กรรมเก่า คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ.เป็นเจ้าบทบาทเดิม จากนั้น การศึกษาอาศัยปรโตโฆสะ ซึ่งมีคติว่า "คนเป็นไปตามสภาพแวดล้อมที่ปรุงปั้น" และโยนิโสมนสิการ ซึ่งมีคติย้อนกลับว่า "ถ้าเป็นคนรู้จักคิด แม้แต่ฟังคนบ้าคนเมาพูด ก็อาจสำเร็จเป็นพระอรหันต์"
space
space
space
<<
มกราคม 2565
 1
2345678
9101112131415
16171819202122
23242526272829
3031 
space
space
20 มกราคม 2565
space
space
space

โลกะวิทู (๑๓)


ได้พูดอธิบายพระพุทธคุณมาถึงบท สุคะโต  ผู้ไปดี.

   ต่อไปจะพูดถึงบท โลกะวิทู เป็นต้นไป   โลกะวิทู  แปลว่า  รู้แจ้งโลก คือมีพระพุทธภาษิตบทหนึ่งว่า “เอถะ ปัสสะถิมัง โลกัง จิตตัง ราชะระถูปะมัง ยัตถะ พาลา วิสีทันติ นัตถิ สังโค วิชานะตัง” แปลว่า  "สูทั้งหลาย จงมาดูโลกนี้ อันตระการดุจราชรถ ที่พวกคนเขลาหมกอยู่ แต่ผู้รู้หาข้องอยู่ไม่”  โลกอันงดงามเหมือนราชรถ  ซึ่งประดับประดาด้วยประการต่างๆ คนเขลาย่อมติดอยู่ในโลก แต่ผู้รู้ไม่เกี่ยวข้องด้วย   นี่เป็นพระดำรัสที่พระองค์ทรงแสดงให้รู้ว่า พระองค์ทรงทราบชัด ถึงลักษณะความเป็นไปของโลกเพียงใด ทรงทราบอย่างไรบ้าง ดังจะได้พรรณนาต่อไป

   ประการที่ ๑ ทรงทราบความเป็นไปตามธรรมดาของสัตว์.  สัตว์ทุกจำพวกต้องขวนขวายเลี้ยงตัว มีการแย่งชิงเบียดเบียนกั้นก็เพราะเรื่องนี้   ถ้ากำลังน้อยต้องขวนขวายหาทางป้องกันตัวเองด้วย ต้องต่อสู้ศัตรู ถ้าไม่มีศัตรูก็ต้องต่อสู้เพื่อแผ่อำนาจของตนให้กว้างออกไปไม่มีจำกัดเพียง ขวนขวายหากำลังไว้ประหัตประหารกัน ใครดีก็ได้ ไม่เห็นธรรมเป็นใหญ่ โลกจึงเต็มไปด้วยเรื่องทุกข์ พระองค์ทราบเรื่องนี้ จึงได้สั่งสอนให้รู้จักกรุณาปรานี เว้นจากการเบียดเบียนกัน เพื่อผู้มีกำลังน้อยจะได้อยู่เป็นสุข พวกที่มีกำลังมากก็ไม่ถูกเขาจองเวร ไม่ถูกแก้แค้น

    ประการที่ ๒ ทรงทราบวิปริณามธรรมของโลก.  วิปริณามธรรม หมายถึง ความเปลี่ยนแปลง, ความผันแปรเปลี่ยนแปลงเรื่อยไป ประชุมหมู่สัตว์ที่เป็นปึกแผ่นแน่นหนา เป็นเมืองก็ดี ประเทศก็ดี ย่อมแปรปรวนไปตามยุคสมัย   ผู้ครองเมืองมีอำนาจมากที่สุด   อาจจะต้องกลายเป็นคนมือสั้นเท้าสั้นในภายหลัง อาจตายอย่างไม่มีเกียรติ ประเทศที่เคยใหญ่โตอาจจะกลายเป็นเมืองน้อย เช่น กรีก และโรมัน เป็นต้น  การที่ทรงทราบการเปลี่ยนแปลงเช่นนี้ทำให้หายตื่น หายงง หายทะยานอยากในความเป็นเจ้าเป็นใหญ่ ไม่แน่นอน ไม่ยั่งไม่ยืน และไม่ปรารถนาที่จะเกี่ยวข้องกับความเปลี่ยนแปลง แปรปรวนเป็นธรรมดาเช่นนั้น


   ประการที่ ๓ ทรงทราบความว่า สัตว์ทุกจำพวกจำต้องมีทุกข์ประจำชั้นเสมอกันไปหมด  คนยากจนจะต้องทำงานตรากตรำ เห็นตัวเป็นทุกข์เพราะจน เห็นคนมีเงินว่าเป็นความสุข
ฝ่ายคนมีเงินก็เห็นตนเต็มไปด้วยทุกข์ คือต้องคอยหาเงินให้พอใช้มากๆ ต้องแข่งขันกัน ต้องป้องกันอันตรายอันเกิดขึ้นเพราะเงิน กลัวคนขโมย และจะต้องเลี้ยงบริวาร เห็นคนจนมีความสุขกว่าตน
ราษฎรเห็นตัวเป็นทุกข์ เห็นเจ้านายเป็นสุข
ส่วนเจ้านายก็เห็นตัวเองเป็นทุกข์ เห็นราษฎรมีความสุขเช่นเดียวกัน ต่างมีภาระไปคนละทาง เพราะแต่ละคนมีความอยากไม่รู้จักอิ่มเสมอกันไปหมด  การที่พระองค์ทรงทราบเช่นนี้จึงทำให้พระองค์เบื่อหน่ายโลก และแสวงหาความดับทุกข์ทางใจให้แก่โลก


   ประการที่ ๔ ทรงทราบกาม  โดยเป็นสภาพถูกเผาลน และผูกรัด กระทั่งมีใจจมลึกติดอยู่ในบ่อเปือกตมคือกาม ได้แก่ รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ที่ยั่วกำหนัด ราคะ ดำกฤษณา มันเผาลนใจให้เร่าร้อน เมื่อยังไม่ได้  เมื่อได้มาแล้วเผาให้ไหม้ไปอีกด้วยความหึงหวง
ครั้นแตกสลายพลัดพรากไป   ก็ถูกเผาอีกด้วยความอาลัย เหี่ยวแห้งใจ และยังถูกผูกรัดให้พะวงติดอยู่ในจิตแน่น ไม่ให้ปลอดโปร่งเป็นฝ้าหนาปิดบังปัญญา ความคิดที่สอนให้ขึ้นจากบ่อเปือกตมนั้นได้ เช่น เดียวกับคนติดฝิ่น ที่โง่เขลา ยอมเสียชีวิตได้เพราะกาม ประพฤติชั่วเพราะกาม โลกเต็มไปด้วยกาม มนุษย์ทั้งโลกวุ่นวายก็เพราะกาม  เนื่องจากพระองค์ทรงทราบความจริงอันนี้   จึงถอนพระองค์จากกามได้ ออกเป็นอิสระจากปีศาจแห่งกาม


Create Date : 20 มกราคม 2565
Last Update : 23 มกราคม 2565 8:19:01 น. 0 comments
Counter : 515 Pageviews.

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 
space

สมาชิกหมายเลข 6393385
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
ผู้ติดตามบล็อก : 9 คน [?]






space
space
[Add สมาชิกหมายเลข 6393385's blog to your web]
space
space
space
space
space