Group Blog
 
<<
มิถุนายน 2560
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
252627282930 
 
30 มิถุนายน 2560
 
All Blogs
 
เวลา...ที่หยุดเดิน



  สวัสดีครับเรื่องที่จะมาเล่าในวันนี้อาจไม่ใช่เรื่องผีที่สยองขวัญหรือว่าน่ากลัวสักเท่าไหร่ แต่ก็คงจะไม่น่าเบื่อสำหรับใครหลายๆคนนะครับ อย่างไรก็ตามโปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน หากไม่ถูกจริตของท่านก็ขอให้อ่านเพียงเพื่อความบันเทิงเท่านั้น เพราะทั้งหมดนี้คือเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับ ความเชื่อส่วนบุคคล
         อย่างที่ผมได้เคยเล่าไว้ในหลายๆกระทู้ก่อนหน้านี้ ผมเป็นคนหนึ่งที่ชอบเดินทาง และการเดินทางนั้นก็มักจะพาเราเข้าไปพัวพันพบเจอกับเรื่องราวหลายๆอย่าง ครั้งนี้ก็เช่นกันผมเดินทางไปเที่ยวต่างจังหวัด แต่ก็ไปได้เพียงแค่จังหวัดใกล้ๆเท่านั้น
         การเที่ยวของพวกผมนั้นก็ไม่ได้มีอะไรพิเศษนอกจากการไปดูบ้านดูเมืองแถวๆนั้นไปชิมไปกินอาหารพื้นบ้าน ได้ดูวิวดูบ้านสวยๆมันก็พอแล้วสำหรับตัวผมและเพื่อนๆ 
         เรื่องมันเริ่มในช่วงคืนแรกของการเข้าพักที่โรงแรมแห่งหนึ่ง ผมก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าเขาเรียกว่าโรงแรมไหมแต่มันจะเป็นห้องพักเล็กๆแยกออกจากกันพอให้เห็นเป็นสัดเป็นส่วน ที่พักแห่งนี้ตั้งอยู่ห่างออกมาจากชุมชนพอสมควร ติดไปทางชายทุ่งของจังหวัด แต่รอบข้างนั้นก็ล้อมรอบด้วยบ้านเรือนตามปกติ
         เราไม่ได้เตรียมตัวกันไปมากเท่าไหร่ ช่วงกลางคืนจึงไม่มีแผนว่าจะไปเที่ยวที่ไหน อีกอย่างมันก็ห่างออกจากตัวเมืองมาพอสมควรรถราเราก็ไม่ได้เอาไปเอง ที่ทางยิ่งแล้วใหญ่ สุดท้ายเลยจบลงตรงที่ ซื้อของกินและเครื่องดื่มมาปาร์ตี้กันเล็กๆในห้องพักด้วยตัวเอง
         เราคุยเล่นกันไปจนดึกจนดื่นก็เริ่มง่วงคงเพราะวันนี้เพิ่งเดินทางมาถึง เราเลยตกลงกันว่าเราจะนอนพักกันก่อน เพื่อที่ว่าพรุ่งนี้จะได้มีแรงไปเที่ยวให้คุ้มกับที่มา 
         เรานอนอัดกันห้องพักห้องเดียวเพราะไม่อยากเสียเงินไปกับค่าที่พัก ผมได้นอนที่พื้นชิดรมหน้าต่าง เราดื่มกันไปแค่นิดเดียวก็เอาไปแช่ตู้เย็นเก็บไว้ยังไม่ทันจะได้รู้สึกเมาอะไร ทุกคนจึงแน่ใจว่าในคืนนั้นพวกเรามีสติครบถ้วนสมบูรณ์ดี
         ผมหลับไปก่อนเพื่อนด้วยความเหนื่อยล้าจากการเดินทางเพราะตอนที่ผมหลับตานั้นเพื่อนยังนั่งเล่นโทรศัพท์กันอยู่ แล้วไม่นานเท่าไหร่ผมก็ตื่นขึ้นมาเพราะรู้สึกได้ถึงสัมผัสแปลกๆ อาจเป็นเพราะผมนอนอยู่กับพื้นจึงได้ยินเสียงที่มันสะท้อนมาตามพื้นได้ชัดเจน
         เสียงฝีเท้าหนักๆหลายคู่ดังสะท้อนมาเบาๆตามพื้นกระเบื้องของที่พัก แม้มันจะเบาแต่มันก็มากพอที่จะทำให้คนที่นอนอยู่บนพื้นตื่นได้ เพราะนอกจากเสียงนั้นแล้วแรงสั่นสะเทือนที่ส่งมาก็ยังมีอยู่ตลอดไม่ปล่อยให้ความรู้สึกนั้นขาดหายไป
‘ใครมาวิ่งอะไรดึกๆวะ’ เพื่อนคนหนึ่งที่เหมือนจะนอนไม่หลับพูดขึ้นมาจากบนเตียง
‘เออนั่นดิ เด็กบ้านไหนมันวิ่งเล่นป่าววะ’ เพื่อนที่นอนถัดจากผมไปพูดตอบ
         หลังจากที่เพื่อนทั้งสองคนพูดขึ้นมาทำให้ผมแน่ใจว่าผมไม่ได้ได้ยินเพียงคนเดียวแล้วอีกสองคนก็ยังไม่ได้หลับไปไม่ก็ตื่นเพราะเสียงเหล่านี้ ผมที่นอนอยู่ใกล้สวิทซ์ไฟที่สุดจึงลุกขึ้นไปเปิดไฟให้สว่าง
         หลังจากที่เปิดไฟแล้วผมก็ลงมานั่งที่พื้นมองไปที่เพื่อนอีกสองคนที่นั่งอยู่เหมือนกัน เรามองหน้ากันด้วยความหงุดหงิดเพราะมันก็ดึกแล้วควรเป็นเวลาที่เราควรจะได้พักผ่อน เพื่อนคนหนึ่งที่อยากรู้เลยเดินออกไปเปิดประตูเพื่อนหาที่มาของเสียงรบกวนนั้น
          ประตูห้องพักถูกเปิดออกอย่างรวดเร็วหวังว่าแรงที่ใช้ผลักประตูนั้นจะทดแทนการดุด้วยวาจาของเจ้าของเสียงรบกวนได้ แต่เมื่อเปิดออกไปก็กลับพบเจอเพียงความว่างเปล่าของทางเดิน เพื่อนผมชะโงกหน้าผ่านวงกบประตูออกไปยังทางเดินแทนที่จะเดินออกไปทั้งตัวด้วยความระแวง
         ที่ใกล้ๆนั้นมีป้าแม่บ้านคนหนึ่งกำลังก้มเก็บเศษขยะตามทางเดินใส่ถุงอยู่ ผมกับเพื่อนอีกคนจึงเดินไปหาเพื่อนที่หน้าประตูทันทีเพราะไม่เห็นเพื่อนกลับเข้ามา
‘ป้าครับๆ เห็นเด็กมาวิ่งเล่นแถวนี้ไหมครับ เสียงดังมากเลยนอนไม่หลับ’
‘ไม่มีนะหนู ป้าก็อยู่ตรงนี้ไม่เห็นได้ยิน’
         พวกเรามองหน้ากันเพราะคำตอบที่ป้าให้เรานั้นไม่ตรงกับสิ่งที่เรารับรู้ เราปิดประตูเงียบๆเข้ามาอยู่ในห้องตามเดิม เราหันมานั่งคุยกันต่ออีกพักหนึ่งเพราะเพื่อนผมเริ่มจะระแวงกับสิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว ไม่ใช่ว่าเอะอะอะไรเราก็จะโทษว่าเป็นเรื่องของผีสางไปเสียหมด แต่ทุกครั้งที่พวกเพื่อนออกมาเที่ยวกับพวกผมก็มักจะได้เรื่องกับแทบทุกครั้ง
         เพื่อนคนหนึ่งเสนอความคิดว่าไหนๆก็นอนไม่หลับแล้ว คว้าเอาเครื่องดื่มในตู้เย็นออกมาดื่มกันต่อเสียเลยแล้วกัน และแน่นอนว่าไม่มีใครห้าม และไม่เห็นด้วย
         เรานั่งกินกันต่อไปได้สักครู่ก็เริ่มที่จะมีอาการมึนจาฤทธิ์สุราแต่ยังไม่ถึงกับเมา เราจึงหยุดกันไว้เพียงเท่านี้ก่อนจะไปถึงขั้นเมาแล้วพรุ่งนี้จะอดเที่ยวกัน 
         ในตอนที่เรากำลังเก็บข้าวของที่วางไว้ตามพื้นหูของพวกผมก็ได้ยินเสียงรบกวนอีกครั้ง เสียงนั้นดังชัดเจนอยู่ในหูซึ่งทุกคนก็ได้ยินเหมือนกัน แต่คราวนี้ผมรู้สึกว่าน้ำหนักของเสียงนั้นต่างออกไป มันไม่ได้ดังขึ้นแต่มันเหมือน เยอะขึ้น
         เสียงฝีเท้าหนักๆจากกลุ่มคนยังคงลอยอยู่ในอาการอย่างไร้ที่มา เพื่อนผมทิ้งทุกอย่างไว้บนพื้นตามเดิมพร้อมห่มผ้าอย่างเตรียมพร้อม
‘ปิดไฟให้ด้วย กรุไม่ลุกแล้ว’ นั่นคือประโยคที่เพื่อนโยนความรับผิดชอบมาให้ผม
         ผมเดินไปปิดไฟตามคำสั่งของเพื่อนแล้วทิ้งตัวลงบนพื้นใกล้ๆกับสวิทซ์นั้น หัวที่เริ่มหนักกว่าปกติเมื่อถึงหมอนทำให้ง่ายต่อการเข้าสู่ภวังค์ของการหลับ แต่ในตอนที่ก่อนจะหลับไปนั้นผมยังรู้สึกได้ถึง แรงสั่นสะเทือนของน้ำหนักเท้านั้นอย่างชัดเจน
         เราตื่นมาในตอนเช้าโดยไม่มีอะไรผิดปกติ เราออกไปเที่ยวกันตามความอยากโดยส่วนมากก็จะไปเยี่ยมเยียนวัดวาอารมแถวนั้นเพราะยังพอมีซากเมืองเก่าให้ได้เห็นอยู่บ้าง
         ในตอนกลางคืนเรากลับมาที่พักแล้ว แต่คืนนั้นเราไม่ได้สังสรรค์กันเหมือนเมื่อคืนเนื่องจากทั้งวันเราเที่ยวมามากพอแล้ว คืนนั้นเราต่างคนก็ต่างพักตามอัธยาศัย
         ส่วนตัวผมนั้นเลือกที่จะออกมาเดินเล่นข้างนอกเพาะเห็นว่าอากาศในตอนนั้นค่อนข้างเย็น บรรยากาศรอบๆก็ดูสวยงามดีตามรูปแบบของชนบท ผมเดินเล่นไปรอบๆตัวที่พักหาที่นั่งสงบๆ คิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย
         ระหว่างที่เดินเล่นอยู่นั้นผมก็ได้รับสายโทรศัพท์ ผมเดินคุยโทรศัพท์อยู่นานก็เริ่มได้ยินเสียงรบกวนแปลกๆนั้นอีก คราวนี้ผมพยายามเดินตามเสียงนั้นไปให้เจอต้นตอ
         แต่สายโทรศัพท์ที่ยังคุยค้างอยู่ทำให้ผมไม่มีสมาธิเลยเลือกที่จะขอวางสายไปก่อน ผมพยายามเดินตามเสียงนั้นไป แต่มันก็แปลกตรงที่ พอผมเดินไปตามทางที่คิดว่าเสียงสะท้อนมา เมื่อไปถึงเสียงมันก็เหมือนดังมาจากอีกทางหนึ่ง ผมเดินวนไปวนมาอยู่นานก็ยังไม่สามารถหาต้นตอของเสียงนั้นได้
‘เฮ้ย ไอ้หนู มาทำอะไรดึกๆ’
         ผมสะดุ้งกับเสียงเรียกที่ดังขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ผมหันหลังกลับมามองเจ้าของเสียงพร้อมแสงจ้าจากไฟฉายที่จงใจส่งมาตรงหน้า 
         ลุงยามที่ดูแล้วจะสงสัยว่าผมออกมาทำอะไรดึกๆ พาลจะนึกว่าเป็นโจรด้วยซ้ำ ผมพยายามบอกแกว่าผมเป็นลูกค้า ผมมาพัก ไม่ได้เข้ามาเองอยู่นาน จนแกเชื่อ เพราะชุดนอนที่ผมใส่อยู่
         ตอนแรกผมก็บอกลุงแค่ว่าผมออกมาเดินเล่น แต่มันก็ไม่แล้วใจผมเลยตัดสินใจถามลุงออกไปตรงๆ ลุงแกอายุมากแล้วเผื่อจะมีเรื่องเล่าอะไรให้ฟังบ้าง อย่างน้อยก็ได้เอามาเขียนหนังสือ
‘ลุง เมื่อกี้ได้ยินเสียงเหมือนคนวิ่งไหมครับ’ 
         ลุงส่ายหัวปฏิเสธแทนคำพูด พอได้คุยกับลุงใกล้ๆแล้วก็ได้กลิ่นเหล้าขาวจางๆมาจากลุง ผมได้ทีจึงขอตัวเดินกลับไปที่ห้องก่อน
         พอกลับมาที่ห้องก็เห็นว่าเพื่อนๆหลับกันไปแล้ว ผมหยิบเอาเหล้าที่ยังเหลืออยู่ติดมือออกมาเดินตรงไปหาลุงยามทีน่าจะยังอยู่ที่เดิม
         เมื่อเดินมาถึงก็เป็นไปอย่างที่คิด ลุงแกนั่งอยู่ใต้ต้นไม้ใกล้ๆกับป้อมยามประจำตำแหน่งของแก ผมเดินเข้าไปใกล้ๆลุงแกก็ตกใจพยายามเอาขวดเหล้าขาวที่วางอยู่หลบไปทางด้านหลัง ผมยิ้มให้ลุงแล้วยกขวดเหล้าขึ้นมาให้แกดู
         สินบนนั้นได้ผล ลุงยอมนั่งก๊งกับผมอย่างมีความสุข แกบอกว่านานๆทีจะได้กินเหล้าแดง ท่าทางแกดูชื่นใจมากกับของโปรดตรงหน้า ผมนั่งคุยเล่นกับแกไปสักพักหนึ่งพอแกเริ่มดูกรึ่มๆ ผมก็อาศัยจังหวะนั้นถามเรื่องที่ผมอยากรู้
         ประเด็นที่ผมถามคือ ลุงเคยได้ยินหรือมีคนบอกเล่าอะไรเกี่ยวกับเสียงแปลกๆ คล้ายคนเดินหรือวิ่ง แล้วไม่ใช่จำนวนน้อยๆ ในความคิดผมน่าจะเกิน 20 30 คน
         ลุงแกเงียบไปครู่หนึ่งเหมือนสะอึก แกหันซ้ายหันขวาเหมือนระแวงอะไรบาง แกเดินเปิดไฟให้สว่างเพิ่มแล้วควักเอาสร้อยพระในเสื้อออกมาอาราธนาพุทธคุณตามความเชื่อของแก
         แกกลับมานั่งตรงหน้าผมด้วยสีหน้าที่จริงจังกว่าเดิม พร้อมยกแก้วขึ้นมาซดให้เหล้าผ่านลำคอลงไปอึกใหญ่ แกกำชับกับผมว่าเล่าไปแล้วก็อย่าย้ายโรงแรมหนีแล้วกัน แต่เอาเข้าจริงเอ็งย้ายไปไหนก็ไม่พ้นหรอก มันกินพื้นที่ไปรอบๆนี้หมดนั่นแหละ
         ที่นี่น่ะนะเมื่อสมัยก่อนมันเป็นสนามรบ ไม่ใช่แค่ไทยกับพม่าหรอก มีหลายที่เขามาตีกัน มันเป็นเรื่องเล่าต่อๆกันมาของคนที่นี่ เอ็งก็น่าจะเห็นแล้วบ้างมันมีซากเก่าๆให้เห็นอยู่ บางบ้านนี่เขาจะสร้างบ้านขุดดินดันเจอของเก่าเอาไปขายกันก็มีบ้านลุงเองก็เคยเจอแต่มันเป็นแค่เศษๆไม่สวย เลยไม่มีราคา บางเจ้าเจอดาบเจอชาม ขายกันหมด ร่ำรวย ขายให้พวกนักสะสมรวยๆนั่นแหละ
          ไม่ใช่แค่นั้นนะ พอมีข้าวของมันก็ต้องมีเรื่องเล่าตามมา ที่นี่จะว่าเฮี้ยนก็ไม่เชิงนะ แต่จะบอกว่าไม่มีเลยมันก็ไม่ได้ เพราะมีคนเขาเจอกันตลอด เจอกันบ่อย ไอ้ที่เอ็งได้ยินน่ะเขาว่าเป็นเสียงทหารยกทัพ บางทีคนมาพักเขาก็มาถามลุงบ้าง ถามแผนกต้อนรับบ้าง แต่ก็ไม่มีใครเขายอมบอกหรอก เดี๋ยวจะหาว่าเราไล่ลูกค้า โดนไล่ออกอีก เห็นว่าเอ็งคุยถูกคอเนี่ยถึงยอมเล่า
         นี่ยังเบาๆนะไอ้หนู บางคนเขามาถึงกับได้ยินเสียงดาบเสียงม้าเลยล่ะ หนักสุดก็เห็นกันเป็นตัวๆนี่แหละ โอย เลือดโทรมแผลเหวอะหวะ(ลุงพูดพลางทำท่าขนลุก) ลุงทำงานที่นี่มาก็ยังไม่เคยมีใครมาเจอจังๆที่โรงแรมนี้นะ เขาไปเจอกันโน่น ตรงวัดนั่นน่ะ แล้วก็ทุ่งนาไกลๆนู้น ถ้าเอ็งเดินไปจะเห็นมีจอมปลวกสูงใหญ่มาก แต่เอ็งอย่าไปเลย มันน่ากลัว
         นี่ไอ้หนู ลุงจะเล่าให้ฟัง เมื่อก่อนนะลุงไม่ได้ทำแค่ยามที่นี่หรอก ลุงรับเขาไปทั่วแหละ ใครจ้างอะไรเราก็ไปหมด มีบ้านถัดจากนี่ไปอีกสองซอยเขาชอบสะสม เขาขุดเจอของเขาไม่พอไปหามาจากไหนอีกไม่รู้เยอะแยะเลย เขาเป็นคนรวยมาจากกรุงเทพคงอยากมีบ้านไว้หนีเมือง
         บ้านเขานะใหญ่โต แต่ไม่ค่อยจะอยู่ในนั้นมีแต่ของแพงๆแกเลยมาจ้างลุงให้ขี่จักรยานไปดูบ้านแกทุกคืน จ้างแพงด้วยนะ ใครจะไม่เอา แค่แวะไปดูที่บ้านนั่นทุกชั่วโมง ปั่นจักรยานนิดเดียว แต่ตอนนี้ลุงเลิกแล้วล่ะ 
‘ทำไมล่ะลุง งานง่ายๆ’ ผมถามลุงกลับไปหลังจากปล่อยเงียบไปครู่หนึ่งเหมือนแกจงใจจะให้ถาม
‘โดนดีน่ะสิวะ’ ลุงพูดพร้อมตีโต๊ะแล้วซดเหล้าลงไปอีกอึกใหญ่







Create Date : 30 มิถุนายน 2560
Last Update : 30 มิถุนายน 2560 12:59:25 น. 0 comments
Counter : 412 Pageviews.

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

สมาชิกหมายเลข 2533784
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 3 คน [?]




Friends' blogs
[Add สมาชิกหมายเลข 2533784's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.