Group Blog
 
<<
กรกฏาคม 2552
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
262728293031 
 
18 กรกฏาคม 2552
 
All Blogs
 
รัฐธรรมนูญฉบับวิถีพุทธ การจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม

โดย โสต สุตานันท์


*เกี่ยวกับเรื่องการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและการรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมนั้น มีปรัชญาแนวคิดที่น่าสนใจอยู่ 2 กลุ่ม คือ

กลุ่มแรก-เห็นว่าเหตุผลความจำเป็นที่มนุษย์ต้องอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม ก็เพื่อ "ประโยชน์ต่อตัวมนุษย์" เอง ไม่ว่าจะเพื่อคนรุ่นปัจจุบันหรืออนาคต

หากมนุษย์ทำลายทรัพยากรธรรมชาติมากเกินไป จนทำให้ธรรมชาติขาดสมดุล ก็จะทำให้มนุษย์ได้รับความเดือดร้อน เนื่องจากความเสียหายและภัยพิบัติต่างๆ ย่อมตามมา

พูดง่ายๆ ก็คือ แนวคิดนี้ถือว่า "มนุษย์เป็นศูนย์กลาง" ของสิ่งทั้งหลายทั้งปวงในโลกนี้

กลุ่มที่สอง-เห็นว่าเหตุผลความจำเป็นที่มนุษย์ต้องอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม ก็เพื่อ "ประโยชน์ในการรักษาระบบนิเวศ" ให้คงอยู่

แนวคิดนี้ถือว่ามนุษย์เป็นเพียงส่วนหนึ่งของระบบนิเวศทั้งหมดเท่านั้น และมองว่า ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกันเสมอ สิ่งมีชีวิตทุกชนิดต้องพึ่งพาอาศัยกัน

ดังนั้น หากระบบนิเวศขาดสมดุล มนุษย์ย่อมได้รับความเดือดร้อนไปด้วย

อาจกล่าวได้ว่า แนวคิดนี้ยึดถือ "ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเป็นศูนย์กลาง"

แน่นอนว่า ปรัชญาแนวคิดที่สอดคล้องสัมพันธ์กับแนวทางวิถีแห่งพุทธน่าจะได้แก่แนวคิดของกลุ่มที่สอง เพราะเป็นการมองปัญหาอย่างเป็นองค์รวม กว้างขวาง ลึกซึ้ง คำนึงถึงกฎเกณฑ์แห่งธรรมชาติอย่างครบถ้วนรอบด้านมากยิ่งกว่า

แม้ท้ายที่สุดแล้ว ทั้งสองแนวคิดจะมีเป้าหมายเดียวกัน คือ เพื่อประโยชน์สุขของมนุษย์เอง

     แต่หากพินิจพิจารณาอย่างละเอียดก็จะพบว่าทั้งสองแนวคิดได้ก่อให้เกิดผลต่อทิศทางในการบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติที่แตกต่างกันในหลายเรื่อง เช่น

1.) แนวคิดที่ถือว่ามนุษย์เป็นศูนย์กลางนั้น ทำให้มนุษย์มีความรู้สึกว่า ตนเองมีความสำคัญสูงสุด เป็นผู้พิชิตโลก มีความเก่งกาจ สามารถเอาชนะธรรมชาติได้เสมอ และมนุษย์เท่านั้นที่จะเป็นผู้กำหนดว่า สิ่งใดมีคุณค่า สิ่งใดควรรักษาหรือถูกทำลาย

แนวคิดเช่นนี้ ย่อมทำให้มนุษย์เกิดความอหังการ และตั้งอยู่ในความประมาท แม้บางครั้งอาจดูเหมือนว่า มนุษย์จะสามารถเอาชนะธรรมชาติได้ แต่ก็คงเพียงแค่ชั่วครั้งชั่วคราวเท่านั้น

ในภาวการณ์ของความรู้สึกเช่นนี้โอกาสที่จะทำให้เกิดข้อผิดพลาดย่อมมีอยู่สูงยิ่ง

ในทางตรงข้าม แนวคิดที่เห็นว่าทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเป็นศูนย์กลางนั้น ย่อมทำให้มนุษย์มีความรู้สึกว่า ตนเองเป็นเพียงฟันเฟืองเล็กๆ ตัวหนึ่งของระบบนิเวศเท่านั้น การพัฒนาหรือดำเนินการใดๆ ต้องคำนึงอยู่เสมอว่า สอดคล้องกับกฎเกณฑ์แห่งธรรมชาติหรือไม่

มนุษย์จะไม่พยายามเอาชนะธรรมชาติด้วยวิธีการที่ฝืนธรรมชาติ เพราะการทำเช่นนั้นจะทำให้ระบบนิเวศเสียสมดุล และเกิดพิษภัยต่อมนุษย์

2.) ทรัพยากรธรรมชาติมีอยู่จำนวนจำกัด ขณะที่ความต้องการหรือกิเลสของมนุษย์มีไม่จำกัด ดุจดั่งคำกล่าวของท่านมหาตมะ คานธี ที่ว่า "โลกมีทรัพยากรเพียงพอที่จะแบ่งปันให้แก่มนุษย์ทุกคนตามที่จำเป็น แต่มีไม่เพียงพอที่จะสนองความโลภของคนแม้เพียงคนเดียว"

แนวคิดที่ยึดถือมนุษย์เป็นศูนย์กลางจึงสุ่มเสี่ยงอย่างยิ่งที่จะเกิดข้อผิดพลาดในการจัดการทรัพยากร เพราะมีจุดประสงค์เพื่อมุ่งสนองหรือคุ้มครองประโยชน์ของมนุษย์เป็นสำคัญ

การตัดสินใจในบางครั้งมนุษย์อาจมีอคติเข้าข้างตนเองมากเกินไป เนื่องจากมีกิเลสบดบังไว้

การดำรงชีวิตจึงเป็นไปในลักษณะที่เรียกว่า อยู่อย่าง "ไม่เพียงพอ"

ผลก็คือธรรมชาติอาจถูกทำลายมากเกินไปจนขาดสมดุล

ส่วนแนวคิดที่เห็นว่าทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเป็นศูนย์กลางนั้น ย่อมทำให้มนุษย์มองทุกสรรพสิ่งได้อย่างเข้าใจ ในลักษณะเป็นองค์รวม ให้ความยุติธรรมกับทุกชีวิตบนโลกอย่างเท่าเทียมกัน ความเป็นอัตตาในตัวมนุษย์จะน้อยลง ทำให้ดำรงชีวิตในลักษณะที่เรียกว่า อยู่อย่าง "พอเพียง" ทรัพยากรธรรมชาติย่อมดำรงคงอยู่อย่างสมดุลและยั่งยืน

3.) ผลกระทบต่อทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในปัจจุบัน บางเรื่องอาจยังไม่มีความชัดเจน เพราะต้องยอมรับว่าศักยภาพในการเข้าถึงซึ่งความจริงแท้แห่งธรรมชาติของมนุษย์มีอยู่จำกัดในระดับหนึ่งเท่านั้น ผลกระทบบางเรื่องอาจต้องใช้เวลายาวนานจึงจะเห็นผล บางเรื่องอาจส่งผลกระทบโดยอ้อมและยากจะพิสูจน์ได้

ดังนั้น หากมนุษย์ยึดหลัก มนุษย์เป็นศูนย์กลาง แนวโน้มที่มนุษย์จะตัดสินใจเข้าข้างตนเอง โดยเห็นแก่ประโยชน์เฉพาะหน้าย่อมมีอยู่สูง แนวคิดตามหลักการเรื่อง "การระวังไว้ก่อน" จึงเป็นไปได้ยากที่จะนำมาปรับใช้

     ในทางตรงข้าม หากมนุษย์ยึดถือทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเป็นศูนย์กลางแล้ว มนุษย์ย่อมให้ความสำคัญกับสิ่งมีชีวิตทุกชนิดในระบบนิเวศ แม้บางครั้งมนุษย์อาจจะยังไม่เดือดร้อน แต่หากพบว่ามีสิ่งมีชีวิตชนิดใดชนิดหนึ่งได้รับผลกระทบ ก็เป็นเหตุผลอันเพียงพอแล้วที่ควรจะใช้มาตรการป้องกันไว้ก่อน

จากที่กล่าวมา ผู้เขียนมีความเห็นและข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการบัญญัติกฎหมายหรือกฎมนุษย์ เพื่อเป็นเครื่องมือในการบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติ ดังนี้ คือ

1.) จากการศึกษาตรวจสอบรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันในส่วนที่เกี่ยวกับการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม

เริ่มตั้งแต่สิทธิชุมชน ตามมาตรา 66-67

หน้าที่ของชนชาวไทย ตามมาตรา 73

และแนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐด้านที่ดิน ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ตามมาตรา 85

ผู้เขียนเห็นว่า เป็นหลักกฎหมายที่ดีมากพอสมควร เนื่องจากมีหลักการแนวคิดที่สำคัญ คือ มองปัญหาของระบบนิเวศอย่างเป็นองค์รวม คำนึงถึงการจัดการที่สมดุล-ยั่งยืน และเปิดโอกาสให้บุคคลหรือชุมชนได้มีส่วนร่วมอย่างกว้างขวาง

แต่อย่างไรก็ตาม หากมองในภาพรวมแล้วดูเหมือนว่า ค่อนข้างจะมีแนวคิดไปในทางกลุ่มที่ยึดถือ "มนุษย์เป็นศูนย์กลาง" มากกว่ารัฐธรรมนูญได้มุ่งเน้นกล่าวถึงบทบาทหน้าที่ สิทธิประโยชน์ หรือผลกระทบที่จะพึงมีต่อมนุษย์เป็นสำคัญ

ผู้เขียนจึงเห็นว่า หากเราบัญญัติหลักการเพิ่มเติมในทำนองว่า ในการจัดการทรัพยากรนั้นต้องเคารพสิทธิในชีวิตและความเป็นอยู่ของสัตว์โลกหรือสิ่งมีชีวิตทุกชนิดด้วยก็คงจะดีไม่น้อย เพราะทุกชีวิตย่อมมีคุณค่า มีประโยชน์ และมีสิทธิที่จะอยู่อาศัยในโลกผืนนี้อย่างสงบสุขเท่าเทียมกันเช่นเดียวกับมนุษย์

ซึ่งย่อมแน่นอนว่า หากเราเคารพสิ่งมีชีวิตอื่น หรือเคารพธรรมชาติ สิ่งเหล่านั้นย่อมให้ความเคารพและให้ความเป็นธรรมตอบแทนมนุษย์เช่นกัน

ณ วันนี้ คำว่า "สิทธิมนุษยชน" คงไม่เพียงพอสำหรับความสงบสุขและความอยู่รอดของมนุษย์ เราคงต้องมองไกลไปถึง "สิทธิสรรพชีวิตทั้งมวล" ในโลกใบนี้ด้วย

2.) ที่กล่าวไว้ข้างต้นว่า ธรรมชาติความต้องการของมนุษย์ไม่มีขีดจำกัดนั้น เป็นเรื่องของความต้องการสิ่งเสพปรนเปรอตนที่เรียกว่า "ตัณหา"

     แต่ในทางพระพุทธศาสนานั้น ท่านเจ้าคุณพระธรรมปิฎกเคยแสดงธรรมเทศนาไว้ว่า ยังมีความต้องการอีกประเภทหนึ่งซึ่งมีขอบเขตจำกัด คือ ความต้องการคุณภาพชีวิต หรือเรียกว่า "ฉันทะ"

โดยท่านอธิบายขยายความต่อว่าในทางพุทธศาสนาถือว่า มนุษย์เป็นสัตว์ที่ฝึกฝนพัฒนาได้ ซึ่งมีความสัมพันธ์กับหลักความต้องการคุณภาพชีวิตของมนุษย์

กล่าวคือ การที่มนุษย์ต้องการคุณภาพชีวิตนั้น เป็นการแสดงถึงภาวะที่มนุษย์ต้องการพัฒนาตนเองหรือพัฒนาศักยภาพของตนเองขึ้นไป เพราะฉะนั้น สาระอย่างหนึ่งของการพัฒนามนุษย์ก็คือ การที่เราจะต้องพยายามหันเหหรือปรับเปลี่ยนความต้องการจากความต้องการสิ่งเสพปรนเปรอตนมาเป็นความต้องการคุณภาพชีวิต

ทั้งนี้ ท่านเจ้าคุณได้ยกตัวอย่างเปรียบเทียบกับการกินไว้ คือ มนุษย์เรานั้นจะกินอาหารโดยมีจุดประสงค์ความต้องการทั้งสองอย่างทับซ้อนกันอยู่ คือ กินเพื่อสนองตัณหา (อร่อย โก้ แสดงฐานะ ฯลฯ) ซึ่งมีขอบเขตไม่จำกัด และกินเพื่อคุณภาพชีวิต (หล่อเลี้ยงร่างกายให้แข็งแรง มีสุขภาพดี) ซึ่งมีขอบเขตจำกัด

จากหลักการแนวคิดดังกล่าว โจทย์ก็คือว่า เราจะทำอย่างไรให้มนุษย์เสพหรือใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติโดยคำนึงถึงความต้องการเพื่อคุณภาพชีวิตมากยิ่งกว่าเพื่อสนองตัณหา

     ถึงตรงนี้ เชื่อว่าหลายท่านคงคิดถึงคำว่า "เศรษฐกิจพอเพียง" และแน่นอนว่า ผู้เขียนเองก็เห็นด้วยเป็นอย่างยิ่งว่า ระบบเศรษฐกิจพอเพียงน่าจะมีความสัมพันธ์สอดคล้องเป็นอย่างดีกับคำว่า "การพัฒนาคุณภาพชีวิต"

ดังนั้น บทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ มาตรา 78 (1) และมาตรา 83 ที่กำหนดให้รัฐส่งเสริมและสนับสนุนปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง จึงน่าจะเป็นคำตอบที่ดีสำหรับโจทย์ดังกล่าวได้

แต่อย่างไรก็ตาม เป็นที่น่าเสียดายว่าในมาตราถัดไป คือ มาตรา 84 (1) รัฐธรรมนูญกลับบัญญัติไว้ว่า รัฐต้องสนับสนุนระบบเศรษฐกิจแบบเสรีโดยอาศัยกลไกตลาด ซึ่งผู้เขียนเห็นว่าเป็นแนวคิดที่ขัดแย้งสวนทางกับหลักการพัฒนาคุณภาพชีวิตอย่างสิ้นเชิง

เพราะโดยลักษณะสภาพของระบบเศรษฐกิจแบบเสรีโดยอาศัยกลไกตลาด ย่อมพยายามแข่งขันส่งเสริมมนุษย์ให้บริโภคเพื่อสนองตัณหาอย่างไม่มีจำกัดอยู่ในตัว

ก็ขอฝากเป็นแง่คิดต่อท่านผู้อ่านว่า แล้วเราจะแก้ไขปรับปรุงกฎหมายกันอย่างไร ให้เหมาะสมลงตัวสอดคล้องกับสังคมไทยและสังคมโลก

3.) หลักการแนวคิดเรื่องหนึ่งในทางพระพุทธศาสนาที่เหมือนกับปรัชญาแนวคิดของตะวันตก คือ มองว่าธรรมชาติของมนุษย์เป็นสัตว์สังคม มนุษย์ต้องอาศัยอยู่ด้วยกันเป็นครอบครัว เป็นกลุ่มก้อน จึงจะอยู่รอดปลอดภัยและสงบสุข เพราะมนุษย์ต้องพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน อีกทั้งการพัฒนามนุษย์ก็ต้องอาศัยมนุษย์ด้วยกัน และยังเห็นว่าสังคมที่ดี มีระบบระเบียบเท่านั้นที่จะสอดคล้องกับธรรมชาติของมนุษย์ ในการที่จะเอื้อให้มนุษย์ใช้สติปัญญา หาเหตุผลพัฒนาคุณภาพชีวิตให้ดีงามยิ่งๆ ขึ้นไปได้

     ดังนั้น ผู้เขียนจึงเห็นว่า การที่รัฐธรรมนูญบัญญัติให้บุคคลและชุมชนได้มีส่วนร่วมในการจัดการ บำรุง รักษา หรือใช้ประโยชน์ทรัพยากรอย่างกว้างขวาง จึงน่าจะสอดคล้องกับธรรมชาติของมนุษย์เป็นอย่างดี

เพราะเมื่ออยู่ร่วมกันก็ต้องเคารพให้เกียรติซึ่งกันและกัน ร่วมกันคิด ร่วมกันแก้ไขปัญหา และสร้างความเป็นธรรมให้เกิดขึ้นในสังคม

แต่อย่างไรก็ตาม การที่จะนำหลักการแนวคิดดังกล่าวไปปรับใช้ในทางปฏิบัติที่เป็นจริงนั้น ไม่ใช่เรื่องง่ายอย่างแน่นอน

พระราชบัญญัติป่าชุมชน เป็นตัวอย่างปัญหาเรื่องหนึ่งซึ่งถกเถียงกันมาอย่างยาวนาน และจนถึงขณะนี้ก็ยังไม่ได้ข้อยุติ

ก็ขอฝากท่านผู้อ่านช่วยกันคิดต่ออีกเรื่องก็แล้วกัน ในฐานะที่เราเป็นสัตว์สังคมครอบครัวเดียวกัน

ท้ายที่สุดนี้ ผู้เขียนมีเรื่องที่อยากจะขอความกรุณาจากท่านผู้อ่าน คือ เนื่องจากขณะนี้ผู้เขียนกำลังศึกษาในระดับปริญญาโทและสนใจศึกษาวิจัยเกี่ยวกับเรื่อง "นิติศาสตร์แนวพุทธ กับ แนวคิดนิติสตรีศาสตร์"

     ดังนั้น หากกัลยาณมิตรท่านใดมีข้อมูล หนังสือ เอกสาร วิทยานิพนธ์ หรือความคิด ความเห็นใดๆ เกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว ขอได้โปรดให้ความเอื้อเฟื้อ แบ่งปัน หรือให้หยิบยืมความรู้บ้าง ก็จะขอขอบพระคุณเป็นอย่างยิ่ง

หมายเหตุ ที่อยู่ ศาลจังหวัดเชียงใหม่ Email Address : Soad_sutanun@yahoo.co.th


ขอขอบคุณ
ที่มา :
มติชนรายวัน วันที่ 07 กรกฎาคม พ.ศ. 2552 หน้า 6


H O M E



Create Date : 18 กรกฎาคม 2552
Last Update : 18 กรกฎาคม 2552 19:08:14 น. 0 comments
Counter : 919 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

jenifaae
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 7 คน [?]




Editor
บทความ ความคิดเห็นที่นำลง"สนามหลวงแก็งค์" ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
เพียงเราเห็นว่าน่าสนใจและเป็นประโยชน์ในทางข้อมูล ข่าวสาร
หากท่านมีข้อคิดเห็นประการใด โปรดแจ้งให้เราทราบ จักขอบคุณยิ่ง
"สนามหลวงแก็งค์"
kunkorn : Facebook



"Sanamluang's Gang"
"สนามหลวงแก๊งค์"

kunkorn : Facebook

     เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนให้เกิดการศึกษา การเรียนรู้ เผยแพร่ ส่งเสริม สนับสนุน รวบรวมข้อมูล ข่าวสาร อนุรักษ์ รักษาเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ของชนชาติไทย วิถีชีวิต และปรัชญา คุณค่าจิตวิญญาณที่งดงาม สืบสานต่อยอดกันมานานนับพันๆปี และกำลังถูกทำลายด้วยอิทธิพลจากแนวคิดเชิงวัตถุนิยมแบบตะวันตก

● เพื่อการศึกษาหาความรู้ ส่งเสริม สนับสนุน ให้เกิดการศึกษา เรียนรู้ สิ่งที่พระพุทธเจ้าค้นพบ และนำมาเผยแพร่แก่มวลมนุษยชาติ อย่างเป็นวิทยาศาสตร์ที่แท้จริง มิใช่เพียงวิทยาศาสตร์เชิงวัตถุเพียงอย่างเดียว เพราะถือว่าพระพุทธเจ้า ทรงค้นพบความจริงของธรรมชาติ ทั้งหมดทั้งสิ้น ที่มนุษย์ธรรมดาสามัญอย่างเราๆ ท่านๆ ยังเป็นเพียงผู้รู้ แค่หางอึ่งที่ยังอยู่ในกะลาครอบ แต่บังอาจด่วนสรุป ขัดแย้งกับ สิ่งที่องค์ศาสดาทรงค้นพบมากว่าสองพันปี จนทำให้บังเกิดความสับสน ลดความน่าเชื่อในสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงค้นพบ

● สนามหลวงแก๊งค์ ต้องขออนุญาตและขอขอบคุณท่านเจ้าของข่าวสาร ข้อมูล ที่เราได้นำลงในสนามหลวงแก๊งค์ ไว้ ณ โอกาสนี้ด้วยจิตคารวะ ทั้งนี้และทั้งนั้น ก็เพื่อให้สนามหลวงแก๊งค์ เป็นแหล่งในการเผยแพร่ ข้อมูล ข่าวสารที่เป็นประโยชน์และเพื่อเป็นวิทยาทานแก่สาธารณชน แต่หากท่านเจ้าของข้อมูล ข่าวสารที่ สนามหลวงแก๊งค์ นำลงไม่มีความประสงค์ให้นำลง ขอได้โปรดแจ้งความประสงค์ เรายินดีที่จะถอดออกต่อไป

ด้วยจิตคารวะ
www.sanamluang.bloggang.com
kunkorn : Facebook


ดาวหาง
     เป็นปรากฎการณ์ทางธรรมชาติ ที่เกิดขึ้นในห้วงมหาจักรวาลอันยิ่งใหญ่ ลี้ลับไร้ขอบเขต ทุกครั้งที่ดาวหางปรากฏ มันจะส่งสัญญาณแห่งความพินาศ มหันตภัย ธรรมชาติ ความตาย ความเจ็บป่วย สงคราม ความขัดแย้ง การกดขี่ การเอารัดเอาเปรียบ การคดโกง การเบียดเบียนของมนุษย์บนพื้นพิภพใบนี้

     มันคือสัญญาณเตือนภัยที่มนุษย์ไม่อาจจะควบคุมได้ ทั้งภัยทางธรรมชาติและภัยที่เกิดขึ้นจากมนุษย์สร้างกันขึ้นมาเองในทุกรอบพันปี

     ไม่ว่ามนุษย์จะคิดว่าตัวเองเก่งกาจสามารถ ฉลาดสักเพียงไหน ก็ไม่อาจหลีกพ้นมหันตภัยเหล่านี้ไปได้
     ดังนั้น จงเชื่อและปฎิบัติตามอย่างไม่ลังเลต่อคำสอนของศาสดาของเราอย่างจริงจังเถิด

     แม้จอมจักรพรรดิ จอมราชันย์ หรือจอมทรราชที่ยิ่งใหญ่ในอดีต ก็ต้องตายร่างกายเน่าเปื่อยเป็นผุยผง และในที่สุดวิญญาณของเขาก็ต้องชดใช้กรรม ด้วยการถูกไฟนรกเผาผลาญโดยไม่มีข้อยกเว้นทั้งทั้งสิ้น

     จงอย่าอหังการ์ว่าตัวเองเก่ง ฉลาด และยิ่งใหญ่กว่าคำสอนของพระศาสดา ไม่มีมนุษย์ตนใดที่จะพ้นจากกฎแห่งธรรมชาติได้ มนุษย์ที่เก่งกว่าเรา เขาได้ตายร่างกายทับถมปฐพีแห่งนี้นับไม่ถ้วนแล้ว


     ● ขออนุญาตนำภาพวาด "วีระชนบนพานรัฐธรรมนูญ" ของ คุณสถาพร ไชยเศรษฐ ศิลปินอิสระ อดีตแนวร่วมศิลปินแห่งประเทศไทย ซึ่งวาดเนื่องในโอกาส 2 ปี 14 ตุลา มาเป็นส่วนหนึ่งของหัว "สนามหลวงบล็อก"                


บริการดูดวง



"สนามหลวงพยากรณ์ออนไลน์" มีความภาคภูมิใจในความสำเร็จตามอุดมการณ์ของเรา ที่ได้ตั้งเอาไว้ว่า "เราจะใช้วิชาความรู้ในด้านการพยากรณ์เพื่อให้เป็นประโยชน์สำหรับการให้การปรึกษาของผู้คนที่กำลังประสบปัญหา ความเดือดเนื้อร้อนใจ หรือการเผชิญกับปัญหานั้นๆได้อย่างไรดี

มนุษย์เกิดแต่กรรม มนุษย์มีกรรมเป็นเหตุ เมื่อเราประสบเคราะห์กรรม ปัญหาอยู่ที่ว่าหากเราทราบเสียก่อน ย่อมเป็นสิ่งที่ดีกว่าการไม่ทราบ อย่างน้อยก็ทำให้เราระมัดระวังตัว อย่างน้อยก็ทำให้เราหลีกเลี่ยงเพื่อทำให้เราเผชิญกับกรรมน้อยลงไป อย่างน้อยก้ทำให้เรารู้ว่าสิ่งเหล่านั้นมันมีที่มา มันมีที่ไปของมัน

มีนักวิชาการและนักวิทยาศาสตร์วัตถุจิตนิยม มักโจมตีอยู่เสมอว่า การดูดวง เป็นเรื่องของความงมงาย หมอดูคู่กับหมอเดา หมายถึงว่า เขาไม่เชื่อในเรื่องของวิชาโหราศาสตร์เพราะคิดไปว่ามันเป็นเรื่องเดียรัจฉานวิชาบ้าง เป็นการคาดเดาเอาเองบ้าง คิดว่ามันเป็นวิชาที่ใช้สถิติสุ่มเอาบ้าง ไม่เชื่อว่าวิชาโหราศาสตร์จะสามารถไขปริศนาแห่งรหัสลับของดวงดาว จักรวาล และธรรมชาติรอบตัว

แสดงว่าเขาลืมไปว่า อัลเบิร์ต ไอสไตน์ และสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้กล่าวไว้ว่า ทุกสรรพสิ่งในโลกรอบตัวเรา ตั้งแต่เล็กเท่าอะตอม (จุลจักรวาล)จนถึงมหาจักรวาล ล้วนมีความผูกพัน ล้วนมีความสัมพันธ์กันอย่างลึกซึ้งแยกกันไม่ออก เพียงแต่ว่า กับอะไร เมื่อไร อย่างไร เท่านั้น

กรรมเป็นผลจากการกระทำของเราในอดีตชาติ จะดีหรือจะร้ายก็เพราะเราทำ เป็นสิ่งที่เราจะต้องได้รับผลแห่งการกระทำเหล่านั้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

โหรฯเป็นเพียงผู้แปลรหัสของดวงดาวและธรรมชาติรอบตัว เพื่อเผยแผนที่ชีวิตของเรา และสามารถมองเห็นช่องทางที่จะเลี่ยงหลบสิ่งเลวร้าย ให้ลดน้อยถอยลงหรือพบพานแต่สิ่งที่ดีดี

การสะเดาะเคราะห์ หรือพิธีการตัดกรรมที่กำลังกล่าวขานถึงก็คือการขออโหสิกรรม ลดการอาฆาตจองเวรกับเจ้ากรรมนายเวรที่กำลังจ้องจองเวรด้วยความอาฆาตพยาบาทที่ถูกเรากระทำในอดีตชาติ ไม่ใช่เป็นการตัดทอนผลกรรมที่เราทำให้หมดไปหรือให้ลดลง เพราะกรรมที่เรากระทำไม่สามารถตัดทอนลงไปได้



สนามหลวงพยากรณ์ออนไลน์พยากรณ์เที่ยงตรง แม่นยำเชื่อถือได้ วิเคราะห์พยากรณ์อย่างเป็นระบบ ไม่เลื่อนลอย ยึดมั่นในอุดมการณ์ของครูที่ท่านได้กำชับให้นำเอาวิชาการพยากรณ์มาช่วยเหลือแนะนำ บรรเทาทุกข์ของผู้คนมากกว่าการพยากรณ์เพื่อการค้า

ต้องยอมรับว่า ไม่ว่าประเทศใด? ชาติใด ภาษาใด? สมัยไหน? ชนชั้นวรรณะใด? ไม่ว่าจะเป็นเจ้าสัว นักธุรกิจ นักการค้า แม่บ้าน นักเรียน นักศึกษา ครู อาจารย์ หรือไม่เว้นแต่นายพล นายพัน รัฐมนตรี หรือระดับผู้นำประเทศ ล้วนแต่เคยดูดวงด้วยกันทั้งสิ้น เพียงแต่ว่า เราจะเชื่ออย่างงมงายหรือจะเชื่อโดยใช้เหตุผลอย่างเป็นวิทยาศาสตร์ โดยนำเอาคำพยากรณ์มาใช้เป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจในการดำเนินชีวิต หรือทำธุรกิจ การค้า หรือเพื่อการทำสงครามฯ

"สนามหลวงแก็งค์" ไม่สนับสนุนให้เชื่อเรื่อง "ดวง" อย่างงมงาย แต่เราสนับสนุนให้ใช้คำ "พยากรณ์"อย่างมีวิจารณญาณประกอบการตัดสินใจอย่างมีสติ ใช้ "ปัญญา"อย่างมี "เหตุผล"

หลังจาก "สนามหลวงพยากรณ์ออนไลน์" ได้รับการตอบรับอย่างล้นหลาม จนต้องมีการเข้าจองคิวดูดวงเป็นจำนวนมาก ณ ขณะนี้ ไม่ใช่แต่เฉพาะคนไทยในประเทศที่เข้ามาใช้บริการจาก "สนามหลวงพยากรณ์ออนไลน์"เท่านั้น

แต่ยังมีคนไทยที่อยู่หลายประเทศทั่วโลกเข้ามาดูดวง ตรวจสอบชื่อ นามสกุลมากมาย ทั้งนี้คงเป็นเพราะผู้ที่เข้ามา"ดูดวง" กับ "สนามหลวงพยากรณ์ออนไลน์" ได้รับความพอใจในคำพยากรณ์ที่ถูกต้อง แม่นยำ แนะนำแนวทางแก้ไขที่เหมาะสมตามหลักโหราศาสตร์ จึงได้มีการบอกเล่า แนะนำชักชวนกันปากต่อปากเป็นจำนวนมาก

ปัจจุบันนี้ มีผู้เข้ามาเยี่ยมชมwww.sanamluang.bloggang.com มีจำนวนถึง 118 ประเทศ โดยเข้ามาเปิดดูหน้า "สนามหลวงพยากรณ์ออนไลน์"คิดเป็นร้อยละ 80 ของ pageviews ต่างๆใน www.sanamluang.bloggang.comจัดทำบล็อกครั้งแรกเมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม 2550 มีผู้เข้าชมจำนวนทั้งสิ้น 579,020 ครั้ง จากจำนวน 262,960 visitors (ข้อมูล ณ เวลา 12.00 น.ของวันพุธที่ 6 ตุลาคม 2553)

ส่วนใหญ่ลูกค้าที่โทรเข้ามาเกือบ 98% เมื่อโทรฯ เข้ามาดูดวงแล้ว จะสามารถนัดวัน เวลาดูดวงได้โดยไม่มีปัญหาแต่อย่างใด อาจจะมีอยู่บ้างเพียงไม่กี่รายที่โทรฯเข้ามาเพื่อสอบถามรายละเอียดเพียงอย่างเดียวเท่านั้น

อาจจะเนื่องมาจากไม่คุ้นเคยการทำธุรกิจแบบออนไลน์ โดยมีการโอนเงินก่อน ไม่ไว้ใจ หรือไม่กล้า ซึ่งมีจำนวนน้อยมาก ประมาณ 2%

สำหรับที่เมลฯมาถามและเงียบไป ไม่สามารถทราบจำนวนได้ อาจเนื่องจากเป็นรายที่โทรเข้ามานัดอีกทางหนึ่งก็เป็นได้

สนามหลวงพยากรณ์ออนไลน์ ยังมีอาจารย์ผู้สอนวิชาโหราศาสตร์ ผ่านประสบการณ์ในการดูดวงหลายปีคิดเป็นจำนวนหลายพันดวง

แน่นอน แม่นยำกระชับ ชัดเจน หากไม่ทราบเวลาตกฟากท่านก็ยังสามารถดูได้ รายที่กำลังประสบเคราะห์หามยามร้าย ท่านก็จะช่วยแนะนำและแก้ไขเรื่องเลวร้ายให้กลายเป็นดีด้วยศาสตร์แห่งความลี้ลับของโหราศาสตร์ โดยไม่ต้องเสียเงินสะเดาะเคราะห์ สามารถดูได้ถึงขนาดปัญหาเรื่องคู่ครอง เรื่องเคราะห์ เรื่องหน้าที่การงาน โดยใช้ "วิชาโหราศาสตร์ดวงไทย"อันเป็นสุดยอดของวิชาโหราศาตร์โบราณของไทย

นอกจากนั้น เรายังมี ซินแส ที่เชี่ยวชาญเรื่องการดูฮวงจุ้ย ทำเลปลูกบ้าน อาคารสำนักงาน ดูฤกษ์ยาม แต่งงาน คลอดบุตร ขึ้นบ้านใหม่ เปิดกิจการต่างๆโดยใช้วิชาโหราศาสตร์จีนโบราณผสานตำราดวงไทย ซึ่งซินแสท่านมีประสบการณ์การดูดวงมาไม่น้อยกว่า 45 ปี ผ่านการดูให้กับนักธุรกิจชื่อดังของเมืองไทย และนักธุรกิจชั้นนำจากฮ่องกงหลายราย

ติดต่อ 081-4834367 หรือ workingmailhome@hotmail.com
--------------------------------------------
● ปรึกษาปัญหากฏหมาย
ละเมิด,สัญญา,อายัดทรัพย์ ยึดทรัพย์
--------------------------------------------
● ปัญหาติดต่อราชการ
บริการปรีกษาเรื่อง ภาษีป้าย ภาษีโรงเรือน ภาษีที่ดิน ค่าธรรมเนียมต่างๆ และการติดต่อราชการต่างๆ ของสำนักงานเขต
--------------------------------------------
● พิมพ์รายงาน,ค้นหาข้อมูล,

● งานพิมพ์ Lay-Out,Art Work
--------------------------------------------
สำนักพิมพ์ดาวหาง
www.sanamluang.bloggang.com




รับวาดรูปเหมือน และสอนวาดรูป
โดยอาจารย์ ผู้ชำนาญ

ราคาย่อมเยา

















หลังเกิดเหตการณ์ 14 ตุลา 2516 นิสิต นักศึกษา ปัญญาชน ต่างหลั่งไหลดั่งสายน้ำ ล้นขอบ ออกจากเมือง เข้าสู่ ชนบท เหตุเกิดเมื่อ กลางปี พ.ศ.2516 จนถึง พ.ศ.2519 นักศึกษากลุ่มหนึ่ง ได้ พบกันโดยบังเอิญ และ ได้ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันกับชาวบ้าน ณ หมู่บ้าน แม่ตะมาน ตำบลกื๊ดช้าง อำเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่ ภายใต้ ชื่อโครงการว่า "โครงการหมู่บ้านสหกรณ์แม่ตะมาน"
เชิญ พบ และติดตาม กับเรื่องราว และบทสรุป อันควรเป็นจุดเริ่มต้น ต่อไปใน

     เมล็ดพันธุ์ประชาธิปไตย ที่ถูกหว่านทั่วท้องทุ่งแห่งประชาไทย มาบัดเดี๋ยวนี้ เมื่อต้องฝน ต้องลม แห่งกาลเวลาพัดผ่าน จาก 2516 , 2519 2535,จน 2540 ถึง 2550บางเมล็ดพันธุ์ก็ยังขาวพิสุทธิ์สดใส บ้างเมล็ดพันธุ์เปลี่ยนสี บ้างก็ดอกสีเหลือง บ้างก็ดอกสีแดง บ้างก็ดอกสีม่วงก้มี สีเขียว สีน้ำเงิน หรือบ้างก็อาจเฉาโรยรา หรือบ้าง ผสมผสานกลายพันธุ์ ก็มีไม่น้อย
มาบัดเดี๋ยวนี้ มันไม่ใช่ จิต วิญญาณ แห่ง 14 ตุลา เดิมเสียแล้ว ไม่ใช่พันธุ์เดียวกัน อย่าได้ เอ่ยอ้างเลย ว่า วิญญาณ 14 ตุลา ยังคง...มันประชาธิปไตย ที่ไม่ บริสุทธิ์ผุดผ่องเหมือนอย่างเดิมเสียแล้ว.....
..แต่มันเป็น.ประชาธิปไตย...เพื่อใคร..??


“ทุกวันนี้ เราจะรับรู้ ได้เห็น ได้ยินแต่เรื่องเลวร้าย ในสังคม
เราจึงขอบันทึกสิ่งที่ดีๆ ต่างๆ เหล่านี้ ด้วยจิตคารวะ และขอเป็นกำลังใจให้เกิดสิ่งที่ดีงามเหล่านี้ต่อไป”>>>



อ่านงานเขียนเกี่ยวกับภาพยนตร์หลากหลายประเทศทั่วโลก ที่นี่ >>>





*จำนวนผู้ชมทั้งสิ้น* สถาปนาบล็อค 21 ก.ค.2550
Friends' blogs
[Add jenifaae's blog to your web]
Links
 

MY VIP Friend

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.