กรรมเก่า คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ.เป็นเจ้าบทบาทเดิม จากนั้น การศึกษาอาศัยปรโตโฆสะ ซึ่งมีคติว่า "คนเป็นไปตามสภาพแวดล้อมที่ปรุงปั้น" และโยนิโสมนสิการ ซึ่งมีคติย้อนกลับว่า "ถ้าเป็นคนรู้จักคิด แม้แต่ฟังคนบ้าคนเมาพูด ก็อาจสำเร็จเป็นพระอรหันต์"
space
space
space
<<
ธันวาคม 2564
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
262728293031 
space
space
10 ธันวาคม 2564
space
space
space

จากพระเจ้าสูงสุด เป็นธรรมสูงสุด




นี่ลักษณะพระเจ้าสูงสูด 450(เทวนิยม)


   ก่อนอื่น  ขอแปลความหมายของคุณแมท  ตามภาพประกอบก่อนล่ะกัน เพราะกลัวว่า จะมีหลายคนเข้าใจผิด ความหมายที่เค้าจะพยายามสื่อ "เมื่อคุณไม่เข้าใจกับหลักการอิสลาม คุณจะกลายเป็นคนเกลียดต่อศาสนาของพระองค์"

ทำไมเราถึงเชื่อว่า อิสลามเพียงศาสนาเดียวที่พระเจ้ารับรอง ด้วยเหตุนี้เราจึงขอมาชี้แจง พื้นฐานกับผู้ที่ต้องการอยากรู้ความจริงเท่านั้น ส่วนใครรับไม่หรือเปล่า อันนั้นเป็นสิทธิส่วนบุคคลล่ะกัน

หลักการพื้นฐานเกี่ยวกับการศรัทธาในศาสนาอิสลามคือ เชื่อว่าพระเจ้ามีอยู่จริง เชื่อว่าพระเจ้ามีพระองค์เดียว พระเจ้าองค์นั้น ไม่มีพระเจ้าองค์ใดอีกแล้ว และเป็นพระเจ้าองค์เดียวในสากลจักรวาล เป็นพระเจ้าของลูกหลาน นะบี อดัม ทุกๆคน ถ้าคุณศรัทธาต่ออัลลอฮฺว่า พระเจ้า (องค์เดียว) คือผู้สร้าง นั้นแสดงว่า คุณจะไม่ย้อนแย้งในตัวคุณเอง

ศาสนาอิสลามเป็นศาสนาเดียวที่ไม่มีศาสนาใดสามารถหักล้างได้แม้แต่ศาสนาเดียว เหตุผลเพราะ เมื่อความเชื่อของคุณ หักล้างกับศาสนาอิสลาม ความเชื่อของคุณมันจะย้อนแย้งเข้าไปในตัวความเชื่อศาสนาของคุณเอง

ตัวอย่าง ดร. ซากิรไนค์ เคยขึ้นเวทีท้าทายมาดีเบตเพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนกัน แต่ไม่มีศาสนาใดๆ แม้แต่ศาสนาเดียว ขนาดบุคคลชาวคริสต์ ชาวฮินดู ไม่กล้าจะเผชิญหน้าแลกเปลี่ยนตัวต่อตัว แต่กลับหาวิธีสกปรกโดยการยัดเยียดทุกข้อกล่าวหาต่อ ดร.ซากิรไนค์ นี่บ่งบอกชัดเจน เมื่อความจริงปรากฏ เมื่อนั้นคุณจะถูกต่อต้านเป็นเรื่องธรรมดา

อิสลามเพียงศาสนาเดียวที่จะไม่ยอมรับความอื่น ถ้าความเชื่ออื่นมันไม่ไปขัดแย้งกับหลักการอิสลาม อิสลามเพียงศาสนาเดียวที่มีระบบระเบียบเคร่งครัดในด้านศรัทธา และอิสลามเป็นเพียงศาสนาเดียวที่มีความแตกต่างกับศาสนาอื่นๆ นี่แหละ คือเหตุผล ทำไมเราถึงเชื่อว่า มั่นใจว่า อิสลามเพียงศาสนาเดียวที่พระเจ้ารับรอง ศึกษาศาสนาอิสลามกันเถอะ

ต่อให้คุณเกลียดทั้งหลาย พยายามหาทางกำจัดโดยการสร้างภาพลักษณ์ เพื่อทำลายอิสลาม ทุกๆ วิถีทาง แต่สุดท้ายแล้วคุณจะไม่สามารถทำอะไรใดๆ ทั้งสิ้น เพราะคำพูดของพระเจ้ายืนยันชัดเจน "ข้าจะปกป้องศาสนาของข้าจนถึงวันสิ้นโลก.




235 เป็นธรรมสูงสุด450คือ พ้นจากการสยบยอมต่อพระเจ้ามาที่การพัฒนาตัวมนุษย์เอง (อเทวนิยม)

 -จากเทพสู่ธรรม  ธรรมกำหนดกรรม  กรรมเรียกร้องสิกขา

235 จากเทพสูงสุดเป็นธรรมสูงสุด

    พระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นมา ได้ตรัสรู้ ค้นพบความจริง เข้าถึงกฎธรรมชาติแห่งความเป็นไปตามเหตุปัจจัย และอสังขตสภาวะที่ไม่ขึ้นต่อเหตุปัจจัยนั้นแล้ว พระองค์ก็ทรงมาแสดงธรรม เท่ากับทรงเที่ยวบอกแก่ประชาชนทั้งหลายว่า ท่านทั้งหลาย อย่ามัวแต่มองออกไปข้างนอกเลย อย่ามัวไปหวังผลจากการดลบันดาลของเทพเจ้าโดยไปขอให้ท่านช่วยโน่นช่วยนี่กันเลย ที่แท้นั้น สิ่งทั้งหลายมันเป็นไปตามความจริงของมันเอง ที่เป็นไปตามเหตุปัจจัยของมัน ขอให้เราหันมามองดูความจริงกันเถิด

  คำสอนของพระพุทธเจ้าย้ำเตือนว่า อย่ามัวแต่มองไปที่เทพเจ้าแล้วร่ำร้องว่าเราจะเอาโน่นเอานี่โดยขอให้ท่านทำให้เลย ขอให้เรามามองดูความจริงที่อยู่รอบตัวเรานี่แหละ ซึ่งเกี่ยวข้องกับชีวิตของเราว่า สิ่งทั้งหลายเป็นไปตามเหตุปัจจัยของมัน ผลที่เราต้องการจะเกิดขึ้นด้วยการกระทำของเราที่ตรงตามเหตุ ถ้าเราทำเหตุปัจจัยให้ตรงให้พร้อม ผลก็จะเกิดขึ้นตามเหตุปัจจัยนั้น นี่คือความเป็นไปตามเหตุปัจจัย


  รวมความว่า พระพุทธเจ้าทรงชี้ชวนประชาชน ให้หันเหเบนความสนใจจากการดลบันดาลของเทพเจ้า ซึ่งเป็นอำนาจภายนอกที่เลื่อนลอย ที่ตัวเองมองไม่เห็น และไม่สามารถบังคับควบคุม ให้หันมาดูความจริงของสิ่งทั้งหลายที่เป็นไปตามเหตุปัจจัยของมัน คือ ธรรม

  ความเป็นไปตามเหตุปัจจัย หรือตัวความจริงนี้ เรียกง่ายๆด้วยศัพท์สั้นนิดเดียว เป็นคำๆเดียว คือ ธรรม เท่านั้นเอง

  จากเทพเจ้าที่ดลบันดาล พระพุทธเจ้าเบนความสนใจของประชาชนมาสู่ความจริงแห่งกฏธรรมชาติ คือ ธรรม เพราะฉะนั้น พุทธกิจสำคัญที่พระพุทธเจ้าทรงกระทำ สรุปได้ง่ายๆ คือ ดึงประชาชนจากเทพมาสู่ธรรม จากการถือว่าเทพสูงสุด มาเป็นธรรมสูงสุด

  จากเทพ - สู่ธรรม   คือ  เหตุการณ์ใหญ่ที่เกิดขึ้นในพุทธกาล   เป็นการปฏิวัติสังคม ในขณะที่สังคมมุ่งหวังผลจากการดลบันดาลของเทพเจ้า เมื่อประชาชนมัวหลงใหลวุ่นวายอยู่กับเรื่องเทพเจ้า เอาแต่อ้อนวอนขออำนาจเทพเจ้าให้บันดาลโน่นดลนี่ พระพุทธเจ้าก็ดึงให้เขามาสนใจตัวธรรมที่อยู่ในธรรมชาติ คือความจริงแห่งความเป็นไปตามเหตุปัจจัย อันนี้แหละ เป็นหลักการใหญ่ของพระพุทธศาสนา.



235  โดยสรุปหลักของพระพุทธศาสนา คือ คำสอนของพระพุทธเจ้า  มุ่งให้มนุษย์ฝึกหัดพัฒนาตนเอง  จนถึงขั้นอริยชน    แยกกันระหว่างคนกับคำสอน  คำสอนก็ส่วนหนึ่ง  คนก็ส่วนหนึ่ง  คนละส่วนกัน  อย่านำมาปนกัน  เช่น ตัวอย่างนี้  นำมาปนกัน

> "เมื่อวานกราบไหว้สาธุให้ข้าวให้ปัจจัย  วันนี้ทำเรื่องเลวทรามเสื่อมเสีย  กลับบอกเป็นแค่โล้นห่มเหลืองมันยังไงกันแน่  แล้วจะแยกยังไงว่าใครมันเลวทรามเสื่อมเสียสำหรับwระสvฆ์ครับ"

https://www.facebook.com/groups/800582937198178/?hoisted_section_header_type=recently_seen&multi_permalinks=972066553383148


235 พระพุทธเจ้าฝากพระศาสนาของพระองค์ไว้กับพุทธบริษัท ๔  คือ  ภิกษุ  ภิกษุณี  อุบาสก และอุบาสิกา  นี่เท่ากับบอกว่า  คนก็ส่วนหนึ่ง  คำสอนคือศาสนาก็ส่วนหนึ่ง 

> อาจมีคำถามว่าสอดเข้ามาว่า ภิกษุ ภิกษุณี มาจากไหน ?   คำตอบ. ก็มาจากอุบาสก กับ อุบาสิกานั่นเอง เมื่อวานยังเป็นอุบาสก วันนี้เข้าไปบวชเขาก็เรียกว่าภิกษุ เป็นภิกษุเพื่อจะได้มีเวลาฝึกหัดพัฒนาตัวได้เต็มสามารถจากปุถุชนเป็นอริยชน  ฝึกไม่ไหวก็สึกออกไปเป็นอุบาสก  เป็นอุบาสก อุบาสิกา  ก็ฝึกได้  ฝึก  ต้องฝึก ไม่ใช่เอาจีวรห่มแล้วกิเลสตัณหาอุปาทานมันจะหลุดเพราะห่มจีวรก็หาไม่   121   อย่าเข้าใจผิดว่า   ห่มจีวรนอนวัดแล้วกิเลสมันจะร่วงหล่นออกจากจิตใจหายจ้อย    ไม่ใช่   กิเลสต้องเห็นชัดด้วยปัญญาจึงจะละมันได้   กิเลสไม่ใช่ขี้ขี้นะ  110 ต้องเห็นชัดด้วยปัญญา (วิปัสสนาญาณ)  นี่แหละศาสนาอเทวนิยม  ไม่ง้อพระเจ้านั่นนี่โน่น แต่ต้องฝึกตน  ถ้าฝึกสำเร็จแล้ว  แม้แต่เทวดายังต้องน้อมนมัสการ  ท่านว่าไว้อย่างนั้น

https://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=samathijit&month=04-2021&date=08&group=6&gblog=1

ดูข้อนี้ซ้ำอีกที

https://www.bloggang.com/mainblog.php?id=samathijit&month=04-12-2021&group=29&gblog=23

 
มีตัวอย่างประกอบความเข้าใจเรื่องดังกล่าว

พระวัดดังราชบุรี วิดีโอคอลหาสาว ก่อนลวกก๋วยเตี๋ยวโชว์ ตัดสินใจสึกแล้ว ขอรับผิดชอบกับความผิดที่ทำ และขอยอมรับผลกรรมที่เกิดขึ้น


https://www.khaosod.co.th/around-thailand/news_6776614


   ปุถุชน   คนที่หนาแน่นไปด้วยกิเลส,  คนที่ยังมีกิเลสมาก  หมายถึงคนธรรมดาทั่วๆไป  ซึ่งยังไม่เป็นอริยบุคคลหรือพระอริยะ  บุถุชน ก็เขียน

   อริยะ  เจริญ, ประเสริฐ,  ผู้ไกลจากข้าศึกคือกิเลส,  บุคคลผู้บรรลุธรรมวิเศษ มีโสดาปัตติมรรค เป็นต้น

   อริยบุคคล     บุคคลผู้เป็นอริยะ,  ท่านผู้บรรลุธรรมวิเศษมีโสดาปัตติมรรค เป็นต้น  มี  ๔  คือ  ๑. พระโสดาบัน  ๒.พระสกทาคามี  ๓. พระอนาคามี  ๔. พระอรหันต์

 




 

Create Date : 10 ธันวาคม 2564
0 comments
Last Update : 24 มีนาคม 2567 17:53:37 น.
Counter : 713 Pageviews.

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

space

สมาชิกหมายเลข 6393385
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
ผู้ติดตามบล็อก : 9 คน [?]






space
space
[Add สมาชิกหมายเลข 6393385's blog to your web]
space
space
space
space
space