Group Blog
 
<<
กันยายน 2551
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
282930 
 
8 กันยายน 2551
 
All Blogs
 
สลัมหรือทำเนียบ 'อำนาจอธิปไตย' ยังมีอยู่หรือเปล่า ?

*สถานการณ์ การเมืองไทยดูเหมือนจะ ไร้ทางออกเข้าไปทุกที นักการเมืองเปิดสภาพูดคุยกัน ก็ดูจะเป็นสงครามปะทะน้ำลายมากกว่าการช่วยกันคิดแก้ปัญหา ขณะเดียวกัน พันธมิตรฯก็ดื้อแพ่ง ยังคงปักหลักชุมนุมยืดเยื้อ สหภาพรัฐวิสาหกิจก็ขู่จะปิดน้ำ ปิดไฟ พนักงาน คนขับรถเมล์บางส่วน ก็จะหยุดงานเพื่อไปร่วมชุมนุมไล่รัฐบาล

ซ้ำร้ายม็อบยังขู่ปิดสนามบินอีกครั้ง ขณะที่นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรีก็ประกาศ ไม่ยอมลาออก ไม่ยุบสภา

     ในสถานการณ์ที่บ้านเมืองขยับไม่ได้เช่นนี้ ศ.ดร.นันทวัฒน์ บรมานันท์ นักกฎหมายมหาชน จุฬาฯ ฉายภาพสังคมไทยกับประชาชาติธุรกิจว่า...

'... เท่าที่ผมมีโอกาสได้ฟังและดูการประชุมสภา (31 ส.ค.) ผมรู้สึกว่าไม่ใช่การพูดคุยกันเพื่อหาทางออก เพราะต่างฝ่ายต่างพูดในสิ่งที่ตัวเองอยากพูด พันธมิตรฯก็ไม่ได้ประโยชน์อะไร รัฐบาลก็ดูเหมือนจะเสียประโยชน์ด้วยซ้ำไป เพราะนายกฯก็ยังแข็งกร้าวแบบเดิม การประชุมก็เลยเสียเวลาเปล่า แต่สิ่งที่อาจจะได้บ้างก็คือ เราได้มองเห็นปัญหา แต่ก็เป็นปัญหาที่เราเห็นและรู้กันอยู่แล้ว'

ถามว่า แล้วนายกฯสมัครจะทำอย่างไร ?

     ดร. นันทวัฒน์เห็นว่า หากดูตามหลักกฎหมายกันจริงๆ แล้ว ผมคิดว่าเราไม่ควรจะไปไล่นายกฯกับรัฐบาลออกในลักษณะเช่นนี้ เพราะสิ่งที่นายกฯพูดถูกที่ว่า เขามาโดยระบบเลือกตั้ง เป็นระบบเลือกตั้งที่วันนี้เราเองเราก็เห็นว่ามีองค์กรในการตรวจสอบกำลัง ดำเนินการอยู่

     ฝ่ายที่กล่าวหา ผมไม่แน่ใจว่าทั้งฝ่ายค้านและพันธมิตรฯด้วยหรือไม่ ที่บอกว่ารัฐบาลมาจากการซื้อเสียง มาจากการโกง แต่ในทางกลับกัน วันนี้เราก็เห็นว่าคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) กำลังจะยุบพรรคตั้งหลายพรรค ฉะนั้น ถ้าเราไม่ไว้วางใจระบบใดเลย แม้กระทั่งไม่ไว้วางใจ กกต. ก็ไม่สามารถแก้ปัญหาอะไรได้ เพราะวันนี้ทุกอย่างกำลังเดินไปสู่จุดที่ควรจะเป็น

     ถ้าเราดูเรื่อง ยุบพรรค ผมเข้าใจว่าไม่เกินปลายปีนี้ก็คงเห็นผลแล้ว สมมติว่า กกต.ตรวจสอบแล้ว พรรคการเมืองจำนวนหนึ่งมีการซื้อเสียงจริง โกงจริง โทษก็คือ 'ยุบพรรค' หลังจากนั้นก็ว่าไปตามกระบวนการ เขาจะไปตั้งพรรคการเมืองใหม่ก็เป็นเรื่องของเขา ผมคิดว่าทุกอย่างกำลังดำเนินไปถึงจุดที่ควรจะเป็น แต่ว่าบังเอิญมีคนบางกลุ่มอดทนไม่ได้ แล้วก็ใจร้อน เมื่อใจร้อนก็เกิดเหตุการณ์อย่างที่เป็นอยู่

     วันนี้เราเห็นอยู่ แล้วว่า กลไกกำลังดำเนินการไป ไม่ว่าจะเป็นกลไกในการตรวจสอบ การได้มาซึ่งตำแหน่ง ส.ส.ทั้งหมด กกต.เขาก็ตรวจสอบอยู่ กรณีคุณยงยุทธ (ติยะไพรัช) หรือกรณีใบแดงของพรรคร่วมรัฐบาล เรื่องการใช้อำนาจในทางมิชอบ ก็ถูกตรวจสอบโดยศาลจำนวนมาก เรียกได้ว่า เกือบทุกศาลมีการพิจารณาคดีที่เกี่ยวข้องกับรัฐบาล

     แต่วันนี้เมื่อไป ไล่รัฐบาลออกในลักษณะเช่นนี้ ทุกอย่างก็ดูลำบาก บางเสียงเรียกร้องให้นายกฯลาออก บ้างก็เรียกร้องให้ยุบสภา แต่ผมคิดว่าเรื่องยุบสภา เราเคยหลงทางกันมาพอสมควร จริงๆ แล้วในระบบปกติทั่วไป การยุบสภาจะเกิดขึ้นมาเมื่อมีข้อขัดแย้งระหว่างฝ่ายนิติบัญญัติกับฝ่าย บริหาร หรือฝ่ายนิติบัญญัติด้วยกันเอง จนกระทั่งทำงานไม่ได้ ก็ต้องยุบสภา เลือกตั้งใหม่

     แต่ในเหตุการณ์วันนี้ ฝ่ายนิติบัญญัติเองซึ่งมี 2 ส่วน หนึ่งคือ ส่วนที่เป็นพรรคร่วมรัฐบาล กับสอง ส่วนที่เป็นฝ่ายค้าน เขาใช้สิทธิในการตรวจสอบไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ก็คือการอภิปรายไม่ไว้วางใจ เมื่อไม่นานมานี้การใช้สิทธิในการตรวจสอบครั้งนั้น ก็ส่งผลให้รัฐบาลปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) ฉะนั้น ผมคิดว่าฝ่ายค้านเขา ก็ใช้สิทธิในการตรวจสอบทางสภาเรียบร้อยแล้ว กระบวนการก็เดินไปได้แล้ว


*ฉะนั้น จึงเหลืออีกไม่กี่เรื่องที่จะทำได้ แต่วันนี้ผมไม่แน่ใจว่ากระบวนการตรวจสอบทางสภาจะทำได้อีกมากน้อยแค่ไหน เพราะการอภิปรายไม่ไว้วางใจก็ทำไปแล้ว การประชุมร่วม ส.ส., ส.ว. ก็ทำไปแล้ว ฉะนั้น เมื่อผ่านกระบวนการแบบนี้ไป คำถามก็คือ เราจะไม่ให้รัฐบาลทำงานจริงๆ หรือ ? หรือจะปล่อยให้เขาทำงานต่อไป ?

     ซึ่งผมคิดว่า จริงๆ ก็ควรจะปล่อยให้รัฐบาลทำงานต่อไป เพราะถือว่าผ่านกระบวนการตรวจสอบมาแล้ว และในเมื่อเสียงข้างมากเป็นของฝ่ายรัฐบาล รัฐบาลก็สามารถทำต่อไปได้ ก็ไม่เกิดข้อขัดแย้งในที่สุด เมื่อไม่เกิดข้อขัดแย้ง ก็จะไม่มีเหตุให้ยุบสภา กรณีที่คุณทักษิณ (ชินวัตร) ยุบสภาเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2549 ตอนนั้นมีนักวิชาการบางคนออกมาเขียน

บทความบอกว่าทำได้ ซึ่งจริงๆ ผมคิดว่าถ้าเราไปดูทฤษฎีทำไม่ได้ เพียงแต่ว่าถ้าเราทำไปแล้ว แล้วไม่ถูกต้องด้วยทฤษฎี เราจะเอามาเป็นบรรทัดฐานทำไม

     ฉะนั้น วันนี้ถ้าเรายึดบรรทัดฐานที่ถูกต้อง ผมคิดว่านายกฯไม่สามารถยุบสภาได้ เพราะไม่มีปัญหา ปัญหาอยู่ภายนอกสภามากกว่า เพราะว่าพรรคฝ่ายค้านโดยธรรมชาติ ไม่ว่าที่ไหนในโลกก็เหมือนกัน คือ พยายามจะพลิกกลับมาเป็นรัฐบาลให้ได้ ฉะนั้น ในเมื่อพรรคฝ่ายค้านพยายามจะพลิกกลับมาเป็นรัฐบาล ก็เป็นเหตุที่เขาต้องอภิปรายไม่ไว้วางใจ จะต้องหาประเด็นในการทำงานของรัฐบาลเพื่อสร้างความชอบธรรมให้ตัวเองให้เป็น รัฐบาล นี่คือการต่อสู้ทางรัฐสภา

แต่วันนี้ปัญหาอยู่ข้างนอก แล้วเราไปบอกให้ยุบสภา ผมคิดว่าไม่ใช่เรื่องที่ถูกต้อง ดังนั้นที่นายกฯพูดว่าไม่ยุบสภา จริงๆ ก็ปิดประตูไป 1 ประตู

     ถัดมา ประตูเรื่อง 'ลาออก' ซึ่งผมไม่ทราบว่าทำไมนายกฯจะต้องลาออก เพราะไม่มีเหตุผล ในระบบทั่วไปเวลาเกิดปัญหาขึ้นในสังคม ก็ต้องมีคนรับผิดชอบ ในกรณีนี้มีการประท้วงรัฐบาล เราไม่เห็นเจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบเป็น กทม. ทั้งๆ ที่ กทม.เป็นเจ้าของพื้นที่ แต่ กทม.ก็ไม่มีบทบาท

ดังนั้น ผมคิดว่าเวลามีปัญหาอยู่ข้างนอก แล้วเราจะไปบีบให้นายกฯลาออกทุกเรื่องก็ไม่ถูก เพราะกรณีนี้เราทราบอยู่แล้วว่ามีการประท้วง แล้วการประท้วงมีลักษณะที่ยืดเยื้อ เพื่อต้องการล้มรัฐบาล โดยคำว่าล้มรัฐบาลก็หมายความว่า ต้องการกำจัดพรรคพลังประชาชนให้สิ้นไปเลย ไม่ต้องการให้คนที่อยู่ในพรรคพลังประชาชนทั้งหมด กลับมาเล่นการเมืองอีก ซึ่งก็โยงมาจากพรรคไทยรักไทย

     ดร.นันทวัฒน์กล่าวว่า จริงๆ แล้วในช่วง 3-4 เดือนที่ผ่านมา รัฐบาลก็ยอมพอสมควรเหมือนกัน อย่างการแก้รัฐธรรมนูญหนแรก นักวิชาการก็คัดค้าน ผมก็คัดค้าน รัฐบาลก็เหมือนจะไม่ฟัง แต่พอเจอพลังนอกสภา รัฐบาลก็ฟัง ฉะนั้น ผมเข้าใจว่านายกฯกับรัฐบาลเองก็พยายามที่จะโอนอ่อนผ่อนตามพอสมควร จนกระทั่งในบางครั้ง การโอนผ่อนของรัฐบาล ทำให้พลเมืองอย่างผมมีความรู้สึกว่า อำนาจรัฐยังมีอยู่หรือเปล่า เพราะรัฐบาลไม่สามารถใช้อำนาจรัฐได้เลย

     ในสภา รัฐบาลตอบโต้กับเขา แต่พออยู่ข้างนอกมีการกระทำที่อุกอาจขนาดนี้ รัฐบาลไม่กล้าตอบโต้ แต่นั่นก็ถือว่ารัฐบาลยอมถอยพอสมควร ฉะนั้น จะว่าไปแล้วพลังในการชุมนุมของพันธมิตรฯในสังคมไทยก็มีอยู่ แล้วก็ทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างก้าวไปไม่ได้ตามที่รัฐบาลต้องการ คำถามคือจะดูเป็นเหมือนได้คืบเอาศอกหรือเปล่าว่ารัฐบาลหยุดแล้ว แต่พันธมิตรฯก็ไม่หยุด พยายามต่อไปเรื่อยๆ กระทั่งเกิดเหตุการณ์ร้ายๆ ขึ้นเมื่อ 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งเกินกว่าที่จะคาด และทำให้ผมและคนทั่วไปสงสัยเหมือนกันว่า แท้ที่จริงแล้ว อำนาจรัฐมีอยู่หรือเปล่า ?


*ดร. นันทวัฒน์กล่าวถึงพันธมิตรฯว่า '...ผมคิดว่าถ้าพันธมิตรรออย่างที่ผมบอก ปัญหาก็จะค่อยคลายไปทีละเปลาะ แต่วันนี้เมื่อเป็นอย่างนี้ มีการบุกเข้าไปในทำเนียบ ผมคิดว่ามันเหมือนกับเรากำลังมีสงคราม มีการแบ่งฝ่ายอย่างเห็นได้ชัดเจน นายกฯเองออกมาบอกให้เลือกข้าง'

ถามว่าทำไมสังคมไทยถึงถูกบีบให้เลือกข้าง เพราะจริงๆ เป็นการต่อสู้นอกระบบ โอเค...ถ้าเราจะบอกว่าให้ภาคประชาชนมีส่วนร่วมในพื้นที่ทางการเมืองผมก็เห็น ด้วย แต่การมีส่วนร่วมควรจะมีขอบเขตอยู่มากน้อยแค่ไหน

     อย่างแรกที่ ผมคิดว่าภาคประชาชนมีส่วนร่วมได้ก็คือ ร่วมแสดงความคิดเห็น ร่วมให้ข้อมูล แม้กระทั่งประท้วงผมก็เห็นด้วย แต่การประท้วงไม่ว่าจะเป็นการเดินขบวนหรือการชุมนุมสาธารณะ ก็ต้องทำอย่างสงบ

'ในวันนี้รัฐธรรมนูญมาตรา 63 ถูกนำมาปู้ยี่ปู้ยำจนไม่เหลืออะไรแล้ว เพราะว่าการชุมนุมโดยสงบที่เราตีความกัน ผมคิดว่าเขาตีความได้กว้างมาก เพราะชุมนุมโดยสงบ ผมลองค้นดูกฎหมายต่างประเทศมันสงบจริงๆ ไม่ใช่ตะโกนด่าว่าเขา แล้วเอาข้อมูลที่ไม่ดีมาว่ากัน แต่การชุมนุมโดยสงบ ยกตัวอย่างสมัยมหาตมคานธีก็อดข้าว นั่งเฉยๆ ทหาร ตำรวจบุกเข้ามา เขาก็ปล่อยให้ตี ตีกระทั่งทหารตำรวจไม่กล้าตี เพราะสงสารว่าพลเมืองไม่สู้ นั่นคือการชุมนุมโดยสงบ

     ผมไม่ได้หมายความว่าจะต้องให้ทหาร ตำรวจตีม็อบพันธมิตรฯ เพราะวันนี้ประชาคมโลกก็จับตาดู ยิ่งมีนักวิชาการออกมาดักคอตั้งแต่ต้นแล้วว่า ฝ่ายไหนลงมือก่อนฝ่ายนั้นแพ้ ฉะนั้น วันนี้การตีกันคงเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ยาก เว้นแต่จะมีมือที่ 3 หรือการป้องกันตัวเอง วันนี้กลายเป็นว่าเลยประเด็นที่จะควบคุมมาแล้ว

และ ถ้าย้อนกลับไปเรื่องยุบสภาหรือลาออก ผมคิดว่าถ้าผมเดาใจท่านนายกฯออก หรือกระทั่งพรรคร่วมรัฐบาลที่ประชุมกัน ผมคิดว่าส่วนหนึ่งคนก็เห็นด้วย คือ ถ้าเรายอมแพ้ก็ต้องยอมแพ้ตลอด แต่ว่าการที่จะไม่ยอมแพ้ ผมไม่อยากใช้คำว่าชนะ แต่ว่าการที่จะไม่ยอมแพ้จะทำยังไง

เพราะการไม่ยอมแพ้ในที่นี้ คือ ต้องไม่ยอมทำอะไรก็ตามที่ผิดกฎหมาย ในวันนี้เราเหมือนอยู่ในประเทศที่ดูเหมือนไม่มีกฎหมาย ใครอยากจะทำอะไรก็ทำได้ ซึ่งก็ไม่ใช่ เพราะสิ่งที่ทำกันทำให้ประชาชนเดือดร้อน

     การทำให้ประชาชนเดือดร้อน อาจจะกลายเป็นแรงจูงใจให้พลังเงียบออกมาร่วมกับฝ่ายที่ทำให้ประชาชนเดือด ร้อน อาจจะเป็นเสียงพลังเงียบที่ไปเข้าข้างใดข้างหนึ่งก็ได้ ซึ่งถ้าไปสะวิงเข้าข้างใดข้างหนึ่งมากเกินไป ก็เกิดปัญหาขึ้นอยู่ดี เพราะถ้าไปเข้าข้างพันธมิตรฯ พันธมิตรฯก็จะมีกำลังมากขึ้น และก็อาจจะทำอะไรที่อุกอาจมากขึ้นอีก แต่ถ้าเข้าข้างรัฐบาล แล้วไปใช้กำลังทำลายพันธมิตรฯ ก็อาจจะเกิดเหตุจลาจล

ซึ่งผมคิดว่า เป็นสิ่งที่น่าระวังมาก ดูเหมือนกับการทำให้คนจำนวนมากเข้ามามีส่วนร่วมกับฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดเกินขอบ เขต ในวันนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดที่ทั้ง 2 ฝ่ายไม่ได้นึกเลย คือ ประโยชน์สาธารณะ ว่าประชาชนหรือประเทศชาติจะได้รับผลกระทบเสียหายขนาดไหน

     นักกฎหมายมหาชนผู้นี้เห็นว่า '...วันนี้บ้านเมืองเราถึงทางตันทางกฎหมายก็ว่าได้ อย่างแรก คือ รัฐบาลไม่มีอำนาจรัฐอยู่ในมือเลย รัฐบาลไม่สามารถแก้ปัญหาได้ ฉะนั้น วันนี้เราต้องดูว่าฝ่ายบริหารมีอำนาจอ่อนแอเกินไปหรือเปล่า' ?

เพราะในการแก้ไขรัฐธรรมนูญปี'40 เหตุผลสำคัญคือฝ่ายบริหารมีอำนาจมาก ฉะนั้น ถามว่าเราแก้หรือลดอำนาจฝ่ายบริหารน้อยไปหรือเปล่า ฝ่ายนิติบัญญัติ ไม่ต้องพูดถึง เพราะ 7 เดือนที่ผ่านมาของรัฐบาลชุดนี้ ผมยังไม่เห็นกฎหมายดีๆ ออกมาสักฉบับเลย แต่กลับไปทำสิ่งที่ไม่ควรจะทำ เช่น การหาที่ตั้งสภาใหม่ ซึ่งผมคิดว่าไม่ใช่เรื่องเร่งด่วน

แต่ที่ต้องทำคือ การออกกฎหมายลูก ซึ่งโดยปกติต้องรีบออก แต่วันนี้ยังไม่ออกหลายฉบับ ฉะนั้น ฝ่ายนิติบัญญัติก็ล้มเหลวเพราะไม่สามารถผลิตกฎหมายออกมาได้

     ฝ่ายตุลาการเองในตอนต้นก็มีคนพยายามใช้คำว่า 'ตุลาการภิวัตน์' และพยายามแปลเจตนาให้ผิดไปจากการมีอำนาจตุลาการที่แท้จริง ฉะนั้น ตุลาการภิวัตน์สำหรับผมไม่ใช่สิ่งที่เราควรจะต้องมาพูด เพราะอำนาจตุลาการก็คืออำนาจตุลาการ คือ ทำตามกฎหมาย ทำตามที่มีคนฟ้อง แล้วให้ความยุติธรรม

อยากจะถามคนที่เรียกตุลาการภิวัตน์ว่า วันนี้จะตั้งคำใหม่ขึ้นมาหรือไม่ เพราะพันธมิตรฯไม่ยอมฟังคำสั่งหรือคำพิพากษาของศาล ยิ่งเป็นตุลาการภิวัตน์ไม่ได้เลย เหมือนกับว่าอำนาจตุลาการทำให้อ่อนตัวลง เช่นเดียวกับอำนาจบริหาร

'ฉะนั้น วันนี้อำนาจตุลาการกับอำนาจบริหารมีสภาพเหมือนกัน คือ ไม่มีสภาพบังคับ ซึ่งเป็นสิ่งที่ตุลาการต้องคิดดูแล้วว่าจะทำยังไงให้มีสภาพบังคับ เพราะผมเข้าใจว่าที่รัฐบาลแก้ปัญหาอยู่นี้ ผมไม่แน่ใจว่ารัฐบาลเดินถูกหรือไม่ถูก การไม่ใช้กำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าไปเคลียร์พื้นที่ หรือไปจับกุมคนที่บุกรุกสถานที่ราชการออกมา แต่กลับใช้กระบวนการทางศาล เพราะรัฐบาลเกรงจะเกิดการสลายม็อบ แล้วก่อให้เกิดปัญหาตามมา ซึ่งก็เป็นสิ่งที่แปลก

     แต่ภายใต้ความแปลก มีอย่างอื่นแปลกมากกว่าก็คือ รัฐบาลตัดสินใจเลือกใช้กระบวนการศาล ศาลก็มีคำสั่งออกมา แต่พันธมิตรฯกลับไม่ปฏิบัติตาม ฉะนั้น วันนี้เป็นสิ่งที่เราต้องทบทวนดูแล้วว่า จริงๆ แล้วอำนาจนิติบัญญัติ อำนาจบริหาร และอำนาจตุลาการ ในวันนี้ยังมีอยู่หรือเปล่า หรือถ้ามี มีสภาพบังคับหรือมีผลยังไงบ้าง เพราะเป็นไปไม่ได้ที่เราอยู่ในบ้านเมืองที่เหมือนกับไม่มีกฎเกณฑ์

ในวันนี้ ผมคิดว่าไม่ว่าใครจะเป็นฝ่ายผิดฝ่ายถูก ผมเองมองว่าส่วนหนึ่งพันธมิตรฯผิดแน่นอน รัฐบาลก็มีส่วนผิดในหลายเรื่องโดยเฉพาะการทำเรื่องไม่เป็นเรื่อง ซึ่งเห็นได้ชัดว่าเพื่อประโยชน์ตัวเองและพวกพ้อง

     ในวันนี้เมื่อ ต่างฝ่ายต่างนึกถึงประโยชน์ตัวเองแล้ว ผมไม่แน่ใจว่าในที่สุด 2 ฝ่ายใครจะได้ประโยชน์มากกว่ากัน แต่ที่รู้แน่นอนคือประเทศเสียหายแล้ว เสียหมดทุกอย่าง เสียทั้งระบบเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม การเมือง และระบบกฎหมายที่อุตส่าห์สั่งสมกันมาเป็น 100 ปี ไม่ว่าจะเป็นความศักดิ์สิทธิ์ของคำพิพากษาหรือคำสั่งศาล หรือว่าสถานภาพของฝ่ายบริหารในฐานะเป็นผู้ปกครองประเทศ ทุกอย่างเสียหมด โดยยังมองไม่เห็นเลยว่าใครจะได้ประโยชน์บ้าง

ถามถึงทางออกสำหรับสังคมไทย ?

ดร. นันทวัฒน์มองว่า '...ผมยังมองไม่เห็น (ครับ) ว่าเราจะมีทางแก้ปัญหาได้ยังไงบ้าง เพราะถ้านายกฯบอกว่าไม่ยุบสภา ไม่ลาออก ก็หมายความว่ารัฐบาลยังคงอยู่ต่อไป ทำงานต่อไป แล้วพันธมิตรฯก็ยังอยู่ต่อไป ก็คงต้องอยู่ต่อไปอย่างนี้ เพียงแต่ว่าขออย่าให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเริ่มต้นใช้ความรุนแรง'

เพราะ วันนี้ผมเข้าใจว่าพลังเงียบของทั้ง 2 ฝ่ายก็มีเยอะเหมือนกัน ถ้าเริ่มมีการใช้ความรุนแรงหรือบีบบังคับประชาชน ผมคิดว่าโอกาสที่จะมีข้อพิพาทขนาดใหญ่ทางสังคมสูงมาก เพราะพลังเงียบจะออกมา

หน้า 44
ขอขอบคุณ
ที่มา :
ประชาชาติธุรกิจ 4 กันยายน 2551

H O M E



Create Date : 08 กันยายน 2551
Last Update : 8 กันยายน 2551 21:59:13 น. 0 comments
Counter : 635 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

jenifaae
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 7 คน [?]




Editor
บทความ ความคิดเห็นที่นำลง"สนามหลวงแก็งค์" ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
เพียงเราเห็นว่าน่าสนใจและเป็นประโยชน์ในทางข้อมูล ข่าวสาร
หากท่านมีข้อคิดเห็นประการใด โปรดแจ้งให้เราทราบ จักขอบคุณยิ่ง
"สนามหลวงแก็งค์"
kunkorn : Facebook



"Sanamluang's Gang"
"สนามหลวงแก๊งค์"

kunkorn : Facebook

     เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนให้เกิดการศึกษา การเรียนรู้ เผยแพร่ ส่งเสริม สนับสนุน รวบรวมข้อมูล ข่าวสาร อนุรักษ์ รักษาเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ของชนชาติไทย วิถีชีวิต และปรัชญา คุณค่าจิตวิญญาณที่งดงาม สืบสานต่อยอดกันมานานนับพันๆปี และกำลังถูกทำลายด้วยอิทธิพลจากแนวคิดเชิงวัตถุนิยมแบบตะวันตก

● เพื่อการศึกษาหาความรู้ ส่งเสริม สนับสนุน ให้เกิดการศึกษา เรียนรู้ สิ่งที่พระพุทธเจ้าค้นพบ และนำมาเผยแพร่แก่มวลมนุษยชาติ อย่างเป็นวิทยาศาสตร์ที่แท้จริง มิใช่เพียงวิทยาศาสตร์เชิงวัตถุเพียงอย่างเดียว เพราะถือว่าพระพุทธเจ้า ทรงค้นพบความจริงของธรรมชาติ ทั้งหมดทั้งสิ้น ที่มนุษย์ธรรมดาสามัญอย่างเราๆ ท่านๆ ยังเป็นเพียงผู้รู้ แค่หางอึ่งที่ยังอยู่ในกะลาครอบ แต่บังอาจด่วนสรุป ขัดแย้งกับ สิ่งที่องค์ศาสดาทรงค้นพบมากว่าสองพันปี จนทำให้บังเกิดความสับสน ลดความน่าเชื่อในสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงค้นพบ

● สนามหลวงแก๊งค์ ต้องขออนุญาตและขอขอบคุณท่านเจ้าของข่าวสาร ข้อมูล ที่เราได้นำลงในสนามหลวงแก๊งค์ ไว้ ณ โอกาสนี้ด้วยจิตคารวะ ทั้งนี้และทั้งนั้น ก็เพื่อให้สนามหลวงแก๊งค์ เป็นแหล่งในการเผยแพร่ ข้อมูล ข่าวสารที่เป็นประโยชน์และเพื่อเป็นวิทยาทานแก่สาธารณชน แต่หากท่านเจ้าของข้อมูล ข่าวสารที่ สนามหลวงแก๊งค์ นำลงไม่มีความประสงค์ให้นำลง ขอได้โปรดแจ้งความประสงค์ เรายินดีที่จะถอดออกต่อไป

ด้วยจิตคารวะ
www.sanamluang.bloggang.com
kunkorn : Facebook


ดาวหาง
     เป็นปรากฎการณ์ทางธรรมชาติ ที่เกิดขึ้นในห้วงมหาจักรวาลอันยิ่งใหญ่ ลี้ลับไร้ขอบเขต ทุกครั้งที่ดาวหางปรากฏ มันจะส่งสัญญาณแห่งความพินาศ มหันตภัย ธรรมชาติ ความตาย ความเจ็บป่วย สงคราม ความขัดแย้ง การกดขี่ การเอารัดเอาเปรียบ การคดโกง การเบียดเบียนของมนุษย์บนพื้นพิภพใบนี้

     มันคือสัญญาณเตือนภัยที่มนุษย์ไม่อาจจะควบคุมได้ ทั้งภัยทางธรรมชาติและภัยที่เกิดขึ้นจากมนุษย์สร้างกันขึ้นมาเองในทุกรอบพันปี

     ไม่ว่ามนุษย์จะคิดว่าตัวเองเก่งกาจสามารถ ฉลาดสักเพียงไหน ก็ไม่อาจหลีกพ้นมหันตภัยเหล่านี้ไปได้
     ดังนั้น จงเชื่อและปฎิบัติตามอย่างไม่ลังเลต่อคำสอนของศาสดาของเราอย่างจริงจังเถิด

     แม้จอมจักรพรรดิ จอมราชันย์ หรือจอมทรราชที่ยิ่งใหญ่ในอดีต ก็ต้องตายร่างกายเน่าเปื่อยเป็นผุยผง และในที่สุดวิญญาณของเขาก็ต้องชดใช้กรรม ด้วยการถูกไฟนรกเผาผลาญโดยไม่มีข้อยกเว้นทั้งทั้งสิ้น

     จงอย่าอหังการ์ว่าตัวเองเก่ง ฉลาด และยิ่งใหญ่กว่าคำสอนของพระศาสดา ไม่มีมนุษย์ตนใดที่จะพ้นจากกฎแห่งธรรมชาติได้ มนุษย์ที่เก่งกว่าเรา เขาได้ตายร่างกายทับถมปฐพีแห่งนี้นับไม่ถ้วนแล้ว


     ● ขออนุญาตนำภาพวาด "วีระชนบนพานรัฐธรรมนูญ" ของ คุณสถาพร ไชยเศรษฐ ศิลปินอิสระ อดีตแนวร่วมศิลปินแห่งประเทศไทย ซึ่งวาดเนื่องในโอกาส 2 ปี 14 ตุลา มาเป็นส่วนหนึ่งของหัว "สนามหลวงบล็อก"                


บริการดูดวง



"สนามหลวงพยากรณ์ออนไลน์" มีความภาคภูมิใจในความสำเร็จตามอุดมการณ์ของเรา ที่ได้ตั้งเอาไว้ว่า "เราจะใช้วิชาความรู้ในด้านการพยากรณ์เพื่อให้เป็นประโยชน์สำหรับการให้การปรึกษาของผู้คนที่กำลังประสบปัญหา ความเดือดเนื้อร้อนใจ หรือการเผชิญกับปัญหานั้นๆได้อย่างไรดี

มนุษย์เกิดแต่กรรม มนุษย์มีกรรมเป็นเหตุ เมื่อเราประสบเคราะห์กรรม ปัญหาอยู่ที่ว่าหากเราทราบเสียก่อน ย่อมเป็นสิ่งที่ดีกว่าการไม่ทราบ อย่างน้อยก็ทำให้เราระมัดระวังตัว อย่างน้อยก็ทำให้เราหลีกเลี่ยงเพื่อทำให้เราเผชิญกับกรรมน้อยลงไป อย่างน้อยก้ทำให้เรารู้ว่าสิ่งเหล่านั้นมันมีที่มา มันมีที่ไปของมัน

มีนักวิชาการและนักวิทยาศาสตร์วัตถุจิตนิยม มักโจมตีอยู่เสมอว่า การดูดวง เป็นเรื่องของความงมงาย หมอดูคู่กับหมอเดา หมายถึงว่า เขาไม่เชื่อในเรื่องของวิชาโหราศาสตร์เพราะคิดไปว่ามันเป็นเรื่องเดียรัจฉานวิชาบ้าง เป็นการคาดเดาเอาเองบ้าง คิดว่ามันเป็นวิชาที่ใช้สถิติสุ่มเอาบ้าง ไม่เชื่อว่าวิชาโหราศาสตร์จะสามารถไขปริศนาแห่งรหัสลับของดวงดาว จักรวาล และธรรมชาติรอบตัว

แสดงว่าเขาลืมไปว่า อัลเบิร์ต ไอสไตน์ และสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้กล่าวไว้ว่า ทุกสรรพสิ่งในโลกรอบตัวเรา ตั้งแต่เล็กเท่าอะตอม (จุลจักรวาล)จนถึงมหาจักรวาล ล้วนมีความผูกพัน ล้วนมีความสัมพันธ์กันอย่างลึกซึ้งแยกกันไม่ออก เพียงแต่ว่า กับอะไร เมื่อไร อย่างไร เท่านั้น

กรรมเป็นผลจากการกระทำของเราในอดีตชาติ จะดีหรือจะร้ายก็เพราะเราทำ เป็นสิ่งที่เราจะต้องได้รับผลแห่งการกระทำเหล่านั้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

โหรฯเป็นเพียงผู้แปลรหัสของดวงดาวและธรรมชาติรอบตัว เพื่อเผยแผนที่ชีวิตของเรา และสามารถมองเห็นช่องทางที่จะเลี่ยงหลบสิ่งเลวร้าย ให้ลดน้อยถอยลงหรือพบพานแต่สิ่งที่ดีดี

การสะเดาะเคราะห์ หรือพิธีการตัดกรรมที่กำลังกล่าวขานถึงก็คือการขออโหสิกรรม ลดการอาฆาตจองเวรกับเจ้ากรรมนายเวรที่กำลังจ้องจองเวรด้วยความอาฆาตพยาบาทที่ถูกเรากระทำในอดีตชาติ ไม่ใช่เป็นการตัดทอนผลกรรมที่เราทำให้หมดไปหรือให้ลดลง เพราะกรรมที่เรากระทำไม่สามารถตัดทอนลงไปได้



สนามหลวงพยากรณ์ออนไลน์พยากรณ์เที่ยงตรง แม่นยำเชื่อถือได้ วิเคราะห์พยากรณ์อย่างเป็นระบบ ไม่เลื่อนลอย ยึดมั่นในอุดมการณ์ของครูที่ท่านได้กำชับให้นำเอาวิชาการพยากรณ์มาช่วยเหลือแนะนำ บรรเทาทุกข์ของผู้คนมากกว่าการพยากรณ์เพื่อการค้า

ต้องยอมรับว่า ไม่ว่าประเทศใด? ชาติใด ภาษาใด? สมัยไหน? ชนชั้นวรรณะใด? ไม่ว่าจะเป็นเจ้าสัว นักธุรกิจ นักการค้า แม่บ้าน นักเรียน นักศึกษา ครู อาจารย์ หรือไม่เว้นแต่นายพล นายพัน รัฐมนตรี หรือระดับผู้นำประเทศ ล้วนแต่เคยดูดวงด้วยกันทั้งสิ้น เพียงแต่ว่า เราจะเชื่ออย่างงมงายหรือจะเชื่อโดยใช้เหตุผลอย่างเป็นวิทยาศาสตร์ โดยนำเอาคำพยากรณ์มาใช้เป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจในการดำเนินชีวิต หรือทำธุรกิจ การค้า หรือเพื่อการทำสงครามฯ

"สนามหลวงแก็งค์" ไม่สนับสนุนให้เชื่อเรื่อง "ดวง" อย่างงมงาย แต่เราสนับสนุนให้ใช้คำ "พยากรณ์"อย่างมีวิจารณญาณประกอบการตัดสินใจอย่างมีสติ ใช้ "ปัญญา"อย่างมี "เหตุผล"

หลังจาก "สนามหลวงพยากรณ์ออนไลน์" ได้รับการตอบรับอย่างล้นหลาม จนต้องมีการเข้าจองคิวดูดวงเป็นจำนวนมาก ณ ขณะนี้ ไม่ใช่แต่เฉพาะคนไทยในประเทศที่เข้ามาใช้บริการจาก "สนามหลวงพยากรณ์ออนไลน์"เท่านั้น

แต่ยังมีคนไทยที่อยู่หลายประเทศทั่วโลกเข้ามาดูดวง ตรวจสอบชื่อ นามสกุลมากมาย ทั้งนี้คงเป็นเพราะผู้ที่เข้ามา"ดูดวง" กับ "สนามหลวงพยากรณ์ออนไลน์" ได้รับความพอใจในคำพยากรณ์ที่ถูกต้อง แม่นยำ แนะนำแนวทางแก้ไขที่เหมาะสมตามหลักโหราศาสตร์ จึงได้มีการบอกเล่า แนะนำชักชวนกันปากต่อปากเป็นจำนวนมาก

ปัจจุบันนี้ มีผู้เข้ามาเยี่ยมชมwww.sanamluang.bloggang.com มีจำนวนถึง 118 ประเทศ โดยเข้ามาเปิดดูหน้า "สนามหลวงพยากรณ์ออนไลน์"คิดเป็นร้อยละ 80 ของ pageviews ต่างๆใน www.sanamluang.bloggang.comจัดทำบล็อกครั้งแรกเมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม 2550 มีผู้เข้าชมจำนวนทั้งสิ้น 579,020 ครั้ง จากจำนวน 262,960 visitors (ข้อมูล ณ เวลา 12.00 น.ของวันพุธที่ 6 ตุลาคม 2553)

ส่วนใหญ่ลูกค้าที่โทรเข้ามาเกือบ 98% เมื่อโทรฯ เข้ามาดูดวงแล้ว จะสามารถนัดวัน เวลาดูดวงได้โดยไม่มีปัญหาแต่อย่างใด อาจจะมีอยู่บ้างเพียงไม่กี่รายที่โทรฯเข้ามาเพื่อสอบถามรายละเอียดเพียงอย่างเดียวเท่านั้น

อาจจะเนื่องมาจากไม่คุ้นเคยการทำธุรกิจแบบออนไลน์ โดยมีการโอนเงินก่อน ไม่ไว้ใจ หรือไม่กล้า ซึ่งมีจำนวนน้อยมาก ประมาณ 2%

สำหรับที่เมลฯมาถามและเงียบไป ไม่สามารถทราบจำนวนได้ อาจเนื่องจากเป็นรายที่โทรเข้ามานัดอีกทางหนึ่งก็เป็นได้

สนามหลวงพยากรณ์ออนไลน์ ยังมีอาจารย์ผู้สอนวิชาโหราศาสตร์ ผ่านประสบการณ์ในการดูดวงหลายปีคิดเป็นจำนวนหลายพันดวง

แน่นอน แม่นยำกระชับ ชัดเจน หากไม่ทราบเวลาตกฟากท่านก็ยังสามารถดูได้ รายที่กำลังประสบเคราะห์หามยามร้าย ท่านก็จะช่วยแนะนำและแก้ไขเรื่องเลวร้ายให้กลายเป็นดีด้วยศาสตร์แห่งความลี้ลับของโหราศาสตร์ โดยไม่ต้องเสียเงินสะเดาะเคราะห์ สามารถดูได้ถึงขนาดปัญหาเรื่องคู่ครอง เรื่องเคราะห์ เรื่องหน้าที่การงาน โดยใช้ "วิชาโหราศาสตร์ดวงไทย"อันเป็นสุดยอดของวิชาโหราศาตร์โบราณของไทย

นอกจากนั้น เรายังมี ซินแส ที่เชี่ยวชาญเรื่องการดูฮวงจุ้ย ทำเลปลูกบ้าน อาคารสำนักงาน ดูฤกษ์ยาม แต่งงาน คลอดบุตร ขึ้นบ้านใหม่ เปิดกิจการต่างๆโดยใช้วิชาโหราศาสตร์จีนโบราณผสานตำราดวงไทย ซึ่งซินแสท่านมีประสบการณ์การดูดวงมาไม่น้อยกว่า 45 ปี ผ่านการดูให้กับนักธุรกิจชื่อดังของเมืองไทย และนักธุรกิจชั้นนำจากฮ่องกงหลายราย

ติดต่อ 081-4834367 หรือ workingmailhome@hotmail.com
--------------------------------------------
● ปรึกษาปัญหากฏหมาย
ละเมิด,สัญญา,อายัดทรัพย์ ยึดทรัพย์
--------------------------------------------
● ปัญหาติดต่อราชการ
บริการปรีกษาเรื่อง ภาษีป้าย ภาษีโรงเรือน ภาษีที่ดิน ค่าธรรมเนียมต่างๆ และการติดต่อราชการต่างๆ ของสำนักงานเขต
--------------------------------------------
● พิมพ์รายงาน,ค้นหาข้อมูล,

● งานพิมพ์ Lay-Out,Art Work
--------------------------------------------
สำนักพิมพ์ดาวหาง
www.sanamluang.bloggang.com




รับวาดรูปเหมือน และสอนวาดรูป
โดยอาจารย์ ผู้ชำนาญ

ราคาย่อมเยา

















หลังเกิดเหตการณ์ 14 ตุลา 2516 นิสิต นักศึกษา ปัญญาชน ต่างหลั่งไหลดั่งสายน้ำ ล้นขอบ ออกจากเมือง เข้าสู่ ชนบท เหตุเกิดเมื่อ กลางปี พ.ศ.2516 จนถึง พ.ศ.2519 นักศึกษากลุ่มหนึ่ง ได้ พบกันโดยบังเอิญ และ ได้ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันกับชาวบ้าน ณ หมู่บ้าน แม่ตะมาน ตำบลกื๊ดช้าง อำเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่ ภายใต้ ชื่อโครงการว่า "โครงการหมู่บ้านสหกรณ์แม่ตะมาน"
เชิญ พบ และติดตาม กับเรื่องราว และบทสรุป อันควรเป็นจุดเริ่มต้น ต่อไปใน

     เมล็ดพันธุ์ประชาธิปไตย ที่ถูกหว่านทั่วท้องทุ่งแห่งประชาไทย มาบัดเดี๋ยวนี้ เมื่อต้องฝน ต้องลม แห่งกาลเวลาพัดผ่าน จาก 2516 , 2519 2535,จน 2540 ถึง 2550บางเมล็ดพันธุ์ก็ยังขาวพิสุทธิ์สดใส บ้างเมล็ดพันธุ์เปลี่ยนสี บ้างก็ดอกสีเหลือง บ้างก็ดอกสีแดง บ้างก็ดอกสีม่วงก้มี สีเขียว สีน้ำเงิน หรือบ้างก็อาจเฉาโรยรา หรือบ้าง ผสมผสานกลายพันธุ์ ก็มีไม่น้อย
มาบัดเดี๋ยวนี้ มันไม่ใช่ จิต วิญญาณ แห่ง 14 ตุลา เดิมเสียแล้ว ไม่ใช่พันธุ์เดียวกัน อย่าได้ เอ่ยอ้างเลย ว่า วิญญาณ 14 ตุลา ยังคง...มันประชาธิปไตย ที่ไม่ บริสุทธิ์ผุดผ่องเหมือนอย่างเดิมเสียแล้ว.....
..แต่มันเป็น.ประชาธิปไตย...เพื่อใคร..??


“ทุกวันนี้ เราจะรับรู้ ได้เห็น ได้ยินแต่เรื่องเลวร้าย ในสังคม
เราจึงขอบันทึกสิ่งที่ดีๆ ต่างๆ เหล่านี้ ด้วยจิตคารวะ และขอเป็นกำลังใจให้เกิดสิ่งที่ดีงามเหล่านี้ต่อไป”>>>



อ่านงานเขียนเกี่ยวกับภาพยนตร์หลากหลายประเทศทั่วโลก ที่นี่ >>>





*จำนวนผู้ชมทั้งสิ้น* สถาปนาบล็อค 21 ก.ค.2550
Friends' blogs
[Add jenifaae's blog to your web]
Links
 

MY VIP Friend

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.