|
| 1 | 2 | 3 |
4 | 5 | 6 | 7 | 8 | 9 | 10 |
11 | 12 | 13 | 14 | 15 | 16 | 17 |
18 | 19 | 20 | 21 | 22 | 23 | 24 |
25 | 26 | 27 | 28 | 29 | 30 | |
|
|
|
|
|
|
|
ลูกสาวโทรมาบอกว่า หนูสอบได้ที่หนึ่ง
บ่ายวันอาทิตย์ (4 พย.50) ลูกสาวโทรมาบอกว่า "พ่อ พ่อ หนูมีอะไรจะบอก" "เรื่องอะไรลูก" ผมถามด้วยความสนใจ "หนูสอบได้ที่หนึ่ง" น้ำเสียงแสดงถึงความดีใจ "โอ้โห..ลูกพ่อเก่งจัง ลูกสาวพ่อเนี่ย...เก่งจริงจิ๊ง...." ผมเองก็ดีใจไปกับเขาด้วย
เมื่อวันที่ 1 พย. ที่ผ่านมา จะเป็นวันเปิดเทอมของโรงเรียนส่วนใหญ่ ซึ่งโรงเรียนของลูกสาวก็เช่นกัน วันนั้นผมตั้งใจว่า จะโทรไปคุยกับลูกสาวในตอนเย็น แต่กว่าที่ผมจะได้โทร ก็ปาเข้าไปร่วมสองทุ่มแล้ว แม่เค้าเป็นคนรับสาย "หลับไปแล้วเมื่อกี้เอง วันนี้เข้านอนแต่หัวค่ำ" ผมก็เลยบอกว่า แล้วจะโทรมาใหม่ก็แล้วกัน
รุ่งขึ้น ผมก็ยังยุ่งๆ ทั้งวัน พอเริ่มว่าง ก็มืดค่ำแล้วทุกที ก็เลยยังไม่ได้โทรไปหา จนเมื่อวันอาทิตย์ ผมโทรไปตอนกลางวัน "ไม่อยู่ ไปบ้านป้ามัท วันนี้ป้ามัทเขาผัดมักกะโรนี ก็เลยชวนกันไป" พี่ขวัญบอกผม "เดี๋ยวกลับมาเมื่อไหร่ จะให้โทรไปนะ"
ผมก็เลยอาบน้ำแต่งตัว ตั้งใจจะไปเดินดูงานคอมมาร์ท ซึ่งวันนี้เป็นวันสุดท้าย ที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิตติ์ โดยขับรถไปไว้ที่อาคารจอดรถ สถานีศูนย์วัฒนธรรม แล้วไปรถไฟใต้ดิน ระหว่างที่กำลังจอดรถ ลูกสาวก็โทรเข้ามา ผมตัดสายทิ้งแล้วโทรกลับ
ทันทีที่รับสาย "พ่อ พ่อ หนูมีอะไรจะบอก" "เรื่องอะไรลูก" ผมถามด้วยความสนใจ "หนูสอบได้ที่หนึ่ง" น้ำเสียงแสดงถึงความดีใจ "โอ้โห..ลูกพ่อเก่งจัง ลูกสาวพ่อเนี่ย...เก่งจริงจิ๊ง...." ผมเองก็ดีใจไปกับเขาด้วย "นี่แหละลูก เด็กที่ขยันและตั้งใจเรียน ก็จะสอบได้ที่หนึ่ง" ผมเดาได้ว่า ลูกสาวกำลังทำหน้าเขินๆ เพราะว่ามีคนชมเขา เขาเพียงตอบมาสั้นๆ ว่า "จ้ะ"
"แล้วเพื่อนๆ ในห้องปรบมือให้หนูมั๊ย" ผมถาม "เปล่าจ้ะ" "อ้าว..คุณครูเขาไม่ได้ประกาศหน้าห้องเหรอลูก" ผมถาม เพราะคิดว่าเหตุการณ์แบบนี้ คุณครูประจำชั้น ป.1 ไม่น่าพลาด สมัยที่ผมเป็นเด็ก ผมก็เคยเจอเหตุการณ์เช่นนี้มาก่อน "เปล่าจ้ะ คุณครูเขาแค่บอกว่า หนูได้ที่หนึ่ง แค่นั้น"
"แล้วพ่อเปี๊ยกกับแม่ขวัญ ว่าอย่างไรบ้าง" "ก็บอกว่าเก่ง..." เธอพูดเขินๆ "พ่อเปี๊ยกยังไม่ได้พูด แต่แม่บอกว่าเก่ง" "อืม..มีใครให้รางวัลคนเรียนเก่งหรือยังลูก" ผมถามต่อ "ไม่มี" ลูกสาวตอบเสียงเรียบๆ "เอาอย่างนี้....พ่อแว่นจะให้รางวัลหนึ่งอย่าง หนูอยากได้อะไรลูก อะไรก็ได้" "อยากได้...อะไรดีล่ะ.." พูดเหมือนยังคิดไม่ออก แต่น้ำเสียงดีใจเชียวล่ะ "ถ้ายังคิดไม่ออก ก็ไปคิดก่อน แล้ววันหลังโทรบอกพ่อ" "คิดเลยได้มั๊ย?" สงสัยกลัวผมจะเปลี่ยนใจมั้ง "ก็ถ้าคิดได้เลย ก็บอกพ่อมาเลย" "หนูอยากได้.....อืม.." พูดซ้ำไปมาอยู่ครู่หนึ่ง
ในใจผมก็คิดว่า ลูกสาวคงจะขอของเล่น หรือตุ๊กตาบาร์บี้ พร้อมเครื่องแต่งตัว ประมาณนี้แหละ เพราะเขาเคยขอผม แต่ตอนนี้หัวขาดแขนหลุดหมดแล้ว
และทันทีที่ได้ยินคำตอบ ผมยิ้มแก้มปริ รู้สึกปลื้มใจกับคำตอบนี้มากๆ มันผิดคาดครับ ผมนึกว่าเด็กตัวเล็กๆ คนนี้ จะขอขนม หรือขอของเล่นเป็นรางวัล คุณเดาออกหรือไม่ว่า ลูกสาวผมขออะไร?
"หนูอยากได้...หนังสือเอาไว้หัดอ่าน" โอ้ว...ไม่เสียแรงที่ปลูกฝังเขาให้รักการอ่านมาตั้งแต่ยังอ่านหนังสือไม่ออก คือเวลาที่ผมพาเขาไปเที่ยวห้าง ก็มักจะพาเข้าร้านหนังสือเสมอ ตอนเล็กๆ ก็จะซื้อพวกหนังสือ หัดวาด หัดเขียน ให้เขาอยู่บ่อยๆ ซึ่งเขาก็ชอบมาก
"...หนังสือที่พ่อซื้อให้ หนูอ่านได้หมดแล้ว พี่มิ้มสอนหนูอ่านหมดแล้ว" "หนูจะให้พ่อซื้อไปให้ หรือจะรอพ่อพาไปซื้อ" ผมถาม "พ่อซื้อมาเลยดีกว่า เอาเรื่องสนุกๆ นะ" เธอย้ำ
หลังจากนั้น ก็พูดคุยในเรื่องทั่วๆ ไป เช่น ทำการบ้านหรือยัง อากาศหนาวหรือยัง ถุงเท้ารองเท้ายังใส่ได้มั๊ย อะไรเหล่านี้เป็นต้น แล้วก็จบการสนทนาด้วยคำเฉพาะระหว่างเรา "พ่อรักลูกนะ" ผมจะพูดก่อน "หนูก็รักพ่อจ้ะ" แล้วก็จะวางสาย
จากนั้น ผมไปเดินดูงานคอมมาร์ท เผื่อว่าจะมีใครไม่อยากขนสินค้ากลับ ผมจะช่วยขนให้ (พูดง่ายๆ คือ ไปดูของเลหลังนั่นเอง) นอกจากนั้น ผมยังรับปาก "คุณคนควน" ว่าจะไปสืบราคาฮาร์ดดิสค์ให้ เห็นว่าจะเอามาเป็น External Box ผมก็ดูอยู่หลายร้าน กะว่าจะหาคนขายฮาร์ดดิสค์มาฝากคุณคนควนด้วย แต่ดูๆ แล้ว ไม่เข้าตากรรมการเลย ฮ่าๆๆๆ
ที่ชั้นใต้ดิน บริเวณศูนย์อาหาร เห็นมีร้านหนังสือแห่งหนึ่ง ชื่อว่า "ศูนย์ส่งเสริมการอ่าน" มีเด็กๆ ไปนั่งอ่านหนังสือเต็มหน้าร้านเลย ผมก็ไปเดินดูเห็นมีหนังสือเด็กเยอะเชียว ก็เลยเลือกมาเล่มนึง กระดาษดี ภาพสีสวยงาม "101 เรื่องเอก นิทานอีสป" เนื้อหาแต่ละเรื่อง ไม่สั้น ไม่ยาว จนเกินไป เด็กอ่านได้ ก็ตัดสินใจเอาเล่มนี้ เป็นของขวัญให้ลูกสาว
เหลือแต่ว่า.. แล้วผมจะว่างขึ้นไปนครสวรรค์เมื่อไหร่เนี่ย?
อ่านมาถึงตรงนี้ หลายท่านคงมีความสงสัยว่า มันเกิดอะไรในครอบครัวผมหรือเปล่า ทำไมผมกับลูกสาวถึงไม่ได้อยู่ด้วยกัน ใครคือ "พ่อเปี๊ยก", "แม่ขวัญ", "แม่เค้า", หรือ "พ่อแว่น" เฉลยกันเลยก็แล้วกัน
ที่จริงแล้ว ลูกสาวคนนี้ เป็นหลานผมเอง เขาเกิดตอนที่พ่อแม่เขา (พี่เปี๊ยกกับพี่ขวัญ) มาทำงานอยู่กรุงเทพฯ ซึ่งก็พักอยู่ที่บ้านผมหลายปี ผมกับเจ้าตัวเล็กนี่ คลุกคลีกันมาตั้งแต่เขาเกิดเลย ช่วยอุ้ม ช่วยเลี้ยง หัดเดิน หัดพูด ไปไหนมาไหน ผมก็จะกระเตงเขาไปด้วย ตั้งแต่เล็กจนอายุถึงวัยเข้าเรียน ผมเรียกตัวเองว่า "พ่อ" เวลาคุยกับเขา ก็มันเป็นความรู้สึกที่รักเขาเหมือนลูกจริงๆ และด้วยความที่ผมใส่แว่นตา ใครไม่รู้..ไปสอนให้ห้อยท้ายคำว่า "แว่น" ลงไปด้วย ก็เรียกว่า "พ่อแว่น" มาจนทุกวันนี้
ผมยังจำวันนั้นได้ดี วันที่พี่เปี๊ยกกับพี่ขวัญ จะย้ายกลับไปนครสวรรค์ เพราะถึงเวลาที่ลูกจะต้องเข้าเรียนแล้ว ก็เลยอยากกลับไปอยู่บ้านที่นครสวรรค์ ตอนเช้าวันนั้น หลังจากที่ขนของขึ้นรถบรรทุกเสร็จแล้ว กำลังจะออกเดินทาง ลูกสาวร้องไห้ กอดคอผมแน่น ใครแกะอย่างไรก็ไม่ออก
"หนูไม่ไป หนูรักพ่อแว่น หนูจะอยู่กับพ่อแว่น" ร้องเสียงดังไปทั้งซอย
ผมฟังคำพูดที่ออกจากปากลูกสาว น้ำตาไหลพรากเลย ไม่รู้มาจากไหน มันตื้นตันใจ ผมกอดลูกอยู่นาน จนเห็นว่าจะทำให้พี่เค้าเสียเวลา พี่เปี๊ยกกับพี่ขวัญ พยายามมาแกะมือลูกจากคอผม ใจผมเองก็ไม่อยากจากลูกเหมือนกัน
ผมคลายมือจากการกอด เพื่อให้พ่อแม่เค้าแกะมือของลูก ออกจากคอผมได้สะดวก (แต่ผมไม่ช่วยแกะ) ลูกสาวยิ่งกอดแน่นขึ้น ปากก็ร้องไห้เสียงดัง
"หนูไม่ไป หนูจะอยู่กับพ่อแว่น"
แรงเด็กหรือจะสู้แรงผู้ใหญ่ ที่สุดแล้วพี่ขวัญก็แกะเอาลูกไปจนได้ แต่ก็ยังดิ้นและร้องไห้ไม่หยุด ผมมองดูรถขนของที่ค่อยๆ เคลื่อนตัวออกไป น้ำตายังเอ่อเต็มสองข้าง คงเป็นเพราะความผูกพันน่ะครับ ก็อยู่กันมาตั้งแต่เกิด จนจะเข้าโรงเรียน ก็หลายปีนะ ชื่อเล่นของเขาผมก็เป็นคนตั้ง (ที่จริงแม่เค้าก็ตั้งชื่อเล่นให้นะ แต่ชื่อที่ผมเรียก จะเรียกบ่อยกว่า จนกลายเป็นชื่อเล่นจริงๆ มาจนทุกวันนี้)
สักพักหนึ่ง พี่เปี๊ยกโทรเข้ามา บอกว่าจอดอยู่ที่หน้าปากซอย ลูกสาวร้องและดิ้นไม่หยุดเลย ผมไม่รอช้า รีบขับรถตามออกไป เห็นรถขนของจอดอยู่ที่ถนนใหญ่หน้าปากซอย ผมไปจอดด้านหน้ารถขนของ
ทันทีที่ผมลงจากรถ ลูกสาวแทบจะกระโจนมาหา เราสองคนพ่อลูกกอดกันกลมเลย
"หนูต้องไปเรียนหนังสือนะ พ่อเปี๊ยกไปสมัครเรียนให้แล้วนะลูก" ผมก็พยายามหว่านล้อม "แล้วพ่อจะไปหาหนูบ่อยๆ" แต่ก็ไม่เป็นผล ลูกสาวยังยืนกรานว่า จะไม่กลับ จะอยู่กับผม
ผมเองเห็นลูกร้องไห้ ก็อดสงสารลูกไม่ได้ จึงบอกพี่เปี๊ยกว่า ให้กลับไปก่อน เดี๋ยวผมจะตามไป ขออยู่กับลูกอีกสักพักหนึ่ง แล้วจะพาไปส่งเอง ระหว่างทางอาจจะแวะเที่ยวโน่นบ้างนี่บ้าง คงจะไปถึงสักบ่ายๆ เย็นๆ โน่นแหละ พอตกลงกันได้ดังนี้ ลูกสาวก็หยุดร้องไห้
วันนั้น ผมก็ขับรถตามไปส่งลูกถึงนครสวรรค์ ระหว่างทางก็พาเดินห้างซื้อของบ้าง และพาไปแวะเที่ยวสวนสัตว์ที่ลพบุรี ไปถึงบ้านเกือบเย็น ปล่อยให้เขาวิ่งเล่นกับหลานๆ คนอื่นๆ ที่บ้าน จนเริ่มคุ้น เริ่มชิน ก็ได้เวลาร่ำลา
ผมดึงลูกเข้ามากอด สั่งเสียกันนิดหน่อย ให้เป็นเด็กดี ตั้งใจเรียน ก็ตาแดงๆ ด้วยกันทั้งคู่ แต่คราวนี้ไม่ร้องไห้แล้ว ผมส่งลูกสาวคืนให้แม่เค้า ร่ำลาญาติพี่น้อง แล้วขับรถออกมาด้วยใจที่เศร้าซึมมาตลอดทาง
Create Date : 06 พฤศจิกายน 2550 |
|
15 comments |
Last Update : 6 มกราคม 2552 10:43:28 น. |
Counter : 1289 Pageviews. |
|
|
|
|
| |
โดย: nukoyky (nukoyky ) 7 พฤศจิกายน 2550 18:37:15 น. |
|
|
|
| |
โดย: คนควน IP: 222.123.91.205 7 พฤศจิกายน 2550 21:53:37 น. |
|
|
|
| |
โดย: mitrapap 10 พฤศจิกายน 2550 12:44:52 น. |
|
|
|
| |
โดย: orangeza (orange21 ) 15 พฤศจิกายน 2550 11:09:44 น. |
|
|
|
| |
โดย: เราสองคน (ฝากเธอ ) 17 พฤศจิกายน 2550 21:27:31 น. |
|
|
|
| |
โดย: ฝากเธอ 17 พฤศจิกายน 2550 21:36:10 น. |
|
|
|
| |
โดย: Opey 2 พฤษภาคม 2551 9:55:55 น. |
|
|
|
| |
โดย: John13 IP: 61.245.57.135 29 มิถุนายน 2551 2:07:10 น. |
|
|
|
| |
โดย: kai (aitai ) 25 ตุลาคม 2551 9:27:31 น. |
|
|
|
| |
โดย: ann IP: 202.29.64.75 25 ธันวาคม 2551 19:48:15 น. |
|
|
|
|
|
|
|
Location :
กรุงเทพฯ Thailand
[ดู Profile ทั้งหมด]
|
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember ผู้ติดตามบล็อก : 112 คน [?]
|
เนื้อหาบทความ ภาพประกอบ ไฟล์ตัวอย่าง ทั้งหมดใน blog นี้ "สงวนลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พุทธศักราช ๒๕๓๗" อนุญาตให้นำไปเผยแพร่ได้ โดยต้องระบุแหล่งที่มาของเนื้อหาให้ชัดเจน เพื่อแสดงถึงการรับรู้ในความเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ ทั้งนี้ไม่อนุญาตในการนำไปใช้เพื่อการแสวงหาผลกำไรทางธุรกิจ โดยไม่ได้รับความยินยอมเป็นลายลักษณ์อักษร
|
|
|
|
MSN : ysamroeng@hotmail.com |
|
กิตติกรรมประกาศ
ผมใช้คอมพิวเตอร์ครั้งแรก โดยมีหนังสือชื่อ "เรียน DBASE III PLUS ด้วยตนเอง" ของ พ.ต.ประพัฒน์ อุทโยภาศ เป็นเสมือนอาจารย์ และมี บร.โรเบิร์ต ปาแนสโต (ซดบ.) เป็นผู้ให้โอกาส และ้คำแนะนำ ถือเป็นก้าวแรก ที่้ผมจับคอมพิวเตอร์ และสนใจเรียนรู้ มาตั้งแต่วันนั้น นอกจากเรื่อง "การเขียนโปรแกรมด้วย Clipper" แล้ว ผมไม่เคย ไปเรียนคอมพิวเตอร์ จากสถาบันใด อาศัยที่เป็น คนชอบอ่านหนังสือ และซื้อหนังสือเยอะมาก บวกกับลงทุน ซื้อเครื่องไว้ใช้งานเอง (เครื่องแรก Intel 386DX-40) จึงได้ฝึกฝน เรียนรู้ ต่อเนื่องมาจนทุกวันนี้ |
มีของมาขาย
1. หนังสือ "Excel for HR"
การใช้ไมโครซอฟต์เอ็กเซล ในงาน HR แบบมืออาชีพ พิมพ์ครั้งที่ 2 เป็นหนังสือที่เก็บเกี่ยวประสบการณ์ จากงานจริงๆ มาเป็นวัตถุดิบ เป็นหนังสือคอมพิวเตอร์เล่มแรก ที่เขียนขึ้นมาเพื่อ นักบริการทรัพยากรมนุษย์ (HR) โดยเฉพาะ เป็นตัวอย่างของการใช้โปรแกรม MS Excel ในงานประจำวันของ HR หาซื้อได้ที่ ร้านซีเอ็ดบุ๊ค ทุกสาขา, HR Center, ศูนย์หนังสือ สสท., ศูนย์หนังสือจุฬา, Thailand Book Tower, B2S เป็นต้น หรือสั่งซื้อโดยตรงได้ที่ 02-347-1066, 081-423-9828 ราคาเล่มละ 200 บาท จัดส่งฟรี
2. CD รวมไฟล์ตัวอย่าง Excel จากงานจริง
มีไฟล์ตัวอย่างมากที่สุด สามารถนำไปใช้งานได้ทันที หรือใช้ศึกษาเทคนิคการเขียนสูตร Excel อัพเดตใหม่ทุกสัปดาห์ ของแท้ไม่มีวางจำหน่ายที่ไหน สนใจสั่งซื้อโดยตรงที่ 02-347-1066, 081-423-9828 ราคาแผ่นละ 200 บาท ค่าจัดส่งฟรี หมายเหตุ : ปัจจุบันมีจำหน่ายทั้งสิ้น 3 ชุด ดูรายละเอียดเพิ่มเติมที่ https://sites.google.com/site/excel4hr/product |
|
กิจกรรมของพวกเราที่ผ่านมา
| |
รูปภาพหรือข้อความแสดงความเห็น เกิดจากการแสดงความคิดเห็นโดยอิสระ ของบุคคลทั่วไป และถูกส่งขึ้นแสดงในหน้า blog โดยอัตโนมัติ เจ้าของ blog มิได้มีส่วนรู้เห็น หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น อีกทั้งไม่จำเป็นต้องร่วมรับผิดชอบ ต่อทุกความคิดเห็นใดๆ |
|
|
|
|
|
|
|
|
อ่านแล้วคิดถึงลูกสาวเลยค่ะ ช่างฉอเลาะแบบนี้เหมือนกัน