กรรมเก่า คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ.เป็นเจ้าบทบาทเดิม จากนั้น การศึกษาอาศัยปรโตโฆสะ ซึ่งมีคติว่า "คนเป็นไปตามสภาพแวดล้อมที่ปรุงปั้น" และโยนิโสมนสิการ ซึ่งมีคติย้อนกลับว่า "ถ้าเป็นคนรู้จักคิด แม้แต่ฟังคนบ้าคนเมาพูด ก็อาจสำเร็จเป็นพระอรหันต์"
space
space
space
<<
มีนาคม 2565
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
2728293031 
space
space
20 มีนาคม 2565
space
space
space

...ธรรมคุณ (ต่อ) อะกาลิโก


    ทีนี้ อะกาลิโก  "เป็นสิ่งที่ปฏิบัติได้และให้ผลได้ไม่จำกัดกาล"   หมายความว่าไม่จำกัดเวลา ผลไม้ให้ผลเป็นฤดู ลำไยให้ผลเป็นฤดู มะม่วง ทุเรียนก็ให้ผลเป็นฤดู พอหมดฤดูมันก็หมด ไม่ออกผลต่อไป เพราะของเหล่านั้นเป็นวัตถุที่ขึ้นอยู่กับกาลเวลา มันขึ้นอยู่กับอะไรหลายๆอย่าง ดิน ฟ้า อากาศ ธรรมชาติสิ่งแวดล้อม   แต่ว่าธรรมะอันเป็นคำสอนของพระผู้มีพระภาคเจ้าที่เราจะเอาปฏิบัติในชีวิตนั้น ไม่เกี่ยวกับเวลา ศึกษาเมื่อใดก็ได้ ปฏิบัติเมื่อใดก็ได้ ให้ผลแก่ผู้ปฏิบัติลอดไป
อันนี้ มีปัญหาอยู่อันหนึ่งที่คนชอบถามว่า ในสมัยนี้มีพระอรหันต์หรือไม่  เราจะไปรู้ว่าคนนั้นเป็นอรหันต์   คนนี้เป็นอรหันต์ไม่ได้   เพราะพระอรหันต์ไม่มีอะไรบอก  ไม่มีอะไรติดไว้ที่หน้าผาก มันอยู่ที่ใจ สันทิฏฐิโก ขึ้นอยู่กับตัวใครตัวมัน  เราจะไปรู้ได้อย่างไร อันนี้ ไม่ต้องสงสัย อย่าไปเที่ยวสงสัย หลักมันมีอยู่แล้วว่า อะกาลิโก ไม่จำกัดเวลา  ถ้าเราปฏิบัติเมื่อใดก็ให้ผลเมื่อนั้น  รักษาศีลก็ได้ผลจากศีล  เจริญสมาธิก็ได้ผลจากสมาธิ   เจริญปัญญาก็เกิดผลจากปัญญา  ไม่ใช่ว่า ครั้งพุทธกาลได้ผล  มาปัจจุบันไม่ได้ผลอะไร   ยังให้ผลเพราะธรรมะนั้นไม่ได้ร่วงโรยไปไหน   ยังอยู่สดชื่นเรียบร้อยอยู่ตลอดเวลา ให้ผลแก่ผู้ปฏิบัติเรื่อยไป
เวลาพระองค์จะเสด็จปรินิพพาน  สุภัททะปริพาชกได้เข้าไปทูลถามอะไรหลายข้อ แล้วตอนสุดท้าย พระพุทธเจ้าได้ตรัสว่า  สุภัททะเอ๋ย ถ้าชาวโลกยังเป็นอยู่โดยชอบไซร้ โลกนี้จักไม่ว่างจากพระอรหันต์   ที่ว่าโดยชอบ   หมายความว่า  อยู่ตามอริยมรรคมีองค์แปด  เมื่อชาวโลกยังปฏิบัติตามอริยมรรคมีองค์แปดอยู่ โลกนี้จะไม่ว่างจากพระอรหันต์ อะกาลิโก มันเป็นอย่างนั้น

    เพราะฉะนั้น   เราอย่าไปเที่ยวสงสัยแคลงใจ   แล้วก็ไม่ต้องไปพิสูจน์อะไรดอกว่าใครเป็นพระอรหันต์ หรือไม่เป็น   เราพิสูจน์ตัวเราเองดีกว่า   เรามีคุณธรรมขนาดไหน  มีจิตใจสงบ  มีจิตเยือกเย็น อย่างไร  ตรวจสอบที่ตัวเราเองเถิด  อย่าตรวจคนอื่นให้มันวุ่นวายไปเลย   ตรวจสอบตัวเราเองดีกว่า แล้วให้มีความเชื่อในหลักการนี้ว่า ได้ผล ทำแล้วได้ผล เหมือนอาบน้ำแล้วมันก็ต้องเย็น อยู่กลางแดดก็ต้องร้อน จับไฟมือก็ต้องไหม้ จับน้ำแข็งมันก็ค่อยเย็นหน่อย เป็นของธรรมดา   ธรรมะก็เหมือนกัน   เอามาปฏิบัติแล้วก็ต้องได้  ได้หรือไม่ได้นั้นเป็น สันทิฏฐิโก รู้ได้เฉพาะตัว ไม่ต้องไปอวดใคร “คนได้ ไม่อวด คนอวดไม่ได้” จำไว้อันหนึ่ง  คนได้ละก็ไม่อวดดอก   คนอวดละก็ไม่ได้   คนถึงแล้วไม่อวด คนไม่ถึงละก็ไปเที่ยวอวด คือว่าถ้าได้มรรคผลขั้นสูงแล้วเขาไม่อวด  ไม่มีตัวจะเอาไปอวด   ไม่มีกิเลสจะเอาไปอวด   ไอ้ที่อวดๆน่ะมันยังมีกิเลสอยู่ ยังมีตัวที่จะรับความดีความชั่ว รับคำสรรเสริญเยินยอ จากคนนั้นจากคนนี้  จึงมีเรื่องอวดได้
แต่ว่าจิตใจถึงพระนิพพาน หรือเป็นพระอรหันต์แล้วจะเอาอะไรไปอวด  ท่านเหล่านั้น เป็นผู้อยู่อย่างสงบ ไม่พูดเรื่องส่วนตัว   ไม่พูดอวดพูดคุยอะไรทั้งนั้น   พูดแต่เรื่องเป็นสาระ  เป็นธรรมะอยู่ตลอดเวลา   สภาพอย่างนั้นเป็นสิ่งที่จะถึงได้  เพราะธรรมะเป็น อะกาลิโก ให้ผลไม่จำกัดเวลา
 



 



Create Date : 20 มีนาคม 2565
Last Update : 20 มีนาคม 2565 17:43:53 น. 0 comments
Counter : 435 Pageviews.

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 
space

สมาชิกหมายเลข 6393385
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
ผู้ติดตามบล็อก : 9 คน [?]






space
space
[Add สมาชิกหมายเลข 6393385's blog to your web]
space
space
space
space
space