|
ฝึกสมาธิเพิ่มสมรรถภาพในการทำงาน (๑๙) |
|
ผู้เขียนใคร่ขอนำเรื่องการฝึกสมาธิจิต เพื่อเพิ่มสมรรถภาพในการทำงาน ๔ เรื่อง มาให้ท่านผู้อ่านได้ทราบ คือ
เรื่องแรก เป็นเรื่องของมนุษย์อวกาศที่จะถูกส่งโคจรไปในอวกาศนอกโลกนานเป็นเดือนๆ เขาจะอยู่ในยานอวกาศเล็กนิดเดียว ผู้เขียนจะไม่พูดถึงว่าเขาจะกิน จะนอน จะถ่ายของเสียในตัวเขาได้อย่างไร มนุษย์เหล่านี้ จะต้องได้รับการทดสอบทางกายและทางจิตหลายประการก่อนที่จะถูกส่งขึ้นไปในอวกาศ แน่นอนเขาจะต้องมีร่างกายแข็งแรงดีเลิศ จะต้องรู้วิธีออกกำลังกายแบบ ”อยู่กับที่” (Isometric หรือ Static exercise) และเขาจะต้องได้รับความรู้อื่นๆ โดยร่างกายไม่เปลี่ยนแปลงเมื่อกลับลงมายังพื้นโลก
ถ้าเป็นมนุษย์ธรรมดาแน่นอนคงตายอยู่ในยานอวกาศเสียนานแล้ว รัสเซียเป็นประเทศแรกที่ประยุกต์การฝึกสมาธิจิตไปพร้อมกับการฝึกกายให้แก่มนุษย์อวกาศทุกคน ฉะนั้น รัสเซียจึงนำหน้าสหรัฐอเมริกาในเรื่องนี้อยู่ระยะหนึ่ง
เรื่องที่ ๒ เป็นการฝึกฝนนักกีฬาเพื่อแข่งขันกีฬาโอลิมปิก ในประเทศเยอรมันนี และเชื่อว่าอีกหลายประเทศในโลก นอกจากจะซักซ้อมกำลังกายเพื่อความแข็งแกร่งของกล้ามเนื้อส่วนต่างๆเพื่อกีฬาประเภทนั้นๆแล้ว บัดนี้ เขาได้ประยุกต์วิชาสมาธิจิตให้แก่นักกีฬาอีกด้วย ในการฝึกฝนทางด้านกายนั้น ในที่สุดก็ถึงจุดสุดยอดเดียวกัน เขาจึงหันมาสนใจฝึกฝนทางจิตเพิ่มขึ้นอีกทางหนึ่ง เพื่อให้เข้าไปช่วยกายอีกแรงหนึ่ง ซึ่งแน่นอนเหลือเกินที่นักกีฬาผู้ใดที่มีพลังจิตสูงจะเกิดพลังเสริมหรือพลังสะสม (Reserve Power) อย่างมหาศาล ที่จะไปช่วยพลังกายให้เอาชนะคู่ต่อสู้ที่ฝึกแต่กายอย่างเดียวเท่านั้นอย่างแน่นอนจริงหรือไม่ ?
เรื่องที่ ๓ วันหนึ่ง มีเพื่อนสนิทเสมือนญาติของผู้เขียน เรารู้จักกันมาแต่เล็กแต่น้อย เขาเป็นพ่อค้าเจ้าสำราญ เล่าให้ผู้เขียนได้รู้อย่างประหลาดใจ และตื่นเต้น พร้อมทั้งขอความเห็นและข้อแนะนำว่า ครั้งหนึ่งในการประชุมสำคัญระหว่างชาติที่เกี่ยวกับการค้า ระหว่างประเทศ เขาได้มีโอกาสรู้จักกับผู้แทนของประเทศที่เข้าร่วมประชุมคนหนึ่ง และต่อมาได้พบกันบ่อยๆ ทั้งในและนอกการประชุม ผู้แทนประเทศดังกล่าวนี้เอ็นดูรักใคร่เพื่อนผู้เขียนมาก เพื่อนผู้เขียนเล่าว่า ผู้แทนของประเทศดังกล่าวนี้ จะใช้เวลาพักเที่ยงก่อนอาหาร นั่งสมาธิเป็นประจำ หลังจากออกจากสมาธิแล้ว เขาก็จะบอกเล่าคาดการณ์ให้เพื่อนผู้เขียนฟังเป็นข้อๆว่า ผู้แทนประเทศใดจะออกความคิดเห็นไปในแนวทางใด ฝ่ายเราจะตอบได้อย่างไร ฯลฯ พอเปิดประชุมต่อภาคบ่าย เพื่อนผู้เขียนเล่าว่าที่ผู้แทนประเทศนั้น คาดการณ์ล่วงหน้าไว้ก่อนนั้นถูกต้องอย่างไม่น่าเชื่อ และทำดังนี้มิใช่ครั้งเดียวด้วย ผู้เขียนได้อธิบายให้ฟังเท่าที่ผู้เขียนพอจะรู้ ตั้งแต่นั้นมา เพื่อนผู้นี้ ซึ่งแต่เดิมมา ไม่เคยสนใจเรื่องของตนเอง ไม่ว่าเรื่องของกาย หรือจิต ไม่เคยสนใจพุทธศาสนา ก็หันกลับมาสนใจ เขาเห็นแจ้งด้วยตัวของเขาเอง เรียกว่าบุญเขาถึงแล้ว อย่างนี้ ท่านผู้อ่านคิดดูให้ดี ประโยชน์นี้ นอกจากได้กับตัวของเขาเองแล้ว ในขณะที่เขาเป็นผู้แทนประเทศไทย และต่อมาได้รับเลือกให้เป็นประธานในที่ประชุม
อย่างไรก็ดี ผู้เขียนใคร่ขอให้ข้อสังเกตไว้ว่า การที่เขาผู้นั้นสามารถคาดการณ์ต่างๆเหมือนเข้าไปนั่งในใจของผู้แทนประเทศนั้นประเทศนี้ได้นั้น มิใช่เพียงนั่งหลับตาแล้วทราบหรือรู้แจ้งก็หาใช่เช่นนั้นไม่ แต่เขาผู้นั้นยังจะต้องมีความรอบรู้ในเรื่องนั้นๆเป็นอย่างดีด้วย เขาจะต้องศึกษาติดตามตลอด จนคิดหาเหตุผลแนวทางการประชุมหรือแนวตอบโต้อยู่ตลอดเวลา กล่าวคือ ต้องให้ความสนใจเรื่องนั้นๆ อย่างจริงจังเป็นเป็นเบื้องต้นเสียก่อน ซึ่งกว่าจะถึงขั้นนั้นก็ต้องมีประสบการณ์ประกอบอีกด้วยตามสมควร ครั้นได้มีโอกาสใช้หลักสมาธิเข้าประกอบ ก็ยิ่งจะช่วยให้จิตได้สงบนิ่งยิ่งขึ้น อันเปรียบเสมือนน้ำใสและนิ่งย่อมเห็นขี้ผง และตะกอนที่ก้นถ้วยชัดเจนดี ฉันใด การคาดการณ์ในแนวความคิดหรือแนวที่จะต้องโต้ในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับผู้แทนคนนั้นก็ ฉันนั้น คือเขาสามารถมองทะลุเห็นช่องทางได้ดีกว่าปกตินั้นเอง
เรื่องที่ ๔ เมื่อ พ.ศ. ๒๕๒๓ ได้มีรายการโทรทัศน์ของสถานี CBS ในสหรัฐอเมริกาในรายการ "CBS 60 Minutes" รายการนี้ มีประชาชนสนใจมาก ในวันนั้น ได้มีการสัมภาษณ์นักวิทยาศาสตร์เชื้อชาติยิวคนหนึ่ง ที่เคยวิจัยค้นคว้าอยู่ในประเทศรัสเซีย และได้หนีออกมาอยู่ในประเทศสหรัฐอเมริกา ได้เล่าให้ฟังถึงการศึกษาค้นคว้าทางวิชาที่โลกตะวันตก เรียกว่าวิชา Parapsychology (อภิจิตวิทยา) ศึกษาวิชาที่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เรียกวิชาเหล่านี้ว่า "เดรฉานวิชา" ซึ่งได้แก่วิชา หูทิพย์ ตาทิพย์ ล่องหนหายตัว ฯลฯ เขาวิจัยค้นคว้าและฝึกจิตนักวิทยาศาสตร์ของเขาเพื่อใช้วิชาเหล่านี้ให้เป็นประโยชน์ในการสืบราชการลับสุดยอด ผู้เขียนเชื่อว่าขณะนี้อภิมหาอำนาจทุกประเทศกำลังขะมักเขม้นศึกษาเรื่องเหล่านี้อาไว้เพื่อประหัตประหารกัน เพื่อครองความเป็นใหญ่ในพื้นพิภพ ในประเทศอเมริกาเองมีมหาวิทยาลัยหลายแห่งมีหลักสูตรสอนถึงขั้นปริญญาเอก และเชื่อว่าบางประเทศศึกษากันอย่างลับๆ และขะมักเขม้น ผู้เขียนยกตัวอย่างเรื่องนี้เพื่อให้เห็นว่า จิตนั้นสามารถฝึกได้ แม้แต่เรื่องเหล่านี้ ซึ่งไม่ได้ก่อให้เกิดปัญญาเลย และไม่สามารถจะนำไปใช้ในการประกอบสัมมาชีพหรือเพื่อเป็นทางนำไปสู่ความสุขหรือความสงบแม้แต่น้อยก็จริง แต่ก็สามารถทำได้ ซ้ำร้ายยังมีผู้สนใจศึกษาเพื่อนำเอาไปใช้ทำลายล้างกันเสียอีก
ทั้ง ๔ เรื่องนี้ พอจะให้ท่านเชื่อในเรื่องความสำคัญของจิตแล้วหรือยัง? จริงอยู่ปัจจุบันนี้ วิชาวิทยาศาสตร์ยังไม่มีเครื่องมือวัดพลังดังกล่าวนี้ได้ โลกตะวันตกกำลังให้ความสนใจเรื่องของจิตมากขึ้นทุกที นับว่าเป็นโชคดีของชาวไทยเรา หรือประชาชาติทางซีกโลกตะวันออกที่นับถือพุทธศาสนา อันมีสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ล่วงรู้ถึงวิชชาอันเร้นลับและลึกซึ้งนี้มาเป็นเวลากว่า ๒๕๐๐ ปี มาแล้ว พุทธศาสนิกชนทั้งหลายจึงได้เปรียบ เพราะมีพื้นฐานอยู่แล้ว ถ้าจะทำความเข้าใจในด้านนี้ให้ลึกซึ้งจริงๆ แต่เป็นที่น่าเสียดาย ที่ส่วนใหญ่มักจะมองผ่านความสำคัญทางด้านนี้ไปเสีย จะเปรียบก็เหมือน "ใกล้เกลือกินด่าง" ก็เห็นจะไม่ผิดนัก
(นึกโยงให้ถึงการฝึกสมาธิตามหลักอิทธิบาท ๔ ด้วย)
Create Date : 25 มกราคม 2565 |
|
0 comments |
Last Update : 25 มกราคม 2565 7:50:27 น. |
Counter : 481 Pageviews. |
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|