Group Blog
กรกฏาคม 2553

 
 
 
 
1
2
3
4
5
6
7
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
29
30
31
 
All Blog
The Matrix Really บทที่ ๔ ร่างกายนี้ ไม่ใช่ร่างกายที่แท้จริงของคุณ . v



บทที่ ๔

ร่างกายนี้ ไม่ใช่ร่างกายที่แท้จริงของคุณ


“ ขอต้อนรับ สู่ความจริงแห่งธรรมชาติ ของชีวิตทั้งปวง ”

อยากรู้มั๊ยว่า อะไรคือ เมทริกซ์ ที่แท้จริง ( ตอน ๒ )


ตอนนี้เรา และทุก ๆ ชีวิตทั้งหลายทั้งปวงบนโลกนี้

และทั่วทั้งจักรวาล ( เปรียบเสมือนกับ ) กำลังอยู่ในโปรแกรมคอมพิวเตอร์

( แห่งจักรวาล ) ฟังดูไม่น่าเชื่อใช่มั๊ยล่ะ เสื้อผ้าคุณไม่มี กางเกงคุณไม่มี

รูปร่างคุณไม่มี ร่างกายคุณไม่มี มีแต่เพียงจิตใจของคุณ เป็นการถ่ายทอด

ความรู้สึกต่าง ๆ ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย เข้าสู่จิตใจของ

คุณ ในรูปแบบเหนือดิจิตอล

มีคำถามเกิดขึ้นมาว่า “ ร่างกายนี้มันไม่ใช่ของจริงใช่มั๊ย ”

จริงคืออะไร ? มีคำจำกัดความว่ายังไง ? ขอตอบว่า ร่างกายของคุณนี้ มีอยู่

จริง และคุณสามารถรับความรู้สึกต่าง ๆ ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทาง

กาย ตั้งแต่ความสุขสบายที่เอร็ดอร่อย หอมหวาน เผ็ดมัน หรูหรา ดีเลิศ ที่

สุด ไปจนถึงความทุกข์ทรมาณ อย่างแสนสาหัสสากันที่สุด จากร่างกายนี้

ได้จริง ๆ โดยสมองรับรู้ และส่งผ่านไปสู่จิตใจของคุณ

แต่ว่าร่างกายที่คุณมีอยู่นี้ มันไม่ได้เป็นร่างกายของคุณจริง ๆ

มันไม่ใช่ร่างกายที่แท้จริงของคุณ เพราะว่าร่างกายของคุณและทุก ๆ ชีวิต

ทั้งหลายทั้งปวงบนโลกนี้ และทั่วทั้งจักรวาล มีการเปลี่ยนแปลงทั้งขนาด

และรูปร่างหน้าตา ทีละเล็กทีละน้อย อยู่ตลอดเวลา ตั้งแต่เกิด จนตาย ซึ่ง

มันไม่ได้เปลี่ยนแค่ในชาตินี้ ในโลกนี้ที่คุณมองเห็นเท่านั้น เมื่อทุก ๆ ชีวิต

ตายลงไป ร่างกายก็จะสูญสลาย แต่จิตใจที่มีความยิ่งใหญ่ และลึกล้ำเหลือ

กำหนด ของทุก ๆ ชีวิต ยังคงอยู่ สิ่ง ๆ นี้ จะเป็นตัวเป็นผู้ที่ไปเกิดใหม่ เกิด

แล้วก็ตาย ตายแล้วก็เกิด ไปเรื่อย ๆ นับหมื่น นับแสน นับล้านล้านปี อย่าง

ไม่มีที่สิ้นสุด

ส่วนเกิดเป็นอะไร ? มันก็จะเป็นไปตาม

“ กฎของธรรมชาติ ”

ที่คอยก่อกำเนิด ควบคุม สร้างสรรค์ ให้รางวัล ลงโทษ

และทำลายทุก ๆ ชีวิตทั้งหลายทั้งปวงบนโลกนี้ และทั่วทั้งจักรวาล ให้เป็น

ไป ตามกฎของธรรมชาติ คือ ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว “ หว่านพืชเช่นใด ย่อม

ได้รับผลเช่นนั้น ” ซึ่งคนสามารถกลับไปเกิดเป็น สัตว์เดรัจฉานได้ และสัตว์

เดรัจฉานก็สามารถกลับมาเกิดเป็นคน กลับมาเกิดเป็นมนุษย์

ได้เช่นเดียวกัน

มันเป็นความยุติธรรมตาม “ กฎของธรรมชาติ ”

ที่คอยควบคุม “ วัฏจักรแห่งชีวิต ” นี้อยู่ มนุษย์คนไหนที่มีจิตใจไม่ดี

ย่ำแย่อย่างมากมาย ต่ำกว่ามนุษย์ เรียกว่า เลวเกินคน ความประพฤติเลว

ทราม ต่ำช้า ชั่วร้าย ยิ่งกว่ามากกว่าสัตว์เดรัจฉานหลาย ๆ ชนิด ไม่รู้กี่ล้าน

ตัว ผู้นั้นก็จะได้กลับไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานใหม่อีกครั้ง ตามระดับความสูง

ต่ำในจิตใจของตนเอง ที่มีอยู่ก่อนที่จะตายลงไป จิตใจผู้ใดสูงมันก็จะพาให้

ไปเกิดเป็นสัตว์ในชั้นที่สูง ส่วนจิตใจของใครต่ำ มันก็จะพาให้ไปเกิดเป็นสัตว์

ในชั้นที่ต่ำ และสัตว์ตัวไหนที่ถูกลงโทษ มานานพอสมควรแล้ว ก็จะ

มีโอกาส ได้กลับมาเกิดเป็นคน เป็นมนุษย์ใหม่อีกครั้ง

มีโอกาสได้ใช้สมอง ใช้พลังแห่งปัญญา ซึ่งเป็นสิ่งที่สูงส่ง และมี

พลังมากมาย มหาศาลที่สุด ของคนของมนุษย์นี้ ที่มีอยู่ ได้พิจารณาในสิ่งที่

ดีงามถูกผิด ว่าสิ่งใดอันไหน เป็นสิ่งที่มีประโยชน์ ปราศจากโทษ ไม่มีพิษ

หรือเป็นภัยทั้งแก่ตนเอง และสังคมโดยส่วนรวม มีโอกาสได้เลือกหรือกลับ

ตัวกลับใจของตนเองเสียใหม่ อีกครั้งหนึ่งว่า จะปล่อยจิตใจของตนเอง ให้

ไหลลงสู่ที่ต่ำ ยอมตกเป็นทาส อยู่ใต้อำนาจของสัญชาติญาณสัตว์ คือ

ความต้องการทางร่างกาย เวียนว่ายตายเกิด เป็นสัตว์ชนิดต่าง ๆ ไปเรื่อย ๆ

อย่างไม่มีที่สิ้นสุด หรือว่า จะยกระดับจิตใจของตนเองให้สูงขึ้นมาจากคน

( สัตว์ธรรมดา ) จนกลายเป็น “ ผู้ที่มีใจสูง ” สมกับความหมายของคำว่า

“ มนุษย์ ”

ซึ่งถ้าผู้ใด ยังไม่สนใจ ไม่รู้จักทำหน้าที่ของมนุษย์ ไม่ทำในสิ่งที่

ถูกต้องและดีงาม เท่าที่ควรจะเป็น คนเหล่านั้น ก็จะต้องกลับไปเกิดเป็นสัตว์

เดรัจฉานใหม่อีกรอบหนึ่ง หรือหลายรอบ ตามแต่ความผิดที่ตนได้เคยกระทำ

เอาไว้ตอนเป็นคน ว่ามีมากน้อยเพียงไร เกิดแล้วก็ตาย ตายแล้วก็เกิด ไป

เรื่อย ๆ นับหมื่น นับแสน นับล้านล้านปี หมุนวนเช่นนี้ อย่างไม่มีที่สิ้นสุด

เป็น “ วัฏจักรแห่งชีวิต ”

จนกว่าเมื่อใด ได้รู้ เห็น และเข้าใจ ใน “ กฎของธรรมชาติ ”

( God ) ซึ่งเป็นความลับ ที่ซ่อนอยู่ในธรรมชาติได้ เมื่อนั้นจิตใจก็จะเข้าถึง

ความเป็นอมตะ ไม่เกิดไม่ดับ เช่นเดียวกันกับ “ กฎของธรรมชาติ ” ( God )

ก็จะทำให้ไม่ต้องกลับมาเวียนว่ายตายเกิด บนโลกนี้หรือโลกไหน เป็นสัตว์

ชนิดต่าง ๆ อย่างไม่มีที่สิ้นสุด อีกต่อไป

บ้านเมืองยังต้องมีกฎหมาย เพื่อรักษาความสงบเรียบร้อย

สิ่งที่มีชีวิต กับธรรมชาติทั้งหลายทั้งปวงบนโลกนี้ และทั่วทั้งจักรวาลก็เช่น

เดียวกัน ทุก ๆ สิ่ง ทุก ๆ อย่าง ไม่ได้เกิดขึ้นและเป็นไป ด้วยความบังเอิญ

อย่างส่งเดช สะเปะสะปะ หรือว่าไร้ซึ่งเหตุผล

“ กฎของธรรมชาติ ”

ที่คอยก่อกำเนิด ควบคุม สร้างสรรค์ ให้รางวัล

ลงโทษ และทำลายสิ่งต่าง ๆ ทั้งหลายทั้งปวงบนโลกนี้ และทั่วทั้งจักรวาล

เป็นสิ่งที่มีอยู่

แต่ว่าเป็นความลับ ที่ซ่อนอยู่ในธรรมชาติ ซึ่งสามารถรู้

เห็น และเข้าใจ ได้ ด้วยตาแห่งปัญญา โดยสมองของมนุษย์ เท่านั้น ! สัตว์

เดรัจฉาน มิอาจกระทำได้ ไม่สามารถทำได้ ถ้าสมองของมัน มีปัญญา ที่ไม่

ฉลาดมากพอเท่าเทียมกับคนหรือมนุษย์ได้


...................


ภาคจบสุดท้าย ของ เมทริกซ์

The Matrix Really

เมทริกซ์

( สิ่งที่ลวงตา กักขังจิตใจของทุก ๆ ชีวิต บนโลกนี้ และทั่วทั้งจักรวาล )

ที่แท้จริง

...................


โลกที่พวกเราอาศัยอยู่นี้ คือ โลกแห่ง matrix

( สิ่งที่ลวงตา กักขังจิตใจของทุก ๆ ชีวิต บนโลกนี้ และทั่วทั้งจักรวาล )

ที่แท้จริง โดยแท้จริง อย่างแท้จริง ไม่ได้อ้างอิงนิยาย หรือแต่งขึ้นมา เพื่อ

สร้างเป็นภาพยนตร์ มู๊วี่ เรื่องเล่าเช้านี้ แต้มสีเติมสัน เพิ่มความมันใส่เข้าไป

แต่ประการใด

บทที่ ๑

เมทริกซ์ คืออะไร ?

บทความในหนังภาพยนตร์ ที่มอเฟียสอธิบายให้กับนีโอได้ทราบ

ในตอนต้นของเรื่องถึงความหมายของ “ เมทริกซ์ ” ว่ามันคืออะไร ผมถอด

คำพูดจากในหนังออกมาทั้งหมดทุกพยางค์ได้ดังนี้

“ เจ้าเมทริกซ์อยู่ทุกแห่งหน มันอยู่รอบตัวเรา ตอนนี้มันก็อยู่ใน

ห้องนี้ด้วย คุณเห็นมันเมื่อมองไปนอกหน้าต่าง หรือเมื่อคุณเปิดโทรทัศน์

คุณสัมผัสมัน ตอนคุณไปทำงาน ตอนคุณไปโบสถ์ ตอนคุณเสียภาษี มันเป็น

โลก ที่ถูกดึงลงมา ปิดตาคุณไว้จากความจริง , ความจริงเหงอ , ว่าคุณเป็น

ทาสคนนึง นีโอ เหมือนกับคนอื่น ๆ ที่เกิดมาเพื่อถูกจองจำ เกิดมาในคุกที่

คุณไม่อาจสูดดม ลิ้มรส รึว่าแตะต้อง เป็นเรือนจำขังจิตใจคุณ น่าเสียดาย

ไม่มีใครบอกได้ ว่าเมทริกซ์ มันคืออะไร คุณต้องเห็นด้วยตาของคุณเอง ”

ข้อความด้านบนคือความหมายของเมทริกซ์ ในหนังภาพยนตร์

ส่วนความหมายของ

The Matrix Really เมทริกซ์ ที่แท้จริง

เมทริกซ์ในโลกแห่งความเป็นจริง

ความหมายก็คล้ายกันกับเมทริกซ์ ในหนังภาพยนตร์ มาก

มีดังนี้ คือ

“ เจ้าเมทริกซ์อยู่ในที่ทุกแห่งหน มันอยู่รอบ ๆ ตัวเรา ตอนนี้มันก็อยู่

ในห้องนี้ด้วย คุณเห็นมันเมื่อมองออกไปนอกหน้าต่าง หรือเมื่อคุณเปิด

โทรทัศน์ คุณสัมผัสมัน ตอนคุณไปทำงาน ตอนคุณไปโบสถ์ ไปวัด ตอนคุณ

เสียภาษี มันเป็นโลก ที่ถูกดึงลงมา ปิดตาแห่งปัญญาของคุณไว้ จากความ

จริง ว่าคุณเป็นทาสคนนึง เหมือนกับคนอื่น ๆ ทุก ๆ ชีวิต บนโลกนี้ และทั่วทั้ง

จักรวาล ที่เกิดมาพร้อม ๆ กับการถูกจองจำทางจิตใจ เกิดมาในคุก ที่คุณไม่

อาจสูดดม ลิ้มรส รึว่าแตะต้อง มองเห็นจิตใจเดิมแท้ ของตัวคุณเอง เป็น

เรือนจำขังจิตใจคุณ ให้ตกเป็นทาส อยู่ใต้อำนาจของสัญชาติญาณสัตว์ คือ

ความต้องการทางร่างกาย น่าเสียดาย ไม่มีใครสามารถบอกให้เข้าใจอย่าง

ละเอียด ได้ว่า จิตใจเดิมแท้ของตัวคุณเอง ที่เป็นธาตุแห่ง พุทธะ ( God )

เป็นอมตะ ไม่มีการเกิด ไม่มีการดับ อยู่เหนือโลก เหนือความสุข และความ

ทุกข์ทั้งหลายทั้งปวง เป็นความบริสุทธิ์ สะอาด สงบ ร่มเย็น มันคืออะไร

มีลักษณะเป็นอย่างไร เพราะมันเป็นสิ่งที่ไม่มีรูปร่าง ไม่มีตัวตนที่แท้จริง

คุณต้องเห็นด้วยตาแห่งปัญญา ของตัวคุณเอง เท่านั้น ”

...................


บทที่ ๒

นับล้านปี ที่ทุก ๆ ชีวิต ไม่รู้ ?


ไม่ใช่แค่ร้อยพัน หรือหมื่นปี แต่ว่านับแสนนับล้าน สิบล้าน

ร้อยล้าน พันล้าน หมื่นล้านปี ฯลฯ ผ่านมาแล้ว ที่สรรพชีวิต ทุก ๆ ชีวิต

บนโลกนี้ และทั่วทั้งจักรวาล เกิดขึ้นมา โดยไม่รู้ว่าตัวเองมาจากไหน ?

ไม่รู้ว่าทำไมคนเราจึงเกิดมาไม่เหมือนกัน ? บางคนเกิดมาหน้าตาดี บางคน

หน้าตาไม่ดี บางคนรวย บางคนจน บางคนโรคมาก บางคนโรคน้อย บางคน

โชคดี บางคนโชคร้าย ไม่รู้ว่าเมื่อตายแล้วจะไปอยู่ที่ไหนกันต่อไป ?

สัตว์ชนิดหนึ่งบนโลก คือ เหล่ามวลมนุษยชาติ

ซึ่งเป็นสัตว์ที่มีสมอง มีปัญญา มีความคิด มีอารยธรรม สูงที่สุด ในหมู่สัตว์

ทั้งหลายทั้งปวง บนโลกนี้ จึงได้มีการคาดเดา วิเคราะห์ คิดค้น ค้นพบ หรือ

มีการเชื่อกันไปต่าง ๆ นานา เกิดเป็นศาสนา เป็นลัทธิขึ้นมาสารพัดรูปแบบ

ตั้งแต่ยุคอดีตกาล เช่น สมัยยุคหิน ที่คนเราอยู่ป่าอยู่ถ้ำ มาจนถึงยุคอวกาศ

ยุคไฮสปีดอินเตอร์เน็ต 3G , 4G อยู่บ้าน อยู่คฤหาสน์ หรือ ตึกคอนโด

โด่เด่ สูงล้ำกว่าภูเขา เทียมฟ้าท้าดิน เช่นในยุคปัจจุบันนี้

ความไม่รู้ก่อให้เกิดความเชื่อ ความเชื่อเกิดขึ้นมาจากความไม่รู้

เมื่อความรู้เข้ามาแทนที่ ความเชื่อก็จะค่อย ๆ เลือนลางหายไป เช่น สมัย

ก่อน ในทุก ๆ ประเทศทั่วโลก จะเชื่อกันว่า บนฟ้าจะมีเทพเทวดา อาศัย

อยู่บนก้อนเมฆ ในรูปแบบต่าง ๆ ตามความเชื่อของแต่ละท้องที่ถิ่นฐาน

ประเทศของตน เพราะวิทยาการของคนเรา ยังต่ำอยู่ ยังไม่สามารถบินได้

ยังไม่รู้ว่าบนก้อนเมฆ มีอะไรอยู่ จึงได้มีการคาดเดาเชื่อกันไปต่าง ๆ นานา

ในทุก ๆ ประเทศทั่วโลก ว่า บนฟ้าบนก้อนเมฆ มีสวรรค์ มีเทพเทวดา ส่วนใต้

หล้า มีนรก มีภูตผี ปีศาจ ยมบาล ยมทูต นานับชนิดอยู่

ปัจจุบันเมื่อวิทยาการของคนเราก้าวหน้า ความเชื่อเหล่านี้

ก็ค่อย ๆ เลือนหายไป เพราะคนมากมายเริ่มมีความรู้เข้ามาแทนที่ ว่าบนก้อน

เมฆไม่ได้มีอะไรอยู่ ส่วนใต้หล้าผืนแผ่นดิน เมื่อเจาะลงไปลึกมาก ก็ยังไม่มี

ใครเจอนรก เจอยมบาล มัจจุราช หรือ ยมทูต อยู่ใต้ดินซะที แต่ยังมีคนมาก

มายทั่วโลก หลายร้อยล้านคน ไม่ทราบจำนวนแน่นอน ที่ยังเชื่อยังนับถือ

ในสิ่งศักดิ์สิทธิ์ นับถือเทพเทวดา ฟ้าดิน สิ่งลี้ลับสารพัดรูปแบบกันอยู่ เพราะ

ว่า ยังมีเรื่องราวอีกมากมาย ที่คนเรายังไม่รู้ การเชื่อถือ การนับถือสิ่งที่

ศักดิ์สิทธิ์ ในรูปแบบต่าง ๆ ก็เป็นที่พึ่งทางใจ เป็นสิ่งที่ดีงามอย่างหนึ่งของ

คนเรา ถ้าสิ่ง ๆ นั้น ไม่ไปเบียดเบียนตนเองหรือผู้อื่นให้ได้รับความเดือด

ร้อน และเป็นสิ่งที่คอยชี้นำ ชี้ทาง สั่งสอนให้แก่เหล่ามวลมนุษย์ทั้งหลาย

ได้ทำแต่ความดี เห็นอกเห็นใจผู้อื่น เห็นแก่ส่วนรวม มากกว่าประโยชน์สุข

ส่วนตัว

...................

.

บทที่ ๓

สิ่งที่สูงส่ง และยิ่งใหญ่ที่สุด


“ ขอต้อนรับ สู่ความจริงแห่งธรรมชาติ ของชีวิตทั้งปวง ”

อยากรู้มั๊ยว่า อะไรคือ เมทริกซ์ ที่แท้จริง

แท้จริงแล้วทุก ๆ ชีวิต ทั้งหลายทั้งปวงบนโลกนี้ และทั่วทั้งจักรวาล

ไม่ได้มีร่างกายเป็นของตัวเองเลย มีแต่เพียงจิตใจดวงเดิมของตนเอง

ที่เป็นตัวเป็นผู้ควบคุมร่างกายนี้ อยู่ในวัฏจักรแห่งชีวิต เวียนว่ายตายเกิด

โดยไม่รู้ว่าตัวเองเกิดมาจากไหน ไม่รู้ว่าทำไมคนเราจึงเกิดมาแตกต่างกัน

ไม่เหมือนกัน บางคนเกิดมาหน้าตาดี บางคนหน้าตาไม่ดี บางคนรวย

บางคนจน บางคนโรคมาก บางคนโรคน้อย บางคนโชคดี บางคนโชคร้าย

ไม่รู้ว่าเมื่อตายแล้วจะไปอยู่ที่ไหนกันต่อไป เกิดแล้วก็ตาย ตายแล้วก็เกิด

ไปเรื่อย ๆ นับหมื่น นับแสน นับล้านล้านปี อย่างไม่มีที่สิ้นสุด

จนกว่าจะได้รู้ เห็น และเข้าใจ ใน “ กฎของธรรมชาติ ”

ซึ่งเป็นความลับของธรรมชาติ คือ สัจจะธรรมความจริงของธรรมชาติ

เป็นความจริงที่อยู่คู่กับธรรมชาติ เป็นสิ่งที่อยู่เหนือกาลเวลา ไม่ตกอยู่

ใต้อำนาจ ไม่เปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา ไม่ว่าวันเวลาจะผ่านไปกี่หมื่น

แสนล้านปี มากมายแค่ไหนกันก็ตาม ความจริงก็ยังคงเป็นความจริงเช่นนี้

ตาม “ กฎของธรรมชาติ ” เหมือนเดิม มิมีเปลี่ยนแปลงแต่อย่างใด

“ กฎของธรรมชาติ ”

( God )

คือ สิ่งที่สูงส่งและยิ่งใหญ่ที่สุดบนโลกนี้ และทั่วทั้งจักรวาล

เป็นสิ่งที่คอยก่อกำเนิด ควบคุม สร้างสรรค์ ให้รางวัล ลงโทษ และทำลาย

สิ่งต่าง ๆ ทั้งหลายทั้งปวงบนโลกนี้ และทั่วทั้งจักรวาล ให้เป็นไปตามกฎ

ของธรรมชาติ คือ ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว “ หว่านพืชเช่นใด ย่อมได้รับผล

เช่นนั้น ”

เป็นสิ่งที่ไม่มีรูปร่าง ไม่มีตัวตน

แต่มีพลังที่สูงส่งและยิ่งใหญ่ที่สุดบนโลกนี้ และทั่วทั้งจักรวาล

ไม่ใช่พลังงานทางกาย แต่เป็น พลังงานทางจิต “ พลังแห่งจิต พลังสมอง

พลังแห่งปัญญา ” เป็น ความบริสุทธิ์ สะอาด สงบ ร่มเย็น เป็นความว่าง

เป็นพลังงานแสงสว่าง อยู่เหนือกาลเวลา ไม่ตกอยู่ใต้อำนาจ ไม่เปลี่ยน

แปลงไปตามกาลเวลา เป็นอมตะ ( ไม่มีการเกิด ไม่มีการดับ ) ตั้งอยู่ ( ไม่

หมุนวนเป็นวงกลม เป็นวัฏจักรแห่งชีวิต เหมือนกับเหล่ามวลมนุษย์และสรรพ

สัตว์ทั้งหลายทั้งปวงบนโลกนี้ และทั่วทั้งจักรวาล )



...................



บทเริ่มต้น

( ไม่ต้องอ่านก็ได้ ถ้าขี้เกียจ หรือไม่ค่อยมีเวลา )

( ก็อ่าน The Matrix Really บทที่ ๑ ได้เลย)

.........

จาการที่คุณทักษิณ กล่าวถึงเรื่อง matrix ในทวิตเตอร์

ว่าเหมือนประเทศไทยในปัจจุบันนี้ เหมือนยังไง ผมก็ไม่เข้าใจ แต่ก็คิดว่า

น่าศึกษาหาข้อมูลเพิ่มเติมดู วันต่อมาผู้จัดการก็ได้เอาข่าวนี้มาลงในเว็บอีก

ทำให้ผมนึกได้หลังจากที่ลืมและขี้เกียจสนใจเรื่องนี้ไปแล้ว

สมัยก่อนผมลองดูเรื่อง matrix อยู่บ้าง แต่ได้กรอวีดีโอดูผ่าน ๆ

เฉพาะตอนที่มีฉากอลังการ ในภาค ๑ จึงทำให้ไม่ได้เข้าใจเนื้อหาที่แท้จริง

ของเรื่อง และไปดูอีกทีก็ภาคสามเริ่มต้นที่ฉากรถไฟ ดูแล้วก็งง ๆ และข้าม

ไปดูตอนที่นีโอพูดคุยกับเทพพยากรณ์ ดูแล้ว ก็ไม่ค่อยมันเท่าไหร่ เพราะ

ไม่ได้ติดตามเนื้อเรื่องมาตั้งแต่แรก

พอผมได้เข้าไปค้นหาข้อมูลเรื่องของ matrix อีกครั้ง

หลังจากที่คุณทักษิณเล่า และผู้จัดการนำเสนอข่าว เมื่อผมได้อ่านความ

หมายของคำว่า matrix ในวิถีพีเดีย เป็นคำพูด ที่มอเฟียสบอกกับนีโอใน

ตอนต้นเรื่องของภาคหนึ่ง เป็นสิ่งที่น่าสนใจมาก ในวีถีพีเดีย มีเรื่องย่อที่น่า

สนใจในภาคต่าง ๆ อยู่พอสมควร แต่ข้อมูลยังไม่ละเอียดพอ ผมจึงต้องไป

หาหนังมาดูเพิ่มเติม

บ้านผมมีดีวีดีอยู่ร้อยกว่ากล่องก็ไม่เจอเรื่องเมทริกซ์

สมัยก่อนเคยเจออยู่หนึ่งหรือสองภาคแต่ปัจจุบันไม่รู้ใครหยิบไป โชคดีที่ผม

สามารถหาดู ภาคสองและสามได้อย่างไม่อยากเย็นเท่าไหร่ ความคมชัด

ระดับดีวีดี ภาคหนึ่งขัดข้องทางเทคนิคดูได้แค่สี่สิบกว่าเปอร์เซ็นต์ พอผมดู

จบสามภาค ภายในไม่กี่วัน วันต่อมาจึงบังเอิญไปเจอกับภาคหนึ่งแบบเต็ม ๆ

ถึงภาพจะไม่ค่อยชัด ก็ยังดี ยังได้รู้เรื่องราวน่าสนใจเพิ่มเติมอีกพอสมควร

ตอนแรกผมก็นึกว่าไม่เป็นไร ดูภาคหนึ่งครึ่งเดียวก็พอแล้ว ความจริงมันยังมี

เรื่องน่าสนใจอีกพอสมควรในภาคแรก ทำให้ผมรู้และเข้าใจเรื่องราวอย่าง

สมบูรณ์มากขึ้นไปอีก

ผมเห็นตัวอย่างหนังภาคสี่ มันออกมาเป็นปี ๆ แล้ว แต่หนังเต็ม ๆ

ยังไม่เห็นมีออกมาซะที ผมคิดตั้งแต่แรกแล้วว่ามันน่าจะมีภาคสี่ ภาคต่อไป

ออกมา เพราะตอนแรกเขาบอกว่าหนังเรื่องนี้เป็นไตรภาค มีสามภาคจบ แต่

ภาคสาม ผมดูแล้วรู้สึกว่า มันจบง่ายดายเกินไป จบแบบยังไม่สุด ถ้าจบแค่

สามภาคจริงแสดงว่าคนแต่งเรื่องมันกระจอกไปหน่อย เพราะจบง่ายไป เรื่อง

ราวต่าง ๆ ยังไม่สมบูรณ์

ต่อมาเมื่อได้อ่านข้อมูลเรื่องเมทริกซ์ในวิถีพีเดีย

อย่างละเอียดก็ได้พบว่ามันมีภาพยนตร์ย่อย ๆ สั้น ๆ เพิ่มขึ้นมาอีกเก้าตอน

ผมก็หาเฉพาะตอนที่สำคัญที่สุดคือ ตอนที่โลกของเรายังดีอยู่และถูกหุ่น

ยนต์เข้ามาทำลาย และสร้างเมทริกซ์ขึ้นมาได้อย่างไร โชคดีที่เจอแบบซับ

ไทยด้วย จึงสามารถดูได้อย่างเข้าใจในเนื้อเรื่อง เพราะภาษาอังกฤษของผม

ไม่ค่อยแข็งแรง

ยุคปัจจุบันนี้ มีกูเกิ้ลแปลภาษา ผมจึงสามารถหา

ภาษาอังกฤษที่แปลว่า อย่างแท้จริง ซึ่งมีอยู่หลายคำ นำมาตั้งเป็นชื่อเรื่อง

ได้อย่างเนียน ๆ เป๊ะเลย ตอนแรกหาคำว่า ของแท้ ได้ Genuine อย่างแท้

จริงก็ได้ Genuinely ไม่มีเรียลลี่ โชคดีผมไปเจอคำว่า Really ซึ่งแปลว่า

โดยแท้จริง ได้เหมือนกัน พอตอนไปดูชื่อภาษาอังกฤษ ของ The Matrix

ทั้งสามภาคแล้ว จึงพบว่า คำว่า Really สามารถเข้ากันกับชื่อเรื่องของเมท

ริกซ์ทั้งสามภาค ได้อย่างเนียน ๆ ไม่แปลกแยก เป๊ะเลยครับ ๑. The

Matrix ๒ . The Matrix Reloaded ๓. The Matrix Revolutions และภาค

จบสุดท้ายของเมทริกซ์ The Matrix Really เมทริกซ์ ที่แท้จริง


...................


เมื่อคุณหนูในบ้าน รู้ว่าคนใช้ที่ตนเองชอบดูถูกจิกด่าอยู่เป็นประจำ เป็นแม่

ของตนเอง เหตุการณ์จะเป็นเช่นไรต่อไป ...





Create Date : 09 กรกฎาคม 2553
Last Update : 9 กรกฎาคม 2553 17:54:23 น.
Counter : 537 Pageviews.

2 comments
  
ติงบรรทัดที่ ๑๐

ทำไมต้องส่งข้อมูลแบบ digital ล่ะครับ แบบอื่นไม่ได้รึ

ถ้าเป็นดิจิตอลก็ต้องมีสัญญาณนาฬิกา การรับรู้ของเรามันก็เป็นไปตามจังหวะของสัญญาณนั้น ซึ่งพอถึงจุดหนึ่งมันต้องถึงจุด peak แน่ๆ ซึ่งก็จะต้องให้การรับรู้เราสะดุด เอื้อก!
โดย: Vomvon IP: 77.225.136.113 วันที่: 10 กรกฎาคม 2553 เวลา:2:38:19 น.
  
.
ไม่ใช่แบบดิจิตอลครับ

เป็นแบบเหนือดิจิตอล คือสูงส่งกว่า ดิจิตอลมากมาย

ซึ่งผมก็ยังเรียกไม่ถูกว่าเป็นระบบอะไร

ใช่ดิจิม่อน ( พลังงานทางจิต ) รึป่าว ผมก็ยังไม่แน่ใจ
โดย: samma วันที่: 10 กรกฎาคม 2553 เวลา:12:15:45 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

samma
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]