กรรมเก่า คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ.เป็นเจ้าบทบาทเดิม จากนั้น การศึกษาอาศัยปรโตโฆสะ ซึ่งมีคติว่า "คนเป็นไปตามสภาพแวดล้อมที่ปรุงปั้น" และโยนิโสมนสิการ ซึ่งมีคติย้อนกลับว่า "ถ้าเป็นคนรู้จักคิด แม้แต่ฟังคนบ้าคนเมาพูด ก็อาจสำเร็จเป็นพระอรหันต์"
space
space
space
 
ธันวาคม 2564
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
262728293031 
space
space
19 ธันวาคม 2564
space
space
space

ความเป็นมาของศาสนาต่างๆ (๗)


   ความเจริญในทางวัตถุเกิดขึ้น  ความเจริญทางด้านจิตใจก็เกิดเหมือนกัน มนุษย์มีความคิดในเรื่องอะไรต่างๆ กลางคืนมองดูท้องฟ้า ดาวระยิบระยับ มีดวงจันทร์ กลางวันก็มีดวงอาทิตย์ พื้นโลกมันก็มีสิ่งแปลกๆ มีภูเขา มีต้นไม้ ดอกไม้ก็มีนานาชนิด สีสันวรรณะไม่เหมือนกัน กลิ่นก็ไม่เหมือนกัน อะไรๆ ก็ไม่เหมือนกัน  มันก็เกิดปัญหาขึ้นในใจ  สงสัยว่า ไอ้สิ่งเหล่านี้มันเกิดขึ้นได้อย่างไร แผ่นดินมันเกิดขึ้นมาอย่างไร  ท้องฟ้ามันเกิดขึ้นมาได้อย่างไร

แล้วสงสัยตัวเองว่า กูนี่มันมาอย่างไร  แล้วรู้แต่ว่า  เกิดจากพ่อแม่  พ่อแม่มาจากใคร  มาจากปู่ จากตา คุณปู่ คุณตา มาจากใคร
มันเริ่มคิดใหญ่แล้ว  ชักจะฟุ้งซ่าน  คิดไปถึงว่ามาจากไหน  สาวหาต้นเดิมว่ามาจากอะไร คิดมากขึ้นไป คิดๆ ก็ไม่รู้จะไปถามใคร ก็ไปถามพวกนั้นแหละ พวกมุนีทั้งหลายที่นั่งเฝ้าต้นไม้ ก้อนหิน ทั้งหลายนั่นแหละ

ถามว่า ท่านเป็นผู้ติดต่ออยู่กับเทพเจ้านี่นา สิ่งเหล่านี้ มันมาอย่างไร ถือว่าเบื้องต้นมันมีเทพเจ้าประจำต้นไม้ก่อน รุกขเทวดา อะไรต่างๆ มีประจำอยู่ ภูมิเทวดา เทวดาประจำพื้นดิน อากาศเทวดา เทวดาประจำแผ่นฟ้า เทวดาประจำน้ำ ประจำไฟ ประจำลม เทวดาเยอะแยะ ก็สงสัยว่า เทวดานี้ มาจากไหน มนุษย์มาจากไหน โลกนี้มาจากไหน มีปัญหา เมื่อมีปัญหา ก็ไปถามคนเหล่านั้น

คนเหล่านั้นก็จนปัญญาเหมือนกัน แต่จะบอกว่า ตอบไม่ได้ก็เสียเหลี่ยม เพราะอ้างว่าคุ้นเคยกับเทพเจ้า คุยกันได้นี่นา แล้วบอกว่าไม่รู้มันก็เสียเหลี่ยม ก็มีทางออก บอกว่าเรื่องนี้มันเรื่องใหญ่ มันต้องทำพิธีถามเทวดาว่ามาอย่างไร


   เรื่องทำพิธีก็ไม่มีอะไรดอก  พวกนั้น  มันหลายๆคน  มาสัมมนากันเอง  โบราณเขาก็มีการสัมมนาเหมือนกัน  นัดกันมาประชุมในป่าอย่าให้ใครเห็น  แล้วก็ตั้งหัวข้อว่า  มนุษย์หมู่นี้มันชักจะฉลาดขึ้นมาแล้วนะ อุตริถามปัญหาแปลกๆ มันถามว่าโลกนี้มาจากไหน มนุษย์มาจากไหน เทวดาที่เราไหว้นี่มาจากไหน  แล้วเราจะตอบอย่างไรเล่า  พวกนั้นก็นั่งคิดค้นกัน ก็คิดได้ว่า  มนุษย์ตอนนี้สมองยังไม่ปราศเปรื่องเท่าไรดอก  ถามอะไร  ตอบสักคำมันก็หยุดเท่านั้นเอง
เหมือนเราไปเทศน์ตามบ้านนอก พอโยมถามคำหนึ่ง พอเราตอบ แกก็หยุดเท่านั้น ไม่เหมือนนักศึกษาถาม นักศึกษาพอเราตอบไปอย่างนี้ แกดันไปถามอย่างโน้น สมองเขาเก่ง เขามีความคิด คนตามบ้านนอกชาวไร่ชาวนาไม่ได้คิดอะไร ถามอะไร เมื่อตอบแล้ว เขาหยุดเท่านั้น

    เลยบอกว่า เราตอบอย่างนี้ก็แล้วกัน โดยสมมติว่า  มีเทพเจ้าผู้ยิ่งใหญ่องค์หนึ่งเป็นผู้สร้างสรรพสิ่งทั้งหลายทั้งปวง ซึ่งในศาสนาฮินดู เรียกว่า พรหม  ศาสนาอิสลาม เรียกว่า อัลลอฮ์  ศาสนาคริสต์ เรียกว่า ยะโฮวา  แต่ความจริงก็ไอ้อันเดียวกันนั่นแหละ  แต่ชื่อเรียกออกไปตามภาษาของคนในถิ่นนั้น  ความหมายมันก็อันเดียวกัน คือผู้สร้าง เทพเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สร้างทุกสิ่งทุกอย่าง  แม้ตัวผู้ถามเองเทพเจ้าท่านก็สร้างมาเหมือนกัน

เราจะต้องเคารพต่อเทพเจ้า ต้องเชื่อฟังคำสั่งสอนของเทพเจ้า แล้วเทพเจ้าจะมาสอนอย่างไรไม่เคยเห็นหน้าเห็นตาเทพเจ้า ก็ฝากมากับพวกเรานั้นแหละ

พวกมุนีทั้งหลาย  เป็นผู้รับคำสอนมาจากพระผู้เป็นเจ้า เพราะฉะนั้น  เมื่อพวกนั้นสอนอะไรต้องเชื่อฟัง ไม่เชื่อฟังก็จะเป็นบาป เป็นโทษ นี่มันเป็นไปอย่างนี้ ก็เลยลงมติกันว่ามีเทพเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ เป็นผู้สร้างสรรพสิ่งทั้งหลายทั้งปวง.





Create Date : 19 ธันวาคม 2564
Last Update : 19 ธันวาคม 2564 12:45:43 น. 0 comments
Counter : 242 Pageviews.

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 
space

สมาชิกหมายเลข 6393385
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
ผู้ติดตามบล็อก : 9 คน [?]






space
space
[Add สมาชิกหมายเลข 6393385's blog to your web]
space
space
space
space
space