ตามตรูดแก๊งเอฟไป (หลงทาง) ติดๆ Part 3 @ จูไห่
วันต่อมา ตื่นเช้ามาด้วยความอ่อนเพลีย หลังจากจัดการกับตัวเองเสร็จแล้ว น้องก็ตื่นพอดี วันนี้เราจะไปเที่ยวพิพิธภัณฑ์จิ่วโจวเฉิน ก็ใช้วิธีเดิม คือเอาแผนที่ลงมาชี้รูป แล้วให้พนักงานเปิดประตูคนเดิมเรียกแท๊กซี่พร้อมกับบอกจุดหมายปลายทางให้ขึ้นรถไปได้สักพัก คนขับรถเห็นเรานั่งเงียบกัน ก็ถามขึ้นมาว่าจิ่วโจวเฉินใช่มั้ย เราก็อือๆ อาๆ นึกในใจว่า อย่าถามอะไรตูอีกนะมรึงงงง ตูพูดไม่รู้เรื่องนะเฟร้ยย โชคดีที่อีไม่ถามอะไรอีกขับมาสักพักก็เริ่มเห็นห้างใหญ่ๆ มีรูปลุงเคนแปะข้างฝาตัวบะเริ่ม กิ๊ดดด รอดตายแล้วเฟร้ยวันนี้ ไม่เคยเห็นลุงเคนแล้วดีใจขนาดนี้มาก่อนเลย พอรถจอด ก็เลยไม่สนแล้วพิพิธภัณฑ์ ไปหาลุงเคนกันก่อนดีกว่า เหอๆๆลงอุโมงค์ข้ามถนนมา โอ้โห ประเทศชาตินี้รู้จักเอาห้างสรรพสินค้าไปซ่อนไว้ในอุโมงค์ด้วยเหรอเนี่ย แถมมีร้านแบรนด์อย่างจิออ ป๊อปอาย สนู้ปปี้ด้วย แหง่มๆ เดี๋ยวขากลับต้องแวะสักหน่อยว่าแล้วก็เดินเข้าไปในห้าง จุดประสงค์หลักคือจะไปหาลุงเคน แต่ทำอีท่าไหนมะรู้ ดันไปเจอร้านบอสสินี่เข้า แถมคนขายก็โคตะระจะขายเลย ขนาดว่าพูดกันไม่รู้เรื่องนะ อียังขายได้เป็นคุ้งเป็นแคว เอาตัวนั้นตัวนี้มาให้ดู จัดชุดให้เสร็จสรรพว่าเสื้อตัวนี้กับกุงเกงตัวนั้น ซื้อทั้งชุดเนี่ยจะได้สิทธิ์ซื้อเข็มขัดในราคาเท่านี้ สุดท้าย ก็เลยได้ควักตังค์ซื้อเสื้อยืดคอปกของน้องมาตัวนึง ร้อยกว่าหยวนได้ เรียกว่าเป็นเสื้อตัวที่แพงที่สุดของทริปนี้เลยทีเดียวจากนั้นก็ลงไปหาลุงเคนจนเจอ เอามือจิ้มไปที่รูปว่าเอาชุดนี้ เห็นว่าเป็นไก่สองชิ้น เฟรนซ์ฟราย โควสลอร์ แล้วก็เป็ปซี่ เออวะ คงพอให้น้องกินมั้ง เพราะว่าเราดันไปเหล่อีกร้านนึงซึ่งยังไม่เปิดดีซะก่อนปรากฏว่า ไก่นั่นน่ะ ไม่ใช่ไก่ชิ้นใหญ่เหมือนบ้านเรา แต่เป็นไก่แบบชุดแฮปปี้มีล อะไรประมาณนี้ มิน่า คนขายถึงได้งง ที่เราสั่งแค่นี้เห็นน้องว่า ไก่อร่อย ใช้ได้ แต่หน้าตามันไม่เหมือนเคเอฟซีบ้านเราอ่ะ อธิบายไม่ถูก แต่ก็ดูดีแหละนะพอไก่หมด ก็เลยเดินกลับไปร้านที่เล็งไว้ โอ้ คนนั่งเกือบเต็มแล้ววุ้ย ข้างในมีโชว์ทำเส้นบะหมี่ด้วย คงโอเคแหละน่ะไอ้ร้านนี้เขาให้จ่ายตังค์ที่แคชเชียร์ก่อน แล้วเอาบิลวางไว้ที่โต๊ะ จะมีพนักงานมารับ สองคนพี่น้องก็ช่วยกันชี้โบ๊ชี้เบ๊ ได้อาหารมาสองอย่าง จานของน้องเป็นผัดเนื้อกับพริกหวาน พริกหวานที่เมืองนี้คงขาดการดูแลอย่างแรง เนื้อบางมากกกกกกกกก พริกขี้หนูบ้านเรายังอวบกว่า แต่น้องบอกว่าเนื้อมันนุ่มดี ส่วนของอิฉันเป็นบะหมี่ แหม ก็เห็นท่านโชว์ทำเส้นป๊าบๆๆ อ่ะ แต่ว่า กินเข้าจริงๆ ไม่อร่อยเลย เส้นมันขุ่นๆ อ่ะ ไม่เหนียวไม่กรุบอะไรทั้งนั้น เละๆ เหมือนมาม่าอืด แถมเกี๊ยวก็ยังตุๆอีกตะหาก แหง่งงนั่งกินอยู่ดีๆ พนักงานก็เก็บโต๊ะข้างๆ แล้วขนจานเดินผ่านมาจะไปที่ล้างมั้ง แล้วช้อนหรือส้อมสักอย่างเนี่ยแหละมันตกลงพื้น รู้มั้ยว่าชีทำยังไงก. เอาจานไปเก็บก่อนแล้วค่อยมาเก็บไอ้ที่ตก หรือข. วางจานไว้บนโต๊ะสักตัวแถวนั้นก่อนแล้วก้มลงเก็บถ้าตอบสองข้อนี้ ก็ผิดแหละ เพราะชีเอาเท้าเตะอุปกรณ์ที่ตกลงพื้น เข้าหลืบที่ชีจะเดินเข้าไปต่างหาก เง้อออ อึ้งกันไป เอาหล่ะ ท้องก็อิ่มแล้ว ไปเที่ยวกันต่อได้ ก่อนจะไป ก็ไม่ลืมแวะวัตสัน ซื้อน้ำคนละขวด พกไปด้วย แล้วเราก็เดินกลับทางเดิมเพื่อไปสอยเสื้อยืดจิออดาร์โน เอ๊ยย ไปพิพิธภัณฑ์ เสื้อยืดนั่นแค่ผลพลอยได้ตะหาก (ก็สองตัวมันแค่ห้าสิบเก้าหยวนเองอ่ะ) สอยเสื้อเรียบร้อย ก็เดินหอบถุงเข้าพิพิธภัณฑ์ แปลกๆ อยู่เหมือนกันแต่ก็ช่างมันเหอะข้อมูลระบุว่า ค่าเข้าชมพิพิธภัณฑ์คนละสิบหยวนเราก็เดินด้วยความมั่นใจเข้าไป ถามหาทิ๊กเก็ตๆ เจ้าหน้าที่ทำหน้างง แล้วก็ชี้มือให้เราเข้าไปข้างใน ไม่รู้ว่าเขาเลิกเก็บตังค์แล้ว หรือว่า เขาไม่อยากพูดกับคนพูดไม่รู้เรื่องอย่างเรากันแน่ ไอ้เราก็พาซื่อ คิดว่าเขาขายข้างใน (มันจะขายทำไมฟระข้างใน ผ่านเข้ามาแล้วเนี่ย) เดินงงๆ เข้าไปข้างใน พิพิธภัณฑ์ที่นี่ค่อนข้างจะขาดการบูรณะ ไม่รู้ว่าเพราะไม่เก็บตังค์แล้วเลยไม่มีเงินบูรณะ หรือว่า เพราะมันไม่ได้บูรณะเลยไม่กล้าเก็บตังค์ เขาว่ามีทั้งหมดเก้าโซนเก้าห้อง แต่เดินวนไปวนมายังไงก็ไม่ครบ สงสัยปิดปรับปรุงอยู่แต่ละห้องก็เป็นแต่ละเรื่องไป แต่ที่เหมือนกันทุกห้อง คือกลิ่นอับ อับมากจนแทบไม่กล้าเดินเข้าไปดูนานๆ กลัวขาดใจตายยเนื่องจากพิพิธภัณฑ์ขาดการดูแล ก็เลยไม่มีอะไรให้ดูเท่าไหร่ ทำให้เวลาที่ต้องใช้ในพิพิธภัณฑ์น้อยกว่าที่คิดไว้แต่แรก (นี่ขนาดอู้ไปช็อปตั้งนาน)อย่ากระนั้นเลย ไปจุดหมายต่อไปของเราดีกว่า ว่าแล้วก็เดินไปถามทางกับเจ้าหน้าที่พิพิธภัณฑ์ ซึ่งก็พยายามช่วยเราสุดฤทธิ์ แต่ก็อย่างที่บอก ไอ้สองตัวนี้ มันพูดไม่รู้เรื่องอ่ะ เหอๆๆ อธิบายกันจนเมื่อยมือ จับใจความได้ประมาณว่าให้เดินออกไปทางนี้ๆๆ เดินไปได้ไม่ไกล แล้วเจ้าหน้าที่คนนึงก็ยกโทรศัพท์ขึ้นมากดๆๆ ไอ้เราก็แอบนึกเซ็งในใจ อะไรฟระ ยังคุยกันไม่เสร็จเลย โทรศัพท์ทำไมเนี่ย สงสัยจะอ่อนใจกับตรูเต็มทีเอาวะ เดินมั่วๆไปก่อนแล้วกัน หลงอีกทีก็ไม่แปลกหรอกน่ะกำลังเดินออกจากพิพิธภัณฑ์เลย เจ้าหน้าที่คนที่กดโทรศัพท์ก็วิ่งตามมา แล้วยื่นโทรศัพท์ให้ คือว่า เขาพยายามโทรไปหาคนที่พูดภาษาอังกฤษได้มาพูดกับเรานั่นเอง โห โคดจะซาบซึ้งเลยอ่ะ (แต่ได้ข่าวว่าไอ้คนในโทรศัพท์ก็พูดไม่ได้อยู่ดีแหละ แต่แค่นี้ก็ซึ้งแล้ว)ระหว่างทางเดินไป แอบเห็นข้างทางเป็นโรงแรมแห่งนึง ชื่ออะไรจำไม่ได้แน่ แต่ที่น่าสนใจก็คือ หน้าโรงแรม มีรถบัสสีแดงๆ จอดอยู่เต็มไปหมด และข้างๆ รถ เขียนไว้ว่า sightseeing bus โห ไอ้รถที่เราตามหาข้อมูลตั้งนานตั้งก่าก่อนไป มันจอดอยู่ตรงนี้นี่เอง ตอนนี้ใจหมกมุ่นกับไอ้รถนี่มาก แทบไม่สนจุดหมายข้างหน้าเลย อยากขึ้นอ่ะ อยากขึ้นนนนนนนนนนเดินต่อมาอีกสักหน่อย จะเจอสามแยก มีไฟแดง และด้านหน้าคือสวน Haibin ทะลุสวนนี้ออกไป จะเจอทะเล และจุดหมายปลายทางของเรา อยู่ลิบๆ โน่นนนเธอคือแม่นางจูไห่ โลโก้ของเมืองนี้ ที่เห็นชูอยู่บนหัวน่ะ คือไข่มุกมีตำนานเล่าว่า เธอคือธิดาบาดาล หนีมาอยู่บนโลกมนุษย์แล้วมาพบรักกับชาวประมงแต่ชาวประมงโดนปั่นหู(ปั่นหัว รวมกับเป่าหูอ่ะ) ทำให้ระแวงเธอ และขอให้เธอถอดกำไลข้อมือประจำตัวออก แม้ว่าเธอจะอ้อนวอน เพราะว่าถ้าถอดออกแล้วเธอต้องตาย ชายชาวประมงก็ไม่ยอม เธอจึงยอมถอดกำไลและตายต่อหน้าชายชาวประมงชายชาวประมงเสียใจมาก พยายามชุบชีวิตเธอขึ้นมาใหม่ด้วยหญ้าวิเศษที่ต้องเลี้ยงด้วยเลือด ตามคำบอกเล่าของชายชรา แม้ว่าเขาจะต้องหยดเลือดให้หญ้ากินทุกวัน ในที่สุด แม่นางจูไห่ก็ฟื้นและครองรักอยู่กับชายชาวประมงตลอดไป ถนนสายนี้ เลยได้ชื่อว่า ถนนแห่งคู่รัก หรือว่า lover's road หลังจากโต้ลมทะเลให้พอหายร้อนได้สักพัก กะเหรี่ยงสองคนก็ข้ามถนนไปรอรถเมล์ที่ป้าย ตั้งใจว่าจะไปที่ด่านหาอาหารไว้กินตอนเย็นก่อน เพราะประสบการณ์เมื่อคืนที่ผ่านมา บอกให้รู้ว่า แถวโรงแรมนั้น ไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอันที่จะกินได้ นอกจากส้วม โอ้แม่เจ้า รถราที่นี่ เขาขับกันได้ใจจริงๆ ทางโค้งทางม้าลายตรูไม่สนใจ บีบแตรกันสนั่นหวั่นไหว เบรคนั้นอยู่ตรงไหน คาดว่าอีคงไม่รู้จัก เหยียบเป็นแต่คันเร่งเท่านั้น ข้ามถนนมาได้ด้วยความหวาดเสียว ก็มายืนรอรถเมล์ที่หัวโค้งมรณะ เห็นอาแปะอาม่า เกือบตายไปหลายศพเหมือนกันรถเมล์สายที่ผ่านตรงนี้มีสองสายมั้ง ถ้าจำไม่ผิด คือสาย 9 กับสาย 99 ฮ่ากางแผนที่เล็งด่านกงเป่ย สาย 99 ดีกว่า เลียบชายทะเลมาเลย วิวคงดียังไม่ทันไรรถเมล์ก็วิ่งมาจอด มัวแต่เล็งว่าต้องหยอดป๋องเท่าไหร่ รถเมล์ก็ออกไปซะแล้ว แง๊ รออยู่พักใหญ่กว่าจะได้ขึ้นรถ ประมาณว่าอีกคันมาเป็นรถธรรมดาก็หยิ่งไม่ขึ้นซะอีก รอรถแอร์เท่านั้น แต่แล้วพอขึ้นรถไป ก็ไม่วายหลงทางอีกจนได้บนรถเมล์จะมีตัวไฟวิ่ง เขียนตัวหนังสือบอกอะไรสักอย่าง เดาเอาว่าคงบอกว่าป้ายหน้าจะถึงไหน ไม่ใช่แค่ไฟวิ่ง มีเสียงบอกด้วย แต่เสียดายที่ฟังไม่ออกอ่า กว่าจะจับได้ว่ามันคือด่านกงเป่ย มันก็เลยแล้วอ่าพอรถเลยมาอีกหน่อย กะเหรี่ยงตกดอยก็เริ่มรู้สึกว่าทางมันคุ้นๆ แล้วเราก็ได้ยินเสียงเทปในรถ หยวนหมิงซิงหยวน เฮ้ย รถคันนี้ผ่านวังเมื่อวานด้วย นี่มันทางกลับโรงแรมนี่หว่า เอาวะ หลงทางจากด่าน กลับบ้าน เอ๊ย กลับโรงแรมก็ยังดีรถเมล์เมืองจีนดีกว่าบ้านเรา ตรงที่เขาขับเร็วแต่เขาจอดป้ายทุกป้าย จะลงไม่ลงไม่รู้ แต่ตูจอดไว้ก่อน ไม่ต้องลุ้น แต่จะว่าไป รถเมล์เมืองไหนๆ ก็คงดีกว่ารถเมล์บ้านเราอยู่แล้วแหละ เล่นขับหมวยยกล้อซะขนาดนั้น กลับมาถึงโรงแรม เขายังไม่ได้ทำห้อง เออ ก็ดีเหมือนกัน จะได้ไม่ต้องห่วงของ แต่พอจะเอนหลังลงนอนเท่านั้นแหละ เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นสองคนพี่น้องมองหน้ากันทำตาปริบๆ ใครโทรมาฟระ แล้วจะพูดกันรู้เรื่องรึนี่ แต่ก็คว้าโทรศัพท์ขึ้นมารับ แล้วก็เป็นไปตามคาด พี่ท่านส่งภาษามาเป็นชุด ไอ้เรารึก็ได้แต่ เอ่อๆๆ ไอด๊อนโน ทิงปู๋ต่ง อ่ะ ปลายสายวางไปแล้ว น้องก็เดินเข้าห้องน้ำไปอาบน้ำ แล้วก็ถืออะไรบางอย่างออกมา เฮ้ย ทำไมฝักบัวมันเป็นงี้อ่ะ น้องช้านทำฝักบัวเขาพังแล้วมั้ยล่ะ น้องมันก็เถียงบอกว่าไม่ได้ทำ ก็อาบอยู่ดีๆ มันหลุดอ่ะ ให้ลงไปตามช่างให้หน่อยกำลังจะลงไปก็มีเสียงเคาะประตู เจี๊ยกก ใครอีกฟระเปิดประตูออกไปเห็นหัวหน้าเมดเดินเข้ามา ส่งภาษาอะไรสักอย่าง ประมาณว่าจะขอทำห้อง อิฉันเลยส่งหัวฝักบัวให้ หัวหน้าเมดไม่ว่าอะไร หันไปส่งภาษาใส่วอในมือ แล้วเมดสองคนก็เข้ามาทำห้องไอ้น้องชายตัวดีก็เกิดเรื่องมากขึ้นมาอีก หมอนเนี่ย ก็มีคนละสองใบอยู่แล้ว ยังจะอยากได้เอาไว้รองขา ไอ้เราก็พยายามส่งภาษา ทำไม้ทำมือเป็นรูปหมอน ตรงหมอนที่นอน แล้วชูสองนิ้ว เหลี่ยงเกอ ขอหมอนอีกหน่อย สองใบน่ะสองใบ เมดรับคำแล้วเดินออกไป อิฉันก็ดีใจคิดว่าการสื่อสารประสบผล ที่ไหนได้ เมดเดินกลับมาพร้อมกับปลอกหมอนใบใหม่ ชีคิดว่าไออยากจะเปลี่ยนปลอกหมอนซะนี่อธิบายกันจนอ่อนใจ สุดท้ายน้องเลยบอกว่า เขาอยากเปลี่ยนก็ให้เขาเปลี่ยนไป พอเปลี่ยนเสร็จ เราก็ยังไม่วาย ยกหมอนขึ้นมา แล้วบอกว่าเหลี่ยงเกออีก คราวนี้เมดทำหน้างงเล็กน้อย (ก็ตูเพิ่งเปลี่ยนผ้าไปนี่หว่าจะเปลี่ยนไรอีกฟระ) ก่อนจะเก็ทว่าเราอยากได้หมอนเพิ่ม กว่าเมดจะเก็ทเอาหมอนมาให้ ช่างซ่อมฝักบัวในห้องน้ำ ก็ซ่อมเสร็จพอดีไม่รู้เมดจะโดนหัวหน้าดุหรือเปล่า เห็นเจ๊แกบ่นๆ ไรซักอย่าง เสียงดังเหมือนกัน แต่อย่างว่า คนประเทศเขา คุยกันเบาๆ ไม่เป็นอยู่แล้วนอนเล่นอยู่สักพัก หายนะก็เริ่มมาเยือน ฟ้านอกหน้าต่างจากที่สว่างๆ ก็มืดตึ๊ดตื๋อ ลมพัดเอาถุงพลาสติกปลิวมาปะทะหน้าต่าง (นี่ขนาดนอนชั้นสิบห้าแล้วนะ) แล้วฝนก็เริ่มเปาะแปะ และหนักขึ้นเรื่อยๆ ตายละ หิวข้าวอ่ะ ทำไงล่ะทีนี้พอฝนซาสักหน่อย ก็เกือบมืดแล้วหล่ะ ตัดสินใจลงมาข้างล่าง ว่าจะนั่งรถแท๊กซี่ไปด่านกงเป่ย พอลงมาถึง น้องหน้ามนคนเรียกแท๊กซี่ของเราออกเวรไปแล้วอ่ะ แง๊เอาวะ เดินไปเรียกเองก็ได้ โบกแท๊กซี่ได้คัน บอกว่า กงเป่ย แล้วขึ้นนั่งภาวนาว่า อย่าถามอะไรตูอีกนะเฟร้ยยยแต่สงสัยจะทำบุญมาไม่พอ นั่งได้แป๊บเดียว แท๊กซี่ก็ส่งภาษาใหญ่เลย เราจนปัญญา ได้แต่ส่งภาษาไทยว่า พูดไม่ได้อ่ะ แท๊กซี่ท่าทางจะเคืองที่เราไม่พูดด้วย เง้อออ มะได้หยิ่งนะค้าคือเขาพูดมาน่ะ พอเดาได้ ว่าเขาถามว่าจะลงตรงไหน เพราะด่านมันกว้างมาก รอบๆ ด่านก็มีย่านช็อปอีกหลาย แต่มันตอบไม่ได้อ่ะ พูดไม่เป็นอ่ะ เข้าใจมั้ยยในที่สุด แท๊กซี่ก็ส่งเราลงหน้าร้านจิออดาโน่ กร๊ากก ราวกับรู้ใจ เดินตามทางมาเรื่อย ๆ จะเห็นของทอดเป็นไม้ๆ คล้ายๆ บ้านเรา แต่ราคาเอาเรื่องเหมือนกัน ไม้ละสามหยวน คนขายน่ารักดี พอบอกว่าเป็นไท่กั๊ว เขาก็บอกว่า สวัสดีค่ะ แล้วก็เอาพริกป้ายที่ไม้ให้เราทันที 555มื้อนี้หาข้าวกินร้านฟาสต์ฟู้ดที่ไม่มีในเมืองไทย ชื่อ ร้าน กังฟู มีบรู๊ซ ลี เป็นโลโก้ของร้าน จำไม่ได้แล้วว่ากินอะไรเข้าไป รู้แต่ว่ามันไม่อร่อย และไม่มีน้ำเย็น (มันเป็นอาหารชุด สั่งพร้อมเครื่องดื่ม) น้ำก็แปลกๆ ไม่ค่อยกล้ากิน ของน้องเป็นน้ำเต้าหู้ร้อนน กับผัดผักอะไรใส่เนื้อสักอย่างน้องอุตส่าห์ทำใจกล้าไปสั่งเป๊ปซี่ให้ ผู้จัดการร้านดันตอบมาว่า มันหมดอีกตะหาก ฮือ อยากกินน้ำเย็น พอกินอิ่ม ก็เลยรีบออกจากร้านไปหาน้ำเย็นกิน แล้วก็เดินดูของที่ด่านอีกหน่อย แต่ไม่กล้าซื้ออะไร ที่ด่านนี่ มีไอติมโคนๆ ขาย อันละห้าหยวน น้องลองชิมบอกว่าอร่อยดี แต่ตอนนั้นอิฉันผะอืดผะอมเต็มที่ เลยไม่ได้ชิมของที่ด่านนี่หนักไปทางของก๊อป บางอย่างก็ถูกมากกกก จนน่ากลัว อย่างแผ่นเกมคอมเนี่ย แผ่นนึงสิบสองหยวน ก็ห้าสิบกว่าบาทเดินไปเจอร้านซีดี โห กล่องนึงมีสองแผ่น ยี่สิบห้าหยวน แล้วก็ป๊ะเอากับหน้าหนุ่มที่คุ้นเคย ฮ่ะๆ ไอ้น้องชายรีบชี้ เธอๆ นี่ไงไอ้ตี๋วงนั้นไง เธอไม่ซื้อเหรอ วันนั้นเลยสอยแผ่นกลับมาสามแผ่น เป็นแผ่นของสมาชิกเอฟคนนึงแผ่นนึง อีกสองแผ่นเป็นของสเตฟานี่ ซันจากนั้นก็เดินเรื่อยๆ ไม่ได้ซื้ออะไร จนกระทั่งผ่านร้านมือถือ น้องที่เล็งโนเกีย N73 มาตลอดทางอดไม่ไหวเดินเข้าไปถาม อาหมวยที่ร้านจิ้มเครื่องคิดเลข แล้วบอกเราว่า เซเว่นฮันเรทฟิฟตี้เราพยักหน้ารับรู้ แล้วเดินออกจากร้าน น้องหมวยตะโกนไล่หลังมาว่า ซิกฮันเรท โอเค๊โห มันมือถือ หรือสากกระเบือฟระ ราคานี้เนี่ยย พอจะกลับโรงแรม ฝนก็ดันตกหนักลงมาอีก กะเหรี่ยงสองตัวใหญ่ๆ มีร่มแค่อันเล็กๆ อันเดียว แง๊ ก็เลยต้องหลบฝนเข้าไปในห้าง เดินเล่นกะว่าจะซื้อหนมไปทิ้งไว้มั่ง เผื่อหิวอีก แถวนั้นกันดารจะตาย แล้วก็ป๊ะกับไอ้นี่เข้า พอได้ขนม ก็เดินออกมาเล็งข้างนอกอีกที สงสัยว่าถ้ารอฝนหยุด คงได้นอนในห้างนี่แน่ๆ เลยยอมเปียก ออกไปเรียกแท๊กซี่กลับ ยืนรออยู่นานเหมือนกัน ก็อาเจ๊เล่นวิ่งมาแย่งไปต่อหน้าซะงั้น หรือไม่อีกที แท๊กซี่ก็เริ่มเลือกลูกค้า (มันเป็นเหมือนกันทุกประเทศหรือเปล่าเนี่ย)กลับมาถึงโรงแรม รีบแกะกล่องซีดีที่ซื้อออกมาดู หน้าปกแปลกๆ อิฉันนี่ก็สาวกเอฟแล้วนะ ทำไมปกนี้เล็ดลอดสายตาไปได้ฟระ แต่ เดี๋ยวก่อน ความแปลกไม่ใช่แค่ปก เพราะพอเปิดกล่องออกมา มันกลายเป็นตาคนนี้อ่ะ อารายเนี่ย แท๊คทีมเหรอยะ ใครคิดจะซื้อของเมืองจีน ก็พิจารณากันเอาเองแล้วกันนะฮ้า เง้อออ
เรื่องภาษาจีนนี่ก็สนุกดีนะครับ เวลาไปคุย ไอ้คำไหนที่ไม่รู้จักเนี่ย ต้องภาษามืออย่างเดียว คุยตั้งนานกว่าจะรู้เรื่อง สนุกจริงๆ