ย่อเวลาโลก - การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ฟีเลสตีน

1917 - ปล้นเงียบ
สงครามโลกครั้งที่หนึ่งจบลง อาณาจักรออตโตมานผู้แพ้สงครามล่มสลาย ปาเลสไตน์ตกเป็นของอังกฤษ ยิวในยุโรปเรียกว่าองค์กรไซออนิสต์ มุ่งก่อตั้งรัฐยิวโดยใช้เงิน,อำนาจและเส้นสายทางการเมือง จัดการให้อังกฤษยก
ปาเลสไตน์ให้แก่ยิวอย่างถูกกฎหมาย ลอร์ดบัลฟอร์ รัฐมนตรีต่างประเทศอังกฤษ เขียนคำประกาศรับรองให้ยิวตั้งรัฐอิสระในดินแดนมุสลิม โดยไม่เคยถามเจ้าของแผ่นดินชาวมุสลิม คำประกาศนี้เรียกว่า คำประกาศบัลฟอร์
หรือ “The Balfour Declaration”

1929-36 - อาหรับเพิ่งตื่น
อังกฤษจัดการให้ยิวอพยพเข้าสู่ปาเลสไตน์อย่างเงียบๆ แค่สองปีมีคนยิวเข้าปาเลสไตน์ถึง 750,000 คน อังกฤษออกเอกสารสิทธิ์บนที่ดินให้ยิวอพยพ เมื่อใดที่ยิวทะเลาะกับอาหรับ ตำรวจอังกฤษจะเข้าข้างยิว คนอาหรับปาเลสไตน์เริ่มไม่พอใจ นำไปสู่การปะทะกัน ตำรวจอังกฤษยิงชาวปาเลสไตน์ตายไปถึง 110 คน ความไม่พอใจเพิ่มมากขึ้น ยิวตั้งกองกำลังทหารบ้านโดยอ้างว่าเพื่อรักษาความปลอดภัย ความรุนแรงแพร่กระจายไปอย่างรวดเร็ว ในที่สุดทุกหนทุกแห่งจึงเต็มไปด้วยการโจมตีกัน ชาวปาเลสไตน์เริ่มรู้สึกถึงอันตรายที่กำลังคืบเข้ามาใกล้ตัวในบ้านของพวกเขาเองอย่างช้าๆ

1947 มติสหประชาชาติ-ปล้นแผ่นดินรอบสอง
อังกฤษนำปัญหาปาเลสไตน์สู่สหประชาชาติ ในปี 1947 ปัญหาก็คือ “อังกฤษมีสิทธิ์อะไร ที่เอาดินแดนของมุสลิมไปยกให้ยิว” สหประชาชาติตั้งคณะกรรมาธิการพิเศษเพื่อแก้ไขปัญหา สุดท้ายก็เสนอแบ่งประเทศเป็นสองส่วน 56.47 % เป็นของมุสลิม อีก 43.53 % เป็นของยิว อาหรับปฏิเสธแผนคดโกงปล้นชาตินี้ทันที แต่ยิวรีบตกลง อังกฤษหนีปัญหา ประกาศว่าจะถอนจากปาเลสไตน์ 15 พฤษภาคม อาหรับเตรียมทำสงครามแย่งดินแดนคืน

1948 - วันแห่งความ “ฉิบหาย”
ด้วยการสนับสนุนของสหรัฐและอังกฤษ วันที่ 14 พฤษภาคม 1948 ไซออนิสต์ประกาศตั้งรัฐอิสราเอล ทันทีที่อังกฤษถอนตัวออกไป ยิวอ้างอธิปไตยเหนือปาเลสไตน์ทันที อาหรับเรียกวันชาติของยิวว่า “อัล-นักบา” แปลว่า
วันแห่งความพินาศฉิบหาย ทหารบ้านเถื่อนของยิวกลุ่มอิรกุนและเลฮี ติดอาวุธโดยจากชาติมหาอำนาจตะวันตกและเปลี่ยนเป็นทหารเต็มรูปแบบ ทหารยิวเริ่มสังหารอาหรับทุกคนที่ลุกขึ้นเรียกร้องขัดขวาง และใช้กำลังขับไสชาวปาเลสไตน์ออกจากบ้านของตัวเอง ทหารยิวปล้นและยึดบ้าน-ที่ดิน และทรัพย์สินชาวอาหรับ ขณะที่อียิปต์ฉวยโอกาสผนวกฉนวนกาซ่าเป็นของอียิปต์ ส่วนจอร์แดนผนวกเยรูซาเล็ม และเวสต์แบ็งค์เป็นของจอร์แดน

1964 - กำเนิด PLO.
สหรัฐและตะวันตกรับรองรัฐยิวอย่างรวดเร็ว ฝ่ายอาหรับรวมตัวกันไม่ติดเพราะต่างก็เพิ่งได้รับเอกราชเป็นประเทศเกิดใหม่เกือบทั้งหมด ชาวปาเลสไตน์ไม่มีตัวแทนอย่างเป็นทางการและไม่มีใครรับรองให้ปาเลสไตน์
เป็นรัฐตามกฎหมาย อาหรับช่วยกันจัดตั้งองค์กรขึ้นต่อสู้ทางการเมืองเรียกว่า The Palestinian LiberationOrganization หรือ PLO. และแต่งตั้งให้นายยัสเซอร์ อารอฟัต หัวหน้าขบวนการอัล-ฟาตาห์ เป็นประธานและ
เป็นตัวแทนชาวปาเลสไตน์ทั้งมวล แต่สหรัฐและอิสราเอลไม่ยอมรับ กลับถือว่า PLO. เป็นองค์กรผิดกฎหมาย

1967 - สงคราม 7 วัน
สงครามระหว่างชาติพันธมิตรอาหรับ กับอิสราเอลที่หนุนหลังโดยอังกฤษและสหรัฐ ก็ระเบิดขึ้นในวันที่ 5 มิถุนายน ปี 1967 และสิ้นสุดลงในวันที่ 11 มิถุนายน เป็นเวลา 6 วัน เรียกสงครามนี้ว่า “สงคราม 6 วัน” เป็น 6
วันแห่งความสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ของมุสลิมทั้งโลก เนื่องจากยิวได้ยึดเยรูซาเล็มไว้ได้ อียิปต์ ซีเรีย และจอร์แดนพ่ายแพ้อย่างยับเยิน จอร์แดนเสียเวสต์แบ็งค์ อียิปต์เสียฉนวนกาซ่าให้แก่ยิว สหประชาชาติเรียกประชุมเพื่อออกมติด่วนยุติสงครามพฤศจิกายน 22, 1967 มติ 242 ความอัปยศบนเศษกระดาษ คณะมนตรีความมั่นคงสหประชาชาติ มีมติด่วนที่ 242 โดยมีสาระสำคัญได้แก่ คำสั่งให้ยิวถอนตัวออกจากดินแดนที่ยึดครองได้ในระหว่างสงคราม 6 วันทันที ห้ามมิให้อิสราเอลผนวกดินแดนใดๆเพิ่มจากที่เคยมีมติเมื่อ ปี 1947 แต่มติที่ 242 นี้ ได้กลายเป็นเศษกระดาษที่ไร้ค่า อิสราเอลเพิกเฉย และยึดครองเวสต์แบ็งค์ ฉนวนกาซ่าเยรูซาเล็ม รวมทั้งที่ราบสูงโกลานของซีเรีย

1973 - สงครามโยมคิปปูร์
อาหรับเมื่อสูญเสียดินแดนไปในสงคราม 6 วัน และสหประชาติไม่มีอำนาจบังคับให้อิสราเอลคืนดินแดนให้ตามมติที่ 242 บรรดาพันธมิตรอาหรับจึงเตรียมทำสงครามอีกครั้งหนึ่ง ส่วนขบวนการฟาตาห์ของนายยัสเซอร์ อา
รอฟัตเริ่มใช้การรบแบบจรยุทธ์ลอบโจมตีที่มั่นทางทหารของอิสราเอล แต่เมื่อสงครามระเบิดขึ้น อียิปต์ซึ่งเปิดแนวรบเพื่อช่วงชิงฉนวนกาซ่าคืน กลับต้องสูญเสียคาบสมุมรไซนายทั้งหมดให้แก่อิสราเอล สหประชาติมีมติที่
338 ให้หยุดยิง และเช่นเคยอิสราเอลผนวกดินแดนที่ยึดได้ไปโดยไม่สนใจต่อสิ่งใด

1974 - อารอฟัตในเวทีโลก
ในช่วงทศวรรษที่ 1970 PLO. และกลุ่มแนวร่วมต่อต้านอิสราเอล ทำสงตรามนอกรูปแบบกับอิสราเอลอย่างหนักและในทุกสนามรบ ในการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกส์ฤดูร้อน ที่เมืองมิวนิก เยอรมันตะวันตก ในปี 1972 นักรบ PLO.
จับตัวนักกีฬาอิสราเอลเป็นตัวประกัน ในปี 1974 ยัสเซอร์ อารอฟัต ก็ได้ไปปรากฎตัวบนเวทีสหประชาชาติ เขากล่าวในที่ประชุมสมัชชาใหญ่สหประชาติ ประนามแผนการของยิวไซออนิสต์และคำกล่าวของเขาได้กลายเป็นวลี
อมตะในเวลาต่อมา เขากล่าวว่า “Today I have come bearing an Olive branch and a Freedom fighters Gun. Do not let the Olive Branch fall from my hand” ในปีต่อมา PLO. ได้รับการยอมรับในการร่วมเจรจาปัญหาในฐานะตัวแทนชาวปาเลสไตน์

1977 - ยิวขวาจัด
ยิวไซออนิสต์ตั้งพรรคแนวขวาจัดที่มีจุดยืนแข็งกร้าว และมีนโยบายครอบครองดินแดนปาเลสไตน์ทั้งหมดเป็นรัฐยิว พรรคการเมืองนี้ก็คือพรรคเฮรุต หรือลิคุต นั่นเอง พรรคลิคุตที่มีจุดยืนแข็งกร้าว ครองอำนาจในอิสราเอล
มากที่สุดยาวนานและมีอิทธิพลในการกำหนดชะตากรรมของปาเลสไตน์มากที่สุด ผลผลิตอัปยศของพรรคลิคุตก็คือ นายกรัฐมนตรีมือเปื้อนเลือดอย่างเช่น นายเบนญามีน เอธันยาฮู นายยิตชัก ชาร์มี และนายเอเรียล ชารอน

1979 - อียิปต์-เหยื่อสันติภาพ
หากคำว่าสันติภาพ หมายถึง “กับดัก” เหยื่อรายแรกที่ติดกับดักนี้ก็คือ อียิปต์ เมื่อประธานาธิบดีอันวา ซาดัตกลายเป็นผู้นำอาหรับคนแรกที่จับมือกับนายเมนาเฮม เบกิน นายกรัฐมนตรีอิสราเอล โดยการจัดการของอดีต
ประธานาธิบดีจิมมี่ คาร์เตอร์ สิ่งที่อียิปต์ได้เป็นสิ่งแลกเปลี่ยนกับสันติภาพ คือได้คาบสมุทรไซนายคืนมา และเงินช่วยเหลือในรูปของความร่วมมือทางการทหารจากสหรัฐทุกปี จำนวนมากที่สุดเป็นอันดับสองรองจากที่ตุรกี
เคยได้รับ ผลก็คือซาดัดผู้ทรยศถูกชาติอาหรับคว่ำบาตร อิสราเอลและสหรัฐใช้ผลประโยชน์เพียงเล็กน้อยซื้อ ซาดัด เพื่อตัดกำลังฝ่ายอาหรับขณะเดียวกันก็เป็นการลดอิทธิพลโซเวียตที่ครอบงำอียิปต์มาตั้งแต่ยุคของอดีต
ประธานาธิบดีกามาล อับดุล นัสเซอร์ แต่รางวัลของผู้ทรยศ คือความตาย ซาดัด ถูกสังหารเสียชีวิต ในปี 1981

1982 - ยิวกระหายเลือด
นายเอเรียล ชารอน รัฐมนตรีกระทรวงกลาโหม ส่งทหารเข้าโจมตีค่ายผู้ลี้ภัยปาเลสไตน์ทางตอนใต้ของเมืองเบรุต ประเทศเลบานอน เมื่อวันที่ 6 มิถุนายน โดยอ้างว่าต้องการกวาดล้างกลุ่มติดอาวุธฟาตาห์ และ PLO. นับ
เป็นครั้งแรกที่เกิดเหตุการณ์ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ เมื่อกองทัพอิสราเอลร่วมมือกับพรรคคริสเตียนฟาลังกิสต์ฝ่ายขวาของเลบานอน ปิดล้อมและสังหารชาวปาเลสไตน์ในค่ายผู้ลี้ภัยอย่างทารุณเหี้ยมโหด อารอฟัตตัดสินใจย้ายศูนย์
บัญชาการของ PLO. ไปยังตูนีเซีย

1987 - สู้ด้วยก้อนอิฐครั้งที่ 1
ในปี 1987 ประชาชนชาวปาเลสไตน์ ทั้งเด็ก สตรี คนหนุ่มคนสาว แม้แต่คนชรา ในฉนวนกาซ่า และเวสแบ็งค์ลุกฮือขึ้นเดินขบวนประท้วงอิสราเอลพร้อมกันทั่วประเทศ คนทั้งโลกได้เห็นภาพการต่อสู้ของคนมือเปล่าที่มี
เพียงก้อนอิฐก้อนหินขว้างใส่รถถังของศัตรูผู้รุกราน ชาวอาหรับเรียกการลุกฮือพร้อมกันนี้ว่า อินฎิฟาเฎาะ แปลว่า การดิ้นให้หลุด เหตุการณ์นี้อิสราเอลใช้กำลังทหารเข้าปราบปรามอย่างรุนแรงเฉัยบขาดไร้ความปรานี ส่งผลให้ชาวปาเลสไตน์ถูกสังหารอย่างทารุณมากกว่า 1,000 คน

1988 - PLO เปิดประตูรับโจร
แรงกดดันและความสูญเสียจากเหตุการณ์อินฎิฟาเฎาะครั้งที่ 1 ผลักดันให้ PLO. ต้องหาทางกลับสู่การเจรจาอีกครั้งหนึ่ง รัฐบาลพลัดถิ่นปาเลสไตน์เปิดการประชุมในอัลจีเรีย เมื่อเดือนพฤศจิกายน 1988 และมีมติให้ยอมรับ
มติคณะมนตรีความมั่นคงสหประชาชาติที่ 181 และ 242 คือ ยอมรับแผนการแบ่งดินแดนปาเลสไตน์ ออกเป็นสองส่วน คือรัฐยิวและรัฐปาเลสไตน์ เพื่อเป็นการเปิดประตูไปสู่การเจรจา ซึ่งนับว่าเป็นครั้งแรกที่ฝ่ายอาหรับ
ยอมรับมติที่มีมาตั้งแต่ ปี 1947 และ 1967 รวมทั้งมีมติให้เปิดทางเจรจากับอิสราเอล เพื่อปฎิบัติให้เป็นไปตามมติที่ 338 ปี 1967 สหรัฐได้จังหวะรีบเข้ามาเป็นคนกลาง (ที่ค่อนไปทางยิว) ขณะที่ นายยิตชัก ชามีร์ จากพรรค
ลิคุตขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีอิสราเอล

1991 - ฝันสลายที่แมดริด
รัฐบาลนำโดยนายชามีร์ ปฏิบัติต่อชาวปาเลสไตน์ในเขตยึดครองอย่างไร้มนุษยธรรม และทารุณ การตรวจตราประชาชนที่ผ่านเข้าออกด่านต่างๆเป็นไปอย่างเข้มงวด ประชาชนถูกตรวจตรา ผู้ต้องสงสัยว่าเป็นสมาชิกกลุ่ม
ต่อต้านหรือผู้ให้การช่วยเหลือรวมทั้งครอบครัวถูกจับสอบสวนด้วยการทรมานและถูกสังหารโดยไม่ผ่านกระบวนการทางกฎหมาย โลกไม่เคยให้ความสนใจ ทุกครั้งที่อิสราเอลปฎิบัติการทางทหารที่ป่าเถือน สหรัฐจะ
ใช้สิทธิ์สมาชิกถาวรในคณะมนตรีความมั่นคงสหประชาติวีโต้ยับยั้งการประณามการกระทำของอิสราเอลทุกครั้งในปี 1991 อดีตประธานาธิบดีคลินตัน ต้องการสร้างผลงานด้านสันติภาพ จึงเสนอแนวคิดการเจรจาครั้งใหม่ ที่แมดริด ประเทศสเปน แต่ชามีร์ปฏิเสธที่จะเจรจากับอารอฟัต จึงเป็นการประชุมโดยไม่มีอารอฟัต ที่สุดการประชุมก็ล้มเหลว

1993 - ฝีมือคลินตัน
อดีตประธานาธิบดีคลินตัน ประสบความสำเร็จด้านเศรษฐกิจมากมาย แต่ยังขาดผลงานที่ประธานาธิบดีสหรัฐทุกคนต้องมี ไม่ว่ามันจะเป็นของจริงหรือสิ่งลวงตาลวงโลกก็ตาม นั่นก็คือผลงานการสร้างสันติภาพในตะวันออกกลาง คราวนี้บรรยากาศดีกว่าสองปีก่อนในจังหวะที่อิสราเอลเปลี่ยนมาเป็นรัฐบาลพรรคกรรมกรนิยมซ้าย นายกรัฐมนตรียิสซาก ราบิน มีจุดยืนและท่าทีที่รอมชอบกว่านายกฯจากพรรคลิคุต ในที่สุดคลินตันก็ทำให้มีภาพอารอฟัตจับมือกับราบิน ที่สนามหญ้าหน้าทำเนียบขาว และเป็นภาพข่าวไปทั่วโลกได้ ทั้งสามคนได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพในปี 1993 ข้อตกลงนี้เรียกว่า แผนสันติภาพออสโลว์

1994 - ยิวเดือด
แผนสันติภาพออสโลว์ ในปี 1993 มีผลเมื่อวันที่ 4 พฤษภาคม ปี 1994 หลักการ ก็คือ ตั้งรัฐปาเลสไตน์ โดยอิสราเอลต้องถอนทหารและนิคมชาวยิวออกจากฉนวนกาซ่า และบางส่วนในเวสต์แบ็งค์ ภายในกำหนดเวลาที่
กำหนดและยกดินแดนดังกล่าวให้อยู่ภายใต้ การบริหารของ PA. องค์กรบริหารรัฐปาเลสไตน์ที่จัดตั้งขึ้นใหม่ชาวปาเลสไตน์ พากันออกมาเดินขบวนเฉลิมฉลองยินทีกับผลงานอารอฟัต ชาวยิวส่วนมากกลับไม่พอใจ และ
มองว่า แผนสันติภาพออสโลว์ทำให้อิสราเอลเสียผลประโยชน์ โดยเฉพาะชาวยิวในนิคมที่ต้องย้ายออก ต่อต้านอย่างหนัก PLO. แปลงโฉมเป็นองค์กรบริหารกิจการปาเลสไตน์ หรือ The Palestinian Authority มีฐานะเทียบเท่ารัฐบาลรัฐปาเลสไตน์ เพื่อเตรียมรับดินแดนคืนมาใต้อธิปไตยของปาเลสไตน์

1995 - สังหารราบิน สันติภาพโบยบิน
PA. รับมอบอำนาจบริหารฉนวนกาซ่า และบางส่วนในเวสแบ็งค์ ปีแรกท่ามกลางการต่อต้านในอิสราเอล รัฐบาลราบิน เริ่มสั่นคลอน แต่ราบินไม่หวั่นไหว เดินหน้าสู่สันติภาพต่อไป วันที่ 24 กันยายน PA. กับอิสราเอลบรรลุข้อ
ตกลงเพิ่มเติม เรียกว่า แผนออสโลว์ ฉบับที่ 2 โดยข้อตกลงนี้แบ่งเขตเวสแบ็งค์เป็นสามโซน โซน A ส่วนใหญ่เป็นเมืองของชาวปาเลสไตน์ ประกอบด้วย เฮบรอน และเยรูซาเล็มตะวันออก ยกให้ PA. บริหารทั้งหมด โซน B เป็นพื้นที่บริหารร่วมกัน PA. กับอิสราเอล และโซน C ให้อิสราเอลครอบครองต่อไป ข้อตกลงฉบับนี้เองที่นำความตายมาสู่นายยิซชาก ราบิน นายกรัฐมนตรีอิสราเอล เนื่องจากชาวยิวขวาจัดถือว่าสัญญาฉบับนี้หมายถึง
“ยิว-ยอมแพ้” ราบิน ถูกลอบสังหารโดยฝีมือชาวยิวขวาจัด เสียชีวิตเมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน 19

1996-99 - วายร้ายเนธันยาฮู
ชิมมอน เปเรช ทำหน้าที่แทนยิซชาก ราบิน ในระยะเวลาสั้นๆที่เหลืออยู่ ท่ามกลางบรรยากาศสิ้นหวังและไฟสงครามที่เริ่มก่อตัวขึ้นเงียบๆอีกครั้งหนึ่ง การปลุกระดมแนวคิดว่านายกฯราบินทำให้ยิวพ่ายแพ้ยังก้องกังวาน
อยู่ทั่วไป ส่งผลให้พรรคลิคุตกลับสู่อำนาจอีกครั้งหนึ่ง ในการเลือกตั้งเมื่อ 29 พฤษภาคม เบญามีน เนธันยาฮู จัดตั้งรัฐบาลผสมขวาจัดู ลิคุตชนะเลือกตั้งด้วยการรณรงค์ว่าถ้าเลือกลิคุต ลิคุตจะล้มแผนออสโลว์ของราบิน เมื่อเน
ธันยาฮู เข้าสู่อำนาจ เขาไม่แยแสและเพิกเฉยต่อข้อตกลงออสโลว์ แต่ที่สุดก็ทนแรงกดดันจากสหรัฐไม่ได้(เพราะการเพิกเฉยทำหน้าสหรัฐเสียหน้า) ต้องยอมปฏิบัติตามข้อตกลงอย่างเสียไม่ได้ ส่งผลให้รัฐบาลผสมขวา
จัดคว่ำลง เนธันยาฮูยุบสภาจัดการเลือกตั้งครั้งใหม่ ในเดือนมกราคม ปี 1999 พรรคกรรมกรกลับมาชนะได้โดยมีเอฮุด บารัค (รัฐมนตรีกลาโหมคนปัจจุบัน 2007) เป็นนายกรัฐมนตรี ท่ามกลางความคาดหวังว่าบารัค จะ
สานต่อสันติภาพที่ยิซชาก ราบินทำไว้

2000 - สู้ด้วยก้อนหิน ครั้งที่ 2
แผนสันติภาพออสโลว์ที่เจอทางตันในยุคของเนธันยาฮู ไม่อาจเดินหน้าได้ในยุของเอฮุด บารัค อย่างที่คาดหมาย บารัคนอกจากไม่เดินหน้าแล้ว ยังใส่เกียร์ถอยหลัง เพราะความขี้ขลาดเขาหันไปให้ความสนใจเจรจากับ
ซีเรียมากกว่า ท่ามกลางแรงกดดันและความไม่แน่นอนทางการเมืองในอิสราเอล เอเรียล ชารอน ขึ้นดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรคลิคุด แทนนายเนธันยาฮูเพื่อเตรียมทวงอำนาจคืนจากรัฐบาลปีกซ้ายอันอ่อนแอของนาย
เอฮุต บารัค ในวันที่ 28 กันยายน ปี 2000 นายชารอนไปที่มัสยิดอัล-อักศอ ทำให้ชาวปาเลสไตน์โกรธและพากันลุกฮือขึ้นเดินขบวนทั่วประเทศพร้อมกัน ถือเป็นการอินฎิฟาเฎาะ ครั้งที่ 2 ทหารอิสราเอลปราบปรามประชาชน
ปาเลสไตน์อย่างรุนแรง ภาพข่าวที่ผู้สื่อข่าวต่างประเทศเผยแพร่ไปทั่วโลกเป็นภาพของพ่อลูก มูฮัมมัด อัล-ดุรฺรอห์ ที่แม้จะร้องขอชีวิตแต่ก็ถูกทหารอิสราเอลล้อมยิงอย่างเหี้ยมโหดจนเสียชีวิต

2001 - เอเรียล ชารอน นายกฯกระหายเลือด
เหตุการณ์อินฎิฟาเฎาะครั้งที่ 2 ทำให้รัฐบาลผสมพรรคกรรมกรของบารัคคว่ำไม่เป็นท่า เอฮุด บารัค ลาออก เมื่อวันที่ 10 ธันวาคม 2000 การเลือกตั้งครั้งใหม่เมื่อ 6 กุมภาพันธ์ 2001 เอเรียล ชารอน อดีตรัฐมนตรีกลาโหมมือ
เปื้อนเลือดจากการสังหารโหดล้างเผ่าพันธุ์ปาเลสไตน์ในค่ายผู้ลี้ภัยในเลบานอนเมื่อ ปี 1982 หวนกลับมาครองเข้าสู่บัลลังก์เลือดพ้องกับสหรัฐที่ได้ผู้นำคนใหม่ที่ชื่อจอร์จ ดับยา บุช

2002 - กลับเวสต์แบ็งค์
องค์การบริหารรัฐปาเลสไตน์ หรือ PA. ได้รับมอบอำนาจบริหารเพียง 2 ปี กองกำลังอิสราเอลในยุคเอเรียล ชารอน ก็ยาตราทัพกลับเข้ายึดครองดินแดนที่ส่งมอบในสมัยนายกฯยิซชาก ราบินการกระทำเช่นนี้ ถือว่าชารอน
ฉีกข้อตกลงออสโลว์ทิ้งอย่างเป็นทางการ อิสราเอลปิดล้อมเมืองลามัลลอฮ์ ที่ตั้งสำนักงาน PA. และทำเนียบของนายยัสเซอร์ อารอฟัต สหรัฐรีบฉวยโอกาสยื่นข้อเสนอให้ PA. ปลดยัสเซอร์ อารอฟัตจากผู้นำ PA. เพื่อ
เตรียมการสู่แผนสันติภาพฉบับใหม่ ที่บุชเรียกว่า Road Map (แผนที่รับรองว่าอิสราเอลจะไม่เสียผลประโยชน์เหมือนฉบับออสโลว์ของคลินตัน) เชื่อกันว่าชารอนมีคำสั่งลับให้ลอบสังหารยัสเซอร์ อารอฟัต

2003 - โรดแมพเปื้อนเลือด
เดือนพฤษภาคม รัฐสภาอิสราเอลให้สัตยาบรรณรับรองแผนสันติภาพ Road Map ของจอร์จ ดับยา บุช การประชุมจัดขึ้นเมื่อเดือนมิถุนายน 2003 ที่เมืองอะกอบา ประเทศจอร์แดน นายกรัฐมนตรีมะห์มูด อับบาส รับหน้าที่เจรจาแทรอารอฟัต อับบาสถูกกดดันให้ยอมรับหลักการว่า “การจับอาวุธขึ้นต่อต้านอิสราเอลจะต้องยุติลงกลุ่มติดอาวุธต้องถูกกำจัด” เพื่อแลกกับการที่ชารอน จะมีแถลงการณ์สนับสนุนการจัดตั้งรัฐปาเลสไตน์ขึ้นเคียงคู่กับรัฐอิสราเอลอย่างสันติ ฮามาสประนามว่า PLO. และฟาตาห์ ว่าเป็นผู้ทรยศ เพราะจุดยืนของฮามาส คือปาเลสไตน์ต้องเป็นของมุสลิม และต้องต่อสู้จนกว่าจะขับไล่ยิวออกไปจากแผ่นดินมุสลิม

แผนสันติภาพ Road Map ระบุว่า อิสราเอลจะถอนตัวจากฉนวนกาซ่า และเมืองเบธเลเฮม PA. ของอับบาส ต้องควบคุมมิให้กลุ่มต่อต้านปาเลสไตน์โจมตีอิสราเอลอีกต่อไป ซึ่งหมายความว่า PA. ต้องกำจัดกลุ่มต่อต้านยิว
นอกกฎหมายทุกกลุ่มอย่างสิ้นซาก เท่ากับว่าสหรัฐและอิสราเอล ยืมมือชาวปาเลสไตน์ฆ่าปาเลสไตน์ด้วยกันนั่นเอง หากอับบาสจัดการไม่ได้ อิสราเอลก็ถือเป็นเหตุยกเลิกข้อตกลง นายอับบาสจึงตกที่นั่งลำบาก ที่ต้องคอย
ควบคุม มิให้เกิดการโจมตีอิสราเอล ซึ่งเป็นไปไม่ได้เลย

เดือนสิงหาคม 2003 การปฎิบัติการโจมตีอิสราเอลก็เริ่มขึ้น อิสราเอลถือโอกาสใช้กำลังทหารเข้าปราบปรามอย่างรุนแรง ในที่สุดนายอับบาส ถูกกดดันให้ต้องลาออกจากนายกรัฐมนตรี อารอฟัตแต่งตั้งให้ นายอะห์เหม็ด
ฆูรีย์ มือขวาคนสนิทมาทำหน้าที่แทนอับบาส ขณะที่อิสราเอล ยังคงเดินหน้าสร้างกำแพงปิดล้อมเขตเวสต์แบ็งค์โดยไม่สนใจการประณามจากนานาชาติ

เดือนธันวาคม ปี 2003 คณะรัฐมนตรีอิสราเอลภายใต้การนำของนายเอเรียล ชารอน มีมติคณะรัฐมนตรีเนรเทศนายอารอฟัต ให้ออกจากดินแดนปาเลสไตน์ และส่งเฮลิคอปเตอร์ยิงจรวดถล่มบ้านพักนายอารอฟัตทั้งในกาซ่าซิตี้ และเมืองลามัลลอฮฺ เค้ารางความล้มเหลวของแผนสันติภาพ Road Map เริ่มปรากฎให้เห็น เด่นชัดขึ้นท่ามกลางกองเลือดและความทุกข์ยากของชาวปาเลสไตน์ต่อไป

2004 - ลาแล้วอารอฟัต
ขณะที่อารอฟัต ถูกโดดเดี่ยวจากสหรัฐ และอิสราเอล อิสราเอลใช้กำลังทางอากาศโจมตีที่หมายในกาซ่า อย่างรุนแรงโหดเหี้ยม และหมายเลขหนึ่งที่อิสราเอลมุ่งปลิดชีวิตด้วยวิธีอันเหี้ยมโหดนี้ ก็คือ ผู้นำและผู้ก่อตั้งฮามาส
นั่นคือเช็คอะห์หมัด ยาซีน เดือนต่อมา เมษายน 2004 ผู้นำระดับสูงหมายเลข 2 ของฮามาส อับดุลอะซีซ อัล-รอฏีซีย์ ก็ถูกสังหารโดยวิธีการเดียวกัน

เมษายน 2004 นายชารอน อ้างเหตุประกาศยกเลิกแผนการถอนนิคมชาวยิวจำนวน 8,000 แห่ง รวมทั้งยกเลิกการถอนทหารออกจากเขตฉนวนกาซ่า และบางส่วนในเขตเวสต์แบ็งค์ แผนการ Road Map ของนายจอร์จ ดับ
ยา บุช พังทลายไม่เป็นท่า เหตุผลเพราะชารอนกังวล การเลือกตั้งทั่วไปครั้งใหม่กำลังจะมาถึงช่วงเวลาเดียวกันข่าวสำคัญอีกข่าวหนึ่งก็ดึงดูดความสนใจโลกไปทั้งหมด นั่นคือข่าวอาการป่วยของนายยัสเซอร์อารอฟัต ผู้นำตลอดกาลของ PLO. ข่าวอารอฟัตล้มป่วยแพร่สะพัดไปไม่นาน เขาถูกนำส่งฉุกเฉินไปยังโรงพยาบาลทหารแห่งหนึ่งชานกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส นายอารอฟัตมีอาการป่วยหนักโดยไม่ระบุรายละเอียด และวันที่ 11 พฤศจิกายน 2004 นายอารอฟัตก็ถึงแก่อสัญกรรม แพทย์ระบว่าติดเชื้อในกระแสโลหิต ข่าวการจากไปของนายอารอฟัตสร้างความผิดหวังและเศร้าเสียใจโดยเฉพาะชาวปาเลสไตน์ที่สนับสนุน PLO. นายอารอฟัต จากโลกนี้ไป โดยที่ยังไม่ทันได้ยินเสียงเพลงชาติปาเลสไตน์ และไม่มีโอกาสได้เห็นธงชาติปาเลสไตน์ถูกเชิญขึ้นสู่ยอดเสา

คนที่มาแทนอารอฟัต ก็คือ นายมะห์มูด อับบาส อดีตนายกรัฐมนตรี PA. เมื่อ ปี 2002 สถานภาพใหม่ของนายอับบาส คราวนี้ ไม่ได้เป็นเพียงผู้นำสูงสุดของ PLO. และ พรรคฟาตาห์เท่านั้น แต่ยังมีฐานะเป็นประธานาบดี
ของรัฐปาเลสไตน์อีกด้วย แม้ว่าชาวปาเลสไตน์ส่วนหนึ่งโดยเฉพาะในฉนวนกาซ่าจะไม่เคยยอมรับก็ตาม

2005 - ออกจากกาซ่า
มกราคม ปี 2005 มะห์มูด อับบาส ชนะการเลือกตั้ง เข้าดำรงตำแหน่งประธานองค์การบริหารปาเลสไตน์ - PA.หรือ Palestinian Authority มีฐานะเป็นประธานาธิบดีของรัฐปาเลสไตน์ อย่างถูกต้องตามกฎหมาย ท่ามกลาง
ความคาดหวังว่านายอับบาส จะนำพาปาเลสไตน์ไปสู่ความฝันในการเป็นรัฐปาเลสไตน์ได้สำเร็จ แต่ภาระกิจผู้นำปาเลสไตน์ กลายเป็นต้นเหตุที่นำความแตกแยกมาสู่ชาวปาเลสไตน์ที่รุนแรงที่สุดและส่งผลกระทบมาจน
กระทั่งวันนี้ นายมะห์มูด อับบาส ได้รับความช่วยเหลือจากอิสราเอล และสหรัฐ ติดอาวุธให้ตำรวจรัฐบาล PA.เพื่อจัดการกับกลุ่มติดอาวุธในฉนวนกาซ่า โดยมีเป้าหมายหลักเพื่อไล่ล่านักรบฮามาส กลุ่มเครือข่ายอิสลามิก
ญิฮาด และอัล-ก็อตซาม และยุติปฏิบัติการโจมตีอิสราเอล การปราบปรามกันเองของปาเลสไตน์ ทำให้เกิดการปะทะกันระหว่างตำรวจปาเลสไตน์ของนายอับบาส กับนักรบฮามาส รุนแรง และสูญเสียมากขึ้น

อับบาสกลายเป็นเด็กดีของ อิสราเอลและสหรัฐ ทำให้อิสราเอลตกลงร่วมกันกับ PA. ประกาศหยุดยิง ในการประชุมสุดยอด จัดขึ้นที่ประเทศอียิปต์ ทั้งนี้เพื่อเตรียมการกลับสู่แผนสันติภาพ Road Map อีกครั้งหนึ่ง เพื่อ
ฟื้นฟูกระบวนการถอนที่ตั้งนิคมชาวยิว 8,000 แห่ง และถอนกำลังทหารอิสราเอลออกจากกาซ่า อย่างเป็นรูปธรรม สถานภาพของกลุ่มต่อต้านอิสราเอลกลายเป็น “กลุ่มติดอาวุธผิดกฎหมาย” หรือ “ผู้ก่อการร้าย” ซึ่งเป็น
หน้าที่ที่ PA. ของนายอับบาสต้องกำจัด สหรัฐ อิสราเอล และอียิปต์ ร่วมกันฝึกกองกำลัง PA. ของอับบาส เพื่อปฏิบัติการกวาดล้างฮามาสและพันธมิตรนอกจากนั้น PA. และเจ้าหน้าที่ฟาตาห์ของอับบาส ยังมีส่วนร่วมในการ
จับกุมตัวและการลอบสังหารผู้นำกลุ่มต่างๆ อีกด้วย

2006 - รัฐบาลฮามาส
ความเป็นปฎิปักษ์ และการกวาดล้างนักรบฮามาส ทั้งจากอิสราเอล และองค์การบริหารปาเลสไตน์ของนายอับบาสดำเนินการอย่างต่อเนื่อง และกดดันฮามาสอย่างหนัก จนในที่สุดฮามาสต้องยอมเข้าสู่การเมืองโดยผ่านการ
เลือกตั้ง การเลือกตั้งถูกจัดขึ้นในเดือนมกราคม 2006 ผลปรากฎว่ากลุ่มฮามาสได้รับชัยชนะอย่างท่วมท้น อิสราเอลและสหรัฐพยายามอย่างหนักที่จะแทรกแซงผลการเลือกตั้ง โดยกีดกันฮามาสไม่ให้เข้าสู่อำนาจ
สหรัฐและอิสราเอล กดดันประธานาธิบดีมะห์มูด อับบาสอย่างหนัก แต่ในที่สุด ทั้งอับบาสและสหรัฐก็ไม่อาจยับยั้งการจัดตั้งรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งโดยประชาชน ของฮามาสได้ อิสมาอีล ฮานิยาห์ ผู้นำฮามาสขึ้นสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีปาเลสไตน์คนแรกที่มาจากการเลือกตั้ง

ปมความขัดแย้งระหว่างฮามาส ที่มีอำนาจรัฐและประชาชนหนุนหลัง กับ PA. และฟาตาห์ที่นำโดยประธานาธิบดีอับบาส ที่สหรัฐและอิสราเอลให้การยอมรับ และสนับสนุน กลายเป็นปมปัญหาที่ทวีความร้อนระอุขึ้นอย่างช้าๆ
และรุนแรงขึ้น ไม่นานหลังการจัดตั้งรัฐบาลปาเลสไตน์โดยฮามาส PA. ก็เริ่มช่วงชิงและแทรกแซงอำนาจบริหารจัดการในเขตฉนวนกาซ่า ซึ่งฮามาสมีอิทธิพลมาตั้งแต่ก่อนเลือกตั้ง PA. ของอับบาสทำหน้าที่เป็นฝ่ายความ
มั่นคงแห่งชาติ เกิดการใช้อำนาจทับซ้อนกัน

ในที่สุดก็นำไปสู่การปะทะกันระหว่างเจ้าหน้าที่ของรัฐบาลฮามาส กับเจ้าหน้าที่รักษาความมั่นคงขององค์การบริหารปาเลสไตน์ ครั้งใหญ่ที่สุดเป็นครั้งแรก เมื่อวันที่ 10 มิถุนายน 2006

2007 คว่ำฮามาส
การปะทะกันอย่างดุเดือดระหว่างฮามาสกับกองกำลังของอับบาส เป็นไปอย่างต่อเนื่อง ฮามาสเข้ายึดที่ทำการและวิลล่าส่วนตัวของนายอารอฟัต และนายอับบาส เปิดเผยให้เห็นความร่ำรวยผิดปกติของบรรดาผู้นำ PLO.
ฮามาสปลดคนของอับบาส แต่งคนของฮามาสเข้าไปทำหน้าที่แทน จนมาถึงวันที่ 14 มิถุนายน 2006 สหรัฐและอิสราเอลกดดันให้ นายอับบาสใช้อำนาจประธานาธิบดีมีคำสั่งปลดนายอิสมาอีล ฮานายห์ ออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี แต่ฮานิยาห์ไม่ยอมรับอ้างว่าเป็นคำสั่งที่ไม่ชอบธรรม ด้วยเหตุนี้ทำให้ ปาเลสไตน์ถูกแบ่งแยกเป็นสองขั้ว คือขั้วของ PA. ที่มีนายอับบาสเป็นผู้นำในฐานะประธานาธิบดี รับรองโดยสหรัฐ อิสราเอล และชาติตะวันตก มีอำนาจเต็มในเวสต์แบ็งค์ แต่ไม่มีอำนาจบริหารที่แท้จริงในฉนวนกาซ่า อีกขั้วหนึ่งคือรัฐบาลฮามาสที่มีชาวปาเลสไตน์ในกาซ่าสนับสนุน และถือว่ายังเป็นรัฐบาลที่มีอำนาจเต็มทั่วประเทศปาเลสไตน์ แต่อำนาจที่แท้จริงมีเฉพาะในเขตฉนวนกาซ่า ทั้ง PA. และฟาตาห์ของอับบาส และอิสราเอล หันมาร่วมมือกันปราบปรามฮามาสอย่างรุนแรงหมายใจจะกำจัดฮามาสให้สิ้นสภาพ หมดอำนาจไปจากกาซ่าให้ได้ ในที่สุดเอฮุด โอลเมิร์ตจากพรรคคาดีม่า นายกรัฐมนตรีอิสราเอลที่มารับหน้าที่ต่อจากชารอน เนื่องจากปัญหาสุขภาพ ตกลงทำข้อตกลงหยุดยิงกับฮามาส ครั้งแรกข้อตกลงถูกละเมิด และได้มีการตกลงหยุดยิงกันอีกหนึ่งครั้งซึ่งหมดวาระในเดือน พฤศจิกายน 2008

2008-2009 - สงครามแห่งความขมขื่น
รัฐบาลผสมคาดีม่าและพรรคกรรมกร ของเอฮุด โอลเมิร์ต กำลังประสบปัญหา ตัวเอฮุด โอลเมิร์ตเองถูกสอบสวนในข้อหาคอรัปชั่น และหลีกเลี่ยงภาษี พรรคกรรมกรพยายามกดดันให้โอลเมิร๖ลาออก เพื่อนายเอฮุด
บารัค รัฐมนตรีกลาโหมจะขี้นดำรงตำแหน่งแทน อิสราเองต้องการแก้ปัญหาภายใน ก่อนที่ข้อตกลงหยุดยิง จะหมดวาระในเดือน พฤศจิกายน 2008 แต่ฮามาสปฏิเสธ อิสราเอลบีบให้ฮามาสเจรจายืดระยะเวลาหยุดยิงออก
ไปโดยการปิดล้อมฉนวนกาซ่า จนขาดแคลนอาหารและพลังงานแต่ไม่สำเร็จ เมื่อข้อตกลงหนุดยิงหมดวาระลงฮามาสระดมยิงจรวดเข้าใส่อิราเอลอย่างหนัก เอฮุด บารัค ฉวยโอกาสเสนอแผนการโจมตีฮามาส และเมือง
ต่างๆในฉนวนกาซ่า โดยไม่เลือกเป้าหมาย กลายเป็นอาชกรรมที่โหดร้ายที่สุดในรอบ 60 ปี ด้วยความปรารถนาที่จะทำลายล้างเผ่าพันธุ์ปาเลสไตน์อย่างถอนรากถอนโคน นายเอฮุด บารัค เรียกแผนนี้ว่า The War of Bitter
End หรือสงครามเพื่อยุติความเจ็บปวด โดยลงมือปฎิบัติการทางอากาศเมื่อวันที่ 27 ธันวาคม 2008 มาจนถึง
ปัจจุบัน


ลำดับเหตุการณ์วิกฤติฉนวนกาซ่า aljazeera/gulfnews/muslimthai.com/muslim4peace.net
19 มิถุนายน – เริ่มระยะเวลาพักรบ 6 เดือน หลังจากอียิปต์เป็นคนกลางในการเจรจา ระหว่างอิสราเอลกับฮามาส

05 พฤศจิกายน – อิสราเอลปิดพรมแดนกาซ่า

14 ธันวาคม – ผู้นำทางการเมืองของฮามาส คอลิด เมชาอัล ประกาศไม่ขยายเวลาหยุดยิง

19 ธันวาคม - กำหนดเวลาสิ้นสุดการหยุดยิงระหว่างอิสราเอลกับฮามาส

21 ธันวาคม – รัฐมนตรีหญิงกระทรวงต่างประเทศอิสราเอล Tzipi Livni กล่าวว่าถ้าได้รับการเลือกตั้ง เป้าหมายแรกคือ จะเขี่ยฮามาสออกจากปาเลสไตน์

27 ธันวาคม 2551 – อิสราเอลเริ่มปฏิบัติการรุกรานฉนวนกาซ่า โดยใช้รหัสว่า “Operation Cast Lead” โดยทิ้งระเบิดทำให้ปาเลสไตน์เสียชีวิตในครั้งเดียวกว่า 225 ศพ ในขณะที่ชาวบ้านอิสราเอลเสียชีวิต 1 ศพ และบาดเจ็บ 6 คน จากการยิงจรวดของฮามาส

28 ธันวาคม 2551 – เครื่องบินอิสราเอลถล่มมหาวิทยาลัยอิสลามในกาซ่าซิตี้ และอุโมงค์ตามแนวชายแดนกาซ่า-อียิปต์ ทหารราบหลายร้อยนาย และรถหุ้มเกราะของอิสราเอลเคลื่อนพลเข้าสู่กาซ่า และมีการเรียกประจำการทหารกองหนุนในอิสราเอล

29 ธันวาคม 2551 – เครื่องบินอิสราเอลทิ้งระเบิดกระทรวงกิจการภายใน ในกาซ่าซิตี้ และอิสราเอลประกาศให้ดินแดนกาซ่าทั้งหมดเป็นเขตปฏิบัติการณ์ทางทหาร

30 ธันวาคม 2551 – มีการยิงจรวดจากฝ่ายต่อต้านปาเลสไตน์เข้าไปในดินแดนอิสราเอล ทำให้ยอดประชาชนเสียชีวิตเพิ่มเป็น 4 คน สหภาพยุโรปเรียกร้องให้หยุดยิงจรวดโดยไม่มีข้อแม้ และให้ฝ่ายอิสราเอลยุติปฏิบัติการทางทหาร

31 ธันวาคม 2551 – สมาชิกมนตรีความมั่นคงสหประชาชาติยุติการประชุมฉุกเฉิน โดยไม่สามารถร่างข้อตกลงแก้ปัญหาเป็นลายลักษณ์อักษร

01 มกราคม 2552 – นิซาร์ เรยาน ผู้นำฮามาส ถูกฆ่าตายพร้อมครอบครัว 14 คน

02 มกราคม 2552 – อียิปต์เริ่มการเจรจากับฮามาสเพื่อหาวิธียุติความขัดแย้ง

03 มกราคม 2552 – อิสราเอลเริ่มปฏิบัติการภาคพื้นดิน สังหารชีวิตชาวปาเลสไตน์ที่ชุมนุมนมาซในมัสยิดเมืองเบต ลาฮิยาตาย 11 ศพ โดยมีเด็กในจำนวนนี้ 1 คน

04 มกราคม 2552 – กองกำลังอิสราเอลแยกกาซ่าออกเป็น 2 ส่วน และปิดล้อมเมืองกาซ่าซิตี้ มีทหารอิสราเอลเสียชีวิต 1 คน เครื่องบินทิ้งระเบิดถูกรถพยาบาล 2 คันในกาซ่า ทำให้หมอเสนารักษ์และผู้ช่วยเสียชีวิต 4 ศพ

05 มกราคม 2552 – อิสราเอลปฏิบัติการณ์โจมตีทางอากาศ ร่วมกับทางทะเล ทำให้ปาเลสไตน์เสียชีวิต 45 ศพ ประธานาธิบดีนิโคลาส ซาร์โกซี่ บินมาเจรจากับผู้นำอียิปต์เพื่อแสวงหาวิธียุติการต่อสู้

06 มกราคม 2552 – อิสราเอลโจมตีโรงเรียนของสหประชาชาติ ซึ่งอยู่ทางตอนเหนือของเมืองจาบาลิย่า ทำให้ผู้ที่หลบภัยอยู่ในนั้นเสียชีวิต 43 ศพ และบาดเจ็บอย่างน้อย 100 คน อิสราเอลยังโจมตีอีก 2 โรงเรียน ในเมืองคานยูนิส ซึ่งอยู่ทางใต้ทำให้มีผู้เสียชีวิต 2 ศพ และอีก 3 ศพในค่ายผู้อพยพชาตีในกาซ่าซิตี้

07 มกราคม 2552 – ชาวปาเลสไตน์ 11 คนเสียชีวิตจากการทิ้งระเบิดทางอากาศ และยิงโดยรถถังเข้าไปในเมืองกาซ่า และทางตอนเหนือ มีการหยุดยิงชั่วคราว 3 ชั่วโมง 2 วัน เพื่อให้เจ้าหน้าที่องค์กรมนุษยธรรมเข้ามาช่วยเหลือ และแจกจ่ายอาหาร น้ำ เชื้อเพลิง และยารักษาโรค
- อิสราเอลโปรยใบปลิว ให้ผู้อาศัยบริเวณแนวชายแดนด้านที่ติดกับอียิปต์นับพันออกจากบ้าน เพราะจะมีการโจมตีหนัก

08 มกราคม 2552 – องค์กรผู้อพยพของสหประชาชาติในกาซ่า เลื่อนการออกแจกความช่วยเหลือ หลังจากขบวน
รถบรรทุกถูกรถถังอิสราเอลยิง มีเจ้าหน้าที่ปาเลสไตน์เสียชีวิต 1 คน บาดเจ็บ 2 คน
- รถแทร๊กเตอร์จากอิสราเอลข้ามเขตเข้ามาทำลายบ้านเรือนชาวปาเลสไตน์
- มีรายงานจรวดจากเลบานอนเข้ามาตกทางตอนเหนือของอิสราเอล
- ในการประชุมคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ สมาชิก 14 ประเทศเห็นด้วยกับร่างแก้ปัญหา แต่สหรัฐประเทศเดียวคัดค้าน

09 มกราคม 2552 – อิสราเอลเริ่มโจมตีอีกครั้งในกาซ่า หลังจากยูเอ็นไม่มีมติใดๆ
- ยอดผู้เสียชีวิตเพิ่มเป็น 770 คน ในจำนวนนี้เป็นเด็ก 200 คน

10 มกราคม 2552 – อิสราเอลโปรยใบปลิวแจ้งการโจมตีแผนใหม่ ครอบครัวชาวบ้านในจาบาลิย่าเสียชีวิตยกครัว 8 คน ในการยิงด้วยปีนรถถัง ทำให้ผู้เสียชีวิตเพิ่มเป็น 831 ศพ
- คอลิด เมชาอัล ผู้นำฮามาสที่ลี้ภัยอยู่ในซีเรีย ประกาศว่าอิสราเอลต้องหยุดโจมตีกาซ่า และหยุดการปิดล้อมเสียก่อน จึงจะตกลงหยุดยิงด้วย

11 มกราคม 2552 - อิสราเอลยิงระเบิดขนาดใหญ่ มีฝุ่นสีขาว ซึ่งเป็นอาวุธเคมี phosporou และเป็นอีกครั้งที่อิสราเอลฉีกกฏหมายนานาชาติเกี่ยวกับการทำลายล้างเผ่าพันธุ์
- อิสราเอลรายงานต่อ UN ว่ามีกองกำลังขนาดเล็กในพื้นที่ราบสูงโกลัน พร้อมกว่าว่ากองกำลังดังกล่าวส่งมาจากซีเรีย

12 มกราคม 2552 - อิสราเอลยังคงดำเนินการบุกรุกกาซ่าเช่นเดิม ถึงแม้ว่าจะมีมติจาก UN ให้มีการสอบสวนการกระทำป่าเถื่อนของอิสราเอล
- ฆ่าประชาชนกาซ่าไปกว่า 935 คน บาดเจ็บ 4300 คน ไร้ที่อยู่ 25,000 คน

13 มกราคม 2552 Miguel d’Escoto Brockmann ประธานสมัชชาสหประชาชาติ ประณามอิสราเอลฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวปาเลสไตน์ในกาซ่า นายบัน คี มูน เลขาธิการ ยู.เอ็น. บินไปอียิปต์เพื่อดำเนินการให้มีการหยุดยิง

14 มกราคม 2552 – จำนวนประชาชนปาเลสไตน์ที่ถูกสังหารครบ 1,000 คน ขณะที่องค์กรความช่วยเหลือสหประชาชาติ เรียกร้องให้ช่วยกันทุกวิถีทางที่จะยุติการสู้รบ ประเทศเวเนซูเอล่า และโบลิเวียตัดความสัมพันธ์ทางการทูตกับอิสราเอล โบลีเวียเรียกร้องให้มีการตั้งข้อหาอาชญากรสงครามกับอิสราเอล

15 มกราคม 2552 – อิสราแอลยิงปืนใหญ่ ทำลายคลังองค์กรบรรเทาทุกข์สหประชาชาติ ทำให้เกิดไฟไหม้อาหาร และยา ขณะเดียวกันโรงพยาบาล 3 แห่ง ก็ถูกทำลายด้วย Said Siam รัฐมนตรีกิจการภายในปาเลสไตน์ และผู้นำอาวุโสของฮามาสในกาซ่า ถูกสังหารพร้อมน้องชาย และลูกชายในจาบาลิญ่า
- สมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติ ประณามอิสราเอลว่าฝ่าฝืนกฎหมายระหว่างประเทศ โดยการทำร้ายประชาชน และตำหนิผู้นำหลายประเทศที่เพิกเฉยดูดายต่อวิกฤติครั้งนี้
- ผู้แทนฮามาสเสนอข้อตกลงหยุดยิง 1 ปี แก่อียิปต์ซึ่งเป็นคนกลางในการไกล่เกลี่ย แต่มีข้อแม้ว่าการหยุดยิงจะเริ่มเมื่ออิสราเอลถอนทหารออกไปภายใน 1 สัปดาห์ และต้องเปิดพรมแดนกาซ่าทุกด้าน โดยมีการรับรองจากนานาชาติว่า อิสราเอลจะไม่ปิดล้อมกาซ่าอีก
- บัน คี มูน กล่าวว่า มีความเห็นในด้านดีว่า อิสราเอลจะยอมรับข้อเสนอหยุดยิง แต่อาจจะต้องใช้เวลา

16 มกราคม 2552 – การสู้รบในฉนวนกาซ่าเริ่มบรรเทาลง ขณะที่กำลังมีความพยายามในทางการทูตอย่างเข้มข้น
ชาติอาหรับจัดประชุมสุดยอดด่วนในเมืองโดฮา ฉายให้เห็นภาพความแตกแยกในภูมิภาคอย่างชัดเจน โดยอียิปต์ และซาอุดี้ ส่งผู้แทนเข้าร่วมประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาหรับ ที่จัดขึ้นในช่วงเดียวกันที่ประเทศคูเวต
- กาต้าร์ และมอริตาเนียประกาศชะลอความร่วมมือทางเศรษฐกิจกับอิสราเอล ติดตามด้วยประธานาธิบดีอัซซาด แห่งซีเรีย และคอลิด เมชาอัล ผู้นำทางการเมืองของฮามาส เรียกร้องให้ชาติอาหรับตัดความสัมพันธ์กับอิสราเอล
- รัฐมนตรีต่างประเทศอิสราเอล ลิฟนี และคอนโดลิซ่า ไรซ์ ลงนามข้อตกลงช่วยเหลือกันหยุดการลักลอบขนอาวุธเข้ากาซ่า ผ่านอุโมงค์ใต้ดินด้านพรมแดนอียิปต์
- ที่ประชุมใหญ่สหประชาชาติสั่งให้มีการหยุดยิงในทันที และอิสราเอลต้องถอนทหารออกจากกาซ่า ประธานาธิบดีเออร์ดูแกนแห่งตุรกี กล่าวว่า ไม่ควรให้อิสราเอลเข้าร่วมในการประชุมสหประชาชาติ ตราบใดที่ยังท้าทาย และเพิกเฉยคำสั่งหยุดยิงของ ยู.เอ็น.
- การเจรจาทางการทูตดำเนินต่อไปในโคโร อามอส กิลาด ผู้นำการเจรจากล่าวว่า อิสราเอลต้องการการหยุดยิงโดยปราศจากเงื่อนเวลา

17 มกราคม 2552 – การสู้รบรุนแรงขึ้น โดยเครื่องบินจากอิสราเอลบินมาทิ้งระเบิดทางตอนใต้ของกาซ่ากว่า 50 เที่ยว
- เรือรบ และรถถังอิสราเอล รุกเข้าในเขตชานเมืองกาซ่าซิตี้ และระดมยิงปืนเข้าใส่เขตเมืองที่มีประชาชนอยู่หนาแน่น ชาวปาเลสไตน์ 15 คนถูกสังหาร
- สหประชาชาติสั่งสอบสวนกรณีทหารอิสราเอลยิงระเบิดใส่โรงเรียน ในเขตเบต ลาฮิยา ทำให้เด็กเสียชีวิต 2 คน
- อียิปต์ประกาศเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมสุดยอดระหว่างประเทศ เกี่ยวกับวิกฤติการณ์กาซ่า ซึ่งจะมีสมาชิกสหภาพยุโรปเข้าร่วม 7 ประเทศ รวมทั้งเลขาธิการ ยู.เอ็น.
- Ahmed Abul Gheit รัฐมนตรีต่างประเทศอียิปต์ กล่าวว่า อียิปต์ไม่ได้ถูกผูกมัด จากข้อตกลงระหว่างอิสราเอลกับสหรัฐ ที่จะช่วยกันหยุดการลักลอบขนอาวุธเข้ากาซ่า
- คณะรัฐมนตรีด้านความมั่นคงอิสราเอล โหวตเห็นด้วยกับการหยุดยิงฝ่ายเดียวของอิสราเอล หลังจากรุกรานกาซ่ารวมเวลา 22 วัน
- นายกรัฐมนตรีโอล์เมิร์ท แห่งอิสราเอล ประกาศหยุดยิงฝ่ายเดียว ยุติปฏิบัติการรุกรานทางทหารในฉนวนกาซ่า แต่กล่าวว่า กองทหารอิสราเอลยังคงอยู่ในฉนวนกาซ่า

18 มกราคม 2552 – การรบในกาซ่ายังดำเนินอยู่ โดยมีประชาชนปาเลสไตน์เสียชีวิต 1 คนในเมืองคานยูนิส และยังมีปฏิบัติการทางอากาศทางตอนเหนือของกาซ่า
- ทหารอิสราเอลกล่าวว่า ในตอนเช้ามีการยิงจรวดจากฝั่งปาเลสไตน์เข้าไปในอิสราเอลอย่างน้อย 16 ลูก และทหารอิสราเอลได้ยิงตอบโต้กลุ่มฮามาส, อิสลามิคญิฮาด, อัล-นิดาล, กลุ่ม PFLP และกลุ่ม al-Saequ ประกาศหยุดยิง 1 สัปดาห์ โดยมีเงื่อนไขให้กองทหารอิสราเอลถอนออกไปภายใน 7 วัน
- กองทหารอิสราเอลกล่าวว่าจะไม่พูดเรื่องกำหนดถอนทหาร จนกว่าฮามาสจะหยุดยิงจรวดเข้าอิสราเอล และจะไม่ยอมรับกำหนดหยุดยิงที่บงการโดยฝ่ายฮามาส และว่า “ปฏิบัติการณ์ยังไม่จบสิ้น เป็นเพียงแค่การพักชั่วคราว”
- มีการประชุมระหว่างสหภาพยุโรป และผู้นำชาติอาหรับในอียิปต์ ย้ำให้มีการช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม

19 มกราคม 2552 – ชาวปาเลสไตน์ออกมาสำรวจความเสียหาย หลังจากการหยุดยิงของแต่ละฝ่าย
- ทหารอิสราเอล และรถถังเริ่มทยอยถอนออกจากตอนกลางของฉนวนกาซ่า มุ่งหน้าไปยังชายแดนด้านติดกับอิสราเอล แต่แหล่งข่าวทางทหารกล่าวว่าทหารที่กำลังถอนออกมาส่วนมากเป็นเพียงทหารกองหนุน ในขณะที่ฝ่ายฮามาสกล่าวว่า กองกำลังติดอาวุธของกลุ่มยังมีศักยภาพพอที่จะต่อกรกับฝ่ายอิสราเอลได้อีก หลังจากที่โดนโจมตีทั้งทางอากาศ และทางภาคพื้นดินมาแล้ว 23 วัน

บทสรุป 23 วันแห่งการสังหารหมู่ฟีเลสตีน : วันแห่งการเริ่มต้นฆ่าล้างเผ่าพันธุ์พี่น้องฟีเลสตีนครั้งล่าสุด
ตั้งแต่ 27 ธันวาคม 2551 จนถึงปัจจุบัน มีชาวฟิเลสตีนชะฮีด (อินชาอัลลอฮฺ) มากกว่า 1,330 คน เป็นเด็กอายุต่ำกว่า 16 ปีมากกว่า 437 คน สตรีมากกว่า 110 คน คนชรา 123 คน แพทย์และผู้ช่วย 14 คน และสื่อมวลชน 4 คน นอกจากนี้ยังมีผู้ได้รับบาดเจ็บอีกกว่า 5,450 คน เป็นเด็ก 1,890 คน











Create Date : 03 กุมภาพันธ์ 2552
Last Update : 3 กุมภาพันธ์ 2552 17:55:53 น. 1 comments
Counter : 1180 Pageviews.

 
เป็นการกระทำที่ปาเถื่อนที่สุด คนอิสราเอลสมควรที่จะต้องได้รับการกระทำเช่นนี้เหมือนกัน


โดย: israel is real terrorist IP: 41.91.146.89 วันที่: 20 มิถุนายน 2553 เวลา:21:08:08 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

salama_rashid
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Oh I come from a land, from a faraway place Where the caravan camels roam Where they cut off your ear If they don't like your face It's barbaric,but hey,it's home
Group Blog
 
<<
กุมภาพันธ์ 2552
 
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
 
3 กุมภาพันธ์ 2552
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add salama_rashid's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.