Google

ท่องไปทั่วโลกหาแค่ในพันทิบก็พอ

 
สิงหาคม 2553
 
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
293031 
 
1 สิงหาคม 2553
 

ก้าวไปในบุญ พระพรหมคุณาภรณ์ ป.อ.ปยุตโต

ก้าวไปในบุญ
แก้ความเข้าใจ
ความหมายของบุญ ที่แคบและเพี้ยนไป
บุญกุศลนี้ มีทางทำ ให้เกิดขึ้นได้มากมาย แต่ข้อสำ คัญอยู่
ที่จิตใจของโยมเอง แต่เมื่อเราต้องการให้จิตใจผ่องใส อะไรจะมา
ช่วยทำ ให้ผ่องใสได้ ตอนนี้เราอาศัยพระประธาน แต่พระพุทธเจ้า
สอนไว้ว่า มีวิธีปฏิบัติหลายอย่างที่จะทำ ให้เกิดบุญกุศล วันนี้จึงขอ
พูดเรื่องบุญนิดๆหน่อยๆ เพราะคำ ว่าบุญเป็นคำ สำ คัญในพระพุทธ
ศาสนา และเวลานี้ความเข้าใจเกี่ยวกับคำ ว่า “บุญ” ก็แคบมาก
หรือบางทีก็ถึงกับเพี้ยนไป
แง่ที่ ๑ ยกตัวอย่าง ที่ว่าบุญมีความหมายแคบลงหรือ
เพี้ยนไปนี่ เช่น เมื่อเราพูดว่าไปทำ บุญทำ ทาน โยมก็นึกว่าทำ บุญ
คือถวายข้าวของแก่พระสงฆ์ บุญก็เลยมักจะจำ กัดอยู่แค่ทาน คือ
การให้ แล้วก็ต้องถวายแก่พระเท่านั้นจึงเรียกว่า บุญ ถ้าไปให้แก่
ชาวบ้าน เช่นให้แก่คนยากจน คนตกทุกข์ยากไร้ เราเรียกว่าให้ทาน
ภาษาไทยตอนหลังนี้จึงเหมือนกับแยกกันระหว่างทำ บุญกับให้
ทาน ทำ บุญ คือถวายแก่พระ ให้ทาน คือให้แก่คฤหัสถ์ชาวบ้าน
โดยเฉพาะคนตกทุกข์ได้ยาก
เมื่อเพี้ยนไปอย่างนี้นานๆ คงต้องมาทบทวนกันดู เพราะ
ความหมายที่เพี้ยนไปนี้กลายเป็นความหมายในภาษาไทยที่บางที
ยอมรับกันไปจนคิดว่าถูกต้องด้วยซํ้า แต่พอตรวจสอบด้วยหลัก
พระศาสนาแล้วก็ไม่จริง เพราะว่าทานนั้นเป็นคำ กลางๆ
การถวายของแก่พระ ที่เราเรียกว่าทำ บุญนั้น เมื่อว่าเป็น
ภาษาบาลี จะเห็นชัดว่าท่านเรียกว่าทานทั้งนั้น แม้แต่ทำ บุญอย่าง
ใหญ่ที่มีการถวายของแก่พระมากๆ เช่นถวายแก่สงฆ์ ก็เรียกว่า
สังฆทาน ทำ บุญทอดกฐิน ก็เรียกว่ากฐินทาน ทำ บุญทอดผ้าป่าก็
เป็น บังสุกุลจีวรทาน ไม่ว่าถวายอะไรก็เป็นทานทั้งนั้น ถวายสิ่งก่อ
สร้างในวัด จนถวายทั้งวัด ก็เรียกเสนาสนทาน หรือวิหารทาน ทาน
ทั้งนั้น
ในแง่นี้ จะต้องจำ ไว้ว่า ทานนี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งของการ
ทำ บุญ เมื่อเราพูดว่าทำ บุญ คือ ถวายของพระ บุญก็เลยแคบลง
มาเหลือแค่ทานอย่างเดียว ลืมนึกไปว่ายังมีวิธีทำ บุญอื่นๆ อีก
หลายอย่าง นี้ก็เป็นแง่หนึ่งละ
แง่ที่ ๒ ก็คือความแคบในแง่ที่เมื่อคิดว่า ถ้าให้แก่คนตก
ทุกข์ได้ยากหรือแก่ชาวบ้านก็เป็นทานแล้ว ถ้าเข้าใจเลยไปว่า ไม่
เป็นบุญ ก็จะยุ่งกันใหญ่ ที่จริงไม่ว่าให้แก่ใครก็เป็นบุญทั้งนั้น จะ
ต่างกันก็เพียงว่าบุญมากบุญน้อยเท่านั้นเอง
การวัดว่าบุญมากบุญน้อย เช่นในเรื่องทานนี้ ท่านมีเกณฑ์
หรือมีหลักสำ หรับวัดอยู่แล้วว่า
๑. ตัวผู้ให้ คือทายกทายิกา มีเจตนาอย่างไร
๒. ผู้รับ คือปฏิคาหก มีคุณความดีแค่ไหน
ให้ทานอย่างไร
จึงจะได้ทำ บุญอย่างสมบูรณ์
ทีนี้ก็มาดูว่าบุญนั้นแค่ไหน การทำ บุญ ท่านเรียกว่า บุญ
กิริยา หรือเรียกยาวว่า บุญกิริยาวัตถุ คือเรื่องของการทำ บุญ ญาติ
โยมที่คุ้นวัดจะนึกออกว่า บุญกิริยาวัตถุมี ๓ อย่าง คือ
๑. ทาน การให้ เผื่อแผ่ แบ่งปัน
๒. ศีล การประพฤติสุจริต มีความสัมพันธ์ที่ดี ไม่เบียด
เบียนกัน
๓. ภาวนา ฝึกอบรมพัฒนาจิตใจ เจริญปัญญา
ทานก็เป็นบุญอย่างหนึ่ง ศีลก็เป็นบุญอย่างหนึ่ง ภาวนาก็
เป็นบุญอย่างหนึ่ง และสูงขึ้นไปตามลำ ดับด้วย ศีลเป็นบุญที่สูง
กว่าทาน ภาวนาเป็นบุญที่สูงกว่าศีล แต่เราสามารถทำ ไปพร้อม
กันทั้ง ๓ อย่าง
เหตุใดจึงเรียกการถวายของแก่พระที่วัดว่าเป็นการทำ บุญ
แต่ให้แก่ชาวบ้านเรียกว่าเป็นทานเฉยๆ เรื่องนี้อาจจะเกิดจากการ
ที่ว่า เวลาเราไปถวายพระที่วัด เราไม่ใช่ถวายทานอย่างเดียวเท่า
นั้นคือ ในเวลาที่เราไปถวายสิ่งของเครื่องไทยธรรม หรือทำ อะไรที่
วัดนั้น นอกจากทานเป็นอย่างที่ ๑ แล้ว
๒. ศีลเราก็ได้รักษาไปด้วย คือเราต้องสำ รวมกายวาจาอยู่
ในระเบียบแบบแผนวัฒนธรรมประเพณี เรื่องมารยาทอากัปกิริยา
และการสำ รวมวาจาต่างๆ นี้เป็นศีลทั้งสิ้น และเวลานั้นเรางดเว้น
ความไม่สุจริตทางกายวาจา ความไม่เรียบร้อย การเบียดเบียนทุก
อย่างทางกายวาจา เราละเว้นหมด เราอยู่ในกายวาจาที่ดีงาม ที่
ประณีต ที่สำ รวม ที่ควบคุม นี่คือเป็นศีล
๓. ในด้านจิตใจ จะด้วยบรรยากาศของการทำ บุญก็ตาม
หรือด้วยจิตใจที่เรามีความเลื่อมใสตั้งใจไปด้วยศรัทธาก็ตาม จิตใจ
ของเราก็ดีงามด้วย เช่น มีความสงบ มีความสดชื่น เบิกบานผ่อง
ใส มีความอิ่มใจ ตอนนี้เราก็ได้ภาวนาไปด้วย ยิ่งถ้าพระได้อธิบาย
ให้เข้าใจในเรื่องการทำ ทานนั้นว่าทำ เพื่ออะไร มีประโยชน์อย่างไร
สัมพันธ์กับบุญหรือการปฏิบัติธรรมอื่นๆ อย่างไร ฯลฯ เรามองเห็น
คุณค่าประโยชน์นั้น และมีความรู้ ความเข้าใจธรรม เข้าใจเหตุผล
ต่างๆ มากขึ้น เราก็ได้ปัญญาด้วย
ด้วยเหตุที่ว่ามานี้ ก็จึงกลายเป็นว่า เมื่อเราไปที่วัดนั้น แม้
จะไปถวายทานอย่างเดียว แต่เราได้หมดทุกอย่าง ทานเราก็ทำ ศีล
เราก็พลอยรักษา ภาวนาเราก็ได้ ทั้งภาวนาด้านจิตใจ และภาวนา
ด้านปัญญา
เพราะฉะนั้น เมื่อเราไปที่วัด ถ้าเราปฏิบัติถูกต้อง เราจึงไม่
ได้ถวายทานอย่างเดียว แต่เราได้มาครบ ตอนแรกเราตั้งใจไป
ถวายทานอย่างเดียว แต่เมื่อไปแล้วเราได้มาครบทั้งสาม ทีนี้เราจะ
บอกว่า เราไปถวายทานมา เราก็พูดไม่ครบ ก็เลยพูดว่าเราไปทำ
บุญ เพราะว่าเราได้ทั้งสามอย่าง ที่ว่ามานี้ก็เป็นเหตุให้การถวาย
ทานอย่างเดียวกลายเป็นมีความหมายเป็นทำ บุญ(ครบทั้งสาม
อย่าง)
เมื่อโยมเข้าใจอย่างนี้แล้ว ต่อไป เวลาไปถวายทานที่วัด ก็
ต้องทำ ให้ได้บุญครบทั้ง ๓ อย่าง คือถวายทานอย่างเดียว แต่ต้อง
ให้ได้ทั้งศีลทั้งภาวนาด้วย อย่างนี้จึงจะเรียกว่า “ทำ บุญ” ที่แท้จริง
ไปทำ บุญอย่างเดียว
แต่ได้กลับมาสามอย่าง
คราวนี้เราก็มาตรวจสอบตัวเองว่า ทานของเราได้ผล
สมบูรณ์ไหม เริ่มตั้งแต่ด้านจิตใจว่าเจตนาของเราดีไหม
เจตนานั้นท่านยังแยกออกไปอีกเป็น ๓ คือ
๑. บุพเจตนา เจตนาก่อนให้ คือตั้งแต่ตอนแรก เริ่มต้นก็
ตั้งใจดี มีความเลื่อมใส จิตใจเบิกบาน และตั้งใจจริง แข็งแรง มี
ศรัทธามาก ต่อไป
๒. มุญจนเจตนา ขณะถวายก็จริงใจจริงจัง ตั้งใจทำ ด้วย
ความเบิกบานผ่องใส มีปัญญา รู้เข้าใจ
๓. อปราปรเจตนา ถวายไปแล้ว หลังจากนั้น ระลึกขึ้นเมื่อ
ไรจิตใจก็เอิบอิ่มผ่องใส ว่าที่เราทำ ไปนี้ดีแล้ว ทานนั้นเกิดผลเป็น
ประโยชน์ เช่น ได้ถวายบำ รุงพระศาสนา พระสงฆ์จะได้มีกำ ลัง
แล้วท่านก็จะได้ปฏิบัติศาสนกิจ ช่วยให้พระศาสนาเจริญงอกงาม
มั่นคงเป็นปัจจัยให้สังคมของเราอยู่ร่มเย็นเป็นสุข นึกขึ้นมาเมื่อไรก็
เอิบอิ่มปลื้มใจ ท่านใช้คำ ว่า “อนุสรณ์ด้วยโสมนัส”
ถ้าโยมอนุสรณ์ด้วยโสมนัสทุกครั้งหลังจากที่ทำ บุญไปแล้ว
โยมก็ได้บุญทุกครั้งที่อนุสรณ์นั่นแหละ คือระลึกขึ้นมาคราวไหนก็
ได้บุญเพิ่มคราวนั้น
นี่คือเจตนา ๓ กาล ซึ่งเป็นเรื่องสำ หรับทายก
ส่วนปฏิคาหก คือผู้รับ ถ้าเป็นผู้มีศีล มีคุณธรรมต่างๆ มาก
ก็ถือว่าเป็นบุญเป็นกุศลมาก เพราะจะได้เกิดประโยชน์มาก เช่น
พระสงฆ์ เป็นผู้ทรงศีล ทรงไตรสิกขา ท่านก็สามารถทำ ให้ทานของ
เราเกิดผลงอกเงยออกไปกว้างขวาง เป็นประโยชน์แก่ประชาชน
ช่วยให้ธรรมแผ่ขยายไปในสังคม ให้ประชาชนอยู่ร่มเย็นเป็นสุข
และดำ รงพระศาสนาได้จริง
ส่วนไทยธรรมคือวัตถุที่ถวาย ก็ให้เป็นของบริสุทธิ์ ได้มา
โดยสุจริต สมควรหรือเหมาะสมแก่ผู้รับ และใช้ได้เป็นประโยชน์
นี้เป็นองค์ประกอบต่างๆ ที่จะใช้พิจารณาตรวจสอบ และ
ต้องพยายามอย่างที่พูดไปแล้วว่า แม้ว่าเราจะไปทำ ทานอย่าง
เดียว ก็ต้องให้ได้ทั้งศีลทั้งภาวนามาด้วย อย่างนี้จึงจะเรียกว่าทำ
บุญกันจริงๆ ชนิดพูดได้เต็มปาก มิฉะนั้นโยมก็จะได้แค่ไปถวาย
ทานเฉยๆ แล้วก็ไปเรียกอ้อมแอ้มว่าทำ บุญ เพราะฉะนั้น ถ้าโยมไป
วัดแล้วบอกว่า ฉันไปทำ บุญมา ก็จะต้องตรวจดูด้วยว่า เอ..ที่จริง
เราได้แค่ทานหรือเปล่า หรือว่าเราได้ครบเป็นบุญเต็มจริงๆ ถ้าเป็น
บุญก็คือได้ครบทั้ง ๓ ประการ ทั้งทาน ทั้งศีล ทั้งภาวนา
ถ้าจะทำ บุญ
ก็ควรทำ ให้ครบทุกความหมาย
ถึงตอนนี้ ก็เลยถือโอกาสเล่าความหมายของ “บุญ” นิด
หน่อย คำ ว่า “บุญ” นั้นมาจากศัพท์ภาษาบาลีว่า “ปุญฺญ” ปุญญะ
นี้แปลว่าอะไรบ้าง
๑. บุญ แปลว่า ชำ ระจิตใจให้บริสุทธิ์สะอาด ใจของเรา
กำ ลังเศร้าหมอง ขุ่นมัวมา พอทำ บุญอย่างเช่นถวายทาน เพียงเริ่ม
ตั้งใจ จิตใจของเราก็สะอาด บริสุทธิ์ผ่องใสขึ้น
การชำ ระจิตใจให้บริสุทธิ์ ก็คือ กำ จัดสิ่งเศร้าหมองที่เรียก
ว่ากิเลสทั้งหลายออกไป เริ่มตั้งแต่ทานก็กำ จัดความโลภ ความ
เห็นแก่ตัว ความมีใจคับแคบตระหนี่หวงแหน ความยึดติดลุ่่มหลง
ในวัตถุสิ่งของ ทำ ให้จิตใจเป็นอิสระ พร้อมที่จะก้าวต่อขึ้นไปในคุณ
ความดีอย่างอื่น หรือเปิดช่องให้นำ เอาคุณสมบัติอื่นๆ มาใส่เพิ่ม
แก่ชีวิตได้ ทำ ให้ชีวิตจิตใจเฟื่องฟูขึ้น
คนที่ทำ บุญคือทำ ความดี จิตใจก็จะเฟื่องฟูขึ้นในคุณงาม
ความดี เพิ่มพูนคุณสมบัติที่ดีๆ ให้แก่ชีวิตจิตใจของตน บุญนั้น มี
มากมาย เดี๋ยวจะพูดต่อไป ยิ่งเราทำ บุญมาก เราก็เพิ่มคุณสมบัติที่
ดีให้แก่ชีวิตของเรามาก
ภาษาสมัยนี้มีคำ หนึ่งว่า “คุณภาพชีวิต” คนสมัยโบราณ
เขาไม่ต้องมีคำ นี้ เพราะเขามีคำ ว่า “บุญ” อยู่แล้ว คำ ว่าบุญนี่
ครอบคลุมหมด ทำ บุญทีหนึ่งก็เพิ่มคุณสมบัติให้กับชีวิตของเราที
หนึ่ง ทั้งคุณสมบัติในกาย ในวาจา และในใจ กายของเราก็ประณีต
ขึ้น วาจาของเราก็ประณีตขึ้น จิตใจของเราก็ประณีตขึ้น ปัญญา
ของเราก็ประณีตขึ้น ดีเพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ
๒. บุญ แปลว่า ทำ ให้เกิดภาวะน่าบูชา บุญนั้นทำ ให้น่า
บูชา คนที่มีบุญก็เป็นคนที่น่าบูชา เพราะเป็นคนที่มีคุณธรรม มี
ความดี ถ้าไม่มีคุณความดีก็ไม่น่าบูชา
ที่ว่าบูชา ก็คือยกย่อง หรือเชิดชู คนที่ทำ บุญทำ กุศลจิตใจ
ดีงามมีคุณธรรมมาก ก็เป็นคนที่น่าเชิดชู น่ายกย่อง แล้วก็ทำ ให้
เกิดผลที่น่าเชิดชูบูชาด้วย
ไปๆ มาๆ เดี๋ยวจะพูดความหมายของบุญมากไป ขอพูด
เพียงเป็นตัวอย่าง ให้เห็นว่าที่จริงศัพท์เหล่านี้มีความหมายมาก
หลายประการ
ความหมายอีกอย่างหนึ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้คือ บุญนั้น
เป็นชื่อของความสุข พอทำ บุญแล้วจิตใจก็สุขเอิบอิ่ม เป็นความสุข
ที่ประณีตลึกซึ้ง
การทำ บุญเป็นความสุขที่มีผลระยะยาว ไม่เหมือนอาหาร
ที่รับประทาน หรือสิ่งภายนอกที่บำ รุงบำ เรอกาย พอผ่านไปแล้วก็
หมด ก็หาย ความสุขก็สิ้นไป บางทีพอนึกใหม่กลายเป็นทุกข์
เพราะมันไม่มีเสียแล้ว มันขาดไป ต้องหาใหม่ แต่บุญเป็นสุขที่เข้า
ไปถึงเนื้อตัวของจิตใจ เป็นความสุขที่เต็มอิ่ม ทำ ให้เกิดปีติในบุญ
และเมื่อเราทำ ไปแล้วมันก็ไม่หมด นึกถึงเมื่อไรก็ใจเอิบอิ่มผ่องใส
เรื่อยไป เป็นความสุขที่ยั่งยืนยาวนาน
อีกประการหนึ่ง บุญ เป็นสิ่งที่พึงศึกษา พระพุทธเจ้าตรัส
สอนให้ศึกษาบุญ คำ ว่า “ศึกษา” ก็คือให้ฝึกขึ้นมานั่นเอง หมาย
ความว่า บุญนี้เราต้องทำ ให้เพิ่มขึ้นและประณีตขึ้นเรื่อยๆ อย่างที่
พูดเมื่อกี้ว่า มันเป็นคุณสมบัติ มันเป็นความดี ทางกายบ้าง ทาง
วาจาบ้าง ทางใจบ้าง รวมไปถึงทางปัญญา เราต้องเพิ่มโดยฝึกขึ้น
มา เมื่อฝึกกายวาจา จิตใจ และปัญญา ชีวิตของเราก็ประณีตงอก
งามขึ้นเรื่อย เรียกว่าเป็นการพัฒนาชีวิตหรือพัฒนาตนเอง
เพราะฉะนั้น บุญนี้อย่าไปยุติหรือหยุดอยู่ เราต้องศึกษา
บุญ มีบุญอะไร มีคุณสมบัติความดีอะไรที่เราควรจะทำ เพิ่ม เพื่อ
ให้ชีวิตของเราดีขึ้น และทำ ให้เกิดประโยชน์กว้างขวางออกไป เรา
ก็ก้าวต่อไป มิฉะนั้นเราจะติดอยู่ จมอยู่ หรือว่าชะงักตันอยู่กับที่
เท่าเดิม คนที่ทำ บุญไม่ควรจะติดอยู่เท่าเดิม แต่ควรจะก้าวหน้าไป
ในบุญ
นี้เป็นความหมายต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องบุญ นำ มาพูด
พอให้โยมได้เห็นแนวทาง ความจริงนั้นแต่ละอย่างยังสามารถ
ขยายออกไปได้มาก แต่ให้เห็นเค้าว่าตั้งต้นอย่างนี้
หนทางที่จะทำ บุญ มีอยู่มากมาย
ได้บอกเมื่อกี้ว่าบุญนั้นมีมาก การทำ บุญไม่ใช่เฉพาะทาน
เท่านั้น พระพุทธเจ้าตรัสไว้โดยสรุปอย่างสั้นที่สุดว่ามี ๓ คือ บุญ
กิริยาวัตถุ ๓ ได้แก่
๑. ทาน
๒. ศีล
๓. ภาวนา
อย่างที่พูดไว้ตอนต้นแล้ว
ทีนี้ต่อมาพระอรรถกถาจารย์๑ คงอยากจะให้ญาติโยมเห็น
ตัวอย่างมากๆ ท่านจึงขยายความให้กว้างออกไปอีก เพื่อเห็น
ช่องทางในการทำ บุญเพิ่มขึ้น ท่านจึงเพิ่มเข้าไปอีก ๗ ข้อ รวมเป็น
บุญกิริยาวัตถุ ๑๐ ซึ่งขอนำ เอามาทบทวนกับญาติโยม ในฐานะที่
เป็นผู้ทำ บุญอยู่เสมอ ต่อจากบุญ ๓ คือ ทาน ศีล ภาวนา
๔. อปจายนมัย ทำ บุญด้วยการให้ความเคารพ มีความ
อ่อนโยน สุภาพอ่อนน้อม ให้เกียรติแก่กัน เคารพยกย่องท่านผู้มี
ความเป็นผู้ใหญ่ ผู้สูงด้วยคุณธรรมความดี เป็นต้น หรือที่นิยมกัน
ในสังคมของเรา เคารพกันโดยวัยวุฒิ ชาติวุฒิ และคุณวุฒิ แต่ใน
ทางพระศาสนาถือว่า คุณวุฒิสำ คัญที่สุด
อปจายนมัยนี้ก็เป็นบุญอย่างหนึ่ง เพราะเป็นการช่วยกัน
รักษาสังคมนี้ ให้เราอยู่กันด้วยความสงบร่มเย็น ถ้าสังคมของเรา
ไม่มีการให้เกียรติ ไม่มีความเคารพกัน ก็จะวุ่นวายมาก จิตใจก็แข็ง
กระด้าง ก้าวร้าว กระทบกระทั่งกันเรื่อย แต่พอเรามีความเคารพ
ให้เกียรติแก่กัน มีความสุภาพอ่อนโยน จิตใจของเราก็นุ่มนวล การ
เป็นอยู่ร่วมกันก็ดี บรรยากาศก็ดี ก็จะงดงาม เป็นสุข บุญก็เกิดขึ้น
๕. ไวยาวัจจมัย ทำ บุญด้วยการช่วยเหลือ รับใช้ บริการ คน
ไม่มีเงินก็ไม่ใช่ว่าทำ บุญไม่ได้ ไวยาวัจจมัยกุศลนี้ทำ ได้ทุกคน
อย่างสมัยก่อนนี้ก็นิยมมาลงแรงช่วยกันในเวลามีงานส่วนรวม โดย
เฉพาะสังคมไทยสมัยก่อนมีศูนย์กลางอยู่ที่วัด เวลามีงานวัด ชาว
บ้านก็มาลงแรง ช่วยเหลือ รับใช้ ทำ อะไรต่ออะไรคนละอย่างสอง
อย่าง ให้กิจกรรมส่วนรวมที่วัดนั้นสำ เร็จด้วยดี
วันนี้ก็เป็นตัวอย่าง หลายท่านมาทำ บุญด้วยไวยาวัจจมัย
กุศล ชนิดพรรณนาได้ไม่มีที่สิ้นสุด คือมาช่วยเหลือรับใช้บริการ
บำ เพ็ญประโยชน์ ไม่ว่าจะเป็นตำ รวจ ทหารเรือ ทหารทั้งหลาย หรือ
ว่าเด็กๆ นักเรียน ตลอดจนญาติโยมก็มาทำ กันทั้งนั้น ย้อนหลังไป
ก่อนวันนี้ก็มาช่วยกันปลูกต้นไม้ มาทำ ความสะอาด มาทำ ถนน ฯลฯ
ตลอดจนมาช่วยถ่ายรูปเก็บไว้ ทั้งหมดนี้ก็เป็นไวยาวัจจมัยกุศล
พูดสั้นๆ ว่ามาช่วยกัน คือเจตนาที่จะมาบำ เพ็ญประโยชน์ ช่วย
เหลือ รับใช้ บริการ ทำ กิจส่วนรวมให้สำ เร็จ เป็นบุญอีกแบบหนึ่ง
๖. ปัตติทานมัย ทำ บุญด้วยการให้ส่วนบุญ หมายความว่า
ให้ผู้อื่นมีส่วนร่วมในบุญหรือในการทำ บุญด้วย เวลาเราทำ ความดี
อะไรสักอย่างก็ไม่หวงแหนไว้ เราเปิดโอกาสให้คนอื่นได้มีส่วนร่วม
บุญด้วยการทำ ความดีด้วยกัน ทั้งผู้มาร่วม และผู้ให้โอกาส ก็ได้
บุญเพิ่มทั้งสองฝ่าย คนที่ให้เขาร่วมตัวเองบุญก็ไม่ได้ลดลง เดี๋ยว
จะนึกว่าคนอื่นมาแย่งบุญ เปล่า กลับยิ่งได้มากขึ้น เพราะฉะนั้น
พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า คนที่ทำ บุญด้วยตน กับคนที่ทำ บุญด้วยตน
แล้วยังชวนคนอื่นมาทำ ด้วยนั้น คนหลังได้บุญมากกว่า เมื่อให้
ส่วนร่วมแก่ผู้อื่นมาทำ ความดีด้วยกัน บุญกุศลก็ยิ่งเพิ่มมาก
๗. ปัตตานุโมทนามัย ทำ บุญด้วยการอนุโมทนาส่วนบุญ
คือพลอยชื่นชมยินดี หรือแสดงความยินดี ยอมรับ เห็นชอบในการ
ทำ ความดี คือในการทำ บุญของผู้อื่น เมื่อเขาทำ บุญทำ ความดี เรา
ก็พลอยชื่นใจอนุโมทนาด้วย
เช่นสมัยก่อนนี้ เวลาญาติโยมบางท่านไปทำ บุญที่วัด ก็
อาจจะเดินไปผ่านบ้านโน้นบ้านนี้ พอเดินผ่านบ้านนี้ เห็นคนที่รู้จัก
กันก็บอกว่า ฉันไปทำ บุญมานะ แบ่งบุญให้ด้วย บ้านที่ได้ฟังก็บอก
ว่า ขอโมทนาด้วยนะ นี่คือคติปัตตานุโมทนา ซึ่งเป็นการฝึกนิสัย
จิตใจ ให้เราพลอยยินดีในการทำ ความดีของคนอื่น ไม่ขึ้งเคียด
ริษยาหรือหมั่นไส้ แต่ให้มีจิตใจชื่นบานด้วยการเห็นคนอื่นทำ ความ
ดี เมื่อเราพลอยชื่นบาน อนุโมทนาด้วย เราก็ได้บุญด้วย นี้คือบุญที่
เกิดจากการอนุโมทนา
ทำ บุญ ต้องให้สมบูรณ์ขึ้นไปถึงปัญญา
๘. ธรรมสวนมัย ทำ บุญด้วยการฟังธรรม ธรรมะเป็นเรื่อง
สำ คัญที่จะทำ ให้เรามีปัญญา ทำ ให้เรามีหลักในการประพฤติ
ปฏิบัติและดำ เนินชีวิตที่ดี ถ้าเราไม่มีการฟังธรรม ไม่มีการอ่าน
หนังสือธรรมะ เป็นต้น ความก้าวหน้าในธรรมของเราอาจจะชะงัก
แล้วการที่จะเจริญในบุญก็จะเป็นไปได้ยาก จึงต้องมีข้อนี้มาช่วย
ท่านจึงสอนให้มีธรรมสวนมัย คือทำ บุญด้วยการฟังธรรม ซึ่งจะทำ
ให้รู้หลัก มองเห็นช่องทางแม้แต่ในการทำ บุญ เพิ่มขึ้นอีก
๙. ธรรมเทศนามัย ทำ บุญด้วยการแสดงธรรม การแสดง
ธรรมให้ผู้อื่นฟังก็เป็นบุญ แต่ในเวลาแสดงธรรมให้ผู้อื่นฟังต้องตั้ง
ใจให้ถูกต้อง ท่านว่าถ้ามีเจตนาหาลาภ หาเสียง ถือว่าเจตนาไม่ดี
มุ่่งที่ผลส่วนตัว จะไม่มีผลมาก แต่ถ้าตั้งเจตนาว่าเราจะแสดงธรรม
ไปเพื่อให้โยมได้รู้เข้าใจถูกต้อง ให้มีสัมมาทิฐิ ให้โยมได้รับ
ประโยชน์ ให้โยมได้พัฒนาชีวิตขึ้นไป ผู้ที่แสดงธรรมก็ได้บุญด้วย
ถึงโยมก็เหมือนกัน ก็ทำ บุญข้อธรรมเทศนามัยนี้ได้ โดยนำ
ธรรมไปบอก ไปเผื่อแผ่ ไปสอนลูกสอนหลาน ให้รู้จักสิ่งที่ถูกต้องดี
งาม ให้เขาเจริญในทาน ศีล ภาวนาด้วย เริ่มตั้งแต่ไปแนะนำ ใน
ครอบครัวของตัวเอง ทำ บุญกับลูกกับหลานก็ได้ ด้วยธรรมเทศนา
มัยนี้ ยิ่งเป็นเรื่องที่ยาก หรือเขาไม่เคยสนใจ เราก็ได้ฝึกตัวเอง หา
ทางที่จะสอนที่จะแนะนำ อธิบายให้ได้ผล ทำ ให้เขามีปัญญา ทำ ให้
เขาทำ ดี เป็นคนดีได้ ก็ยิ่งได้บุญมาก
๑๐. ทิฏฐุชุกรรม ทำ บุญด้วยการทำ ความเห็นให้ตรง คือให้
ถูกต้อง ความเห็นถูกต้องนี้ต้องทำ กันอยู่เสมอ ไม่ว่าจะทำ อะไร
ควรพิจารณาตรวจสอบกิจกรรมทุกอย่างว่า เราทำ ด้วยความรู้เข้า
ใจถูกต้องหรือเปล่า เช่นเมื่อทำ ทานก็พิจารณาว่าเราทำ ด้วยความ
เข้าใจถูกต้องไหม เรื่องนี้เป็นไปได้มากว่า โยมหลายท่านอาจจะทำ
ด้วยความเข้าใจผิดอยู่ก็ได้
ไม่ว่าอะไร เช่นอย่างรักษาศีล บางทีก็รักษาไปตามตัวบท
พยัญชนะ หรือตามที่ยึดถือกันมา ไม่เข้าใจจริง เมื่อเราไปฟังธรรม
เราก็มาปรับความเห็นของตัวให้ถูกต้อง การทำ บุญข้ออื่นๆ ก็
พลอยถูกต้องไปด้วย เพราะฉะนั้น เรื่องทิฏฐุชุกรรม หรือการทำ
ความเห็นให้ตรงให้ถูกต้องนี่จึงเป็นเรื่องสำ คัญ ต้องพัฒนาอยู่
เสมอ ไม่ว่าจะทำ อะไร ต้องมีความเข้าใจที่ถูกต้องประกอบอยู่
ทั้งหมดนี้รวมเป็น ๑๐ ข้อ แต่ใน ๑๐ ข้อนี้ ที่เป็นหลัก ก็คือ
ทาน ศีล ภาวนา ส่วนที่เติมมา ๗ ข้อนั้นเป็นการขยายจาก ๓ ข้อ
ต้น เพื่อให้เห็นความหมายและช่องทางที่จะทำ บุญเพิ่มขึ้น
บุญที่แท้แผ่ความสุขออกไป
ให้ความงอกงามทั้งแก่ชีวิตของเราและทั่วสังคม
ข้อที่ขยายเพิ่มขึ้นนั้น อปจายนมัย ก็ดี ไวยาวัจจมัย ก็ดี อยู่
ในหมวดศีล คือ การที่มีความสุภาพ อ่อนโยน นบไหว้ ให้เกียรติแก่
กัน และการช่วยเหลือรับใช้บริการ ก็เป็นเรื่องด้านความสัมพันธ์กับ
ผู้อื่นในสังคม จึงเป็นเรื่องของศีล จัดอยู่ในหมวดศีล ตอนนี้เรียกว่า
สงเคราะห์ คือจัดประเภท
ต่อไป ปัตติทานมัย การให้ส่วนบุญแก่ผู้อื่น หรือให้ผู้อื่นมี
ส่วนร่วมบุญนี่จัดอยู่ในทาน จะเห็นว่าทานมีความหมายกว้าง ไม่
ใช่เฉพาะให้ของเท่านั้น แต่การให้ความมีส่วนร่วมในการทำ ความ
ดี หรือให้โอกาสผู้อื่นทำ ความดี ก็เป็นบุญ เป็นการให้ทานชนิด
หนึ่งเหมือนกัน รวมทั้ง ปัตตานุโมทนา อนุโมทนาบุญที่ผู้อื่นทำ ก็
อยู่ในหมวดทานด้วย
ต่อไป ข้อ ๘. ธรรมสวนมัย ฟังธรรม ก็ดี ข้อ ๙. ธรรม
เทศนามัย แสดงธรรมแก่ผู้อื่น ก็ดี รวมอยู่ในข้อ ๓ คือ ภาวนามัย
เพราะเป็นการพัฒนาจิตใจ และพัฒนาปัญญา โดยเฉพาะปัญญา
ซึ่งจะไปส่งผลแก่ข้อสุดท้ายด้วย
ข้อสุดท้าย คือ ทิฏฐุชุกรรม ท่านบอกว่าเข้ากับทุกข้อ เวลา
ทำ บุญทุกอย่างให้มีทิฏฐุชุกรรมประกอบ คือมีความเห็นที่ถูกต้อง
ด้วย มิฉะนั้นบุญของเราก็จะบกพร่อง เพราะอะไร เพราะบางที
เวลาทำ บุญนั้น ใจของเราซีกหนึ่งได้บุญ แต่อีกซีกหนึ่งมีโลภะ
เป็นต้นปนอยู่ นึกถึงบุญแต่ใจประกอบด้วยความโลภ อยากได้ผล
ตอบแทนอย่างโน้นอย่างนี้ อย่างนี้บุญก็ได้แต่บาปก็ได้ด้วย คือมี
โลภะประกอบอยู่ เพราะฉะนั้นจึงต้องระวังเหมือนกัน
แต่ถ้าเรามี ทิฏฐุชุกรรม ประกอบอยู่ คอยทำ ความเห็นให้
ตรง ก็จะแก้ปัญหานี้ได้ คือทำ บุญด้วยความเข้าใจว่า ทานนี้ทำ
เพื่ออะไร เมื่อรู้เข้าใจว่าทานทำ เพื่ออะไร แล้วความเห็นของเราถูก
ต้อง บุญของเราก็สมบูรณ์ แล้วบุญนั้นจะมีความหมายที่ครบ กาย
วาจา จิต ปัญญา
กายก็ทำ ชัดอยู่แล้ว วาจาก็เปล่ง เช่นชักชวนกัน ปรึกษา
กัน จิตก็สงบผ่องใส มีเจตนาประกอบด้วยศรัทธาเป็นต้น ปัญญาก็
มีความรู้เข้าใจ ว่าสิ่งที่ตนทำ นี้ทำ เพื่ออะไร ยิ่งถ้ามองเห็นความ
หมายและประโยชน์ชัดเจนแล้ว ก็จะยิ่งมีจิตใจกว้างขวางและบุญ
กุศลก็ยิ่งเพิ่ม
อย่างเวลาทำ ทานนี่เรารู้เข้าใจมองเห็นว่า ที่เราถวาย
ภัตตาหาร และถวายทุนการศึกษาแก่พระสงฆ์ พระสงฆ์ท่านมี
หน้าที่อะไร โยมลองถามตัวเอง แล้วก็มองเห็นว่า พระสงฆ์ท่านมี
หน้าที่เล่าเรียนพระธรรมวินัย มีหน้าที่ที่จะปฏิบัติตามหลักธรรม
วินัยที่ได้เล่าเรียนนั้นแล้วก็มีหน้าที่ที่จะเผยแพร่ธรรม อ้อ..ท่านมี
หน้าที่ใหญ่ ๓ อย่างนี้
การที่เราถวายปัจจัยแก่พระสงฆ์นี้ ก็เพื่อให้ท่านมีกำ ลังไป
ทำ ศาสนกิจ คือหน้าที่ ๓ อย่างนั้น เมื่อท่านทำ หน้าที่สามอย่างนั้น
ตัวท่านเองก็เจริญงอกงามในไตรสิกขาด้วย ธรรมะที่ท่านได้รู้ได้
เรียนมาก็จะเกิดประโยชน์แก่ประชาชนกว้างขวางออกไปด้วย แล้ว
เป็นอย่างไร พระศาสนาของเราก็อยู่ได้ เราได้มีส่วนช่วยพระ
ศาสนา การที่เราทำ บุญนี้ จึงเป็นการช่วยดำ รงพระพุทธศาสนาให้
เจริญมั่นคง
ถึงตอนนี้โยมก็รู้ว่า บุญของเราไม่ได้อยู่เฉพาะแค่พระองค์
ที่เราถวายเท่านั้น แต่บุญไปถึงพระศาสนาทั้งหมด เมื่อพระศาสนา
อยู่ได้ ธรรมก็อยู่ได้ แล้วธรรมก็เผยแพร่ออกไป ก็เกิดเป็นประโยชน์
แก่ประชาชน เมื่อประชาชนได้รู้เข้าใจประพฤติปฏิบัติธรรม สังคม
ก็ร่มเย็นเป็นสุข สังคมที่อยู่ได้นี่ก็เพราะยังมีคนประพฤติปฏิบัติ
ธรรม รู้ธรรมกันอยู่บ้าง อย่างน้อยก็ยังพอประคับประคองกันไป
เมื่อโยมนึกว่า ทานที่เราถวายนี้ ให้แก่พระองค์เดียวนี้ มีผล
ไปถึงพระพุทธศาสนาและประชาชนทั่วสังคมทั้งหมดด้วย เมื่อมอง
ด้วยความเข้าใจอย่างนี้ ใจก็ยิ่งปลอดโปร่งกว้างขวาง มีปีติอิ่มใจ
นึกขึ้นมาเมื่อไรก็ยิ่งมีความสุข นี่แหละที่เรียกว่าทิฏฐุชุกรรม เกิด
จากมีปัญญาประกอบเข้ามา บุญก็ยิ่งกว้างขวาง
ยิ่งกว่านั้น ต่อไปมันจะเป็นปัจจัยให้เราเห็นทางทำ บุญที่
ถูกต้องยิ่งขึ้น ว่าทำ บุญอย่างไรจึงจะเกิดประโยชน์เกิดคุณค่ากว้าง
ขวาง โยมก็จะได้ วิไจยทาน คือทานที่เกิดจากการวิจัยขึ้นมาด้วย
คือพิจารณาไตร่ตรองแล้วจึงให้ทาน ทั้งหมดนี้ก็ขอนำ มากล่าวให้
โยมได้ฟัง ในเรื่องวิธีทำ บุญ ซึ่งที่จริงไม่มีที่สิ้นสุด เพราะมีเรื่องที่
ควรทราบอีกมาก แต่เราฟังกันไปทีละน้อยๆ ก็จะเห็นแนวทาง
ปฏิบัติในการทำ บุญมากขึ้นทุกทีๆ
โยมทำ บุญแล้ว พระก็อนุโมทนา
แต่ถ้าโยมทำ บุญเพราะพระชวน อาจจะเสี่ยงต่ออเนสนา
เวลาโยมทำ บุญเสร็จแล้ว พระก็จะอนุโมทนา ที่ว่าอนุโมทนา
ก็คือ แสดงความพลอยยินดีด้วยกับโยมที่ได้ทำ บุญ เพราะโยมทำ ดี
งามถูกต้องแล้ว พระก็ยอมรับหรือแสดงความเห็นชอบ
ในการอนุโมทนานั้นพระก็จะบอกว่า บุญที่ทำ นี้เกิดผลเกิด
อานิสงส์อย่างไร ทานมีผลอย่างไร ศีลมีผลอย่างไร ภาวนามีผลอ
ย่างไร เราเรียกสั้นๆ ว่า “อนุโมทนา” แต่อนุโมทนานี้พระจะพูดเมื่อ
โยมทำ แล้ว ว่าที่โยมทำ จะเกิดผลอย่างนั้นอย่างนี้ มีผลดีทั้งในโลก
นี้และโลกหน้า ดังที่พระพุทธเจ้าก็ได้ตรัสแสดงอานิสงส์ของบุญไว้
หมายความว่า บุญประเภททานก็ดี บุญประเภทศีลก็ดี บุญ
ประเภทภาวนาก็ดี พระองค์ได้แสดงอานิสงส์ไว้
อานิสงส์นั้น พระพุทธเจ้าตรัสเน้นประโยชน์ที่มองเห็นก่อน
แล้วจึงลงท้ายด้วยผลในภพหน้า ว่าตายแล้วไปสวรรค์ เช่นในเรื่อง
ศีล พระพุทธเจ้าก็ได้ตรัสอานิสงส์ของศีล ๕ ว่า
๑. คนที่มีศีล อาศัยความไม่ประมาท จะทำ ให้เกิดโภคะได้
มาก คนไม่มีศีล อย่างคนที่เต็มไปด้วยอบายมุข ย่อมปล่อยชีวิตตก
ตํ่า มัวหมกมุ่นวุ่นวายมัวเมาในเรื่องของสิ่งเหลวไหล จึงไม่เอาใจ
ใส่ ไม่ขยันทำ มาหากิน เรียกว่าตกอยู่ในความประมาท ก็เสื่อม
ทรัพย์อับชีวิต แต่คนที่มีศีล เว้นจากทุจริต เว้นจากอบายมุขและ
เรื่องชั่วช้าเสียหายแล้ว เมื่อมีความไม่ประมาท ก็ขยันหมั่นเพียรทำ
การงาน ใจอยู่กับการประกอบอาชีพ ก็ทำ ให้เกิดโภคะได้มาก
๒. กิตติศัพท์อันดีงามก็ระบือไป คนที่ประพฤติดีมีศีล มี
ความสุจริต คนก็นิยมชมชอบ ยิ่งสังคมปัจจุบันนี้เราถือเป็นสำ คัญ
มากว่า ในบ้านในเมืองนี้ทำ อย่างไรจะหาคนที่มีศีล คือคนสุจริตมา
บริหารบ้านเมือง ถ้าคนไหนมีศีล สุจริต มีความบริสุทธิ์ มีความซื่อ
สัตย์ ก็ได้กิตติศัพท์ดีไปด้านหนึ่ง แต่ไม่ได้หมายความว่าทั้งหมด
อย่างน้อยด้านศีลก็ได้กิตติศัพท์เป็นเครื่องประดับรองรับตัวเองขึ้น
มา เป็นฐานที่สำ คัญ๓. ความมีศีลทำ ให้มีความแกล้วกล้า ถ้าเรามีศีล เป็นคน
ประพฤติซื่อสัตย์สุจริตแล้ว จะเข้าสมาคมไหนก็มีความแกล้วกล้า
ไม่ครั่นคร้าม
๔. เวลาตายก็มีสติ ไม่หลงตาย ต่อจากนั้น
๕. ข้อสุดท้าย ตายแล้วไปเกิดในสวรรค์
อานิสงส์ ๕ ข้อของความมีศีลนี้เป็นตัวอย่าง พระพุทธเจ้า
ทรงแสดงอานิสงส์แบบนี้ พระก็อาจจะเอามาเทศน์ หรือพูดขยาย
ให้โยมฟังว่า ทำ บุญแล้วเกิดผลอะไร มีอานิสงส์อย่างไร ก็ทำ ให้
โยมมีจิตใจชื่นบานผ่องใส บุญก็จะมากขึ้น เพราะเกิดความเข้าใจ
มีปัญญาประกอบด้วย
แต่ถ้าพระไปพูดก่อน คือไปพูดให้โยมทำ บุญ โดยชวนว่า
โยมทำ โน่นทำ นั่นที่นี่แล้วจะได้ผลมากมายอย่างนี้ ๆ ชักเข้าหาตัว
ก็กลับตรงกันข้าม คือ ถ้าโยมทำ บุญก่อน แล้วพระพูดถึงผลดีที
หลัง นี่เป็น อนุโมทนา แต่ถ้าพระพูดก่อนเพื่อให้โยมถวาย ก็กลาย
เป็นเสี่ยงต่อ อเนสนา
“อเนสนา” แปลว่าการแสวงหาลาภหรือหาเลี้ยงชีพโดยทาง
ไม่ถูกต้อง ทางพระถือว่าเป็นมิจฉาชีพ คำ ว่ามิจฉาชีพนี่ใช้ได้ทั้งพระ
ทั้งคฤหัสถ์ แต่สำ หรับพระ มิจฉาชีพก็ได้แก่การ กระทำ จำ พวกที่
เรียกว่า อเนสนา เช่น พูดล่อ พูดจูง หรือเลียบเคียงให้โยมมาถวาย
ของหรือบริจาคอะไร อย่างนี้เสี่ยงมาก เพราะฉะนั้นก็ใช้คำ สั้นๆ ว่า
ถ้าพูดทีหลัง เป็นอนุโมทนา แต่ถ้าพูดก่อน เสี่ยงต่ออเนสนา ตาม
ปกตินั้น พระได้แต่อนุโมทนาเมื่อโยมทำ บุญแล้ว อันนี้โยมควร
ทราบไว้
ทำ บุญ ทำ ที่ไหนก็ได้
ไม่ว่าทำ อะไร ถ้าทำ เป็น ก็ได้บุญ
เวลาทำ บุญ เราสามารถทำ ทั้ง ๓ อย่างพร้อมกันอย่างที่ว่า
แล้ว ซึ่งก็ควรจะเป็นอย่างนั้น ไม่ใช่ว่าต้องทำ เฉพาะทานหรือเฉพาะ
ศีล หรือเฉพาะภาวนา ควรทำ ทีเดียวพร้อม ๓ อย่างเลย อย่างที่ยํ้า
ไว้ตั้งแต่ต้นแล้วว่า โยมมาถวายทานที่วัด อย่าให้ได้แต่ทานอย่าง
เดียว ต้องให้ได้ศีลได้ภาวนาด้วยพร้อมกันหมด เราจึงจะพูดได้เต็ม
ปากว่า “ทำ บุญ” มิฉะนั้นเราก็ได้แค่ส่วนหนึ่งของบุญคือทานเท่านั้น
ไม่ว่าทำ อะไรก็ทำ บุญ ๓ อย่างได้พร้อมกัน ไม่เฉพาะไป
ถวายทานที่วัด แม้แต่ในการประกอบการงานท่านยังอธิบายไว้เลย
ว่า อาชีพการงานทั้งหลายที่ญาติโยมทำ กันนี้ ก็ทำ บุญไปด้วยกัน
พร้อมทั้ง ๓ อย่างได้ เช่น ในการทำ อาชีพการงานนั้น พอได้เงิน
โยมก็คิดตั้งใจขึ้นมาว่า โอ..นี่เราได้ทรัพย์เพิ่มขึ้นแล้ว เราจะเอาทรัพย์
นี้ส่วนหนึ่ง ไปให้ทาน ทำ บุญกุศล ช่วยเหลือเผื่อแผ่แก่เพื่อนมนุษย์
ทำ ให้เป็นประโยชน์ขึ้นมา พอคิดอย่างนี้จิตใจดีงามผ่องใส ท่าน
เรียกว่า ทานเจตนาเกิดขึ้น ขณะทำ อาชีพอยู่นั้นก็ได้ทำ ทานไปด้วย
เวลาทำ การงานนั้น ทำ ด้วยความตั้งใจให้เป็นไปโดยสุจริต
ทำ งานของเราให้ตรงต่อหน้าที่ของอาชีพ ให้ถูกต้องตามจรรยา-
บรรณ ทำ ด้วยความตั้งใจตรงตามหน้าที่ของตน โดยสัตย์สุจริต
เวลานั้นก็เรียกว่าได้รักษาศีล
เวลาทำ งานนั้น ฝึกใจของตัวเองไปด้วย มีความเพียร
พยายาม มีสมาธิ ทำ จิตใจของเราให้สงบ ให้มีสติ แม้จะมีอารมณ์
กระทบกระทั่งเข้ามารบกวน ก็ฝึกใจให้สงบมั่นคงได้ รักษาเมตตา
ไมตรี และความมีใจผ่องใสเอาไว้ อย่างนี้ก็เรียกว่าได้ทำ ภาวนาไป
ในตัว ภาวนาอย่างนี้เป็นส่วนจิต
สูงขึ้นไปอีก ยังสามารถทำ ภาวนาในส่วนปัญญาด้วย คือ
ทำ งานด้วยวิจารณญาณ พิจารณาไตร่ตรองเหตุผลที่จะให้ได้ผลดี
ว่าทำ งานอย่างไรจึงจะเกิดประโยชน์ที่แท้จริง
สูงขึ้นไปอีก ในภาวนาส่วนปัญญานั้น เมื่อทำ งานไป มอง
เห็นความเปลี่ยนแปลงเป็นไป ของเหตุการณ์ก็ดี ของผู้้คนที่พบ
เห็นเกี่ยวข้องก็ดี รู้จักพิจารณา รู้จักมนสิการ ก็เกิดความรู้ความ
เข้าใจโลกและชีวิตนี้มากขึ้น มองโลกด้วยความเข้าใจรู้เท่าทัน และ
วางท่าทีได้ถูกต้อง
ยกตัวอย่าง เช่นคุณหมอต้องสัมพันธ์กับคนไข้ มองคนไข้
คนโน้นเป็นอย่างนั้น คนนี้เป็นอย่างนี้ คนนั้นหน้าบึ้งคนนี้หน้ายิ้ม
คนนี้พูดไปแล้วเข้าใจดี คนนี้พูดไปแล้วไม่เอาไหน คนนั้นกำ ลังใจ
เข้มแข็งดี คนนี้ไม่มีกำ ลังใจ เราก็ได้รู้เห็นชีวิตและอาการของผู้้คน
ที่เป็นไปต่างๆ
เมื่อรู้จักมอง คือมองเป็นประสบการณ์ที่เราได้มีโอกาสพบ
เห็น ไม่มองในแง่เป็นอารมณ์ที่มากระทบตัวตน ก็เกิดความเข้าใจ
โลกและชีวิตตามความเป็นจริง ว่าโลกนี้เป็นอย่างนี้ ชีวิตเป็นอย่าง
นี้ ในจิตใจแทนที่จะเกิดความรู้สึกไม่ดี ก็เกิดปัญญา ทำ ให้วางใจ
ถูกต้องต่อสิ่งทั้งหลาย ได้ปัญญาภาวนาอีก
อย่างเป็นผู้สื่อข่าวนี่ก็ชัด เมื่อมาที่วัดหรือไปหาข่าวที่ไหน
๑. ทำ ด้วยความตั้งใจว่าเราจะเผยแพร่ข่าวสาร คือให้ข่าว
สารหรือให้ความรู้ที่เป็นประโยชน์แก่ประชาชน เมื่อตั้งใจดีอย่างนี้
ก็เป็นทาน คือไม่ใช่คิดแต่เพียงว่าเราจะมาทำ อาชีพของเรา วันนี้
จะได้เงินเท่าไร ทำ อย่างไรจะได้เงินมากๆ ถ้าคิดแบบนั้นอย่างเดียว
บุญก็ไม่เกิด แต่ในเวลาทำ งาน ถ้าเรามีจิตใจเกื้อกูล หวังดีต่อผู้อื่น
โดยตั้งใจว่า เราจะหาข่าวสารให้เป็นประโยชน์แก่ประชาชน ที่จะ
ได้รู้ข้อมูลมีปัญญามากขึ้น เมื่อตั้งใจอย่างนี้ ข้อ ๑ คือทานมาแล้ว
๒. ทำ หน้าที่ของเราโดยซื่อสัตย์สุจริต เราจะลงข่าวให้ถูก
ต้อง ให้ตรงตามความเป็นจริง ไม่ให้มีการบิดเบือน ไม่ให้ผิดพลาด
จะทำ โดยสุจริต นี่ศีลมาแล้ว
๓. ต่อไป เวลาเราไปทำ ข่าวนี่อาจจะมีการกระทบกระทั่ง
คนฝ่ายนั้นฝ่ายนี้อาจจะไม่พอใจ แต่ไม่ว่าจะมีอะไรกระทบกระทั่ง
มา เราจะฝึกใจของเราให้มั่นคง ไม่วู่วาม ถ้าเราฝึกจิตใจของเราให้
เข้มแข็งมั่นคงได้ รับกระทบได้ทุกอย่าง สามารถตั้งตัวอยู่ในสติที่
มั่นคง ดำ รงกิริยาอาการที่ดีไว้ได้ นี่เราได้แล้วนะ ภาวนาด้านจิต
ส่วนปัญญาภาวนานั้นแน่นอน อาชีพของเราเกี่ยวกับข้อ
มูลความรู้และการใช้ปัญญา เราจะพยายามทำ ข่าวสารของเรา ให้
เป็นไปด้วยวิจารณญาน เลือกประเด็นจับประเด็นให้ถูกต้อง สื่อ
ออกไปให้เกิดประโยชน์ได้อย่างแท้จริง ยิ่งใช้ปัญญาเท่าไรก็เกิด
ประโยชน์มากเท่านั้น นี่ก็ได้ภาวนาด้านปัญญา
แต่ปัญญาภาวนาอย่างสำ คัญที่ผู้สื่อข่าวมีโอกาสจะได้
มาก ดูเหมือนจะมีโอกาสมากกว่าคนอื่นๆ ก็คือนักข่าวนั้น ได้พบ
เห็นผู้คนมากมาย ต่างพวก ต่างหมู่ ทุกชั้น ทุกเพศ ทุกวัย ทุก
อาชีพ มีนิสัยใจคอต่างๆ กัน พฤติกรรมต่างๆ กัน มีความดีความ
ชั่วไม่เหมือนกัน ความคิดเห็นก็ต่างๆ กัน และเหตุการณ์ก็แปลกๆ
มากมาย ซึ่งถ้ารู้จักไตร่ตรองพิจารณามองด้วยท่าทีที่ถูกต้อง ก็จะ
ทำ ให้เข้าใจผู้คน ทำ ให้มองเห็นความจริงของโลกและชีวิต แล้วก็
ทำ ให้สามารถวางใจต่อสิ่งต่างๆ ได้ดี จิตใจจะโปร่งโล่งเป็นอิสระ
ซึ่งจะเป็นประโยชน์ทั้งแก่ชีวิตของตนเอง และเป็นประโยชน์ต่อการ
ปฏิบัติหน้าที่ด้วย
ตามที่ว่ามานี้ ผู้สื่อข่าวจึงได้ทำ ทั้งทานทั้งศีลและภาวนา
เป็นอันว่า ที่พระท่านพูดไว้ ทางที่จะให้ทานมีเยอะ เรื่อง
บุญก็มากมายครอบคลุมไปหมด รวมทั้งคำ ว่า “คุณภาพชีวิต” ก็
อยู่ในบุญหมด คนโบราณจึงไม่ต้องหาคำ อะไรมาพูด เขาใช้คำ
เดียวว่า “บุญ” ก็จบเลย เพราะมันคลุมหมดทุกอย่าง ฉะนั้นข้อ
สำ คัญอยู่ที่พวกเราเองอย่าไปทำ ให้มันแคบ เวลานี้คำ ว่าบุญมี
ความหมายแคบลงเหลือนิดเดียว และตอนนี้เมื่อทำ ด้วยปัญญา มี
ความเข้าใจ ความหมายของบุญก็จะเพิ่มพูนสมบูรณ์ยิ่งขึ้น
ศึกษาบุญไป ให้ปุญญะกับปัญญามาบรรจบกัน
ก็จะมีผลสมบูรณ์ กลายเป็นบุญอย่างสูงสุด
พูดมายืดยาวแล้ว ควรจะจบได้ ขอยํ้าข้อสุดท้ายที่ว่า
ทิฏฐุชุกรรมควรให้มีประกอบกับการทำ บุญทุกครั้ง เพราะมันเข้าได้
ทุกข้อ เริ่มแต่ทำ บุญข้อทานเราก็มีทิฏฐุชุกรรม เช่นถามตัวเองว่า
เรามีความเห็นถูกต้องไหมในการทำ บุญ เราเข้าใจถูกต้องไหม
อย่างน้อยรู้ว่าการทำ ทานมีความมุ่งหมายเพื่ออะไร พระพุทธเจ้า
สอนให้เรารู้ว่า ถ้าเราจะถวายสังฆทาน คุณค่าประโยชน์จุดมุ่ง
หมายของมันอยู่ที่ไหน เมื่อพิจารณาอย่างนี้
๑. ใจของเราจะกว้างขึ้น และบุญก็เพิ่มขึ้น
๒. เราจะพัฒนา จะไม่จมติดอยู่แค่เดิม
เป็นอันว่า ทิฏฐุชุกรรมนี้ เป็นเรื่องใหญ่เรื่องหนึ่ง วันนี้นำ มา
พูดเป็นเค้าไว้ให้โยมทราบว่า ต้องพยายามให้ประกอบกับการทำ
บุญทุกอย่าง ให้เป็นการกระทำ ที่มีความเข้าใจรู้เห็นถูกต้อง แล้วก็
ปรับทิฐิของเราอยู่เสมอ การที่จะปรับทิฐิได้ถูกต้องก็คือต้องเรียนรู้
อยู่เสมอ ต้องฟังต้องอ่านธรรมอยู่เสมอ
ขอพูดเพิ่มอีกนิดหนึ่งสั้นๆว่า บุญนี้ท่านยังแบ่งอีกว่า มี ๒
ประเภท คือโอปธิกบุญ กับ นิรูปธิบุญ หรืออโนปธิกบุญ
โอปธิกบุญ แปลว่า บุญที่ยังมีอุปธิ ยังก่อให้เกิดขันธ์ หมาย
ความว่าเป็นบุญของคนที่อยู่ในโลก ซึ่งจิตใจยังหวังผลอย่างนั้น
อยา่ งนอี้ ยู ่ ยังเปน็ บุญทรี่ ะคนดว้ ยกิเลส ทา่ นยอมใหส้ ำ หรับญาติโยม
แต่ท่านเตือนไว้อย่าลืมว่าเราจะต้องเดินหน้าต่อ เพื่อไปให้
ถึงอโนปธิกบุญ คือบุญที่ไม่ประกอบด้วยอุปธิ อันเป็นบุญที่บริสุทธิ์
เกิดจากเจตนาที่ไม่มีกิเลส มีความผ่องใส ทำ ด้วยจิตใจบริสุทธิ์
จริงๆ ตรงตามความมุ่งหมาย คือทำ เพื่อความมุ่งหมายของบุญนั้น
แท้ๆ ไม่มีโลภะ ไม่มีโทสะ ไม่มีโมหะ
แต่การที่จะฝึกให้ไม่มีโมหะนี้ ต้องทำ ไปเรื่อยๆ อย่าหยุดก็แล้ว
กัน ขอให้เดินหน้าไป แล้วก็จะถึงบุญที่จะทำ ให้เราหมดอุปธินี้แน่นอน
บุญตัวสำ คัญก็คือปัญญา บุญแปลว่าชำ ระจิตใจให้บริสุทธิ์
แต่บุญจะชำ ระจิตใจได้จริงก็ต้องมาถึงขั้นปัญญา จึงจะชำ ระด้วย
วิปัสสนาให้สะอาดได้จริง ฉะนั้น บุญจึงรวมคำ ว่าปัญญาอยู่ด้วย
และบุญขั้นสูงสุดก็จึงมาถึงปัญญา มาเป็นปัญญา ในที่สุดปุญญะ


Create Date : 01 สิงหาคม 2553
Last Update : 1 สิงหาคม 2553 12:48:39 น. 1 comments
Counter : 363 Pageviews.  
 
 
 
 
เอามาให้อ่านกันครับ มีประโยชน์มากๆครับได้ความรู้ด้วยครับ
 
 

โดย: เอ็ม (ถนอมครับ ) วันที่: 1 สิงหาคม 2553 เวลา:12:19:20 น.  

Name
Opinion
*ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก

ถนอมครับ
 
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]














ยินดีต้อนรับทุกท่านที่มาเยี่ยมชม
[Add ถนอมครับ's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com