Group Blog
 
<<
กรกฏาคม 2553
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
25262728293031
 
5 กรกฏาคม 2553
 
All Blogs
 
อภิชาติพงศ์ วีระเศรษฐกุล หลานลุงบุญมีระลึกชาติ และรางวัลจากคานส์


คอลัมน์ EXCLUSIVE INTERVIEW

โดย ณัฐกร เวียงอินทร์/ภาพ ...สมจิตร์ ใจชื่น

*หากพูดถึงรางวัลเกียรติยศในแวดวงคนทำหนังระดับโลก แน่นอนว่ารางวัลออสการ์เป็นรางวัลกระแสหลักที่คนไทยคุ้นหูมากที่สุด

แต่อันที่จริงแล้ว ยังมีหอเกียรติยศระดับโลกอีกมากมายที่ไม่ได้ถูกพูดถึงมากเท่ากับรางวัลจาก คุณลุงออสการ์ อย่างรางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยมเมืองคานส์ เป็นอีกรางวัลใหญ่รางวัลหนึ่งที่คนบ้านเราไม่ค่อยคุ้นหูกันในวงกว้าง

จนเมื่อภาพยนตร์เรื่อง "สุดเสน่หา" (Blissfully Yours) ได้รับรางวัล Un Certain Regard ในปี พ.ศ. 2545 และภาพยนตร์เรื่อง "สัตว์ประหลาด !" (Tropical Malady) ได้รับรางวัล Jury Prize ในเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ ทำให้คนดูหนังจำนวนมากรู้จักกับภาพยนตร์เมืองคานส์มากขึ้น เพราะภาพยนตร์ 2 เรื่องนี้เป็นภาพยนตร์ฝีมือกำกับของคนไทย โดยเฉพาะเรื่องที่สอง "สัตว์ประหลาด !" นั้นก้าวไปไกลถึงรางวัลรองชนะเลิศของสายประกวดหลักของ "หนังเมืองคานส์" เลยทีเดียว

ชื่อของชายผู้นี้คือ เจ้ย-อภิชาติพงศ์ วีระเศรษฐกุล

ความแรงของเขาในเวทีหนังโลกไม่ได้หยุดเพียงเท่านี้ เพราะในวันนี้ เจ้ย หรือที่ฝรั่งเขาเรียกว่าโจ (Joe) เพื่อให้ง่ายต่อการออกเสียง สามารถพิชิตรางวัลหนังเมืองคานส์ได้แล้ว เขาได้รางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยมปาล์มทองคำ ในเทศกาลหนังเมืองคานส์จากหนังเรื่องล่าสุดของเขาที่ไม่รู้ว่าคนไทยจะได้ชมกันหรือเปล่า นั่นคือ ภาพยนตร์เรื่อง "ลุงบุญมีระลึกชาติ"

แม้ว่าภาพยนตร์เรื่องนี้จะไม่ใช่ภาพยนตร์ที่โปรดักชั่นขนาดยักษ์ และสไตล์ของหนังคงทำให้คนดูงงงวยพอสมควร

แต่ทิม เบอร์ตัน ผู้กำกับชื่อดังที่เป็นหัวหน้าคณะกรรมการตัดสินรางวัลหนังเมืองคานส์ในปีนี้ บอกว่า ประสบการณ์ความรู้สึกที่เขาได้ชมภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นสิ่งที่เขาไม่เคยพบมาก่อน เพราะมันเหมือนเป็นความฝันที่แปลกมาก โดยหนังเรื่องนี้ได้พูดถึงลุงบุญมีที่กำลังล้มป่วยด้วยอาการไตวาย และเชื่อว่าความเจ็บป่วยที่เป็นอยู่อาจเกี่ยวกับกรรมที่เขาเคยฆ่าสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์เมื่อครั้งอดีต และเมื่อเขาระลึกชาติได้ จึงน่าสนใจว่า ตัวละครตัวนี้มองเห็นอะไร ? ต้องตามดู

เจ้ยเล่าให้ฟังว่า เขารู้มาก่อนแล้วว่าจะได้รางวัลในเทศกาลเมืองคานส์รางวัลใดรางวัลหนึ่ง

"ทางทีมจัดงานโทร.มาบอกแล้วว่าผมได้รางวัลสักรางวัล แต่ไม่รู้ว่าเป็นรางวัลอะไร ผมก็เลยเตรียมสคริปต์ไว้ขึ้นไปพูดบนเวที ซึ่งไม่ว่าจะได้รางวัลอะไร ผมก็จะตั้งใจที่พูดตามสคริปต์นี้ แล้วหนังอีกเรื่องหนึ่งว่าได้รับรางวัลรองชนะเลิศ ผมก็ดีใจกับเขา แล้วนึกในใจว่า เราได้รางวัลแล้วว่ะ แต่ก็ยังไม่กล้าที่จะมั่นใจว่าเราได้เต็มที่ เพราะเคยมีบางปี ที่เชิญผู้กำกับ ดารา มารับรางวัล แล้วปรากฏว่าเชิญพลาดเพราะเขาไม่ได้รับรางวัลอะไรเลย ผมก็กลัวจะมีโอกาสเป็นอย่างนั้น ก็เลยยิ่งนิ่งอยู่ แต่สุดท้าย หนังของผมได้รางวัลนี้ เมื่อขึ้นไปรับรางวัล ผมจึงพูดตามสคริปต์ที่เตรียมไว้"

ข้อความที่เจ้ยพูดในขณะที่ได้รับ รางวัลนี้ก็คือ...

"ขอขอบคุณดวงวิญญาณและภูติผีทั้งหมดในประเทศไทย ที่ทำให้ผมสามารถมายืนอยู่ ณ ที่นี้ สุดท้ายอยากขอบคุณพ่อแม่ของผม ซึ่งเมื่อ 30 ปีที่แล้ว เคยพาผมไปดูหนังที่โรงหนังเล็ก ๆ ในจังหวัดเล็ก ๆ ของเรา ตอนนั้นผมยังเด็ก และไม่รู้ด้วยซ้ำว่าสิ่งที่เห็นบนจอนั่นคือภาพยนตร์ แต่ด้วยรางวัลนี้ผมคิดว่าผมเริ่มรู้จักภาพยนตร์มากขึ้นอีกนิด แต่ภาพยนตร์ยังเป็นสิ่งลึกลับ และผมคิดว่าความลึกลับนี้แหละที่ทำให้พวกเราจะกลับมาที่นี่อีก เพื่อจะมาแชร์ มาร่วมแบ่งปันทัศนคติความคิดเห็นที่เรามีต่อโลกของเราด้วยกัน ขอบคุณครับ"

ซึ่งแม้ว่าเขาจะบอกว่า "ขอขอบคุณดวงวิญญาณและภูติผี" แต่โดยส่วนตัวแล้ว ในขณะนี้เขาบอกว่า "เมื่อก่อน ผมเชื่ออยู่บ้างในเรื่องวิญญาณ แต่พอมาทำหนังเรื่องนี้แล้วต้องหาข้อมูลเกี่ยวกับวิญญาณ หรือหมู่บ้านที่คนในหมู่บ้านระลึกชาติได้ เห็นกรณีศึกษามากมาย มันเลยทำให้ผมเริ่มที่จะไม่เชื่อ จนกว่าจะได้เห็นกับตัวเอง"

รางวัลนี้เป็นรางวัลใหญ่ระดับโลก จึงน่าสนใจว่า หลังจากที่เจ้ยเข้าไปมีชื่อในทำเนียบช่อมะกอกของคานส์ การหาทุนของเขาก็ง่ายขึ้น รวมไปถึงการดึงนักแสดงดัง ๆ มาทำงานด้วยอาจจะไม่ใช่เรื่องยากเท่าไหร่นัก จึงน่าสนใจว่า วิธีการทำหนังของเขาจะเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมที่ทำหนังด้วยงบฯเล็ก ๆ เดินทางเข้าไปในป่ากับทีมงานขนาดย่อมแบบเดิมไหม

"ตอนนี้ยังบอกไม่ได้ ว่าจะเข้าป่าหรือทำอะไร แต่ว่าน่าจะคิดว่าเรามีความสุขกับหนังแบบไหนมากกว่า เคยพยายามทำหนังกับนายทุนมาแล้ว แล้วมันสื่อสารด้วยความไม่เข้าใจกันแล้ว มันไม่มีความสุข รู้สึกว่า เรื่องเงินมันสำคัญ แต่ที่สำคัญด้วยกว่าก็คือ สิ่งที่เขาและเรารู้ว่าจะทำอะไรที่ไม่โกหกกัน อันนี้สำคัญที่สุด อย่างโปรดิวเซอร์ที่ผมทำงานด้วยตลอด เราจะว่ากันซื่อ ๆ คือ จำนวนเงินไม่สำคัญ เราก็บอกว่าเราอยากทำอะไร ผมไม่ได้มีโปรเจ็กต์เดียว มีหลายโปรเจ็กต์ แล้วเขาจะพยายามช่วยกันพิจารณาว่างบประมาณขนาดนี้ เป็นไปได้ไหม คือเหมือนเราช่วยกัน มันซับซ้อนกว่านั้น ต้องดูก่อนน่ะครับ"

ภาพยนตร์ของเขาได้รางวัลเมืองคานส์ แล้ววงการหนังไทยจะได้รับอะไร ?

"ผมรู้สึกว่า มันจะเป็นแรงบันดาลใจไม่มากก็น้อย ไม่ใช่แค่คนทำหนังในบ้านทำหนังมีความเป็นส่วนตัวมากขึ้น หรือมีความเป็นประเด็นมากขึ้น แต่อยากกระตุ้นว่า โอเค เรามีหนังที่ได้รางวัลสูงสุดของโลกนะ มันเหมือนกับการยกระดับคุณภาพอย่างหนึ่ง ซึ่งบ้านเรามีอยู่แล้ว แต่เขาไม่เห็น ไม่ใช่หมายถึงผมนะ ผมหมายถึงคุณภาพของบุคลากร คุณภาพของอุปกรณ์ ช่างเทคนิคอะไรอย่างนี้ ในวงการหนังบ้านเรามีมาตรฐานดีมาก แต่เขาไม่เห็น ตรงนี้ผมรู้สึกว่า มันก็มีสิ่งดี ๆ ดึงคนเข้ามาทำหนังดูหนังมากขึ้น เราอยากให้อาจารย์สอนภาพยนตร์มากขึ้น"

พูดถึงวงการหนังไทย ก่อนหน้านี้เขาได้ต่อสู้เพื่อวงการคนทำหนังด้วยการได้ส่งจดหมายล่ารายชื่อใน เฟซบุ๊ก ค้านกระทรวงวัฒนธรรมที่จัดสรรงบประมาณไทยเข้มแข็ง 100 ล้านให้หนังฟอร์มใหญ่ เรื่อง "ตำนานสมเด็จพระนเรศวร" ภาค 3 และ 4 ซึ่งเขาเล่าให้ฟังว่า

"ผมรู้สึกว่าหลักการของเขาคลุมเครือตั้งแต่แรกแล้ว ตั้งแต่ระเบียบการและการเร่งรีบของการได้ทุน แล้วอีกอย่างที่เปิดช่องเลยก็คือว่า เราก็คือ รู้สึกแปลก ๆ แต่ว่าเราก็ส่งโปรเจ็กต์เราเข้าไป เพราะว่าโปรเจ็กต์ของเราขอความช่วยเหลือไปหลายที่ เช่นเดียวกันกับที่เราส่งไปที่อีกหลายประเทศ 5-6 ประเทศเลย เราก็ถือว่าเป็นประเทศบ้านเกิดของเรา เราก็เลยลองส่งไปครั้งแรก แล้วผลที่ออกมาเรารู้เลยว่า มันไม่ใช่ นั่นเป็นช่องโหว่ เรื่องของการที่ให้การสนับสนุนทะลุเพดาน แล้วไม่ยอมบอกลักษณะการให้ความสนับสนุนอย่างชัดเจน เช่น การพิจารณาบทภาพยนตร์ การถ่ายทำภาพยนตร์ ขั้นตอนการคัด ไม่มีรัฐบาลที่ไหนในโลกทำ เราเลยคิดว่า จากประสบการณ์ที่เราขอทุนมา 10 กว่าปีนี่ เราอยากต้องการความช่วยเหลือ เพราะว่าเราอยากเห็นในอนาคตของคนทำหนัง"

แม้ว่าหนังของเจ้ยจะได้รับเงินจากงบฯนี้ถึง 3.5 ล้านบาท แต่นี่ไม่ใช่เหตุผลที่เขาจะอยู่นิ่งมองดูความลักลั่นในเรื่องการให้ทุนทำหนัง...

"พอหนังนเรศวรได้ทุนครึ่งหนึ่ง สิ่งที่เราทำก็คือ เราแค่ตั้งคำถามให้ทางเขาเข้าใจว่า เป็นเรื่องที่กลุ่มคนทำหนังทั้งที่ได้ทุนและไม่ได้ทุนไม่เห็นด้วย รู้สึกว่า ข้าราชการ คือผู้ที่ต้องรับฟัง รับใช้ประชาชน ไม่ใช่กลับกัน เขาต้องทำงานให้เรา เรามีสิทธิ์ที่จะพูดในสิ่งที่เราไม่เห็นด้วย เราขอได้ตามเป้า สามล้านห้าแสนบาทก็จริง แต่ภาพรวมไม่น่าจะเป็นอย่างนี้ แต่การเคลื่อนไหวเรื่องนี้ในบ้านเรา ผมรู้สึกว่า ที่เราทำมันน้อยมาก ก็พูดยาก แต่ถ้าเกิดในประเทศอื่น รับรองว่าคนทำหนังออกมาประท้วงแน่ อย่างที่เกาหลีใต้ ครั้งหนึ่งเคยมีปัญหาแบบนี้แล้วนักทำหนังเขาเดินขบวนเลย คือสิ่งที่เราทำ ถ้าเทียบกับเขา ดูเรียบร้อยมาก แต่เราทำตามแบบประชาธิปไตย...

...เราไม่ได้มองเรื่องชนะหรือไม่ชนะ เราไม่ได้มองเป็นการต่อสู้ แต่ว่า มันเป็นการช่วยกันเพื่อที่จะพัฒนามาตรฐานในการทำเรื่องนี้ให้ถูกต้อง ท่านมุ้ย (ม.จ.ชาตรีเฉลิม ยุคล ผู้กำกับ "ตำนานสมเด็จพระนเรศวร") กับผม ไม่มีอะไรโกรธกัน ซึ่งถ้าภาครัฐจะตัดสินใจให้ทุน 200 ล้าน 500 ล้าน 1,000 ล้าน ผมก็จะไม่ประท้วง ในกรณีที่เขาไม่เอามารวมกับโปรเจ็กต์นี้ เข้าใจว่าหนังได้ทุนเยอะเพราะว่านายกฯอภิสิทธิ์รับนโยบายมาตอนที่ไปเยี่ยมกองถ่ายท่านมุ้ยตั้งแต่ปีที่แล้ว ว่ารัฐจะสนับสนุนเรื่องนี้แล้วยกให้ท่านรัฐมนตรีธีระ สลักเพชร (รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมในขณะนั้น) รับเรื่องนี้มา เพราะฉะนั้น เราจะเห็นได้ชัดว่าทางกระทรวงวัฒนธรรมต้องสนับสนุนหนังเรื่องนี้ คราวนี้ หลังประกาศทุน มันรู้สึกไม่ชัดเจน รู้สึกไม่ยุติธรรมว่าจะตั้งคณะกรรมการคัดเลือกทุนขึ้นมาทำไม รู้สึกว่ามีอิทธิพลทางการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้องเยอะ แสดงว่าคณะกรรมการให้ทุน มีอิทธิพลทางการเมืองเยอะ ฉะนั้นแสดงว่าคุณไม่โปร่งใสแล้ว"

ใช่ว่าเขาจะโวยวายโดยที่ไม่เสนอ ทางออก...

"ผมรู้สึกว่า มันควรจะมีงบฯสองงบฯเลย งบฯหนึ่งตั้งขึ้นมาเพื่อสนับสนุนภาพยนตร์พระนเรศวรแปดพันล้านให้ไปสิบภาคเลย ก็ว่ากันไป แล้วอีกงบฯเป็นงบฯที่ประกาศชัดเจนเลยว่าจะให้คนทำหนังว่ามีเพดานเท่าไหร่ ให้เท่าไหร่ ?"

กลับมาที่ภาพยนตร์ "ลุงบุญมีระลึกชาติ" ในตอนนี้อภิชาติพงศ์บอกว่าขายได้ตัวหนังไปได้หลายประเทศแล้ว

"ตอนนี้ขายหนังไปได้ประมาณ 20-30 ประเทศแล้ว แล้วหลายประเทศซื้อก่อนที่จะได้รางวัลด้วย มันจะมีรอบสื่อขายก่อนที่คานส์ ส่วนตลาดหนัง ประเทศส่วนใหญ่ก็มีทั้งยุโรป ทั้งเอเชีย ที่เซอร์ไพรส์คือไต้หวัน ผมไม่เคยเข้าไปในตลาดเขาได้ ไต้หวันเขาก็ซื้อ"

หากโชคดี ในไม่ช้าเราคงมีโอกาสได้ดูภาพยนตร์เรื่องนี้ของเจ้ย ที่เขาอยากให้เป็น แต่เมื่อเหลียวหลังไปดูหนังเรื่องก่อน ๆ ของเขา สิ่งหนึ่งที่เห็นคือ ท่ามกลางช่อมะกอกบอกสรรพคุณภาพยนตร์ของเขาหลายเรื่อง กลับปรากฏอยู่ในกระบะลดราคา อย่างเช่น ภาพยนตร์เรื่อง "สุดเสน่หา" ที่วางขายในกระบะราคาแผ่นละ 19 บาท ! แต่เจ้ยบอกว่าเขาไม่ติดใจเรื่องราคา แต่สิ่งที่เขาติดใจก็คือ

"ผมรู้สึกเสียใจเรื่องเดียวคือเรื่องสุดเสน่หา เพราะว่ามันไม่ใช่เวอร์ชั่นเป็นหนังของผม มันเป็นหนังที่เอามาตัดใหม่ ซึ่งเรารู้สึกว่าไม่อยากให้คนซื้อหนังเรื่องนี้ แต่ว่าหนังเรื่องสัตว์ประหลาด ซื้อได้ แล้วถ้าเป็นไปได้ พยายามดูจอใหญ่ คนที่ดูหนังของผมหลายคนบอกว่า ถ้าดูจอใหญ่จะเวิร์ก แต่ถ้าดูจอเล็ก ผมยังงงเลย ถ้าผมดูจอเล็ก ผมจะหลับ ดูคนละเรื่องเลย คือ หนังของผมต้องการภาพและเสียงขนาดใหญ่มั้ง"

แม้จะก้าวมาถึงขั้นนี้ แต่เจ้ยปิดท้ายให้เราได้คิดว่า

"ผมว่ามันเหมือนเดินถนนแล้วเราเดินไป เจออาหารที่อร่อยมาก แม้จะชอบแต่ต้องพยายามไม่หยุดอยู่ตรงนี้ ยังไงผมก็ทำหนังต่อไป แล้วเรารู้สึกว่าเป็นโอกาสดี เรามีพลังมากขึ้น เรามีน้ำตาลในเลือดมากขึ้น เรามีโอกาสที่จะก้าวเดินต่อไปได้อีก ผมรักภาพยนตร์มีอะไรที่น่าสนใจ" :D (หน้าพิเศษ D-Life)

Credit : ประชาชาติธุรกิจ 28 มิถุนายน 2553 หน้า 8

สนามหลวงพยากรณ์ออนไลน์

H O M E



Create Date : 05 กรกฎาคม 2553
Last Update : 5 กรกฎาคม 2553 16:24:24 น. 0 comments
Counter : 885 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

jenifaae
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 7 คน [?]




Editor
บทความ ความคิดเห็นที่นำลง"สนามหลวงแก็งค์" ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
เพียงเราเห็นว่าน่าสนใจและเป็นประโยชน์ในทางข้อมูล ข่าวสาร
หากท่านมีข้อคิดเห็นประการใด โปรดแจ้งให้เราทราบ จักขอบคุณยิ่ง
"สนามหลวงแก็งค์"
kunkorn : Facebook



"Sanamluang's Gang"
"สนามหลวงแก๊งค์"

kunkorn : Facebook

     เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนให้เกิดการศึกษา การเรียนรู้ เผยแพร่ ส่งเสริม สนับสนุน รวบรวมข้อมูล ข่าวสาร อนุรักษ์ รักษาเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ของชนชาติไทย วิถีชีวิต และปรัชญา คุณค่าจิตวิญญาณที่งดงาม สืบสานต่อยอดกันมานานนับพันๆปี และกำลังถูกทำลายด้วยอิทธิพลจากแนวคิดเชิงวัตถุนิยมแบบตะวันตก

● เพื่อการศึกษาหาความรู้ ส่งเสริม สนับสนุน ให้เกิดการศึกษา เรียนรู้ สิ่งที่พระพุทธเจ้าค้นพบ และนำมาเผยแพร่แก่มวลมนุษยชาติ อย่างเป็นวิทยาศาสตร์ที่แท้จริง มิใช่เพียงวิทยาศาสตร์เชิงวัตถุเพียงอย่างเดียว เพราะถือว่าพระพุทธเจ้า ทรงค้นพบความจริงของธรรมชาติ ทั้งหมดทั้งสิ้น ที่มนุษย์ธรรมดาสามัญอย่างเราๆ ท่านๆ ยังเป็นเพียงผู้รู้ แค่หางอึ่งที่ยังอยู่ในกะลาครอบ แต่บังอาจด่วนสรุป ขัดแย้งกับ สิ่งที่องค์ศาสดาทรงค้นพบมากว่าสองพันปี จนทำให้บังเกิดความสับสน ลดความน่าเชื่อในสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงค้นพบ

● สนามหลวงแก๊งค์ ต้องขออนุญาตและขอขอบคุณท่านเจ้าของข่าวสาร ข้อมูล ที่เราได้นำลงในสนามหลวงแก๊งค์ ไว้ ณ โอกาสนี้ด้วยจิตคารวะ ทั้งนี้และทั้งนั้น ก็เพื่อให้สนามหลวงแก๊งค์ เป็นแหล่งในการเผยแพร่ ข้อมูล ข่าวสารที่เป็นประโยชน์และเพื่อเป็นวิทยาทานแก่สาธารณชน แต่หากท่านเจ้าของข้อมูล ข่าวสารที่ สนามหลวงแก๊งค์ นำลงไม่มีความประสงค์ให้นำลง ขอได้โปรดแจ้งความประสงค์ เรายินดีที่จะถอดออกต่อไป

ด้วยจิตคารวะ
www.sanamluang.bloggang.com
kunkorn : Facebook


ดาวหาง
     เป็นปรากฎการณ์ทางธรรมชาติ ที่เกิดขึ้นในห้วงมหาจักรวาลอันยิ่งใหญ่ ลี้ลับไร้ขอบเขต ทุกครั้งที่ดาวหางปรากฏ มันจะส่งสัญญาณแห่งความพินาศ มหันตภัย ธรรมชาติ ความตาย ความเจ็บป่วย สงคราม ความขัดแย้ง การกดขี่ การเอารัดเอาเปรียบ การคดโกง การเบียดเบียนของมนุษย์บนพื้นพิภพใบนี้

     มันคือสัญญาณเตือนภัยที่มนุษย์ไม่อาจจะควบคุมได้ ทั้งภัยทางธรรมชาติและภัยที่เกิดขึ้นจากมนุษย์สร้างกันขึ้นมาเองในทุกรอบพันปี

     ไม่ว่ามนุษย์จะคิดว่าตัวเองเก่งกาจสามารถ ฉลาดสักเพียงไหน ก็ไม่อาจหลีกพ้นมหันตภัยเหล่านี้ไปได้
     ดังนั้น จงเชื่อและปฎิบัติตามอย่างไม่ลังเลต่อคำสอนของศาสดาของเราอย่างจริงจังเถิด

     แม้จอมจักรพรรดิ จอมราชันย์ หรือจอมทรราชที่ยิ่งใหญ่ในอดีต ก็ต้องตายร่างกายเน่าเปื่อยเป็นผุยผง และในที่สุดวิญญาณของเขาก็ต้องชดใช้กรรม ด้วยการถูกไฟนรกเผาผลาญโดยไม่มีข้อยกเว้นทั้งทั้งสิ้น

     จงอย่าอหังการ์ว่าตัวเองเก่ง ฉลาด และยิ่งใหญ่กว่าคำสอนของพระศาสดา ไม่มีมนุษย์ตนใดที่จะพ้นจากกฎแห่งธรรมชาติได้ มนุษย์ที่เก่งกว่าเรา เขาได้ตายร่างกายทับถมปฐพีแห่งนี้นับไม่ถ้วนแล้ว


     ● ขออนุญาตนำภาพวาด "วีระชนบนพานรัฐธรรมนูญ" ของ คุณสถาพร ไชยเศรษฐ ศิลปินอิสระ อดีตแนวร่วมศิลปินแห่งประเทศไทย ซึ่งวาดเนื่องในโอกาส 2 ปี 14 ตุลา มาเป็นส่วนหนึ่งของหัว "สนามหลวงบล็อก"                


บริการดูดวง



"สนามหลวงพยากรณ์ออนไลน์" มีความภาคภูมิใจในความสำเร็จตามอุดมการณ์ของเรา ที่ได้ตั้งเอาไว้ว่า "เราจะใช้วิชาความรู้ในด้านการพยากรณ์เพื่อให้เป็นประโยชน์สำหรับการให้การปรึกษาของผู้คนที่กำลังประสบปัญหา ความเดือดเนื้อร้อนใจ หรือการเผชิญกับปัญหานั้นๆได้อย่างไรดี

มนุษย์เกิดแต่กรรม มนุษย์มีกรรมเป็นเหตุ เมื่อเราประสบเคราะห์กรรม ปัญหาอยู่ที่ว่าหากเราทราบเสียก่อน ย่อมเป็นสิ่งที่ดีกว่าการไม่ทราบ อย่างน้อยก็ทำให้เราระมัดระวังตัว อย่างน้อยก็ทำให้เราหลีกเลี่ยงเพื่อทำให้เราเผชิญกับกรรมน้อยลงไป อย่างน้อยก้ทำให้เรารู้ว่าสิ่งเหล่านั้นมันมีที่มา มันมีที่ไปของมัน

มีนักวิชาการและนักวิทยาศาสตร์วัตถุจิตนิยม มักโจมตีอยู่เสมอว่า การดูดวง เป็นเรื่องของความงมงาย หมอดูคู่กับหมอเดา หมายถึงว่า เขาไม่เชื่อในเรื่องของวิชาโหราศาสตร์เพราะคิดไปว่ามันเป็นเรื่องเดียรัจฉานวิชาบ้าง เป็นการคาดเดาเอาเองบ้าง คิดว่ามันเป็นวิชาที่ใช้สถิติสุ่มเอาบ้าง ไม่เชื่อว่าวิชาโหราศาสตร์จะสามารถไขปริศนาแห่งรหัสลับของดวงดาว จักรวาล และธรรมชาติรอบตัว

แสดงว่าเขาลืมไปว่า อัลเบิร์ต ไอสไตน์ และสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้กล่าวไว้ว่า ทุกสรรพสิ่งในโลกรอบตัวเรา ตั้งแต่เล็กเท่าอะตอม (จุลจักรวาล)จนถึงมหาจักรวาล ล้วนมีความผูกพัน ล้วนมีความสัมพันธ์กันอย่างลึกซึ้งแยกกันไม่ออก เพียงแต่ว่า กับอะไร เมื่อไร อย่างไร เท่านั้น

กรรมเป็นผลจากการกระทำของเราในอดีตชาติ จะดีหรือจะร้ายก็เพราะเราทำ เป็นสิ่งที่เราจะต้องได้รับผลแห่งการกระทำเหล่านั้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

โหรฯเป็นเพียงผู้แปลรหัสของดวงดาวและธรรมชาติรอบตัว เพื่อเผยแผนที่ชีวิตของเรา และสามารถมองเห็นช่องทางที่จะเลี่ยงหลบสิ่งเลวร้าย ให้ลดน้อยถอยลงหรือพบพานแต่สิ่งที่ดีดี

การสะเดาะเคราะห์ หรือพิธีการตัดกรรมที่กำลังกล่าวขานถึงก็คือการขออโหสิกรรม ลดการอาฆาตจองเวรกับเจ้ากรรมนายเวรที่กำลังจ้องจองเวรด้วยความอาฆาตพยาบาทที่ถูกเรากระทำในอดีตชาติ ไม่ใช่เป็นการตัดทอนผลกรรมที่เราทำให้หมดไปหรือให้ลดลง เพราะกรรมที่เรากระทำไม่สามารถตัดทอนลงไปได้



สนามหลวงพยากรณ์ออนไลน์พยากรณ์เที่ยงตรง แม่นยำเชื่อถือได้ วิเคราะห์พยากรณ์อย่างเป็นระบบ ไม่เลื่อนลอย ยึดมั่นในอุดมการณ์ของครูที่ท่านได้กำชับให้นำเอาวิชาการพยากรณ์มาช่วยเหลือแนะนำ บรรเทาทุกข์ของผู้คนมากกว่าการพยากรณ์เพื่อการค้า

ต้องยอมรับว่า ไม่ว่าประเทศใด? ชาติใด ภาษาใด? สมัยไหน? ชนชั้นวรรณะใด? ไม่ว่าจะเป็นเจ้าสัว นักธุรกิจ นักการค้า แม่บ้าน นักเรียน นักศึกษา ครู อาจารย์ หรือไม่เว้นแต่นายพล นายพัน รัฐมนตรี หรือระดับผู้นำประเทศ ล้วนแต่เคยดูดวงด้วยกันทั้งสิ้น เพียงแต่ว่า เราจะเชื่ออย่างงมงายหรือจะเชื่อโดยใช้เหตุผลอย่างเป็นวิทยาศาสตร์ โดยนำเอาคำพยากรณ์มาใช้เป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจในการดำเนินชีวิต หรือทำธุรกิจ การค้า หรือเพื่อการทำสงครามฯ

"สนามหลวงแก็งค์" ไม่สนับสนุนให้เชื่อเรื่อง "ดวง" อย่างงมงาย แต่เราสนับสนุนให้ใช้คำ "พยากรณ์"อย่างมีวิจารณญาณประกอบการตัดสินใจอย่างมีสติ ใช้ "ปัญญา"อย่างมี "เหตุผล"

หลังจาก "สนามหลวงพยากรณ์ออนไลน์" ได้รับการตอบรับอย่างล้นหลาม จนต้องมีการเข้าจองคิวดูดวงเป็นจำนวนมาก ณ ขณะนี้ ไม่ใช่แต่เฉพาะคนไทยในประเทศที่เข้ามาใช้บริการจาก "สนามหลวงพยากรณ์ออนไลน์"เท่านั้น

แต่ยังมีคนไทยที่อยู่หลายประเทศทั่วโลกเข้ามาดูดวง ตรวจสอบชื่อ นามสกุลมากมาย ทั้งนี้คงเป็นเพราะผู้ที่เข้ามา"ดูดวง" กับ "สนามหลวงพยากรณ์ออนไลน์" ได้รับความพอใจในคำพยากรณ์ที่ถูกต้อง แม่นยำ แนะนำแนวทางแก้ไขที่เหมาะสมตามหลักโหราศาสตร์ จึงได้มีการบอกเล่า แนะนำชักชวนกันปากต่อปากเป็นจำนวนมาก

ปัจจุบันนี้ มีผู้เข้ามาเยี่ยมชมwww.sanamluang.bloggang.com มีจำนวนถึง 118 ประเทศ โดยเข้ามาเปิดดูหน้า "สนามหลวงพยากรณ์ออนไลน์"คิดเป็นร้อยละ 80 ของ pageviews ต่างๆใน www.sanamluang.bloggang.comจัดทำบล็อกครั้งแรกเมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม 2550 มีผู้เข้าชมจำนวนทั้งสิ้น 579,020 ครั้ง จากจำนวน 262,960 visitors (ข้อมูล ณ เวลา 12.00 น.ของวันพุธที่ 6 ตุลาคม 2553)

ส่วนใหญ่ลูกค้าที่โทรเข้ามาเกือบ 98% เมื่อโทรฯ เข้ามาดูดวงแล้ว จะสามารถนัดวัน เวลาดูดวงได้โดยไม่มีปัญหาแต่อย่างใด อาจจะมีอยู่บ้างเพียงไม่กี่รายที่โทรฯเข้ามาเพื่อสอบถามรายละเอียดเพียงอย่างเดียวเท่านั้น

อาจจะเนื่องมาจากไม่คุ้นเคยการทำธุรกิจแบบออนไลน์ โดยมีการโอนเงินก่อน ไม่ไว้ใจ หรือไม่กล้า ซึ่งมีจำนวนน้อยมาก ประมาณ 2%

สำหรับที่เมลฯมาถามและเงียบไป ไม่สามารถทราบจำนวนได้ อาจเนื่องจากเป็นรายที่โทรเข้ามานัดอีกทางหนึ่งก็เป็นได้

สนามหลวงพยากรณ์ออนไลน์ ยังมีอาจารย์ผู้สอนวิชาโหราศาสตร์ ผ่านประสบการณ์ในการดูดวงหลายปีคิดเป็นจำนวนหลายพันดวง

แน่นอน แม่นยำกระชับ ชัดเจน หากไม่ทราบเวลาตกฟากท่านก็ยังสามารถดูได้ รายที่กำลังประสบเคราะห์หามยามร้าย ท่านก็จะช่วยแนะนำและแก้ไขเรื่องเลวร้ายให้กลายเป็นดีด้วยศาสตร์แห่งความลี้ลับของโหราศาสตร์ โดยไม่ต้องเสียเงินสะเดาะเคราะห์ สามารถดูได้ถึงขนาดปัญหาเรื่องคู่ครอง เรื่องเคราะห์ เรื่องหน้าที่การงาน โดยใช้ "วิชาโหราศาสตร์ดวงไทย"อันเป็นสุดยอดของวิชาโหราศาตร์โบราณของไทย

นอกจากนั้น เรายังมี ซินแส ที่เชี่ยวชาญเรื่องการดูฮวงจุ้ย ทำเลปลูกบ้าน อาคารสำนักงาน ดูฤกษ์ยาม แต่งงาน คลอดบุตร ขึ้นบ้านใหม่ เปิดกิจการต่างๆโดยใช้วิชาโหราศาสตร์จีนโบราณผสานตำราดวงไทย ซึ่งซินแสท่านมีประสบการณ์การดูดวงมาไม่น้อยกว่า 45 ปี ผ่านการดูให้กับนักธุรกิจชื่อดังของเมืองไทย และนักธุรกิจชั้นนำจากฮ่องกงหลายราย

ติดต่อ 081-4834367 หรือ workingmailhome@hotmail.com
--------------------------------------------
● ปรึกษาปัญหากฏหมาย
ละเมิด,สัญญา,อายัดทรัพย์ ยึดทรัพย์
--------------------------------------------
● ปัญหาติดต่อราชการ
บริการปรีกษาเรื่อง ภาษีป้าย ภาษีโรงเรือน ภาษีที่ดิน ค่าธรรมเนียมต่างๆ และการติดต่อราชการต่างๆ ของสำนักงานเขต
--------------------------------------------
● พิมพ์รายงาน,ค้นหาข้อมูล,

● งานพิมพ์ Lay-Out,Art Work
--------------------------------------------
สำนักพิมพ์ดาวหาง
www.sanamluang.bloggang.com




รับวาดรูปเหมือน และสอนวาดรูป
โดยอาจารย์ ผู้ชำนาญ

ราคาย่อมเยา

















หลังเกิดเหตการณ์ 14 ตุลา 2516 นิสิต นักศึกษา ปัญญาชน ต่างหลั่งไหลดั่งสายน้ำ ล้นขอบ ออกจากเมือง เข้าสู่ ชนบท เหตุเกิดเมื่อ กลางปี พ.ศ.2516 จนถึง พ.ศ.2519 นักศึกษากลุ่มหนึ่ง ได้ พบกันโดยบังเอิญ และ ได้ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันกับชาวบ้าน ณ หมู่บ้าน แม่ตะมาน ตำบลกื๊ดช้าง อำเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่ ภายใต้ ชื่อโครงการว่า "โครงการหมู่บ้านสหกรณ์แม่ตะมาน"
เชิญ พบ และติดตาม กับเรื่องราว และบทสรุป อันควรเป็นจุดเริ่มต้น ต่อไปใน

     เมล็ดพันธุ์ประชาธิปไตย ที่ถูกหว่านทั่วท้องทุ่งแห่งประชาไทย มาบัดเดี๋ยวนี้ เมื่อต้องฝน ต้องลม แห่งกาลเวลาพัดผ่าน จาก 2516 , 2519 2535,จน 2540 ถึง 2550บางเมล็ดพันธุ์ก็ยังขาวพิสุทธิ์สดใส บ้างเมล็ดพันธุ์เปลี่ยนสี บ้างก็ดอกสีเหลือง บ้างก็ดอกสีแดง บ้างก็ดอกสีม่วงก้มี สีเขียว สีน้ำเงิน หรือบ้างก็อาจเฉาโรยรา หรือบ้าง ผสมผสานกลายพันธุ์ ก็มีไม่น้อย
มาบัดเดี๋ยวนี้ มันไม่ใช่ จิต วิญญาณ แห่ง 14 ตุลา เดิมเสียแล้ว ไม่ใช่พันธุ์เดียวกัน อย่าได้ เอ่ยอ้างเลย ว่า วิญญาณ 14 ตุลา ยังคง...มันประชาธิปไตย ที่ไม่ บริสุทธิ์ผุดผ่องเหมือนอย่างเดิมเสียแล้ว.....
..แต่มันเป็น.ประชาธิปไตย...เพื่อใคร..??


“ทุกวันนี้ เราจะรับรู้ ได้เห็น ได้ยินแต่เรื่องเลวร้าย ในสังคม
เราจึงขอบันทึกสิ่งที่ดีๆ ต่างๆ เหล่านี้ ด้วยจิตคารวะ และขอเป็นกำลังใจให้เกิดสิ่งที่ดีงามเหล่านี้ต่อไป”>>>



อ่านงานเขียนเกี่ยวกับภาพยนตร์หลากหลายประเทศทั่วโลก ที่นี่ >>>





*จำนวนผู้ชมทั้งสิ้น* สถาปนาบล็อค 21 ก.ค.2550
Friends' blogs
[Add jenifaae's blog to your web]
Links
 

MY VIP Friend

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.