ตั้งพระจตุคามรามเทพหันหน้าไปทางทิศไหนดี
//www.suriyunjuntra.com/

ตั้งพระจตุคามรามเทพหันหน้าไปทางทิศไหนดี

ถาม ผมมีรูปพระโพธิสัตว์จตุคามรามเทพนาคปรก ๗ เศียร ขนาดความสูง ๒๕ นิ้ว อยู่องค์หนึ่ง จะตั้งบนแท่นบูชา ไม่ทราบว่าหันหน้าไปทางทิศไหนจึงจะถูกต้อง

ตอบ ก่อนที่จะตอบคำถาม อยากจะให้ทำความเข้าใจเกี่ยวกับสิ่งที่ คัมภีร์พระเวท และคัมภีร์มัธยมิกะ กล่าวตรงกันว่าเป็นต้นกำเนิดของทุกสิ่งทุกอย่างใน โลก และจักรวาล ก็คือ "แสง" ความจริงและความลับในเรื่อง "แสง" จึงเปรียบเสมือนดังกุญแจที่ไขไปสู่ความลี้ลับซับซ้อนของสิ่งทั้งหลายใน โลก และจักรวาล เปิดเผยให้เห็นถึงปรากฏการณ์อันน่าพิศวงและความมหัศจรรย์นานาประการ จนไม่อาจนำมากล่าวให้หมดสิ้นได้
การค้นพบความจริงและความลับในเรื่อง "แสง" เมื่อหลายพันปีก่อน บังเอิญตรงกับการค้นพบทางวิทยาศาสตร์ฟิสิกส์ยุคใหม่ ที่อธิบายให้เหตุผลถึง การก่อกำเนิด "จักรวาล" ก็คือ "แสง" ความจริงและความลับในเรื่อง "แสง" จึงเปรียบเสมือนดังกุญแจที่ไขไปสู่ความลี้ลับซับซ้อนของสิ่งทั้งหลายใน โลก และจักรวาล เปิดเผยให้เห็นถึงปรากฏการณ์อันน่าพิศวงและความมหัศจรรย์นานาประการ จนไม่อาจนำมากล่าวให้หมดสิ้นได้
การค้นพบความจริงและความลับในเรื่อง "แสง" เมื่อหลายพันปีก่อน บังเอิญตรงกับ การค้นพบทางวิทยาศาสตร์ฟิสิกส์ยุคใหม่ ที่อธิบายให้เหตุผลถึง การก่อกำเนิด "จักรวาล" เมื่อราว ๑๕.๐๐๐ ล้านปีก่อน และปฐมการกำเนิด "ระบบสุริยจักรวาล" เมื่อประมาณ ๔.๖๐๐ ล้านปีมาแล้ว มีหลักฐานจากการค้นพบของนักวิทยาศาสตร์มากมาย เป็นพยานยืนยันจนเป็นที่ยอมรับว่าสิ่งที่มีอยู่ สิ่งที่รู้เห็นได้ทั้งจากระบบประสาทสัมผัส ตรวจสอบด้วยกล้องจุลทรรศน์พิสูจน์ด้วยวิธีทางวิทยาศาสตร์ในห้องทดลอง ตลอดจนการคิดคำนวณด้วยสูตรทางคณิตศาสตร์จนไม่สามารถโต้แย้งได้ว่า "คลื่นอนุภาคแสง" คือ สิ่งที่มีขนาดเล็กที่สุดของ "สสาร" และ "พลังงาน" ซึ่งมีคุณสมบัติเป็น "คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า" มีพลังงานเคลื่อนไหวหมุนเวียนไปในรูปวงจรอยู่ตลอดเวลา ไม่เคยหยุดนิ่งได้เลย สิ่งลี้ลับดังกล่าวนี้คือรากฐานการก่อกำเนิดของสรรพสิ่งทั้งหลายทั้งปวงในโลก
คนในสมัยโบราณไม่รู้ความลับและความจริงของธรรมชาติ อาจเป็นเหตุให้สำคัญผิดคิดว่าพระเจ้าสร้างโลก สร้างจักรวาล ตลอดจนสร้างสรรพสิ่งทั้งหลายขึ้นมา ด้วยอำนาจอันศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์ แต่ในสมัยปัจจุบันความเชื่อดังกล่าว ถูกลบล้างไปเพราะว่าหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ฟิสิกส์ยุคใหม่ ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า จักรวาล และสิ่งทั้งหลายทั้งปวงในโลก มีรากฐานการก่อกำเนิดมาจาก การระเบิดครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดของจักรวาลเก่า (Big Bang) ซึ่งเป็นไปตามวงจรของการดับเพื่อเกิดใหม่ของวัฏจักรชีวิตของดวงดาว การระเบิดอย่างรุนแรงที่สุดกลายเป็นไฟประลัยกัลป์ที่ร้อนจัดที่สุด เผาไหม้ทุกสิ่งทุกอย่างเปลี่ยนรูปของ "สสาร" ให้กลับกลายเป็น "พลังงาน" ที่มีคุณสมบัติและคุณลักษณะเป็น "อนุภาคแสง" อันเป็นคลื่นพลังงานที่มีขนาดเล็กจิ๋วที่สุด ล่องลอยแผ่กระจายไปทั่วห้วงอวกาศ แผ่อาณาเขตออกไปกว้างใหญ่ไพศาลครอบคลุมพื้นที่อันหาขอบเขตจำกัดมิได้ อนุภาคแสงดังกล่าวเคลื่อนไหวหมุนเวียนอยู่ตลอดเวลา เกิดแรงดึงดูดให้รวมตัวกันกลายเป็น "จักรวาล" หรือที่เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า "เอกภพ" (Cosmic)
การเปลี่ยนแปลงแปรรูปกลับไปกลับมา เคลื่อนไหวหมุนเวียนทำให้เกิดการรวมตัวและแตกตัวเกิดเป็นสิ่งทั้งหลายขึ้นตามกฎสัมพันธภาพ ตั้งแต่ขนาดใหญ่ที่สุดซึ่งหมายถึงโครงสร้างของจักรวาลหรือเอกภพ ทั้งหมด อาจหมายถึง “องค์พรหม” ในคัมภีร์พระเวทหรือ “ธรรมธาตุ” ในคัมภีร์มัธยมิกะและเป็น “อนันต์” (Infinity) ในวิทยาศาสตร์ฟิสิกส์ยุคใหม่คือหมายถึงสิ่งที่ใหญ่ที่สุดอย่างไม่มีสิ่งใดจะใหญ่ไปกว่านี้ได้อีกแล้ว แต่ก่อกำเนิดมาจากสิ่งที่มีขนาดเล็กที่สุดจนไม่อาจแบ่งแยกได้อีกต่อไป เรียกกันว่า “ปรมาณู” (Anu) หรือ “อะตอม” (Atom) หรือ (ธาตุ) (Element)

จึงกล่าวสรุปได้ว่า รูปกายของทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นเป็นรูปกายวัตถุในโลกและจักรวาล ล้วนแต่มีวิวัฒนาการมาจากสิ่งที่มีขนาดเล็กที่สุดในระดับใต้ “อะตอม” หรือ “ธาตุ” ทั้งที่เป็น “สสาร” และ “พลังงาน” ทำปฏิกิริยารวมตัวกันเข้าและแตกตัวออกจากกัน แปรรูปเปลี่ยนแปลงเป็นรูปกายและปรากฏการณ์ของสรรพสิ่งทั้งหลายเป็นไปตามกระบวนการสร้างสรรค์ของธรรมชาติทั้งสิ้น
ในยุคดึกดำบรรพ์พวกฤๅษีผู้แสวงหาความจริงแท้ของโลกและจักรวาล โดยใช้วิธีการบำเพ็ญภาวนาสมาธิเพื่อให้เกิดธรรมปัญญา สว่างไสวขึ้นในดวงจิต จนรู้แจ้งเห็นจริงในสิ่งทั้งหลายทั้งปวง ล่วงรู้ถึงรากฐานการก่อกำเนิดของสรรพสิ่งทั้งหลายว่ามีมูลเหตุมาจากการระเบิดของมหาไฟบัลลัยกัลป์เผาไหม้สิ่งทั้งหลายกลายเป็นเศษฝุ่นผงละอองธุลีเถ้าถ่านล่องลอยไปในจักรวาล คัมภีร์พระเวทเรียกว่า “ไฟ” และกล่าวว่า “ไฟ” คือผู้สร้างสรรค์สรรพสิ่งทั้งหลายขึ้นมาจึงเรียกผู้สร้างสรรค์นั้นว่า “องค์พรหม” หรือ “พรหมมัน” ส่วนข้อความในคัมภีร์มะยมิกะของพุทธศาสนา นิกายมหายาน เรียกแสงอันเป็นรังสีเปล่งเป็นประกายเจิดจ้าว่า “ธรรมธาตุ” หรือในคัมภีร์เต๋าเต๋อจิงของลัทธิเต๋า เรียกสิ่งอันเป็น “ทวิลักษณ์” คือ มีลักษณะเป็น ๒ อย่างในสิ่งเดียวกันว่า “หยิน-หยัง” ตรงกับการค้นพบของนักวิทยาศาสตร์พิสิกส์ยุคใหม่ เรียกว่า “คลื่นอนุภาคแสง” ล้วนแต่สื่อความหมายให้เห็นถึงสิ่งที่เป็นคุณสมบัติของ “ไฟ” หรือ “คลื่นแสง” ที่มีพลังอำนาจตามธรรมชาติเป็น “สนามแม่เหล็กไฟฟ้า” ๒ ขั้ว คือ ขั้วบวกขั้วลบ อยู่ภายในตัวเอง
การศึกษาค้นหาความจริงถึงความสัมพันธ์ระหว่างโลกกับ ดวงดาวในจักรวาลตามหลักปรัชญาโหราศาสตร์ก็ค้นพบความจริงและความลับว่า โลกของเรา มีคุณสมบัติพิเศษพิสดารยิ่งกว่าดาวพระเคราะห์ทั้งหลายใน “ระบบสุริยจักรวาล” ทั้งนี้เพราะว่า โลกของเรานอกจากมีระบบธาตุ ดิน น้ำ ลม ไฟ และอากาศ อยู่ภายในตนเองอย่างสมบูรณ์แล้วโลกยังมีคุณสมบัติพิเศษอีกอย่างหนึ่งก็คือมี “ชั้นบรรยากาศ” ห่อหุ้มไว้เป็นชั้นๆ มีสภาพคล้ายกับเรือนกระจกขนาดมหึมา คอยควบคุมสภาพของลมฟ้าอากาศให้เกิดการปรับเปลี่ยนอุณหภูมิของโลกให้บังเกิดความอบอุ่นมีความเหมาะสมสำหรับเป็นแหล่งการก่อกำเนิดมวลชีวิต ๓ ประการ คือ มนุษย์ สัตว์ พืช ขึ้นมาในโลก
นอกจากนั้นยังมีสิ่งสำคัญพิเศษสุดดุจดังพระเจ้าสร้างสรรค์ก็คือ “ระบบธาตุของโลก” เมื่อได้รับ “แสงอาทิตย์” ที่ส่องผ่านชั้นบรรยากาศเข้ามาทำปฏิกิริยากับระบบธาตุดังกล่าวก่อให้เกิดการรวมตัวและแตกตัวเปลี่ยนแปลงเป็นรูปกายของวัตถุธาตุ ตามกระบวนการเสกสรรปั้นแต่งของธรรมชาติสร้างพลังขับเคลื่อนสั่นไหวไหลเวียนของ ลมฟ้าอากาศให้ผันแปรไปเป็น “ฤดูกาล” ที่ความเหมาะสมสำหรับเป็นแหล่งก่อกำเนิดของสิ่งมีชีวิต เพื่ออยู่อาศัยสืบพันธุ์กันไปจนกว่าจะสิ้นอายุขัยภายใต้กฎวัฎจักรแห่งฤดูกาลของโลกและชีวิต
นักอภิปรัชญาในอดีต จึงได้แบ่งสรรพสิ่งทั้งหลายที่เกิดขึ้นมาในโลกของเราออกได้เพียง ๒ ชนิดคือ
“วัตถุธาตุที่ไม่มีชีวิต” และ “วัตถุธาตุที่มีชีวิต”
การศึกษาค้นหาความจริงถึงสิ่งเร้นลับที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังธรรมชาติ ถูกปิดกั้นขัดขวางจากความเชื่อทางศาสนา เป็นเหตุให้โลกตกอยู่ใน “ยุคมืด” มาช้านาน แต่ไม่สามารถหยุดยั้งความไม่สิ้นสงสัยของนักปรัชญาที่อยากรู้อยากเห็นอยากรู้คำตอบอย่างสมเหตุสมผลสามารถอธิบายให้เห็นจริงอย่างชัดเจนได้ โลกของเราจึงได้พัฒนาการผ่านมาจนถึง “ยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาการ” จนกระทั้งเข้าสู่ความรุ่งเรืองก้าวหน้าใน “ยุควิทยาศาสตร์” จึงค้นพบว่าภายในโครงสร้างขนาดเล็กจิ๋วที่สุดของสิ่งที่นักปรัชญาในสมัยโบราณเรียกกันว่า “อะตอม” หรือ “ธาตุ” คือสิ่งที่เล็กที่สุดจนไม่สามารถแบ่งแยกได้อีกต่อไปนั้น ด้วยสติปัญญาอันประเสริฐของมนุษย์ได้ประดิษฐ์คิดค้นเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์และสูตรคณิตศาสตร์อัจฉริยะขึ้นมาใช้ในการแบ่งแยกย่อยย่อส่วนของ “อะตอม” ให้เล็กลงไปได้อีกถึง ๔ ประการ เรียกว่า “อนุภาคอะตอม” คือ
“อิเล็ตรอน” “โปรตอน” “นิวตรอน” และ “นิวเคลียส” หรือ “โปตอน”
อนุภาคอะตอม หรือ อนุภาคธาตุ มีคุณสมบัติเป็น “คลื่นพลังงาน” หรือ “คลื่นแสง” อาจเปรียบได้กับ สนามแม่เหล็กไฟฟ้าขนาดจิ๋วที่สุดในโลก นักวิทยาศาสตร์ได้จำลองโครงสร้างของ “อนุภาคอะตอม” ว่าประกอบด้วย “นิวเคลียส” หรือ “โปรตอน” ตั้งอยู่บริเวณศูนย์กลางโดยมีประจุไฟฟ้าขั้วเป็นกลาง เรียกว่า “นิวตรอน” และประจุไฟฟ้าขั้วบวกคือ “โปรตอน” สถิตรวมอยู่ด้วย บริเวณรอบนอกมีประจุไฟฟ้าขั้วลบ คือ “อิเล็คตรอน ” วิ่งวนเวียนไปมารอบศูนย์กลางเป็นรูปวงกลมวงจรอยู่ตลอดเวลา คล้ายกับโลกและดาวพระเคราะห์โคจรไปรอบ ดวงอาทิตย์ซึ่งเป็นระบบสุริยจักรวาลที่มีขนาดใหญ่โตมโหฬารที่สุด
แต่ความเจริญก้าวหน้าของโลกวิทยาศาสตร์ ซึ่งพัฒนาการมาถึงสมัยปัจจุบันด้วยความเป็นเลิศจากการค้นพบความจริงและความลับทั้งหลายจนเข้ามาใกล้เกือบรู้ความจริงในเรื่องจิตวิญญาณ เข้าไปทุกทีมนุษย์สามารถเดินทางไปเยือนดาวพระเคราะห์ด้วยตนเอง หรืออาจส่งยานอวกาศที่บังคับควบคุมด้วยคลื่นวิทยุให้ไปสำรวจจักรวาลที่ไกลแสนไกลพร้อมกับส่งภาพและสิ่งทั้งหลายที่ค้นพบกลับเข้ามายังโลกข้อมูลอันพิสดารเหล่านี้ทำให้นักวิทยาศาสตร์ในสมัยปัจจุบันระบุว่า ระบบสุริยจักรวาล อันประกอบด้วย ดาวพระเคราะห์ทั้งหลายรวมถึงโลกของเราด้วยโคจรไปรอบ “ดาราจักรทางช้างเผือก” ด้วยความเร็วในราว ๒๕๐ กิโลเมตร ต่อ ๑ วินาที ใช้เวลาประมาณ ๒๒๕ ล้านปี จึงโคจรไปรอบศูนย์กลางของดารจักรทางช้างเผือก (Milky Way Galaxy) เรียกว่า ๑ ปีจักรวาล (Cosmic Year) พร้อมกันนั้น ดาราจักรทางช้างเผือก ก็โคจรไปใน “สากลจักรวาล ” ผู้ทรงมเหศักดิ์ยิ่งใหญ่มีพลานุภาพอย่างหาที่สุดมิได้
การเคลื่อนไหวหมุนเวียนของ “อิเล็คตรอน ” ไปรอบ “โปรตอน ” “นิวตรอน ” และ“นิวตรอน ” จึงเปรียบได้กับการหมุนปั่นไปรอบแกนกลางของขดลวด “ไดนาโม” อันเป็นการสร้างคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าเทียมขึ้นมาในโลกด้วยวิธีการลอกเลียนการทำงานของธรรมชาติจนกระทั่งมีความรอบรู้แตกฉานในเรื่อง “แสง” หยั่งรู้ถึงอิทธิฤทธิ์อภินิหารความมหัศจรรย์ของ “คลื่นแสง” ซึ่งเป็นต้นกำเนิดของพลังงานแห่งจักรวาลคัมภีร์ศาสนาพราหมณ์ฮินดูเรียกว่า “แสงทิพย์ของพระศิวะ ” แท้จริงแล้วเป็น “สนามแม่เหล็ก” และ “สนามไฟฟ้า” เคลื่อนที่ไปมาในแบบสลับแกน ด้วยความรวดเร็วเท่ากับความเร็วของแสงคือประมาณ ๓๐๐,๐๐๐ กิโลเมตร ต่อ ๑ วินาที ผ่านชั้นบรรยายกาศของโลกทำให้เกิดการเผาไหม้เป็นแสงสว่างจ้าและพลังงานความร้อน พร้อมกับมี “แรงดึงดูด” ซ่อนแฝงอยู่ภายในด้วย
กระบวนการทำงานของ “ระบบจักรวาลขนาดจิ๋ว” ที่มีความสัมพันธ์เชื่อมโยงต่อเนื่องกับ“ระบบอนุจักรวาล” คือ “โมเลกุล” อันเป็นหน่วยของสสารที่เกิดจากการรวมตัวของ “อะตอม” ประกอบขึ้นเป็นรูปกายวัตถุธาตุทั้งหลายของ มนุษย์ สัตว์ พืช และสรรพสิ่งที่เกิดขึ้นในโลก รวมไปถึงรูปพรรณสัณฐานของโลก ซึ่งเป็น “อนุจักรวาล” ของดาวพระเคราะห์แต่ละดวง ที่ถูกแรงดึงดูดอันเร้นลับผูกให้ติดอยู่กับ “ระบบดาราจักร” และ “ระบบมหาจักรวาล” หรือ “เอกภพ” อย่างเป็นเอกภาพ ก็เพื่อจะอธิบายให้เห็นประจักษ์ถึงโครงสร้างและองค์ประกอบของสิ่งทั้งหลายที่เกิดขึ้นในโลกและจักรวาล ว่ามิได้มีความเป็นอยู่อย่างโดดเดี่ยวแต่มีลักษณะคล้ายกับสภาพความเป็นไปในโลก เช่น รูปกายของคนเรา ซึ่งมีสภาพเป็น “อนุจักรวาล” มีความผูกพันกับครอบครัว สังคม บ้านเมือง ประเทศ นานาประเทศ และโลกอย่างไม่อาจออกจากกันได้ เมื่อเข้าใจถึงกฎสัมพันธภาพของจักรวาลก็สามารถล่วงรู้ภาพรวมของสิ่งทั้งหลายอย่างเป็นรูปธรรมด้วยตนเองอย่างมีเหตุผลอย่างมีหลักฐานอ้างอิง
อาจกล่าวสรุปได้ว่าแท้จริงแล้วสิ่งทั้งหลายที่เกิดขึ้นในโลกและจักรวาลซึ่งมีอยู่มากมายจนไม่อาจจะกล่าวให้หมดสิ้นได้ ทั้งด้วยคำพูดหรือบรรยายด้วยตัวอักษรก็ตามเมื่อมีความเข้าใจในเรื่อง “แสง” แล้วก็รู้ได้ว่ามีรากฐานการก่อกำเนิดมาจากสิ่งเดียวกัน คือแสงและจากแหล่งเดียวกัน คือ “อนุภาคแสง” หรือ “โปรตอน” อันเป็นต้นกำเนิดของทุกสิ่งทุกอย่างทั้งบน พื้นพิภพ (โลก) และ เอกภพ (จักรวาล) ตรงกับคัมภีร์พระเวท เรียกว่า “ไฟแห่งสวรรค์ในดวงอาทิตย์” คัมภีร์มัธยมิกะ เรียกว่า “รังสีแห่งสรีระธรรมธาตุ” ลัทธิเต๋าเรียกว่า “หยิน-หยัง” คัมภีร์พราหมณ์ เรียกว่า “พระศิวะ”
ดังนั้นไม่ว่าโลกจะหมุนรอบตัวเองและโคจรไปรอบดวงอาทิตย์เพื่อรับแสงสว่างตามความจริงทางดาราศาสตร์หรือตามความเชื่อตามที่ดวงตาของคนเรามองเห็น สำคัญผิดคิดว่าโลกแบน ดวงอาทิตย์ ดวงดาวทั้งหลายโคจรไปรอบโลก ซึ่งถือว่าเป็นความจริงของโลก ภาพลวงตาเหล่านั้นนักอภิปรัชญาผู้เข้าถึงความจริงแท้ เรียกว่า “ภาพมายา” อันเกิดจากแสงอาทิตย์ส่องไปกระทบวัตถุธาตุที่ทึบแสง จึงเกิดการสะท้อนแสงดวงตามองเห็นเป็นภาพของ “รูปกายวัตถุ” และ “เงา” ขึ้น เรียกว่า “ภาพทวิลักษณ์” คือทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นจากการเสกสรรปั้นแต่งของธรรมชาติ ย่อมมีคุณสมบัติเป็น ๒ อย่าง หรือมากกว่า ๒ อย่างควบคู่กันเสมอ เช่น กลางวันกลางคืน ร่างกายจิตใจ ความสุขความทุกข์ โชคดีโชคร้าย เป็นต้น จึงเปรียบเปรยภาพปรากฏการณ์เหล่านี้ว่าดุจดัง พระผู้เป็นเจ้าทรงฉายภาพยนตร์แห่งจักรวาล
ในสมัยปัจจุบัน การฉายแสงของดวงอาทิตย์ ผ่านชั้นบรรยากาศลงมาสู่พื้นผิวโลก ก็ยังถือว่าเป็นความจริงของ “กฎแห่งปาฏิหาริย์” คล้ายกับความเชื่อของคนโบราณเกี่ยวกับ “พระสุริยเทพ” หรือ “องค์พรหม” หรือ “พระศิวเทพ” ผู้ทรงประกอบ “พิธีกรรมปลุกเสก” ระบบธาตุบนพื้นพิภพด้วยวิธีการใช้อำนาจศักดิ์สิทธิ์เนรมิตให้เกิด มวลชีวิต และ ธรรมชาติ ขึ้นในโลก เพียงแต่นักวิทยาศาสตร์สามารถอธิบายให้เหตุผลและพิสูจน์ให้เห็นประจักษ์ได้ ด้วยองค์ความรู้ที่คนทั่วโลกไม่อาจโต้แย้งได้
ความลี้ลับซับซ้อนยุ่งเหยิงของ โลก และจักรวาล ซึ่งต้องใช้ความพากเพียรในการศึกษาทำความเข้าใจกันอย่างมากมาย บางครั้งไม่สามารถอธิบายให้เข้าใจด้วยคำพูด หรือวิธีการใดได้ เพราะเป็นความสามารถเฉพาะตัวอันเกิดจากปัญญาญาณ ด้วยเหตุนี้ พระพุทธเจ้าจึงทรงห้ามไม่ให้ภิกษุสงฆ์สาวกลุ่มหลงใน อภินิหารของแสง และห้ามไม่ให้ภิกษุสงฆ์ศึกษาเรียนรู้ในเรื่อง โลก และจักรวาล เพราะว่าไม่เป็นหนทางแห่งการพ้นทุกข์ และยากที่จะให้คนธรรมดาทั่วไปมีความเข้าใจชัดเจนได้
จึงไม่ทราบว่าภิกษุสงฆ์บางรูปในปัจจุบัน แสดงตนในลักษณะการโฆษณาชวนเชื่ออ้างว่าบทสวดพุทธมนต์ คาถาอาคม คือ บทประพันธ์เกี่ยวกับเรื่องพุทธศาสนา เป็นภาษาอินเดีย ซึ่งพระเถราจารย์ในอดีตได้แต่งไว้ สำหรับให้พุทธศาสนิกชนรุ่นหลังได้ศึกษา หลักธรรมคำสอนที่พระพุทธเจ้าที่ทรงแสดงไว้ในอดีต ตลอดจนเล่าเรื่องประวัติความเป็นมาทั้งหลายให้รู้ถึงความเป็นมา แต่ภิกษุสงฆ์อ้างว่ามีความศักดิ์สิทธิ์ นำมาใช้ในการประกอบพิธีกรรมทางศาสนาตามปกติแล้ว ยังนำมาประกอบพิธีกรรม “พุทธาภิเษก” หรือ “มังคลาภิเษก” เพื่อให้วัตถุมงคลที่เรียกว่า พุทธเจดีย์ ประเภท อุเทสิกะเจดีย์ หรือ “พระเครื่อง” “พระบูชา” บังเกิดความศักดิ์สิทธิ์มีอิทธิฤทธิ์อภินิหารขึ้นได้ อันเป็นพฤติกรรมที่ขัดกับหลักอภิธรรมปรัชญาของพุทธศาสนาในลักษณะตรงกันข้าม เพราะว่าศาสนาพุทธเป็นศาสนาที่เกิดขึ้นจากการตรัสรู้ธรรมของพระพุทธเจ้า จึงรู้แจ้งเห็นจริงในสิ่งทั้งปวงในระดับสูงสุด คือ “อริยสัจ” “อริยมรรค” และ “นิพพานธรรม” สูงเกินกว่าความรู้ของนักวิทยาศาสตร์เสียอีก หลักธรรมอันประเสริฐเหล่านี้มิกลายเป็น “มุสาวาท” ไปหรือ
คัมภีร์พระเวท ของชาวอารยันในยุคดึกดำบรรพ์เมื่อราว ๔,๕๐๐ ปีก่อน กล่าวถึงเหล่าฤาษีผู้แสวงหาความหลุดพ้น ด้วยการบำเพ็ญภาวนาสมาธิเพื่อค้นหาความจริงของจักรวาลจนกระทั่งบังเกิดปัญญาค้นพบ อนุภาคของสสาร และอนุภาคพลังงาน ซึ่งมีคุณสมบัติเป็น “คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า” หรือ “อนุภาคแสง” แต่เหล่าฤาษีเรียกสิ่งนั้นตามคุณลักษณะที่หยั่งรู้ด้วยญาณทัศนะสมัยนั้นว่า “ไฟ”

แม้ว่าคัมภีร์พระเวทไม่ได้กล่าวถึงรายชื่อของเหล่า ฤาษี ๑๐ ตน ผู้เป็นนักวิทยาศาสตร์ยุคแรกของโลก ผู้ค้นพบสิ่งมหัศจรรย์ในเรื่อง “แสง” แต่คัมภีร์อัมพัฏสูตร และคุมภีร์เตวิชชสูตร ของพุทธศาสนาอ้างว่า พระพุทธเจ้า ทรงกล่าวถึงรายชื่อของเหล่าฤาษี ๑๐ ตนไว้ ดังนี้
ฤาษีอัฏฐกะ ฤาษีวามกะ ฤาษีวามเทวะ ฤาษีเวสสามิตร ฤาษียมตัคคี
ฤาษีอังคีรส ฤาษีภารทวาชะ ฤาษีวาเสฏฐะ ฤาษีกัสสปะ ฤาษีภคุ
พระฤาษี ๑๐ ตน คือ ผู้ที่ได้รับฟังพระวจนะ(คำสั่งสอน) จากพระโอษฐ์(ปาก) ของพระผู้เป็นเจ้าให้เรียนรู้ “พระเวท”(ความรู้) เพื่อนำมาถ่ายทอดสั่งสอนให้แก่มนุษย์ได้มีความรู้เพื่อใช้สร้างสรรค์อารยธรรมให้รุ่งเรืองขึ้นมาในโลก “คัมภีร์ไตรเพท ฉบับหนึ่งรวมอยู่ใน คัมภีร์พระเวท กล่าวถึงรากฐานการกำเนิดสรรพสิ่งในโลก และจักรวาล ตรงกับหลักฐานการค้นพบของนักวิทยาศาสตร์ฟิสิกส์ยุคใหม่อย่างบังเอิญ จนไม่น่าเชื่อว่าจะบังเอิญได้ถึงขนาดนั้น ดังมีข้อความตอนหนึ่งกล่าวว่า
“ไฟแห่งสวรรค์ในดวงอาทิตย์ ไฟแห่งโลกในกลางใจโลก ไฟในตัวคนในหัวใจคน สามภพสามโลก คือ ภพโลกแห่งธรรมปัญญา ภพโลกแห่งกายวัตถุและภาพมายา ภพโลกแห่งจิต ล้วนต่อเนื่องเชื่อมโยงถึงกันด้วย ไฟ
ไฟ คือ กงล้อแห่งธรรมอันเป็นพลังงานที่ไม่มีตัวตน จากเบื้องบนลงมาสู่โลก เพื่อสร้างโลกและชีวิต แล้วลอยกลับไปสู่ที่มาตลอดกาล ไฟจึงเป็นผู้ให้กำเนิด จักรวาล ธรรมชาติ ชีวิต และความรู้สู่ความจริงแท้ เป็นสัญลักษณ์ของ “องค์พรหม” (Brahman) ที่ลี้ลับล้ำลึกแพร่กระจาย ซึมแทรกอยู่ในทุกส่วนของสรรพสิ่งทั้งปวง และเป็น “อัตมัน” (Spirit) อยู่ในจิตวิญญาณของมนุษย์
การค้นพบ “สนามแม่เหล็กไฟฟ้า” มีลักษณะเป็น แสงไฟ วิ่งวนไปมาพันกันยุ่งเหยิงไปทุกหนทุกแห่ง แผ่ซ่านไปแทรกซึมทั่วจักรวาลยิ่งกว่าความยุ่งเหยิงของกลุ่มด้ายหรือใยแมงมุมเสียอีก นักวิทยาศาสตร์ค้นพบอย่างนั้น คัมภีร์ฤคเวทย์เรียกว่า “ไฟแห่งจักรวาล” และกล่าวถึงต้นกำเนิดของ “สสาร” และ “พลังงาน” ในสมัยปฐมกาลนั้นว่า “พรหมมัน” หรือ “องค์พรหม” ไม่ใช่ พระพรหม ๔ หน้า ซึ่งเป็นเทพเจ้าตามความเชื่อของศาสนาพราหมณ์ และที่คนไทยนับถือสร้างขึ้นกราบไหว้บูชา สถิตอยู่ในศาลเทวาลัยดังที่เห็นกันอยู่และกล่าวถึง อนุภาคของ สสาร และพลังงาน ที่เกิดขึ้นในโลกและแทรกซึมอยู่ในรูปกายของคนเราว่า “อัตมัน” หรือ “ชีวาตมัน” ทำให้รู้ว่าหมายถึง “จิตวิญญาณ” ที่บันดาลให้เกิดความรู้สึกนึกคิดอย่างมีเหตุผลของมนุษย์ มีคุณสมบัติเป็น คลื่นแสง ที่สามารถเดินทางได้เร็วกว่าความเร็วของแสงเสียอีก
คลื่นพลังงานในรูปของ "อนุภาคแสง" หรือ "โฟตอน" หรือ "คลื่นแสง" ที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า แต่สามารถพิสูจน์ได้ด้วยเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ยุคใหม่ เปิดเผยให้เห็นความจริงแท้ที่แฝงอยู่ภายใน แสงอาทิตย์ ในรูปของ "โฟตอน" ที่หลั่งไหลลงมาจากฟากฟ้าเหมือนดัง "ห่าฝนแห่งจักรวาล" ตกลงมากระทบพื้นผิวโลกอย่างรุนแรงมาก วัดเป็นค่าแรงดันได้ถึง ๓๐๐ ล้านตัน อยู่ตลอดเวลา แต่คนเราไม่ได้ยินเสียงไม่มีความรู้สึก ถ้าแรงโน้มถ่วงของดวงอาทิตย์มีกำลังน้อยกว่าแรงผลักของโฟตอน ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกจะถูกทำลายจนแหลกละเอียดยิ่งกว่าแรงระเบิดปรมาณูไม่อาจคำนวณได้ว่ากี่ล้านเท่า นอกจากนั้นยังมีคลื่นแสง คลื่นสัญญาณ อีกมากมาย เป็นต้นว่า คลื่นวิทยุ คลื่นโทรทัศน์ คลื่นรังสีคอสมิค คลื่นต่างๆ วิ่งผ่านทะลุร่างกายของคนเราและสิ่งทั้งปวง โดยไม่มีสิ่งใดจะไปขวางกั้นได้ แต่คนเราไม่มีความรู้สึกเจ็บปวดและมองไม่เห็น
นักวิทยาศาสตร์กันพบความลับล่วงรู้ กฎแห่งปาฎิหาริย์ ของแสง จึงนำสิ่งมหัศจรรย์จากธรรมชาติดังกล่าว มาค้นคิดประดิษฐ์เป็นเครื่องมือเครื่องใช้ที่มีกลไกการทำงานอันสลับซับซ้อนด้วย “ระบบแสง” นักวิทยาศาสตร์ฟิสิกส์อัจฉริยาภาพระดับสุดยอดแห่งยุค จนอาจเปรียบได้กับ “เทพอวตาร” มาเกิดในโลกมนุษย์เพื่อช่วยสั่งสอนชี้นำให้มนุษยชาติทั้งหลายมีความรู้ว่า “แสง” คือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่แท้จริงไม่ใช่พระเจ้า ผู้นั้นคือ “อัลเบิร์ด ไอน์สไตน์” นักวิทยาศาสตร์ฟิสิกส์ผู้นำเสนอ “กฎแห่งสัมพันธภาพ” กฎแห่งความขัดแย้งของสิ่งทั้งหลาย ซึ่งนักอภิปรัชญาสมัยโบราณ เรียกว่า “กฎแห่งทวิลักษณ์” และเป็นผู้ค้นพบ “อนุภาคแสง” ที่เรียกว่า “โปรตอน” นำไปสู่การปฏิวัติโลก นำโลกเข้าสู่ยุควิทยาศาสตร์ฟิสิกส์อย่างแท้จริง จนกระทั่งความรู้ที่ก้าวล้ำนำหน้าของ “วิทยาศาสตร์กายภาพ” เข้าใกล้จนเกือบมาบรรจบกับ “วิทยาศาสตร์ทางจิตวิญญาณ” เพียงแค่เอื้อม
การค้นพบว่า“อนุภาคแสง” มีคุณสมบัติเป็นคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าอันเปรียบดังสนามธาตุ สามารถเปลี่ยนแปลงเป็นสนามพลังงานในแบบกลับไปกลับมาได้พลังงานอันเร้นลับถูกนำไปใช้เป็นเครื่องมือพลิกโลก ให้ติดต่อเชื่อมโยงถึงกันได้ในชั่วพริบตากลายเป็นยุคโลกไร้พรมแดนโลกบังเกิดมีเครื่องมือเครื่องใช้ที่ควบคุมด้วยแสงสามารถทำงานได้อย่างน่าอัศจรรย์ยิ่งกว่าการแสดงของนักมายากลเสียอีก เช่น โทรศัพท์มือถือ กล้องถ่ายรูปดิจิตอล เครื่องคอมพิวเตอร์ เครื่องโทรทัศน์ เครื่องโทรสาร เครื่องถ่ายเอกสาร เครื่องเล่นวีซีดี แสงเลเซอร์ ใยแก้วนำแสง เป็นต้น สิ่งของเครื่องใช้ที่ทำงานด้วยแสง ที่ติดตั้งบนยานอากาศได้เดินทางไปเยือนดาวพระเคราะห์ในระบบสุริยจักรวาล และมุ่งหน้าเดินทางไปเยือนดาราจักร ที่ไกลแสนไกลได้ส่งภาพของจักรวาลที่คนเราไม่รู้ไม่เคยเห็นกลับมายังโลกเป็นหลักฐานยืนยันความน่าเชื่อถือองค์ความรู้ของวิทยาศาสตร์ยุคใหม่ อย่างไม่มีสิ่งใดจะโต้แย้งได้
ศาสนาพุทธเป็นศาสนาที่ไม่ได้สอนให้เชื่อเรื่องพระเจ้าสร้างโลกแต่สั่งสอนถึงการค้นพบความจริงของธรรมชาติตั้งแต่ระดับ “สมมุติสัจ” คือความจริงที่มนุษย์รู้เห็นแล้วสมมุติว่าเป็นสิ่งนั้นสิ่งนี้ ไปจนกระทั่งถึง “อริยสัจ” คือความจริงสูงสุดเป็นหนทางแห่งความหลุดพ้นทุกข์คือ “อริยมรรค” และเป็นศาสนาที่เกิดก่อนวิทยาศาสตร์กว่า ๒๐๐ ปี พระพุทธเจ้าทรงกล่าวถึงเรื่อง โลก และจักรวาล คล้ายกับการค้นพบของนักวิทยาศาสตร์ไว้มากมายแต่ความรู้ในเรื่องโลกและจักรวาลเป็นความจริงเพียงระดับ “ปรมัตถ์สัจ” ผู้ที่บำเพ็ญภาวนาสมาธิจนตรัสรู้ธรรม รู้แจ้งเห็นจริงในสิ่งทั้งหลายด้วยตนเองด้วย ธรรมปัญญาซึ่งเป็นความรู้ในทางโลก ไม่ใช่เป็นหนทางแห่งการหลุดพ้นและเป็นความรู้เฉพาะตนเรียกว่า “ปัจจัตตัง” ยุ่งยากซับซ้อนเกินกว่าที่จะอธิบายให้คนทั่วไปเข้าใจอย่างชัดเจนได้ พระพุทธเจ้าจึงทรงห้ามมิให้ภิกษุสงฆ์ลุ่มหลงศึกษาไม่ให้มีความสงสัยไม่ให้ถามในเรื่องเหล่านี้จึงทรงมีพุทธบัญญัติห้ามไว้ในพระวินัยธรรมว่าด้วย “กฎอจินไตย” ความรู้ความเข้าใจในเรื่อง “อนุภาคแสง” จึงไม่มีกล่าวถึงในคัมภีร์ของศาสนาพุทธนิกายหินยาน หรือ นิกายเถรวาท
แต่ภายหลังจากพระพุทธเจ้าเสด็จดับขันธ์ปรินิพพานไปประมาณ ๕๐๐ ปี ศาสนาพุทธนิกายมหายาน ซึ่งรุ่งเรืองขึ้นทางภาคเหนือของอินเดียวไม่มีข้อห้ามข้อจำกัดเกี่ยวกับการค้นหาความจริงในเรื่อง โลก และ จักรวาล ได้บังเกิดอาจารย์ผู้ตรัสรู้ธรรมมีชื่อเสียงโด่งดังเลื่องลือไปทั่งโลกมีนามว่า “นาคารชุนโกณฑะ” หรือ “อัศวโกษา” ได้บำเพ็ญภาวนาสมาธิเพื่อค้นหาความจริงในสิ่งทั้งหลาย จนบรรลุญาณปัญญาสามารถหยั่งรู้ “คลื่นแสง” “คลื่นเสียง” ในความว่างเปล่าที่ไร้ตัวตน ได้แต่งคัมภีร์มัธยามิกะ บอกเล่าเรื่องราวการค้นพบไว้ในธรรมปรัชญาว่าด้วย “สูญตา” กล่าวถึงแสงสว่างที่ปรากฏขึ้นในจิตที่สงบนิ่ง พอสรุปความได้ว่า
สูญตา คือ ความว่างเปล่า เป็นความว่างเปล่าไม่ใช่ไม่มีอะไรเลย เป็นความว่างเปล่าที่มีตัวตนอยู่ แต่ก็เหมือนกับไม่มีตัวตน เพราะไม่มีสิ่งใดตั้งอยู่ได้อย่างถาวรเลยมีแต่เปลี่ยนรูปไปมาเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลาไม่มีหยุดนิ่งจึงได้สมมุติสิ่งที่ค้นพบนั้นว่า “ตะถาตะ” หรือ “ตะถาคะคา” อันหมายถึง สรีระแห่งแสง หรือ ธรรมธาตุ ที่เคลื่อนไหวหมุนเวียนต่อเนื่องกันไปจากเอกภพหนึ่งไปยังเอกภพหนึ่งผู้ใดรู้ถึงความจริงแท้ดังกล่าวนี้ผู้นั้นย่อมบรรลุถึงความจริงแท้ของโลกและจักรวาลก็คือ “สูญตา” อันหมายถึง “นิพพานธรรม” นั้นเอง

ตามทฤษฎีตรีกายของศาสนาพุทธ นิกายมหายานได้ให้คำอธิบายตรงกับการค้นพบของนักวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับการดับเพื่อเกิดใหม่ของดวงดาวในจักรวาล ที่มีมาแล้วในอดีตอันไกลแสนไกลและในอนาคตอย่างไม่มีวันจบสิ้นการเกิดดับก็คือการเปลี่ยนแปลงของ สสาร เป็น พลังงาน ในแบบกลับไปกลับมาจึงเกิดเป็นสิ่งนั้นสิ่งนี้อยู่ตลอดเวลา การที่จะรู้ถึงความจริงแท้ที่อยู่เบื้องหลัง สูญตา ทำได้เพียงหนทางเดียวก็คือ ทางญาณสมาธิ (Jahna) และพลังแห่งปราณ (Prajna) คือปลดปล่อยจิตวิญญาณของตน ที่ถูกครองงำไว้ด้วยประสาทสัมผัสทั้งหลายให้หลุดพ้นจากความหลงผิดจากภาพลวงตา รับรู้ความจริงสูงสุดว่าแท้จริงแล้วสรรพสิ่งเป็นเพียงสิ่งเดียว คือ “แสง” ไม่ใช่สองสิ่งที่สัมพันธภาพพัน คือ “ภาพ” กับ “เงา” เพราะว่าเป็นคุณสมบัติของภาพมายาที่เรียกว่า “ทวิลักษณ์” เมื่อเข้าใจความจริงเป็นเรื่อง โลก และ จักรวาล ก็จะบังเกิดแสงสว่างจ้าขึ้นในดวงจิต อันเป็นความรู้พิเศษเรียกว่า “ธรรมปัญญา” (Wisdom) รู้ว่าความจริงสูงสุดคือ จักรวาลไม่มีตัวตน มีแต่เพียง “คลื่นแสง” ที่ส่องไปกระทบเข้ากับสสาร เกิดการเปลี่ยนแปลงเป็นปรากฏการณ์ “ภาพมายา” ขึ้นในโลก
ใคร่ขอเรียนให้ทราบว่าในขณะนี้นักวิทยาศาสตร์มีความรู้เรื่องแสง จนกระทั่งสามารถสร้างสรรค์ประดิษฐ์กรรมอันแสนมหัศจรรย์ขึ้นมาใช้ในการทำงานได้มากมาย แต่เป็นประดิษฐ์กรรมเกี่ยวกับ “วัตถุธาตุที่ไม่มีชีวิต” แม้ว่าสามารถเคลื่อนไหวทำงานได้ด้วยกลไกซับซ้อนอันเกิดจากพลังงานของ “คลื่นแสง” จนกระทั่งผลการค้นคว้าคืบหน้าเข้ามาใกล้การค้นพบสิ่งมหัศจรรย์ของ “จิตวิญญาณ” เข้ามาทุกที่รู้และได้ยินเสียงการสั่นไหวในความว่างเปล่าของ “บ่วงสตริง” แล้วก็ตาม
แต่นักวิทยาศาสตร์ยังไม่สามารถเข้าถึงความรู้ในสิ่งที่เกิดมาจากญาณปัญญาไม่ใช่ รูปกายของวัตถุธาตุที่พิสูจน์ทดสอบหาความจริงความถูกต้องกันด้วยวิธีการชั่ง ตวง วัด สัมผัสควบคุมกันอย่างละเอียดถี่ถ้วนในห้องทดลองสามารถอธิบายให้เหตุผลที่เป็นจริงตามธรรมชาติแต่นักวิทยาศาสตร์ไม่สามารถล่วงรู้ไปถึงโชควาสนาชะตาชีวิตของมนุษย์ความสุขความทุกข์ ความสำเร็จสมหวัง หรืออะไรต่ออะไรอีกมากมายในชีวิตของคนเรา สังคม บ้านเมือง และโลก คือสิ่งที่เป็น “นามธรรม” นอกจากผู้ตรัสรู้ธรรมปัญญาซึ่งมีไม่มากนักในโลกนี้ ที่มีความสามารถหยั่งรู้ถึง “กฎแห่งปาฎิหาริย์” ซึ่งในปรัญญาโหรา-ศาสตร์ เรียกว่า “ฤกษ์” และ “ยาม” ก็คือความรู้ในเรื่องการเคลื่อนที่ของ“อนุภาคสสาร” และ “อนุภาพพลังงาน” อันเปรียบดัง “สนามธาตุ” “สนามแม่เหล็กไฟฟ้า” ที่อยู่ภายในระบบชั้นบรรยากาศของโลกซึ่งคอยรับ “คลื่นแสง” จากดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ที่เปรียบดัง “สนามแม่เหล็กไฟฟ้า” จากภายนอกที่คอยส่งคลื่นสัญญาณไปมาถึงกันอยู่ตลอดเวลาแต่คนเราไม่รู้เพราะมองไม่เห็นด้วยตาเปล่า
ผู้ที่ตรัสรู้ธรรมและผู้ที่ศึกษาในเรื่องโลกและจักรวาลมาอย่างแตกฉานเท่านั้นที่มีความรู้พิเศษที่เรียกว่า “อภิญญา” ก็คือหยั่งรู้ใน “กฎแห่งปาฎิหาริย์ของแสง” สามารถเนรมิต “คลื่นแสง”ขึ้นจากพลังอำนาจอันเกิดจากจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ที่ได้รับมาจากจักรวาล ปลุกพลังงานของคลื่นแสงภายในตนเองเพื่อ “ต่อต้าน” หรือ“ส่งเสริม” คลื่นแสงอาทิตย์และคลื่นอนุภาคแสงดาวที่ส่องมาทำปฏิกิริยากับระบบธาตุในโลก ให้เป็นอะไรก็ได้ตามความต้องการปรากฏการณ์แห่งความศักดิ์สิทธิ์ตามหลักวิทยาศาสตร์จิตวิญญาณจึงมีความแตกต่างกับความศักดิ์สิทธิ์ตามความเชื่อของคนไทยทั่วไปแต่ความรู้ในเรื่อง “แสง” กลับไปพ้องกับปรัชญาโยคะซึ่งมหาโยคีอินเดียสามารถอภินิหารให้ชาวโลกพิศวงงงงวยท้าทายข้อพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์มาแล้วมากมาย
ในการสร้างรูปประติมากรรมพระเทวโพธิสัตว์นาคปรก ๙ เศียร หรือวัตถุมงคลทั้งหลายของ “องค์จตุคามรามเทพ” เป็นการประดิษฐ์คิดค้นสร้างสรรค์ขึ้นตามหลักปรัชญาโหราศาสตร์และหลักอภิปรัชญาอันได้มาจากการตรัสรู้ธรรมสามารถล่วงรู้ถึงความจริงสูงสุดว่าสรรพสิ่งในโลกและจักรวาล ว่าแต่เดิมเป็นความว่างเปล่าที่เรียกว่า “สูญตา” ต่อมาจึงบังเกิด “แสง” บันดาลให้เกิดสิ่งทั้งหลายขึ้นดังนั้นผู้ใดที่ตรัสรู้ธรรมในเรื่อง “แสง” จึงเป็นผู้อยู่เหนือ “กาละ” คือ อดีตปัจจุบันอนาคต และ “เทศะ” คือ กว้าง ยาว สูง ต่ำ ปัจจุบัน อนาคต และ “เทศะ” คือ กว้าง ยาว สูง ต่ำ ตื้น ลึก ตลอดจนเนรมิตจิตวิญญาณของตนให้เข้ารวมกับ“แสงทิพย์แห่งจักรวาล” อย่างเป็นเอกภาพสามารถฉายแสงทิพย์ของตนไปยัง อะตอมธาตุ ควบคุมบังคับให้รวมตัวกัน หรือ แตกตัวเป็นรูปอะไรก็ได้ตามความปรารถนา หรือ อาจฉายแสงทิพย์จากจิตวิญญาณของตนเข้าไปสิงสถิตอยู่ในวัตถุธาตุอะไรก็ได้ พลังอำนาจวิเศษอันเกิดจากการตรัสรู้ธรรมย่อมบันดาลให้วัตถุธาตุนั้นกลับกลายเป็นวัตถุธาตุที่มีชีวิตขึ้นมาได้ เรียกกันว่า “การปลุกเสก” แปลว่า การประกอบพิธีถ่ายเทพลังจิตวิญญาณอันศักดิ์สิทธิ์เข้าไปสู่วัตถุธาตุได้ตามความประสงค์
จึงใคร่ขอเรียนว่า “แสง” คือ “กฎแห่งปาฎิหาริย์” ที่สำคัญยิ่งทั้งที่เป็นแสงไฟในโลกและแสงไฟในจักรวาลถ้าไม่มีแสงเสียแล้วทุกอย่างก็ดับสูญตกอยู่ในความมืดมิด ไม่รู้ไม่เห็นอะไรเลย ในสมัยโบราณคนเราสำคัญผิดคิดว่า โลกแบน โลกเป็นศูนย์กลางของจักรวาล ดวงอาทิตย์และดวงดาวทั้งหลายโคจรไปรอบโลก จึงกำหนดโครงสร้างของระบบจักรวาล ไปตามความรู้สึกนึกคิดของมนุษย์ โดยถือเอา “ทิศ” ซึ่งคนเรามองเห็นดวงอาทิตย์ทอแสงขึ้นเหนือขอบฟ้าในยามรุ่งอรุณเป็น ทิศตะวันออก และกำหนดให้ทิศที่ดวงอาทิตย์อัสดงว่าเป็นทิศตะวันตก ตลอดจนกำหนดโครงสร้างของ “จักรราศี” ขึ้นตามที่ดวงตามองเห็น แต่ภาพลวงตาเหล่านั้น ก็กลายเป็นรากฐานของศาสตร์ที่สามารถสร้างอารยธรรมขึ้นมาได้ และยังคงยึดถือกันมาจนถึงทุกวันนี้
โดยเฉพาะอย่างยิ่งการกำหนดเส้นทางเดินของแสงแห่งจักรวาล คือ “เส้นสุริยวิถี” หรือ “เส้นสุริยมรรค” อันเป็นเส้นทางการฉายแสงของดวงอาทิตย์ไปตามเส้นทางโคจรอย่างไม่เคยผันแปรให้แสงดสว่างและความอบอุ่นแก่โลกเพื่อสร้างโลกและสิ่งทั้งหลายขึ้นมาในโลก “การฉายแสง” ของดวงอาทิตย์นี่เอง ก็คือรากฐานของการ “ปลุกเสก” ที่สามารถอธิบายให้เหตุผลและการพิสูจน์ได้ตามวิถีทางวิทยาศาสตร์ มนุษย์เพียงแต่ผู้ลอกเลียนแบบธรรมชาติ มาสร้างประดิษฐ์กรรมจนเกิดอารยธรรมอันรุ่งเรืองทันสมัยดังที่รู้เห็นกันอยู่ในปัจจุบัน
หนังสืออัตชีวประวัติของโยคีคนหนึ่ง (Autobiography of a Yogi) แต่งขึ้นโดยโยคีชาวอินเดียมีชื่อว่า “โยคานันทะ” ได้เล่าเรื่องราวความเป็นมาของตน ตั้งแต่ในวัยเด็กมีความมุ่งมั่นที่จะเป็นโยคีฝึกฝนญาณสมาธิจาก มหาโยคีศรียุกเตศวร จนสำเร็จญาณชั้นสูงได้รับยกย่องเป็นบรมหรรษาสวามีโยคานันทะผู้สถาปนาอาศรมโยคะในมลรัฐแคลิฟอร์เนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา
โยคีโยคานันทะ เล่าความมหัศจรรย์ของผู้ตรัสรู้ธรรมของ “โยคีมหาสยา ลาหิริ” ซึ่งเป็นอาจารย์ที่บิดามารดาของ โยคีโยคานันทะมีความเคารพเลื่อมใสมาก โยคีมหาสยา ลาหิริได้มอบรูปภาพของตนให้นำไปกรบไหว้บูชาที่บ้าน บิดามารดาบอง โยคีโยคานันทะ ได้แขวนภาพของอาจารย์ไว้ข้างฝา ขณะนั้น โยคีโยคานันทะ มีอายุได้ ๘ ขวบ เกิดป่วยเป็นอหิวาตกโรคอย่างรุนแรงแพทย์ประจำครอบครัวลงความเห็นว่า มีอาการหนักมากไม่ทางรักษาให้หายได้ แต่มารดาของ โยคีโยคานันทะ ยังไม่สิ้นหวัง ได้แนะนำให้บุตรชายของนางอธิษฐานของพรจาก “โยคีมหาสยา ลาหิริ” พอสิ้นคำอธิษฐานเท่านั้น โยคีโยคานันทะ เล่าว่าได้เกิดแสงสว่างจ้าขึ้นที่ภาพของอาจารย์มองเห็นรูปกายของ โยคีมหาสยา ลาหิริ เดินออกมาจากภาพนั้น ลงมาสัมผัสร่างกายของ โยคีโยคานันทะ ที่หมดเรี่ยวแรงไปแล้ว ให้พลิกฟื้นที่กำลังขึ้นมาทันทีทันใด ความเจ็บป่วยหายไปอย่างน่าอัศจรรย์
หลังจากประสบการณ์ครั้งนั้น โยคีโยคานันทะ จึงอุทิศตนเป็นสวามีคือบวชเป็นโยคีเพื่อรับใช้สังคมโลก โดยไม่หวังผลตอบแทนใดเรื่องราวอันน่าพิศวงของโยคบรมหรรษาสวามีโยคานันทะ ที่เขียนขึ้นเป็นหนังสือภาษาอังกฤษกลายเป็นหนังสือขายดีที่สุดในโลก พวกฝรั่งชาวตะวันตกเกือบทุกชาติทุกภาษา ต่างหันมาสนใจในความลี้ลับมหัศจรรย์ของจิตวิญญาณอันมีคุณสมบัติเป็น “คลื่นแสง” แสดวงหาวิธีการศึกษาฝึกฝนตามเส้นทางปรัชญา “กิริยาโยคะ”

การประติมากรรม รูปพระเทวโพธิสัตว์จตุคามรามเทพนาคปรก ๗ เศียร ก็สร้างขึ้นจากองค์ความรู้ในเรื่อง “แสง” สามารถอธิบายให้เห็นถึงนัยความหมายอันล้ำลึกของ รูปพระยานาค ๗ เศียร ซึ่งจำลองขึ้นจากจิตนาการของ “คลื่นแสง” หลั่งไหลลงมาจาก “ระบบสุริยจักรวาล” ดุจดังสายฝน นำมาประติมากรรมให้เป็นภาพศิลปกรรมอันสะท้อนสัญลักษณ์แห่งความหมายอันเร้นลับของจักรวาลเป็นรูปกายของ พระยานาคราช ผู้ให้น้ำให้ชีวิตแก่มวลชีวิตในโลก คัมภีร์โบราณของอินเดีย เรียกว่า “อินทรศร” คือเทพอาวุธของ “พระอินทร์” เทพพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ในสวรรค์ ก่อนเทพเจ้าองค์อื่นใดในอินเดีย อธิบายให้เห็นว่า แสงอาทิตย์ เมื่อส่องไปกระทบพื้นผิวดาวพระเคราะห์ ที่มองเห็นด้วยตาเปล่า ๗ ดวง คือ ดวงจันทร์ ดาวอังคาร ดาวพุธ ดาวพฤหัสบดี ดาวศุกร์ ดาวเสาร์ และดาวโลก พื้นผิวของดาวพระเคราะห์เหล่านั้นได้สะท้อนอนุภาคแสงและกระแสธาตุกลับคืนขึ้นสู่ห่วงอวกาศ แสงอาทิตย์ มีพลังคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าและแรงดึงดูดมหาศาล ได้ดูดกลืนอนุภาคแสงของดาวพระเคราะห์เข้ารวมอยู่ภายใน “แสงทิพย์” อันสว่างไสวเจิดจ้าในรูปของ “แสงแดด” แต่คราใดเกิดการหักเหของแสง ก็จะเกิดปรากฏแสงสีของดาวพระเคราะห์ทั้ง ๗ ปรากฏให้เห็น เช่น รุ้งกินน้ำ พระอาทิตย์ทรงกรด พระจันทร์ทรงกรด หรือจากแท่งแก้วปริซึม ดังนี้เป็นต้น
รูปพระยานาค ๗ เศียร จึงเป็นสัญลักษณ์แห่งความหมายของแสงแห่งดาวพระเคราะห์ทั้ง ๗ ในระบบสุริยจักรวาล แตกต่างกับ พระพุทธรูปปางนาคปรก ซึ่งเป็นสัญลักษณ์แทนความหมายของคนเกิด วันเสาร์ ตามความเชื่อของผู้ที่นับถือศาสนาพุทธ
การประติมากรรมรูป “องค์จตุคามรามเทพ” ประทับนั่งในท่ามหาราชลีลาอยู่เหนือบัลลังก์พระยานาคราช ๓ เศียร ๕ เศียร ๗ เศียร หรือ ๙ เศียร แต่งองค์ทรงเครื่องขัติยาภรณ์งามเฉิดฉาย ประดับประดาด้วยศิลปกรรมสมัยศรีวิชัยที่งดงาม ก็เพื่อแสดงให้เห็นถึงสัญลักษณ์แห่งความหมายของผู้ตรัสรู้ธรรม ในระดับ
“ปรมัตถ์สัจ” รู้แจ้งเห็นจริงว่า สามภพ สามโลก คือ ภพโลกแห่งจักรวาลและธรรมปัญญา ภพโลกแห่งกายวัตถุและภาพมายา ภพโลกแห่งรูปกายและจิตวิญญาณ ล้วนติดต่อเชื่อมโยงถึงกันด้วย “คลื่นแสงแห่งจักรวาล” ด้วยอำนาจพลังจิตวิญญาณที่แข็งกล้าจากตรัสรู้ธรรม ย่อมสามารถฉายแสงแห่งจิตวิญญาณบันดาลให้ “อะตอมธาตุ” เกิดการรวมตัวกัน หรือ แตกตัวออกจากกันได้ตามความต้องการ ก็คือ สามารถเนรมิตให้เกิดเป็น “ภาพ” หรือ “เงา” ของสิ่งที่ต้องการขึ้นได้ตามความประสงค์อันแสดงให้เห็นถึงความศักดิ์สิทธิ์ตามหลักวิทยาศาสตร์จิตวิญญาณ ที่ไม่เกี่ยวข้องกับหลักธรรมคำสอนของศาสนาหรือเวทย์มนตร์คาถาบทใด
ดังนั้น เมื่อมีความรู้ความเข้าใจในเรื่อง “อะตอมสสาร” หรือ “อะตอมธาตุ” และพลังอำนาจอันศักดิ์สิทธิ์ของ “คลื่นแสง” ที่เคลื่อนไหวหมุนเวียนอยู่ในโลก และ จักรวาล พันพันกันยุ่งเหยิงดุจดังใยแมงมุม และรู้ว่า “คลื่นแสง” อันเป็นจิตวิญญาณของผู้ตรัสรู้ธรรมที่ส่งกระแสสัมพันธ์เชื่อมโยงรวมกันอย่างเป็นเอกภาพ ผู้นั้นได้รับฉายาว่า “พังพระกาฬ” เพราะว่าเป็นผู้ที่อยู่เหนือ “กาละเทศะ” ทรงฤทธาอานุภาพสามารถสร้างสรรค์สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เรียกว่า “เครื่องราง ” หรือบันดาลให้เกิดสิ่งใดขึ้นได้ตามความปรารถนากระบวนการตามที่กล่าวมานี้อาจช่วยให้ผู้ที่มีความสงสัยข้องใจไม่รู้ว่าจะหันหน้ารูปประติมากรรมไปทางทิศไหนสามารถคิดและตัดสินใจได้แล้วว่า ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ ดาวดาว ฉายแสงขึ้นทางทิศใด ก็หันหน้ารูปประติมากรรมไปทางทิศนั้น
แสงอาทิตย์ แสงจันทร์ แสงดาว คือ แสงแห่งจักรวาลจะฉายแสง “ปลุกเสก” ให้ระบบธาตุภายในรูปประติมากรรมนั้น เคลื่อนไหวหมุนเวียนไปตามกฎวัฎจักรอย่างราบรื่นไม่ติดขัด ย่อมบันดาลให้บังเกิดความสวัสดิมงคล ประสพแต่ความโชคดีและสมหวังในสิ่งที่ใจปรารถนา

พลตำรวจโท สรรเพชญ ธรรมาธิกุล
(สรรเพชญ ธรรมาธิกุล)
๗ มิถุนายน ๒๕๕๑


ภาพโยคีมหาสยา ลาหิริ
เกิดในตระกูลพราหมณ์ เมื่อวันที่ ๓๐ กันยายน พ.ศ.๒๓๗๑ ในมณฑลเบงกอล ประเทศอินเดีย ได้ละสังขารจากโลกไปใน พ.ศ.๒๔๓๘ ศึกษาภาษาฮินดี ภาษาสันสกฤต ภาษาอังกฤษ ภาษาฝรั่งเศส รับราชการเป็นผู้ตรวจบัญชี กระทรวงเทคโนโลยีทหารบกของรัฐบาลอังกฤษ สมรสกับสตรีชาวอินเดีย ชื่อ โมนี มีบุตร ๔ คน เป็นชาย ๒ หญิง ๒ ได้รับถ่ายทอดวิชา “กิริยาโยตะ” จาก มหาโยคีคุรุเทพ “บาบาจิ” จนตรัสรู้ธรรมขั้นสูงสุด บำเพ็ญตนเป็นมหาโยคี ใช้ชีวิตอย่างคนมีครอบครัว ไม่บวชเป็นพระไม่สละโลก ทำงานหาเลี้ยงชีวิตอย่างมีศักดิ์ศรี ทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยเหลือสังคม ไม่ทำตนให้เป็นภาระของผู้ใด

ภาพโยคีสวามี บรมหรรษา โยคานันทะ
เกิดเมื่อ พ.ศ.๒๔๓๖ ถึงแก่กรรมใน พ.ศ.๒๔๙๕ อายุได้ ๕๙ ปี สำเร็จการศึกษาปริญญาตรีจากมหาวิทยาลัยเบงกอล เป็นศิษย์ของ มหาโยคีศรียุกเตศวร ได้ถ่ายทอดวิชากิริยาโยคะ ตรัสรู้ธรรมเป็น “โยคีบรมหรรษา” ได้ไปตั้งสำนักเผยแพร่ วิชากิริยาโยคะ ในมลรัฐคาลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา



Create Date : 01 กรกฎาคม 2551
Last Update : 1 กรกฎาคม 2551 9:30:04 น.
Counter : 968 Pageviews.

0 comments
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Rahoo
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]



กรกฏาคม 2551

 
 
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
29
30
31