อย
พักใจด้วยการหยุดคิดถึงเรื่องชีวิตสักพักหนึ่ง
แล้วปล่อยความคิดให้ว่างๆ ปล่อยใจให้โล่งๆ
ไม่ต้องสนใจว่าชีวิตมาถึงไหนแล้ว
และไม่ต้องกังวลว่าเราจะไปไหนต่อ
เราอาจจะใช้เวลาช่วงนี้พาหัวใจไปพักร้อน
ท่องเที่ยวไปในที่ต่างๆตามใจชอบ
รอให้หัวใจหายล้า รอให้ชีวิตหายเหนื่อย
แล้วเราก็อาจจะ
เกิดความคิดดีๆ
ขึ้นมาว่าจะทำอะไร อย่างไรต่อไปกับชีวิต
บางครั้งการที่เรารู้สึกว่าชีวิตดำเนินไป
เหมือนภาพสโลว์โมชั่น
ก็อาจจะเป็นเพราะว่าเราเดินทางอย่างต่อเนื่อง
โดยไม่ค่อยได้หยุดพักอย่างเป็นเรื่องเป็นราว
ทำให้ชีวิตและหัวใจเดินได้ช้าลงเรื่อยๆ
เพราะสะสมความอ่อนแรงไว้จนเต็มพิกัด
พอเราเดินมาถึงจุดหนึ่งก็เลยเกิดอาการเครื่องน็อก
สตาร์ทความคิดไม่ติด
กำลังใจไม่ทำงาน และเมื่อเครื่องยนต์ชีวิตดับ
เราก็ย่อมจะหมดแรงไม่อยากแข่งขันกับใครอีก
คิดอยู่อย่างเดียวคือ
อยากหยุดเดินอยากปล่อยให้ชีวิตขึ้นลงตามพระอาทิตย์
ตื่นเช้าไปทำงาน
ตกเย็นกลับบ้าน
ใช้เวลาให้หมดไปแบบนาทีต่อนาทีเท่านั้นพอ
แต่ความรู้สึกเซ็งชีวิตแบบนี้จะไม่เกิดขึ้นกับเรา
ถ้าหากเรารู้จักการเดินทางที่ถูกต้อง
รู้จักจังหวะของการก้าวเดิน
รู้ว่าเมื่อไรต้องก้าวเร็วเมื่อไรต้องก้าวช้า
เมื่อไรต้องวิ่ง เมื่อไรต้องหยุด
เราก็จะพาชีวิตเดินทางต่อไปได้
โดยไม่หวั่นไหวแต่ถ้าเราฝืนเดินทั้งๆ ที่เหนื่อยแทบขาดใจ
เราก็คงไปไหนไม่ได้ไกล เพราะนอนสลบอยู่ข้างทาง
การที่เราจะก้าวไปถึงฝั่งฝันได้หรือไม่
ไม่ได้ขึ้นอยู่กับการก้าวช้าหรือก้าวเร็ว
แต่ขึ้นอยู่กับว่าเราก้าวถูกหรือเปล่า
ถ้าเราก้าวเร็วแต่ก้าวผิด
เราก็ไปไม่ถึงอยู่ดีแต่ถ้าเรามั่นใจว่าเราก้าวถูกต้องแล้ว
แต่ไม่รู้ว่าทำไมชีวิตถึงได้เคลื่อนที่ช้านัก
เราต้องถามตัวเองกลับว่า
ชีวิตก้าวช้าเพราะว่าเราตั้งใจไม่จริงหรือเปล่า
เราอาจจะมีความตั้งใจ
ที่จะทำเรื่องนั้นเรื่องนี้
แต่บางทีเราอาจจะตั้งใจไม่จริงจัง
อาจจะแค่อยากลองทำ
มากกว่าตั้งใจจะทำ...
การคิดจะลองกับการตั้งใจจะทำแตกต่างกัน
เพราะหากเราตั้งใจไม่จริง
เราก็จะก้าวเดินแบบทีเล่นทีจริง
ทำให้จังหวะการก้าวเดินไม่สม่ำเสมอ ไม่แน่นอน
เมื่อการก้าวเดินเป็นไปแบบหยิบโหย่งจับจด
ก็ยากที่ความฝันจะเป็นจริงได้
ถ้าเราก้าวมาอย่างถูกต้อง
ก้าวด้วยความตั้งอกตั้งใจ
แต่ความฝันก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะเป็นจริง
ก็อาจจะเป็นไปได้ว่า
ความฝันของเรายากเกินไป หรือตำแหน่งของความฝันสูงเกินไป
ประกอบกับความสามารถของเรามีจำกัด
จึงทำให้เราเอื้อมไม่ถึงฝัน คว้าไม่ถึงดาวสักที
หากเป็นอย่างนี้
เราก็มีทางเลือกอยู่สองทาง
ทางแรกคือ วัดใจไหนๆ ก็ไหนๆ เดินมาถึงขนาดนี้แล้ว
เราก็วัดใจวัดดวงกันไปเลยมุ่งหน้าต่อไป
ตามองที่เป้าหมายแล้วเดินต่อไปเรื่อยๆ
โดยที่ไม่ต้องตั้งความหวังอะไรมากมายถ้าสามารถไปได้ถึงจริงๆ
ก็ถือว่าเข้าวิน
แต่แม้ว่าเราจะไปไม่ถึงดวงดาวแห่งความฝัน ก็ไม่เห็นเป็นไร
หากเราพอใจที่จะเดินตามความฝัน
และมีความสุขกับการได้เดินอยู่บนเส้นทางนี้
เราก็ควรเดินต่อไปด้วยใจที่อยากจะเดิน
ส่วนทางเลือกที่สองก็คือ เปลี่ยนทางเดิน
ถ้าหากว่าเส้นทางที่เราเดินอยู่ เราเดินได้ช้า เดินไม่ถนัด
เราก็ควรจะเปลี่ยนเส้นทางเดินเสียใหม่
ลองมองหาเป้าหมายใหม่ให้กับชีวิต
แล้วหันไปก้าวเดินในเส้นทางอื่นแทน
แม้ว่ามันจะไม่ใช่ทางที่เราชอบนัก
แต่ถ้าหากเส้นทางใหม่จะทำให้เราไปถึงอีกฝันหนึ่งได้
เราก็ควรจะเปลี่ยนทางเดินเพื่อให้ชีวิตมีก้าวใหม่ที่ดีกว่าเดิม
แต่ถ้าใครคิดว่าเดินมาไกลมากแล้ว
ไกลเกินกว่าจะกลับลำหรือเปลี่ยนเส้นทาง
จำเป็นต้องเดินบนถนนเส้นเดิมที่เลือกไว้
ก็ให้ย้อนกลับไปที่ทางเลือกแรก
คือเดินต่อไปแบบ วัดใจ
เดินไปที่เป้าหมายข้างหน้าอย่างคนที่รักการเดินทาง
เดินอย่างไม่คาดหวังอะไรจากการเดิน
บางทีการพาชีวิตออกเดินด้วยความสบายใจ
มันอาจจะทำให้เราเพลิดเพลินกับชีวิตมากกว่าก็เป็นได้จริง
อยู่ที่ว่า ชีวิตคือการก้าวเดิน แต่เราก็ไม่จำเป็นต้องก้าวเร็วเกินไป
เพราะการใช้ชีวิตแบบก้าวกระโดด
อาจจะทำให้เราพลาดสิ่งดีๆ ที่อยู่รายทาง
เราควรใช้ชีวิตอย่างที่ควรจะเป็นก้าวอย่างที่ควรจะก้าว
จะดีกว่าเหมือนกับที่
Walter Hagen กล่าวไว้ว่า
Dont hurry, dont worry, Youre only here for a short visit.
So be sure to stop and smell the flowers.
(ไม่ต้องรีบร้อน ไม่ต้องกังวล คุณมีชีวิตอยู่แค่ปัจจุบันนี้
ณ ขณะนี้ ดังนั้น อย่าลืมหยุดชื่นชมและดอมดมกลิ่นดอกไม้)
ถึงแม้ว่าเราอาจจะเดินช้ากว่าคนอื่นๆ
แต่การเดินช้าก็ดีกว่าไม่ได้ก้าว
ขอเพียงแค่เราไม่หยุดเดิน
ชีวิตเราก็ไม่มีวันถอยหลังอย่างแน่นอน
นี่เป็นบางส่วนในหนังสือ คนท้อไม่แท้ คนแท้..ต้องไม่ท้อ
ขอบคุณแหล่งที่มาจาก
//www.com-th.net/webboard/index.php?topic=88073.0;wap2
..................
วันนี้มีเรื่องดีๆ เกิดขึ้น เริ่มงานใหม่ ต้น มี.ค.
งานไม่ไกลจากที่เราเคยทำมา
แต่ที่น่ายินดีก็คือ การผ่านสัมภาษณ์งาน ในบริษัทและองค์กร
ที่ใครๆก็รู้จักและเป็น บริษัทชั้นนำแนวหน้าของวงการบันเทิง....
แต่ที่แปลกใจคือ บ.ที่ไปสัมภาษณ์งาน ที่ ถนน นางลิ้นจี่ สัปดาห์ที่แล้ว
ก็โทรมาเหมือนกัน....
พรุ่งนี้ แวะไป วัดหลวงพ่อโสธร นำพวงมาลัย 19 พวง ไปถวายท่าน
เราไม่ได้บน เป็นไข่ต้มเอาไว้...
แค่บอกกล่าวเป็นคำพูด ว่าขอให้ 2 บริษัทนี้ ที่ไหนที่หนึ่ง
รับเราเข้าทำงาน.....
Yeah! เราทำได้....
เมื่อคืน ต๊อบ คล้องกุญแจรั้วบ้านไม่สนิท
ฮูโต๋ หมาบ้านอื่น ..
ที่ชอบมาตีซี้กับเรา เราให้อาหารอยู่บ่อยๆ มาเห่า หน้าบ้าน
เราเลยหาข้าว อาหารให้กินก่อนขึ้นนอน เกือบๆเที่ยงคืนได้แล้ว
ขำแฮะ ๆ ถ้าไม่ได้ออกไปหาฮูโต๋....อะไรจะเกิดขึ้น....