วัตถุธรรม หรือรูปธรรม อันมองเห็นได้ ส่วนนามธรรม ด้านจิตใจ ได้แก่ ความรู้สึกนึกคิดนั่นนี่โน่น มองกันไม่เห็น ถึงมันจะแสดงให้คนรู้เห็น ก็ต้องบอกผ่าน
รูปธรรม เช่น คนโกรธ ไม่พอใจ นามธรรมจะแสดงตัวทางหน้าทางตา หน้านิ่วคิ้วขมวด นัยตาแข็งกร้าว นัยตาขวาง (ดังคำพูดที่ว่า เขาโกรธตาขวางแล้ว
) ตัวสั่น ปากสั่น กล้ามเนื้อกระตุกหูอื้อตาลาย ทางวาจาก็เปล่งออกมาหยาบคาย (ผรุสวาจา) ...หากเป็นนามธรรมด้านกุศล (ด้านดี) ก็บอกผ่าน
รูปธรรมเช่นกัน ทางการพูด การกระทำ แต่ตรงข้ามกับนามธรรมฝ่ายอกุศล หน้าตาดูผ่องใสเอิบอิ่ม นัยตาเป็นประกาย เสียงที่เปล่งออกมาเรียบร้อยน่าฟัง (สัมมาวาจา) คนสุขใจทุกข์ใจก็ดูจากรูปธรรมนี่แหละ
ตัวอย่างนี้ ถ้านักโทษคนนั้น เพียงคิดอยู่ในใจว่าอยากทำบุญ คนอื่นก็ไม่รู้ แต่นี่เขาโยนวัตถุธรรม รูปธรรม (ที่สมมติเรียกว่าเงิน) ให้ แล้วก็พูด (วาจา) ว่า ช่วยทำให้ด้วย ช่วยทำบุญให้หน่อย เอาเงินนี้ไปทำบุญให้ที คนอื่นจึงรู้เข้าใจได้ ตัวผู้ให้เองก็สุขใจสบายใจที่ได้ทำ (ใช้วัตถุโยงเข้าไปหาจิตใจ) นี่คือเหตุผลที่ คนทั่วๆไป ต้องใช้วัตถุเป็นสื่่อนำเข้าหานามธรรม
บุญเป็นที่พึ่งของสัตว์ทั้งหลาย
สัตว์ "ผู้ติดข้องใน
รูปารมณ์ เป็นต้น" สิ่งที่มีความรู้สึกและเคลื่อนไหวไปได้เอง ทางธรรมหมายถึงมนุษย์ หากใครด่าเราว่าไอ่สัตว์อย่าเพิ่งโกรธก่อนมันเป็นธรรมะแล้ว
ถ้าโกรธก็เป็นสัตว์ คือผู้ติดข้องใน
สัททารมณ์ ถ้าไม่ติดไม่ข้องในรูปารมณ์ สัททารมณ์ เป็นต้น ก็บรรลุธรรม ก็เป็นอริยบุคคล ก็เข้าถึงโลกุตรธรรม (อยู่เหนือโลก)
ส่วนในภาษาไทยหมายถึงสัตว์ดิรัจฉาน
ทรัพย์สมบัติ ก็มีความสำคัญ ตัวอย่างนี้
ครั้งนั้น
ท่านพระโสณะพำนักอยู่ในป่าสีตะวัน ใกล้เมืองราชคฤห์ ท่านได้ทำความเพียรอย่างแรงกล้า
เดินจงกรมจนเท้าแตกทั้งสองข้าง แต่ไม่สำเร็จผล คราวหนึ่ง ขณะที่อยู่ในที่สงัด จึงเกิดความคิดขึ้นว่า “บรรดาสาวกของพระผู้มีพระภาค ที่เป็นผู้ตั้งหน้าทำความเพียร เราก็เป็นผู้หนึ่ง ถึงกระนั้น จิตของเรา ก็หาหลุดพ้นจากอาสวะหมดอุปาทานไม่ ก็แหละ
ตระกูลของเราก็มีโภคะ เราจะใช้จ่ายโภคสมบัติ และทำความดีต่างๆ ไปด้วยก็ได้ อย่ากระนั้นเลย เราลาสิกขา ไปใช้จ่ายโภคสมบัติ และบำเพ็ญความดีต่างๆเสียเถิด”
ผู้ที่ขัดสนจนทรัพย์จะทำอะไรสักอย่างสองอย่างมันติดขัดไปหมด ท่านจึงว่า ความจนเป็นทุกข์ในโลก