|
|
| 1 | 2 | 3 | 4 |
5 | 6 | 7 | 8 | 9 | 10 | 11 |
12 | 13 | 14 | 15 | 16 | 17 | 18 |
19 | 20 | 21 | 22 | 23 | 24 | 25 |
26 | 27 | 28 | 29 | 30 | |
|
 |
|
ศาสนาอิสลามสามารถเปลี่ยนศาสนาได้ไหม ? |
|
ถาม 
อยากทราบว่าศาสนาอิสลามสามารถเปลี่ยนศาสนาได้ไหมคะ ?
เราเป็นศาสนาอิสลามนะคะ แต่ไม่ค่อยสบายใจเท่าไหร่ที่จะอยู่ในศาสนาอิสลาม เราไม่ค่อยมีอิสระในการทำอะไรหลายๆ อย่างเลยค่ะ เราอยากเปลี่ยนศาสนามากแต่ไม่มีศาสนาเลยยิ่งดีค่ะ เกิดมาก็ยัดอิสลามให้เราเลยโดยไม่มีสิทธ์ที่เราจะเลือกอะไรเลย เราอึดอัดมากค่ะ
https://pantip.com/topic/41001822
สังคมมนุษย์ปัจจุบัน คำถามทำนองนี้มีถี่ๆ (ดูจากที่เขาถกเถียงกัน) หากเป็นสังคมไทยคงเปลี่ยนไม่ยากเท่าไหร่ พุทธเปลี่ยนไปเป็นอื่นนะ (ส่วนมุสลิมเปลี่ยนเป็นอื่นยากหน่อย เพราะเคร่งกว่าพุทธ ยิ่งได้อยู่ใน ปท.ที่เป็นมุสลิมจ๋าด้วยแล้วหมดสิทธิ์เปลี่ยน อ้าว ทำไมล่ะ ? เปลี่ยนก็หมดลมหายใจ. ขนาดเขาหนีออกมาแล้ว ยังขอให้ส่งตัวกลับไปลงโทษว่าหมิ่นศาสนาเลย คิดดูแล้วอะไรจะไปเหลือ )
ศาสนา แปลว่า คำสอน. เท่านั้นเอง ที่ว่า "ไม่มีศาสนาเลยยิ่งดีค่ะ/ครับ" จะเอายังไงดี หลายคนบอกว่า ไม่ต้องนับถือศาสนาอะไรก็ได้ เพียงเราไม่ทำให้ใครเดือดร้อน ไม่ทำให้ใครเดือดร้อนก็เป็นศาสนาแล้วนะ ไม่เบียดเบียนตนเอง ไม่เบียดเบียนผู้อื่น นี่เป็นคำสอนของศาสดาแล้ว เรามีศาสนาแล้วนะ
คิดอย่างนั้น ถ้าเป็นความคิดก่อนใครอื่น คือว่า ยังไม่มีใครคิดได้เลย. ตัวอย่างเช่น วันหนึ่ง เราไปเห็นหมู่คนต่างเผ่าต่างถิ่นถืออาวุธเข้าประหัตประหารกันจนบาดเจ็บล้มตายทั้งสองฝ่าย เราดูแล้ว เกิดความคิดโพล่งขึ้นมาในหัว "โอหนอ! โอ้หนอ! ชาวเราเอ๋ย ทำไมต้องเบียดเบียนกันและกันด้วยเล่า อย่างนี้เดือดร้อนแน่ๆ ไม่ดีเลย จะให้ดี คนต้องอยู่ร่วมกันช่วยเหลือกันและกัน ไม่ว่าจะเกิดเผ่าไหนๆ ถิ่นใดๆก็ตาม เขาก็ชีวิตหนึ่ง ซึ่งรักสุขเกลียดทุกข์เหมือนกับเรา..." แล้วเราก็เที่ยวประกาศให้คนได้รับรู้ถึงข้อดีนั้นๆ มีคนเห็นด้วยยอมรับความคิดเราว่า เออ ช่าย ใช่ ดีงามจริงๆด้วย จากหนึ่งคน เพิ่มเป็นสิบคน เป็นร้อยคน ฯลฯ แล้วก็ช่วยกันเผยแผ่แนวคิดนั้น เราเองก็เป็นศาสดา ผู้เดินตามแนวคิดเราและช่วยกันทำงานแนวนี้ก็เป็นสาวก. นี่คือ จุดเริ่มของลัทธิศาสนาในโลก
ก็อย่างว่า มีคนหัวรั้นคนไม่เชื่อ ก็เติมเข้าไปอีก ใครทำไม่ดีนั่นๆนี่ๆ ทำให้คนอื่นเดือดร้อน เบียดเบียดเขา จะตกนรก ทำความดีนั่นๆนี่ๆ จะไปสวรรค์ .... กาลต่อๆ มาอย่างว่าในสังคม มีคนรั้น ไม่เชื่อคำพูด ไม่เชื่อเรื่องที่ว่าที่สอน เป็นต้น นั้น สร้างความเดือดร้อนอยู่ สังคมก็ตั้งกฎเสริมอีกว่า ใครทำเรื่องไม่ดีอย่างนี้อย่างนั้นต้องถูกลงโทษด้วยการโบยหลัง ๑๐๐ ที ... ปาด้วยก้อนหินจนขาดใจตาย ... ตัดหัวเสียบประจาน .... ต่อ ๆ มาโลกเจริญขึ้น หมู่ชนเห็นเข้า ก็เฮ้ย แบบนี้ ไม่ไหวทารุณเกินไป คนนะไม่สัตว์ ก็ยกเลิกกันไป....ก็เกิดเป็นกฎหมาย กำหนดโทษจากเบาไปหาหนัก หนักถึงขั้นยิงเป้า ... เอาอีกแระ สังคมโลกเจริญขึ้น คนเห็นก็เฮ้ย ๆ โลกเขาไปถึงไหนกันแล้ว มันขัดต่อสิทธิมนุษยชนนะ ก็ยกเลิกไป ... พอมาๆ อันธพาลชนไม่กลัวก็ ข่มขืนฆ่า ตอนนี้สังคมเริ่มกลับมามองโทษประหาร ปัง เว้ย เฮ้ย ฆ่าข่มขืน ต้องประหารชีวิต... เกิดเป็นคนนี่ยุ่งตายห่าน เหมือนว่ายวนอยู่ในอ่าง (ที่มันแตกแขนงออกไปมากมายเช่นนั้น ถ้าสรุปตามหลักพุทธธรรมแล้ว มันคือกิเลสในใจคนตัวเดียวเท่านั้น จึงมีคาถาว่า ฆ่ากิเลสไม่บาป แถมได้บุญอยู่เป็นสุขด้วย)
ต่อไปศึกษาตัวอย่างคนมุสลิมเปลี่ยนเป็นพุทธ เขามีวิธีคิดยังไง แล้วเขาคิดเรื่องการไม่มีศาสนายังไง (ไม่ได้บอกใครว่าให้เอาอย่าง แต่ให้ดูตัวอย่าง)
การตัดสินใจทียากที่สุดของชีวิต เปลี่ยนมานับถือพระพุทธศาสนา
กระทู้นี้ตั้งใจพิมพ์มาเพื่อบอกเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นและที่มาที่ไป ไม่ได้มีเจตนาอื่นๆ ใดทั้งสิ้น เพราะยังเคารพนับถือเพื่อนพี่น้องมุสลิมอยู่
ผมเกิดในครอบครัวมุสลิมที่นครศรีธรรมราช พ่อเป็นคนสตูล แม่เป็นคนท่าศาลา พ่อเสียตอนผมอายุ 3 ขวบ ส่วนแม่ก็ไปทำงานที่บาห์เรน ผมจึงอยู่กับตายายมาตลอด และตอนเด็กๆ จึงถูกสอนและฝึกการละหมาด การท่องจำและศึกษาคัมภีร์กุรอานมาตลอด
ตอนอายุประมาณ 6 ย่าง 7 ตากับยายคิดจะส่งผมไปเรียนปอเนาะ แต่มีคนพุทธข้างบ้านแนะนำให้ผมไปเรียนโรงเรียนทั่วไป เพื่อหน้าที่การงานในอนาคต ดังนั้น ผมจึงได้เรียนโรงเรียนทั่วๆไป ตั้งแต่ ป.1 จนถึง ม.6 จึงคลุกคลีอยู่กับวัฒนธรรมบางอย่างของคนพุทธตลอด เช่น การไหว้พระ (ก่อนหน้านั้นไม่ได้ไหว้ เพราะตายายสอนว่าห้ามไหว้เดี๋ยวตกนรก) การไหว้ครู และอื่นๆ ส่วนเรื่องวิถีชีวิต เช่น การละหมาด ผมจะละหมาดที่โรงเรียน 2 ครั้งในช่วงเที่ยง และช่วงก่อนกลับบ้าน หากติดคาบก็จะขออนุญาตคุณครูไปละหมาด ส่วนเรื่องละหมาดวันศุกร์ ก็จะขอลาในตอนเที่ยงเพื่อไปละหมาดและฟังคุตบะฮ์ตลอด แต่ก็ต้องมาศึกษาหาความรู้กันเอาในภายหลังเพื่อให้การเรียนผ่านพ้นไปด้วยดี
หลังจากที่เข้าเรียนในมหาลัย ในฐานะมุสลิม จึงสนใจเหตุการณ์ที่ตะวันออกกลางด้วย จนกระทั่งวันหนึ่งพบข่าวว่า รัสเซียให้ความช่วยเหลือซีเรีย ทำการขับไล่ และโจมตีกลุ่มกบฏแบ่งแยกดินแดนออกไปจากซีเรีย
ผมจึงเกิดความคิดว่า "ทำไมไม่ให้มุสลิมช่วยมุสลิม แต่กลับเป็นคนนอกศาสนาที่ช่วยมุสลิม และช่วยขับไล่พวกมุนาฟิกเสียเอง" ซึ่งสาเหตุที่คิดแบบนี้ เพราะในช่วงนั้น ได้ศึกษาเรื่องราวประวัติศาสตร์ของตะวันออกกลางที่กุรอานไม่ได้บอกไว้ ศึกษาความเป็นมาของทั้งศาสนาอิสลาม คริสต์ ยิว ที่นอกเหนือไปจากกุรอาน อ่านจากทั้งในหนังสือ และในอินเทอร์เน็ต
จนพบว่า ศาสนาอิสลาม แท้จริงแทบจะเป็นหนึ่งเดียวกับศาสนาคริสต์ และยิว เพียงแต่มันเป็นการแยกความคิดแตกใหม่ และซับซ้อนมาก และมาในรูปแบบประมาณว่า ถ้ายิวต้องให้ทำสุหนัต คริสต์จะบอกว่าไม่จำเป็นต้องทำ หรือต้องทำก็ได้ขึ้นอยู่กับว่าเป็นนิกายไหน ส่วนอิสลามจะกลับมาบังคับ ว่า ต้องทำทุกนิกายทุกมัชฮับ ซึ่งทำให้รู้สึกสับสนว่าอันไหนผิดถูกจนไม่ได้คิดอีกไประยะหนึ่ง
อย่างไรก็ตาม หลังจากที่ได้อ่านข่าวที่รัสเซียให้ความช่วยเหลือซีเรีย ทำให้ย้อนคิดถึงเรื่องราวก่อนหน้านี้ อิสลามซึ่งเคยชนะ และทำให้ผู้คนในหลายเผ่าในดินแดนอาหรับเลื่อมใสศรัทธา ทั้งยังชนะพวกครูเสดได้
แต่ทำไมต้องแยกเป็นซุนนี และชีอะฮ์ ทำไมต้องเกิดความขัดแย้งกันเองตลอด ทำไมจึงต้องเกิดกลุ่มซาลาฟี (หรือที่หลายๆ คนรู้จักในชื่อวาฮะบีย์) ทำไมปาเลสไตน์จึงต้องหายไป และกลายเป็นอิสราเอลแทน นั้นทำให้เริ่มสงสัยว่าบททดสอบของอัลลอฮ์นั้นจะยาวนาน และโหดร้ายไปอีกนานสักแค่ไหน
จึงย้อนกลับมาดูทางคริสต์ ซึ่งไปรุ่งเรืองในแผ่นดินยุโรป พบว่าคริสต์หลังยุคอาณาจักรโรมันนั้นแทบจะเป็นยุคมืด ศาสนจักรครอบงำผู้คน ชักชวนผู้คนรบราฆ่าฟันกับกลุ่มมุสลิม บ้างก็ใช้ความรุนแรงต่อผู้ที่ขัดแย้งกับศาสนจักร ผ่านไปหลายศตวรรษ กลายเป็นว่าเมื่อถึงยุคเรเนซองส์ ความขัดแย้งทางศาสนาแทบจะหายไป วิทยาศาสตร์ ปรัชญา วิทยการที่เจริญเติบโตขึ้นเรื่อยๆ ผู้คนเริ่มขัดแย้งกันน้อยลง ศาสนาก็ห่างจากชีวิตผู้คนในยุโรปมากขึ้น ในขณะที่วิทยาศาสตร์ที่เคยเจริญรุ่งเรืองในอาหรับก็ค่อยๆ หายไป แถมบางครั้งยังถูกมองว่าขัดแย้งกับศาสนาอีก จนกลายเป็นว่าปัจจุบัน ยุโรปในตอนนี้ เริ่มแยกจากศาสนาได้สำเร็จ และสามารถพัฒนาตัวเองเป็นผู้นำโลกได้
ส่วนโลกอาหรับนั้นแทบไปไม่ถึงไหน โดยเฉพาะตั้งแต่หลังยุคสงครามโลกครั้งที่ 1 เป็นต้นมา2นั้น ชาติอาหรับก็เกิดความรุนแรงขึ้นอย่างต่อเนื่องตลอด
ในช่วงแรกนั้น ด้วยความที่ยังเกรงกลัวสิ่งที่เรียกว่าพระเจ้าอยู่ จึงคิดจะไปนับถือศาสนาคริสต์ แต่ก็พักความคิดชั่วระยะหนึ่ง เพราะต้องการเลือกศาสนาของตัวเองจริงๆ ตัวเองเลือกที่จะไม่นับถือศาสนาอะไรเลยก็ได้ แต่ตัวเองไม่เลือก เพราะเข้าใจว่า ชีวิตทางโลกนั้น ควรมีชีวิตทางธรรมที่ละเอียดลึกซึ้งเข้าด้วย จึงจะใช้ชีวิตได้อย่างสงบสุขโดยแท้จริง (เนื่องจากส่วนตัวคิดว่า กลุ่มคนไม่มีศาสนานั้น ใช้ชีวิตโดยไม่คิดอะไรมากมาย และทำๆ ไปตามที่ใจต้องการ และมีปรัชญาชีวิตที่เน้นจากเรื่องราวทางโลกเกือบล้วนๆ ซึ่งคงไม่ใช่แนวทางของตัวเองที่ต้องการแสวงหาทางสว่าง และความสงบสุขในจิตใจอยู่ตลอดเวลา)
จึงตัดสินใจศึกษาพระพุทธศาสนา จนค้นพบสัจธรรมว่า การจะเป็นคนที่ดีได้นั้น ไม่จำเป็นต้องเชื่อในพระเจ้า ไม่จำเป็นต้องต้องเชื่อคำสอน และทำตามคัมภีร์ ขอเพียงแค่ประพฤติดีทั้งกาย วาจา ใจ เท่านั้นก็เพียงพอสำหรับความสงบสุข
พระพุทธศาสนา เปิดโลกที่ผมไม่เคยเห็นไม่เคยเจอมาก่อน เป็นศาสนาที่สอนให้คนพิสูจน์มากกว่าบังคับเชื่อ เป็นศาสนาที่สอนให้คนเน้นจิตใจที่บริสุทธิ์มากกว่าการห้ามกิน หรือ ห้ามทำสิ่งนั้นนี้ที่ไม่ได้ร้ายแรงอะไร เป็นศาสนาที่ไม่บังคับการเข้าศาสนสถาน
หลังจากที่ตัวเองได้ศึกษาจนถี่ถ้วนแล้ว จึงตัดสินใจบอกกับตัวเองว่า เราจะไม่ใช่มุสลิมแล้ว แต่เราจะเป็นชาวพุทธ แต่ในตอนนั้น ยังไม่คิดทำอะไรมาก จึงคิดจะไปบอกแม่ ปู่ย่าตายาย ที่เป็นมุสลิม แน่นอนว่า ทุกคนรู้สึกตกใจ และไม่อยากให้ผมเลิกศรัทธาต่ออัลลอฮ์ เพราะกลัวว่าเมื่อถึงวันกียะมะฮ์แล้วผมจะต้องตกไฟนรกไปตลอดกาล (ตามความเชื่อของอิสลาม เมื่อเสียชีวิตแล้วจะต้องไปอยู่ในโลกแห่งการรอคอยที่ดวงวิญญาณจะรออยู่จนถึงวันพิพากษา แล้วเมื่อวันนั้นมาถึง อัลลอฮ์จะพิจารณาตัดสินความดีชั่วที่คนผู้นั้นเคยทำไว้เมื่อยังอยู่ในโลกดุนยา หรือ โลกมนุษย์เราปัจจุบัน ผู้ที่ทำความดีไว้มาก จะได้ขึ้นสวรรค์ และพำนักอยู่ในสวรรค์ถาวร ส่วนผู้ที่ทำความชั่ว จะต้องตกไฟนรกไปชั่วนิรันดร ซึ่งนอกจากอิสลามแล้ว คริสต์ และยิวก็เชื่อความเชื่อนี้ด้วยเช่นกัน)
ผมบอกกับทุกคนว่า อินชาอัลลอฮ์ หมายถึงว่า ถ้าอัลลอฮ์ประสงค์ และสำแดงประจักษ์ให้ได้ตระหนักถึงพระองค์ ผมก็จะพร้อมที่จะไปรับอิสลามอีกครั้ง และเชื่อมั่นว่าหากอัลลอฮ์เป็นผู้ทรงเปี่ยมเมตตา ก็จะทรงมีเมตตาอยู่เสมอตราบที่มีลมหายใจอยู่
ตั้งแต่ที่พูดไปในตอนนั้น ปู่ย่าก็ไม่ได้ติดต่อหาผมอีก (ปกติก็ไม่ค่อยติดต่อกันอยู่แล้ว เพราะไม่ค่อยผูกพันอะไรมาก) ส่วนแม่ ตายาย ได้แต่หวังว่าผมจะกลับไปรับอิสลามอีกครั้ง
แต่ความจริงก็คือ ผมไม่มีความคิดนั้นเหลือแล้ว ผมเชื่อมั่นในพระพุทธศาสนา และลึกซึ้งกับธรรมะที่ได้ศึกษาจนยากที่จะกลับไปเป็นมุสลิม
สิ่งที่บอกมาทั้งหมด ไม่ได้ต้องการให้มุสลิมที่ยังศรัทธาในอัลลอฮ์ ต้องหันมานับถือพุทธกันอย่างไร้เหตุผล เพราะเชื่อว่าไม่ใช่เรื่องง่าย โดยเฉพาะสำหรับคนที่เคร่งครัดมาตั้งแต่เกิด เคยมีกรณีคนที่มานับถือพุทธ แต่ก็กลับไปนับถืออิสลามอีก เพราะเกรงกลัววันพิพากษา กลัวว่าตัวเองจะต้องตกไฟนรก ซึ่งส่วนตัวมองว่า ตัวเองทำแต่ความดี จิตใจบริสุทธิ์ ก็มากพอแล้วที่พระเจ้าจะเมตตา และยังเชื่อมั่นในพระเมตตาเสมอว่าจะไม่ทำแบบนั้น หากประพฤติดีทั้งกาย วาจา ใจ
https://pantip.com/topic/39980797
จขกท. เข้าใจอิสลามอย่างดี แล้วก็ศึกษาพุทธได้ตรงเป้าหมาย ชีวิตหญิงสาวอัฟกันก่อนตาลีบันปกครอง  https://www.youtube.com/watch?v=-tAv5sCirWE ดูเธอ (คนรุ่นใหม่) มีความสุขในการทำงาน มีความสุขในการใช้ชีวิต แต่ต่อนี้ไป ?

ที่ว่า
"ทำไมต้องแยกเป็นซุนนี และชีอะฮ์ ทำไมต้องเกิดความขัดแย้งกันเองตลอด"
หลังจากนบีมูฮำมัดสิ้นชีพแล้ว สาวกขัดแย้งเรื่องตั้งกาหลิฟ พวกหนึ่งจึงแยกตัวเป็นชีอะฮ์
https://dhammachati.blogspot.com/2021/09/blog-post_65.html
https://dhammachati.blogspot.com/2021/09/blog-post_40.html

เลิกแล้วค่ะ นี่ตัวอย่างที่ว่า พุทธพอเลิกได้ไม่ยาก
(ดิฉันเคยเป็นพุทธแค่ตอนนี้ไม่มีศาสนาแล้ว แต่ไม่ได้เลิกเพราะไม่ชอบ เลิกเพราะคิดว่าศาสนาไม่ใช่ส่วนสำคัญในชีวิตดิฉันขนาดนั้น)
เขาว่าไว้ที่ https://pantip.com/topic/41008169
ยังพูดถึงประเทศที่ปกครองด้วยกฎหมายอิสลามด้วย
Afghanistan, Brunei, Iran, Malaysia, Maldives, Mauritania, Nigeria, Pakistan, Qatar, Saudi Arabia, Somalia, United Arab Emirates, Yemen (Wikipedia)
ว่าเลิกไม่ได้ ถ้ายังอยู่ตรงนั้น
ส่วนประเทศที่ไลท์สีน้ำเงิน ดูเหมือนผ่อนๆนะ
จากข่าวนี้ 
https://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=samathijit&month=09-2021&date=21&group=6&gblog=71
แต่ไม่แน่ใจว่า ศาสนิกอื่นที่จะแต่งงานกับคนของเขาจะต้องเปลี่ยนศาสนาเหมือนมุสลิมทั่วๆไปไหม มุสลิมทั่วๆไป หญิงหรือชายที่ไปแต่งงานกับคนมุสลิมแล้ว ต้องเปลี่ยนศาสนาเดิมของตนแล้วไปเข้าถือศาสนาของเขาโดยไม่มีอุทธรณ์ฎีกาใดๆทั้งสิ้น (เหมือนเขาตั้งโปรแกรมไว้เลย) หนุ่มสาวพุทธหลายคนที่ไปแต่งงานกับหนุ่มสาวมุสลิม ต้องเปลี่ยนไปเข้าอิสลาม (นี่เท่ายืนยันคำพูดที่ว่าคนพุทธเปลี่ยนไม่ยาก) แต่จะให้มุสลิมเปลี่ยนมาเป็นพุทธนี่หินเลยครับท่าน 
Create Date : 28 กันยายน 2564 |
Last Update : 28 มกราคม 2565 12:31:27 น. |
|
0 comments
|
Counter : 4208 Pageviews. |
 |
|
|
|
|
 |
|
|
BlogGang Popular Award#19
|
|
|