สินค้าสำหรับ "คนโง่" สไตล์หนุ่มเมืองจันท์

อ่านเจอบทความของคุณหนุ่มเมืองจันท์ในมติชนออนไลน์ค่ะ ชอบมากๆ อ่านแล้วเห็นภาพเลยอยากเอามาแบ่งปันค่ะ

คิดดังๆ สไตล์หนุ่มเมืองจันท์

"หนุ่มเมืองจันท์"

สินค้าสำหรับ "คนโง่"

ถ้าคุณผลิตสินค้าตัวหนึ่งขึ้นมา จะตั้งราคาขายไว้เท่าไร?

นักธุรกิจรุ่นใหม่ส่วนใหญ่จะเลือกตั้งราคาขายไว้ค่อนข้างสูง

กำไรต่อหน่วยเยอะ

ขายไม่ต้องมาก แต่เงินเข้ากระเป๋าเยอะ

ตัวอย่างง่ายๆ คือ กาแฟ



น้องคนหนึ่งที่ทำธุรกิจนี้เขาบอกว่า ต้นทุนกาแฟสดแต่ละถ้วยต่ำมาก

แต่ด้วยภาพลักษณ์ที่กาแฟระดับพรีเมี่ยม เช่น สตาร์บัคส์ คอฟฟี่ เวิลด์ ทรูคอฟฟี่ ฯลฯ สร้างไว้ และตั้งราคากาแฟค่อนข้างสูง

"สตาร์บัคส์" ขายกาแฟแก้วละ 100 บาท เป็นเรื่องธรรมดา

ดังนั้น กาแฟสดทั่วไปจึงสามารถตั้งราคาได้ตั้งแต่ 30-70 บาท ถ้าร้านไหนตกแต่งหรูหน่อยก็แพงหน่อย

ถ้าเป็นร้านเล็กๆ หรือขายตามปั๊มน้ำมันก็ถูกลงหน่อย

เชื่อไหมครับว่าแค่ตั้งราคาแก้วละ 40 บาท

ขายได้สัก 50 แก้วก็ได้กำไรหลักพันแล้ว

นี่คือ กลยุทธ์การตั้งราคาสินค้าสูงๆ

ขายปริมาณน้อย แต่กำไรต่อหน่วยเยอะ

แต่ถ้าเป็นสินค้าที่เราไม่ได้ขายเอง แต่ต้องขายผ่านร้านค้าต่างๆ

สิ่งที่เราต้องคิดให้ละเอียดเมื่อจะตั้งราคาขายก็คือ กำไรของร้านค้า

เขาจะได้กำไรเท่าไร เมื่อขายสินค้าให้เรา

"ตัน ภาสกรนที" หรือ "ตัน โออิชิ" คิดละเอียดมากเรื่องนี้

ตอนที่เขาตั้งราคาขาย "โออิชิ กรีนที" ขวดละ 20 บาท นอกจากเหตุผลเรื่อง "ชาเขียว" เป็นสินค้าใหม่ และมีภาพลักษณ์เป็นสินค้าระดับพรีเมี่ยม

ตั้งราคาขายสูงหน่อยได้

แต่อีกเหตุผลหนึ่งเป็นเรื่องกำไรของร้านค้าปลีก

"โออิชิ กรีนที" เมื่อถึงมือร้านค้าปลีก ต้นทุนจะอยู่ที่ 15 บาท

ขาย 20 บาท ก็กำไรขวดละ 5 บาท

ในจำนวนเครื่องดื่มทุกประเภท ทุกยี่ห้อ ขาย "โออิชิ กรีนที" จะได้กำไรสูงที่สุด

เมื่อขายน้ำประเภทอื่นได้กำไรขวดละ 2-3 บาท แต่ขายโออิชิ ได้กำไร 5 บาท

ถามว่า "ร้านค้าปลีก" จะเชียร์ใคร?

คำว่า "เชียร์" หมายถึงทั้งการเอ่ยปากช่วยขาย จนถึงการตั้งวางสินค้า

เครื่องดื่มยี่ห้ออื่นถอยไป

แต่ "โออิชิ" ไว้ข้างหน้าให้คนซื้อได้เห็นก่อน

นี่คือ หนึ่งในกลยุทธ์ความสำเร็จของ "โออิชิ กรีนที"


..................................................................................

แต่อีกมุมหนึ่งเป็นวิธีคิดแบบพ่อค้าคนจีนรุ่นเก่า

รู้ไหมครับว่า "มาม่า" กำไรซองละเท่าไร?

ถ้าจำไม่ผิด ผู้ผลิตกำไรแค่ซองละไม่ถึง 50 สตางค์

กำไรเป็นหลักสตางค์ แต่ขายได้ปีละหลายร้อยล้านซอง

กำไรต่อหน่วยน้อย แต่ขายได้เยอะ

เอายอดขายคูณกำไรต่อหน่วย

...กำไรมโหฬาร

"ธนินท์ เจียรวนนท์" ของซีพี เป็นคนหนึ่งที่คิดแบบนี้

เขาบอกว่าเครือซีพีนั้นจะผลิตสินค้าที่แม้แต่คนโง่ที่สุดก็ต้องซื้อ

นั่นคือ ของดีราคาถูก

ไม่มีใครในโลกนี้ไม่ชอบ "ของดี" แต่ "ราคาถูก"

เวลาที่เราจะตัดสินว่าสินค้าตัวไหน "ถูก" หรือ "แพง"

ไม่ใช่อยู่ที่ว่าราคาเท่าไร

แต่อยู่ที่ "คุณภาพ" หรือ "ภาพลักษณ์" ในใจของสินค้า

ทุกครั้งที่เห็นสินค้า เราจะมี "ราคา" ในใจอยู่แล้ว

ถ้า "ราคา" ที่ขายสูงกว่า "คุณภาพ" หรือ "ภาพลักษณ์" ในใจเรา

สินค้าตัวนั้นก็แพง

แต่ถ้า "ราคา" ต่ำกว่า "คุณภาพ" หรือ "ภาพลักษณ์" สินค้าในใจเรา

สินค้าตัวนั้นก็ถูก

"ของดีราคาถูก" จึงเป็นสินค้าที่แม้แต่ "คนโง่" ที่สุดก็ต้องซื้อ

อย่างไก่สด เมื่อประมาณ 30 ปีก่อนถือเป็นสินค้าเนื้อสัตว์ราคาแพง

แต่พอ "ซีพี" เข้ามาปฏิวัติการเลี้ยงไก่แบบอุตสาหกรรม

ผลิตจำนวนเยอะๆ แล้วขายราคาถูกๆ

เอากำไรต่อหน่วยต่ำ

สินค้า "เนื้อไก่" ก็กลายเป็นสินค้าเนื้อสัตว์ราคาถูกที่สุด

ถูกกว่าหมูและเนื้อวัว

ยิ่งราคาถูก เนื้อไก่ก็ได้รับความนิยมในการบริโภคมากขึ้นเรื่อยๆ

และกลายเป็นเรื่อง "ไก่" กับ "ไข่"

พอราคาถูก คนก็ซื้อเยอะขึ้น

พอขายได้มากขึ้น ก็ผลิตมากขึ้น

ยิ่งผลิตมากขึ้น ต้นทุนต่อหน่วยก็ต่ำลงอีก

วนไปวนมาแบบนี้

ครับ ถ้าคุณผลิตสินค้าตัวหนึ่งขึ้นมา จะตั้งราคาขายไว้เท่าไร?

ไม่มีคำตอบใดเป็น "ยาวิเศษ" แบบกินเข้าไปแล้วกำไรทุกคน

จะตั้งราคาสูง กำไรต่อหน่วยสูง

ไม่ต้องขายมากก็กำไรดี

หรือจะขายแบบ "ธนินท์"

"ของดี-ราคาถูก"

ขายสินค้าที่แม้แต่คนโง่ที่สุดก็ต้องซื้อ

ทุกอย่างขึ้นอยู่กับการประเมินสถานการณ์และตัดสินใจของเรา


***ขอบคุณทุกท่านที่แวะมาเยี่ยมนะคร๊า***

Create Date : 17 เมษายน 2553 Last Update : 18 เมษายน 2553 0:00:57 น. Counter : 1588 Pageviews.		12 comments
Share Tweet