กรรมเก่า คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ.เป็นเจ้าบทบาทเดิม จากนั้น การศึกษาอาศัยปรโตโฆสะ ซึ่งมีคติว่า "คนเป็นไปตามสภาพแวดล้อมที่ปรุงปั้น" และโยนิโสมนสิการ ซึ่งมีคติย้อนกลับว่า "ถ้าเป็นคนรู้จักคิด แม้แต่ฟังคนบ้าคนเมาพูด ก็อาจสำเร็จเป็นพระอรหันต์"
space
space
space
 
ธันวาคม 2564
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
262728293031 
space
space
18 ธันวาคม 2564
space
space
space

นิทานประกอบความเข้าใจ

   มีคราวหนึ่ง ไฟไหม้ที่พิษณุโลก ไหมทั้งเมือง ไหม้อย่างมีระเบียบ จากถนนนี้ไปถนนโน้น ไหม้ตั้งแต่ตี ๔ จนถึงตี ๕ อีกวัน ตั้ง ๒๔ ชั่วโมง

พอดีหลวงพ่อไปเทศน์ที่เมืองตาก พอดีตรงกับวันรุ่งขึ้นเป็นวันหยุด ก็ไม่มีใครสั่งงาน ผมก็ไปเดินเยี่ยมเยียนราษฎร

มีข้าราชการคนหนึ่งมาไหว้ แล้วบอกว่า ผมแย่แล้วครับหมดเนื้อหมดตัว

หลวงพ่อบอกว่า ยังไม่หมด

นั่นแหละครับหลังที่กำลังไหม้ ไอ้หลังโน้นเกลี้ยงเป็นขี้เถ้าไปหมดแล้ว หลังนี้กำลังไหม้อยู่ หมดเนื้อหมดตัวกันละคราวนี้

ผมยืนกรานบอกว่า ยังไม่หมด เจริญพร

แกก็ถลึงตาคงคิดว่า พระองค์นี้ยังไงนะ พูดไม่รู้เรื่อง ชี้ให้ดูก็ยังบอกว่าไม่หมดอีก

ก็เลยบอกว่า คิดดูเถอะ ไอ้ตึกรามบ้านช่องน่ะ เมื่อออกจากท้องพ่อท้องแม่น่ะ แบกมันออกมาด้วยหรือเปล่า

แกบอกว่า ผมหาได้ด้วยสติปัญญาของผมเอง ภรรยาของผมค้าขายได้เงินเพิ่ม เลยซื้อบ้านเพื่ออีกแห่งหนึ่ง

แล้วตัวคุณเองนี่ไฟไหม้หรือเปล่า ภรรยาไฟไหม้หรือเปล่า ความรู้ทั้งหลายของคุณน่ะไฟไหม้หรือเปล่า แกบอกว่า ไม่ได้ไหม้ครับ ก็เลยยกโคลงโลกนิติให้ฟังว่า

ช้างม้ามิ่งเมียแก้ว เงินทอง
ตัวมิตายจากกอง ย่อมได้
ชีวิตสิ่งเดียวของ หายาก
ใช่ประทีปเทียนไต้ ดับแล้ว จุดคืน ฯ

   แกยกมือไหว้ บอกว่า จริงครับ เลยก็หายโศกไปเท่านั้นเอง คิดได้ ก็เลยบอกว่าดีแล้ว ตึกผมก็ชักเก่าแล้ว จะได้สร้างใหม่ต่อไป คิดแง่นี้ มันก็สบายใจ นี่คิดแต่ว่าของถูกไฟไหม้ ไฟไหม้ของกูแล้ว อย่างนี้มันก็เสียใจจนตาย เราต้องคิดในแง่ดีว่า ไหม้เสียก็ดีจะได้สร้างใหม่ ใครมาสร้างจะเรียกแป๊ะเจี๊ยะ ให้เจ็บไปเลย มันก็ได้ดีอีก ดูในกรุงเทพฯซี่ ตรงไหนไฟไหม้ตรงนั้นมันก็สวย ก็ดีเหมือนกันน่ะ  ถ้ามันไหม้ไปแล้วนะ  ถ้ามันยังไม่ไหม้ก็อย่าเอาไฟไปจุดมันเสียล่ะ  ให้มันอยู่ของมันอย่างนั้นแหละ

    มีคุณยายคนหนึ่ง อยู่เชียงใหม่ ลูกสาวตาย ลูกเขยตาย ไม่รู้ว่ามันอย่างไร มันยิงกันตายทั้งคู่ เหลือลูกไว้ ๒ คน แม่ของผู้หญิงร้องไห้จนตาบวม ตาแดงทีเดียว พอดีผมไปถึง เขาก็รีบเอาตัวไปเลย ให้ไปเทศน์ที่สันป่าข่อย แม่คนนั้น แกเสียใจเรื่องลูกสาวตาย  นั่งเทศน์ไป เขาก็นั่งก้มหน้าไป ไม่ได้ยินดอก เราก็เทศน์ไปตามเรื่อง เลยหาวิธีบอกว่า น้านี่ ไม่น่าเสียใจเลย ลงทุนหนึ่งแล้วได้ตั้งสอง จะเสียใจทำไม
แกเป็นแม่ค้า  พอพูดว่า “กำไร” แกเลยลืมตาเลย เรียกว่า เกาถูกแผลคันเข้าให้แล้ว  แกลืมตาโพลงมอง ถามว่า กำไรอะไร
อาตมาก็บอกว่า   น้ามีลูกสาวหนึ่งคน  ลงทุนแต่งงานหนึ่ง  ได้หลานไว้สองไม่มีกำไรหรือไง
กำไรค่ะ  แก่ตอบอย่างนั้น  น้าก็เลี้ยงดูกำไรไว้ให้ดีก็แล้วกัน  อย่าให้มันมายิงกันอีกอย่างนี้ เอวังก็มีด้วยประการฉะนี้.


   คนเรามันมีเพียงนิดเดียว   เหมือนเส้นผมบังภูเขา   เอาเส้นผมออกก็เห็นภูเขา พูดให้เข้าใจนิดเดียว ก็เข้าใจ หายโศกหายเศร้า  แต่ก็เรียกว่าตัวเรา นิ้วชี้เราตำตาตัวเราไม่เข้ามัวแต่คอย เลยต้องให้คนอื่นตำให้เสียหน่อย  มันก็ต้องถูกละ  เหมือนกับให้คนอื่นเขาสะกิดให้
ความเข้าใจความจริงของชีวิตนั่นแหละคือศาสนา  ที่จะทำให้เรารู้อะไรถูกต้อง แล้วเราก็ไม่ต้องเศร้าโศก  เรื่องแบบนี้ต้องคิดไว้บ่อยๆ เพราะฉะนั้น พระจึงสอนให้คิดว่า “เราแก่เป็นธรรมดา หนีไม่พ้น เราเจ็บไข้เป็นธรรมดา หนีไม่พ้น เราจะต้องตายเป็นธรรมดา หรือจะต้องพลัดพรากจากของรัก หนีไม่พ้น เราทำดี ดี ทำชั่ว ชั่ว หนีไม่พ้น” ท่านให้คิดไว้บ่อยๆ นั่นมันคือแง่สัจธรรม เป็นแง่ความจริง เพราะธรรมชาติมันเป็นอย่างนั้น ถ้าได้คิดไว้อย่างนั้น มันก็สบายใจ เตรียบรับสถานการณ์ไว้ล่วงหน้า

    สมมติว่า เรามีของอะไรชิ้นหนึ่งซื้อมาใหม่ เช่น นาฬิกานี่ อย่าไปหลงว่าราคามันแพง ยี่ห้อมันดี ผู้มีธรรมะต้องพูดเสียว่า  ราคามันแพงอยู่  ยี่ห้อมันก็ดี แต่ว่ามันก็ไม่แน่ดอกว่า มันจะอยู่กับฉันตลอดไป วันหนึ่ง ไม่รู้จะมีใครจี้เอาไปเสียก็ได้ บอกไว้อย่างนั้น หรืออาจตกแตกก็ได้ มันจะหายจะสูญไปเมื่อไหร่ก็ได้ พูดไว้ล่วงหน้า พอมันหายเข้าจริงๆ ก็บอกกับตัวเองว่า กูว่าแล้ว ว่ามันจะหาย อย่างนี้ก็สบายใจ เพราะเราได้คิดไว้ล่วงหน้าว่า กูว่าแล้วว่ามันจะหายสักวันหนึ่ง นี่คนเราไม่คิดถึงมุมกลับ คือคิดถึงแต่เรื่องมี แต่ไม่คิดถึงเรื่องไม่มี

เรื่องความมีกับความไม่มี   มันก็อยู่ด้วยกัน   สุขทุกข์มันก็อยู่ด้วยกัน แต่คนเรามันเป็นอย่างนี้ เห็นความมีแล้ว ไม่เห็นความไม่มี เห็นความสุขแล้ว ไม่นึกถึงความทุกข์ เห็นความเที่ยงแล้วมองไม่เห็นความไม่เที่ยง มันต้องมองทั้งสองอย่าง เพราะฉะนั้น คนมีธรรมะแล้ว ต้องเห็นทั้งสองอย่าง เห็นความมีแล้วต้องเห็นความไม่มี เห็นหัวเราะแล้วก็ต้องอาจร้องไห้เข้าสักวันหนึ่ง นึกเอาไว้อย่างนั้น ใจมันก็สบาย ไม่วุ่นวายไม่เดือดร้อน เอาธรรมะแก้ปัญหาชีวิต เป็นเครื่องปลอบโยนจิตใจเราและคนอื่นก็ยังได้ ไม่ต้องเสียอกเสียใจอะไรไป
 


Create Date : 18 ธันวาคม 2564
Last Update : 18 ธันวาคม 2564 19:40:09 น. 0 comments
Counter : 213 Pageviews.

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 
space

สมาชิกหมายเลข 6393385
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
ผู้ติดตามบล็อก : 9 คน [?]






space
space
[Add สมาชิกหมายเลข 6393385's blog to your web]
space
space
space
space
space