Group Blog
 
 
พฤศจิกายน 2551
 1
2345678
9101112131415
16171819202122
23242526272829
30 
 
4 พฤศจิกายน 2551
 
All Blogs
 
อาศิรวิษ ตอนที่ 23 : ตำหนักฟองสมุทร (ครึ่งหลัง)

ความเดิมจากตอนที่แล้ว

รามิตตัดสินใจเดินทางไปยังทวารชั้นใต้ดินโดยลำพังและไม่ยอมบอกให้ใครรู้ หากทว่าหัสรังสีกลับสามารถคาดเดาได้ว่าคู่ปรับของตนตั้งใจจะทำสิ่งใด ดังนั้นเขาจึงคืนอาวุธให้แก่รามิต โดยไม่ได้สร้างเงื่อนไขอะไรเลย

แม้จะแปลกใจแต่รามิตก็เข้าใจในการกระทำของอีกฝ่าย เขาจึงฝากภาระการนำทิวากาลและมัสลินออกจากบาดาลให้แก่ว่าที่จ้าวแดนตะวันออก

จากนั้นเขาจึงเดินทางเข้าสู่ปากทางทวารบาดาลชั้นสุดท้าย, ในขณะเดียวกันวาฬาและบุษบรรณก็เดินทางมาถึงศิลาลัย แต่บุษบรรณกลับไม่สามารถเข้าพบวิษณุวัติได้เนื่องจากกฎข้อระเบียบต่างๆ ในระหว่างที่ไม่รู้จะทำอย่างไรอยู่นั่นเอง เธอจึงพบกับไทรา แม้จะประหลาดใจที่ไทราบอกว่ารู้จักกับรามิต แต่ในเวลานั้นเธอก็ตัดสินใจเสี่ยงขอความช่วยเหลือจากหญิงแปลกหน้าผู้นี้แล้ว


Link ตอนที่ 23 : ตำหนักฟองสมุทร (ครึ่งแรก)

//www.bloggang.com/mainblog.php?id=runsaya&month=03-11-2008&group=4&gblog=1

ส่วน link นี้คือ ต้นฉบับจากถนนนักเขียนของพันทิป เมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 2551 ค่ะ
//topicstock.pantip.com/writer/topicstock/2008/10/W7063853/W7063853.html






23. ตำหนักฟองสมุทร (ครึ่งหลัง)


ในขณะเดียวกันทางสภาโลกุตรากำลังประชุมสมาชิกสภาที่มารวมกันแน่นขนัดจนที่นั่งร่วมหลายร้อยในโดมแทบไม่เหลือที่ว่าง จอมเทพมิได้นั่งอยู่บนบัลลังก์ทองตรงตำแหน่งสูงสุดแต่เขากลับนั่งอยู่บนบังลังก์สีดำ...สีของทิศตะวันตก

เทพนักบวชระดับอาวุโสทั้งห้านั่งประจำที่ตน แต่กลับมีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่กล้าลุกขึ้นยืนท้าทายรัตติกาล

“ท่านจอมเทพ...ที่ท่านสั่งการให้ทหารประจำศิลาลัยตรวจตราบริเวณศิลาลัยอย่างเข้มงวด จนบัดนี้เกิดความแตกตื่นไปทั่วทั้งนคร ข้าเองในนามของตัวแทนของสภาจึงอยากใคร่ขอความจริงจากท่านว่า เกิดอะไรขึ้นในนครของเรา”

เมื่อหัวหน้าเทพนักบวชกล่าวจบ พลันมีเสียงอื้ออึงจากผู้เข้าร่วมประชุมที่มาจากตัวแทนแขนงต่างๆ

วิษณุวัติเพียงแต่ปรายตามองไปยังฝ่ายตรงข้าม ฝ่ายคณะนักบวชก็พลันสะดุ้งโหยง มีเพียงหัวหน้านักบวชสูงสูดเท่านั้นที่คงกล้าสู้ตาด้วย

เขาถอนหายใจยาวใช้นิ้วทั้งสี่เคาะเป็นจังหวะบนพนักเก้าอี้ราวกับกำลังฟังเรื่องไร้สาระ จอมเทพเอ่ยเสียงเรียบ

“ข้าก็แค่เพิ่มระดับความปลอดภัย ที่ไม่สะดวกนัก เพราะที่แล้วมาพวกท่านสบายกันจนเกินไปต่างหาก”

“ท่านจอมเทพ...” ชายชราเคราสีเงินแค่นเสียง

“ตอนนี้แม้แต่บ้านขุนนางระดับสูงก็ถูกนายทหารสั่งค้น ท่านกำลังทำอะไรกันแน่? นี่มันเกี่ยวกับคดีคนหายที่นับวันจะเพิ่มมากขึ้นหรือไม่...อีกอย่างหนึ่งท่านเองก็ยังไม่ได้ให้คำตอบที่น่าพอใจแก่เรา ในกรณีที่ศิษย์ของท่านได้หายตัวไปอย่างลึกลับในคืนเดียวกับวันที่ท่านกัญหาประสบเหตุ ท่านคงไม่ได้กำลังใช้อำนาจปิดบังอะไรบางอย่างอยู่หรอกนะ”

ในทันใด เสียงที่เกิดจากการเคาะนิ้วของวิษณุวัติพลันหยุดกึก เขาขยับตัวและยืดกายขึ้นอย่างช้าๆ

บางคนในห้องโถงแทบหยุดหายใจ บางคนกลืนน้ำลายลงคอ

“ข้าเข้าใจว่าตอนนี้ทางเทพตุลาการแห่งบาดาลเองกำลังตรวจสอบเรื่องนี้อยู่และ...ข้าเองก็กำลังรอผลรายงานจากพวกเขา แต่รู้สึกว่ามันจะไม่มีความคืบหน้าเลย ส่วนในกรณีของศิษย์ข้านั้น ท่านไม่ต้องวิตก”

จอมเทพรัตติกาลเดินมาหยุดอยู่กลางห้อง

“หากมันมีความผิดจริง ข้าในนามโลกาธิบดีและจ้าวแดนตะวันตกจะเป็นผู้ลงโทษมันเอง” น้ำเสียงเยียบเย็นแต่กลับสามารถทะลุทะลวงผ่านเข้าไปสะเทือนถึงจิตใจ

“จะให้ข้าเชื่อหรือว่าท่านจะทำเช่นนั้นจริง” ฝ่ายผู้อาวุโสย้อนถาม

ร่างสูงผอมของบุรุษแห่งแดนตะวันตกหันขวับมาทางคนพูด ทีแรกเขาตั้งใจจะกล่าวบางอย่าง แต่กลับเปลี่ยนใจ เสถามคำถามที่ไม่แทบไม่เกี่ยวข้องกับกิจการบ้านเมืองเลย

“ในชีวิตท่านเกลียดสิ่งใดที่สุด? ท่านนักบวชแห่งศิลาลัย”

สิ้นประโยคของจอมเทพ คนในห้องประชุมต่างร้องขึ้นอย่างตกใจ ด้วยไม่ว่าใครก็รู้ว่าจอมเทพคนปัจจุบันและสภานักบวชกำลังงัดข้อเป็นคลื่นใต้น้ำที่ไม่ว่าใครก็ไม่อยากข้องเกี่ยวด้วย ทุกคนกำลังรอ...

รอผลแพ้ชนะและเก็บเกี่ยวผลกระทบจากคลื่นนั้น

“จะให้ข้าตอบคำถามนั้นจริงๆ หรือ?” ฝ่ายนักบวชท้าทาย

วิษณุวัติไม่ตอบเพียงแต่ค้อมศีรษะลงเล็กน้อย ยิ้มบางๆ แล้วเอามือไพล่หลังคล้ายกำลังรอฟังคำตอบเช่นกัน

นี่เจ้ารนหาเรื่องเองนะ...หัวหน้านักบวชคิด

“ข้าเกลียดพวกคนทรยศ” เขาโพล่งขึ้น

คนในห้องประชุมต่างส่งเสียงพึมพำ สายตาของชายแก่มองตรงไปที่จอมเทพ

วิษณุวัติหรี่ตาลง

“ข้าเกลียดนักพวกที่ทรยศต่อศิลาลัย ลืมศักดิ์ศรีของจ้าวตระกูลใหญ่ ทำตัวเป็นจ้าวเทพโอหัง ทั้งที่ๆ มันเองก็ทำลายเกียรติของเราด้วยการนำเครื่องทรงชั้นสูงของตนแปดเปื้อนไปด้วยเหล่าไพร่ และบริวารชั้นต่ำ”

ทันใดนั้นทั่วทั้งสภาเงียบกริบ หลายคนในห้องประชุมอ้าปากค้าง หลายคนเริ่มมองทางออกเตรียมเผ่น

คนเดียวที่ไม่เปลี่ยนแปลงคือบุรุษที่ยืนอยู่กลางห้อง

แต่สุดท้ายนักบวชชราก็ยังน้อมคารวะต่อจอมเทพแห่งศิลาลัย

“ขออภัยหากคำของข้า สร้างความไม่พอใจต่อท่านจอมเทพ ในเมื่อท่านอยากให้ข้าพูดตามตรง ข้าจึงไม่สามารถประดิษฐ์คำมุสาได้”

วิษณุวัตินิ่งเงียบ แต่เป็นความเงียบที่เขย่าประสาททุกคนในห้องโถง หากในที่สุดเขากลับคลี่ยิ้มบางๆ

“นั่นเป็นคำตอบที่น่าพอใจมาก ท่านนักบวช”

“ท่านจอมเทพ ท่านไม่ต้อง...”

จอมเทพแห่งศิลาลัยยกมือหนึ่งขึ้นห้ามเป็นการตัดบท เขาพูดขึ้นบ้าง

“ท่านไม่อยากรู้หรือว่าข้าเกลียดสิ่งใดที่สุด”

“ข้าไม่บังอาจ...”

“แต่เหมือนท่านเองก็บังอาจกับข้าไปแล้วหลายครั้ง...ไม่ต้องกลัว...ข้าไม่ได้ติดใจเรื่องเล็กน้อยพรรค์นี้ เอาล่ะ...ไหนๆ ท่านก็บอกกล่าวเล่าความจริงแก่ข้า เช่นนั้น...ข้าก็จะบอกความจริงกับพวกท่านเป็นค่าตอบแทน” เขาเปลี่ยนเอามือมาประสานไว้ด้านหน้า แล้วกล่าวต่อ “พวกท่านคงอึดอัดไม่น้อยที่ข้าเพิ่มกฎระเบียบมากมายในช่วงนี้ นั่นเป็นเพราะคนของข้าได้ค้นพบว่ามีตัวสตกะปะปนอยู่ในศิลาลัย”

สิ้นเสียงของจอมเทพคนในห้องประชุมเริ่มส่งเสียงอืออาด้วยความตกใจ บางคนเริ่มขยับตัว

“ท่านจอมเทพ...ตัวอุบาทว์นี้สูญพันธุ์ไปตั้งแต่พวกมารถูกกวาดล้าง...”

“เฉพาะในบันทึกน่ะใช่แน่...” วิษณุวัติโต้ตอบ “พวกท่านก็รู้ว่าตัวอุบาทว์ที่ท่านพูดถึงมีฤทธิ์เดชมากเพียงใด มันสามารถกัดกินพลังเวทของเรา หากมันแข็งแกร่งพอจะสามารถมีอำนาจเหนือจิตใจผู้ที่ตกเป็นทาส และคอยบงการให้ทาสเหล่านั้นเป็นสายลับให้แก่นายใหญ่ของพวกมัน”

ถึงตรงนี้ ฝ่ายนักบวชผวาลุกขึ้นยืน

“หรือท่านจอมเทพสงสัยว่าในห้องนี้มีสายลับของพวกมันอยู่ด้วยงั้นหรือ?”

เขามองฝ่ายตรงข้ามด้วยสายตาเรียบเฉย

“มันก็ไม่แน่นัก...ท่านยินดีจะทดสอบเป็นคนแรกหรือไม่?” วิษณุวัติเหยียดยิ้ม หัวหน้าคณะนักบวชผวากลับ ชี้นิ้วสั่นระริกไปที่จอมเทพ

“ทะ...ทะ...ที่แท้ท่าน...คิดใส่ร้ายข้าหรือ?”

“หากท่านมิใช่พวกเดียวกับสัตว์ชั้นต่ำ ต้องกลัวไปใย? ทหาร! จับตัวท่านหัวหน้านักบวชไว้!”

สิ้นเสียงเหล่าทหารในโดมสภาต่างกรูเข้ามาล้อมจับฝ่ายนักบวชเอาไว้ และกันประตูเข้าออกไว้ทุกทาง

“ท่าน...กล้าหรือ?”

จอมเทพขยับเข้ามาใกล้ บัดนี้ทุกคนจึงได้รู้แน่แล้วว่าไฉนวิษณุวัติจึงสามารถกำราบเหล่ามารร้ายในแดนตะวันตกจนสยบอยู่แทบเท้

“ข้าจะบอกท่านว่าข้าเกลียดอะไรที่สุด...” เขากระซิบเสียงเบา

“ข้าเกลียดผู้ที่อ้างตัวว่าสูงส่งแต่กลับประพฤติตนลับหลังไม่ต่างจากเศษสวะ ท่านกล่าวหาว่าข้าเป็นความเสื่อมโทรมแห่งวงศ์เทพ ทั้งๆที่พวกท่านต่างหากที่หาญกล้านำเอาตัวจัญไรเช่นนี้มาปล่อยในวันที่ข้าได้ครองคทาแห่งจอมเทพ ซ้ำยังปล่อยให้พวกมันอาละวาดจนทำร้ายกัญหาและยังใส่ความศิษย์เอกของข้าว่าเป็นผู้กระทำแผนชั่วนั้น หากข้าเป็นจุดเริ่มแห่งความเสื่อมถอยดังท่านกล่าวจริง...พวกท่านเองก็คือความล่มสลาย!”

“วิษณุวัติ! เจ้าอวเทพ!” หัวหน้านักบวชตวาดลั่น

“อวเทพ?” จอมเทพย้อนคำ ท้ายเสียงปนหัวเราะเล็กน้อย “แล้วพวกท่านที่กล้าส่งคนของตนมาบุกรุกหอตะวันตกเพียงเพื่อใส่ไคล้ว่าข้ายังลับลอบติดต่อกับพวกมารโดยใช้ตัวสตกะเล่า? ทั้งสองนัยน์ตาของพวกท่านเห็นเพียงข้าเป็นดังอสูร เห็นข้าบาทเป็นเพียงสถุลชั้นต่ำ รจนาอันหอมหวานของท่านก็ไม่ต่างจากสุราที่แฝงพิษร้าย เป็นโรคภัยที่คอยกัดกินต้นไม้ใหญ่ ฐานะอันสูงส่งของพวกท่านแท้จริงแล้วท่านรักษามันไว้เพียงเหยียบย่ำผู้อื่นเท่านั้น!”

ประโยคหลังเสียงของจ้าวแดนตะวันตกดังก้อง ราวกับไม่ได้กล่าวกับแค่เพียงเทพนักบวช หากประกาศกับเหล่าเทพาที่อยู่ในโลกุตรา ทุกคนตัวเย็นเฉียบไม่กล้าแม้แต่จะส่งเสียงใดออกมา

“แม้ข้าไม่ได้สาบานสิ่งใดต่อหน้าบัลลังก์แห่งพิภพ แต่ข้าได้คำสัตย์ต่อนครศักดิ์สิทธิ์ไปแล้วว่าจะไม่ยอมให้อาณาจักรแห่งนี้ต้องถูกทำลายด้วยน้ำมือของพวกเราเอง” วิษณุวัติกล่าวโดยไม่สนใจผู้เข้าร่วมประชุมที่กำลังตกอยู่ในภาวะหวาดกลัว เพราะส่วนใหญ่นั้นเพิ่งได้ประจักษ์ในฤทธิ์เดชของจอมเทพในร่างเทพรัตติกาลผู้กำลังพิโรธ

“ข้าในนามจ้าวแห่งศิลาลัยขอพิพากษาท่านอติเทพ!” จ้าวแดนรัตติกาลเอ่ยนามเดิมของหัวหน้าเทพนักบวช ในวาระนี้ดูเหมือนจะไม่มีใครสามารถขวางทางจอมเทพแห่งโลกาได้

หากอติเทพเสหัวเราะลั่นอย่างไม่เกรง และจ้องมองไปที่จอมเทพอย่างกับเขาเป็นสิ่งที่น่ารังเกียจ

“เจ้าเทพตะวันตกแสนโอหัง” ชายชรากล่าวพลางชี้นิ้วที่สั่นระริกไปยังฝ่ายตรงข้าม “อย่านึกว่าข้าไม่รู้ว่าเจ้าได้ตำแหน่งจ้าวแดนตะวันตกมาโดยวิธีใด? ชะ! อวเทพที่น่าอดสู...ยังมีสิทธิมาพิพากษาข้าอีกหรือ? ในเมื่อเจ้าเองก็ได้ฐานะอันสูงส่งมาครองโดยการแย่งชิง และเหยียบย่ำชีวิตของผู้อื่นมาไม่แผกกัน! หึ! พิพากษาข้า?” ฝ่ายนักบวชย้ำ

“เจ้าเทพชั้นสวะ...ช่างไม่ละลายต่อสวรรค์! ข้าสิน่าจะเป็นผู้กล่าวลงทัณฑ์เจ้าต่างหาก!”

“อย่าได้บังอาจ!”

เสียงของวิษณุวัติลั่นก้องไปทั้งสภาโดม แต่จะทำให้ฝ่ายตรงข้ามเกรงกลัวก็หาไม่

“บาปกรรมที่เจ้าก่อไว้ในอดีต...สักวันมันจักคืนสนอง!”

หากในทันทีที่สิ้นประโยคของเทพนักบวชกลับมีเสียงระเบิดดังสะเทือนเลื่อนลั่น ประตูทางเข้าออกถูกแรงอัดพังทลายลงมาเป็นแถบๆ คนในห้องประชุมหวีดร้อง ต่างพากันรุดออกไปนอกสภาต่างคนต่างคิดว่าไม่น่ามาในวันนี้เลย ในทีแรกนั้นพวกเขาคิดว่าเป็นกำลังเวทของฤทธิ์พิโรธของจอมเทพ หากทว่ากลับไม่ใช่...เพราะว่าหากเป็นเดชะของจ้าวแดนตะวันตกจริง สภาโลกุตราทั้งหลังคงพังทลายลงมาแล้วอย่างแน่นอน

ภายหลังที่หมอกควันเริ่มจางลง จึงปรากฏร่างคนๆ หนึ่งเดินหัวเราะออกมาก่อน

“ข้าบอกแล้วว่าเจ้าลูกดำนี่ใช้ได้..” เสียงใสแจ๋วดังมาก่อนตัว ว่าแล้วคนพูดจึงหันมา ใบหน้าของเด็กสาวมอมแมมไปด้วยคราบเขม่าควันไฟเล็กน้อย พอหันมาเห็นจอมเทพแห่งศิลาลัยเข้าเธอจึงรีบหยุดปากและก้าวมาคุกเข่าข้างหนึ่งลงกับพื้น

“ขออภัยเจ้าค่ะท่านจอมเทพที่ข้าเสียมารยาทเช่นนี้ ข้าบุษบรรณแห่งภูระมีเรื่องด่วนต้องขอความช่วยเหลือจากท่าน”

วิษณุวัติขมวดคิ้วเข้มนิดหนึ่ง สีหน้าแปรเปลี่ยนไปโดยทันที ละความสนใจจากเทพนักบวช และรีบยกมือขึ้นห้ามเหล่าทหารที่กำลังจะกรูเข้ามารักษาความปลอดภัยให้แก่ผู้บังคับบัญชา

“เกิดอะไรขึ้นบุษบรรณ เจ้าไม่ได้อยู่กับรามิตหรอกหรือ?”

“มิได้ค่ะท่านจอมเทพ...รามิตกำลังตกอยู่ในอันตราย ข้ากับวาฬาเสี่ยงภัยมาจากมายาเลก็เพื่อนำสารนี้มาส่งถึงมือท่าน”

ฝ่ายนักบวชชะเง้อคอมองอย่างสนใจ แต่ทำอะไรไม่ได้มากเนื่องจากมีทหารกั้นขวางอยู่

วิษณุวัติคลี่ออกอ่านด้วยอาการรีบร้อนอย่างเห็นได้ชัด แต่แล้วสีหน้าของเขากลับเรียบเฉยแทบไม่ปรากฏทีท่าเดือดร้อนใจแต่อย่างใด จนกระทั่งจบความจอมเทพแห่งศิลาลัยจึงม้วนเก็บไว้ดังเดิมและส่งคืนกลับให้เทพทิศเหนือ

บุษบรรณรับคืนอย่างงงๆ

“ขอบใจมากท่านเทพภูระที่ช่วยเป็นธุระให้ ข้าเองต้องขอโทษเสียอีกที่ทำให้เจ้าเดือดร้อน”

เด็กสาวส่ายศีรษะ “ข้าไม่เดือดร้อนใดเลยค่ะ ท่านจอมเทพโปรดสั่งการ ชีวิตรามิตขึ้นอยู่กับท่านแล้ว...ข้ากับเทพมังกรยินดีน้อมรับคำสั่ง”

แต่วิษณุวัติไม่ได้สั่งการใดที่เกี่ยวข้องกับรามิตเลย เขาขยับมือเรียกทหารนายหนึ่งเข้ามา

“นำเทพนักบวชไปไว้ที่หอลงอาญาก่อน ทั้งห้าคนนั่นแหละและเรียกให้ทหารรอบนอกวิหารเร่งการค้นหาและตรวจตราให้มากขึ้น...แล้วอีกอย่างหนึ่ง...”

เขาปรายตามาทางบุษบรรณที่รออย่างกระสับกระส่าย “ลงโทษนายทหารยามตั้งแต่หอหน้า หอหลวง จนถึงสภาโลกุตราที่ปล่อยให้ผู้หญิงตัวเล็กๆ คนเดียวผ่านเข้ามาได้”

ทันใดนั้นบุษบรรณเงยหน้าขึ้นแทบไม่เชื่อสิ่งที่เพิ่งได้ยิน

คนที่จะช่วยรามิตมีเพียงจอมเทพรัตติกาลเท่านั้น...เสียงของเวณิชดังก้องเข้ามาในโสตประสาท

ดังนั้นก่อนที่จะรู้ว่าอะไรเป็นอะไร เทพนักล่าแห่งทิศเหนือก็ผุดลุกขึ้นยืน ลืมตัวไปชั่วขณะ

“ท่านจอมเทพคะ! นี่มันอะไรกัน? แล้วรามิตล่ะคะ”

ร่างสูงของจอมโลกาหันมาช้าๆ แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงที่บุษบรรณไม่เคยได้ยินมาก่อน...มันเย็นชามิผิดอะไรกับธารน้ำแข็งไร้ชีวิต

“ข้าไม่ใส่ใจ คนทรยศต่อตะวันตก...” เขากล่าว

“ในเมื่อรามิตกล้าฝืนคำสั่งของข้า ย่อมไม่เห็นรัตติกาลอยู่ในสายตา...ในเมื่อมันไม่ใช่คนของปราสาทจันทรคราสแล้ว ข้าจะให้ความช่วยเหลือมันทำไมกัน?”

บุษบรรณอ้าปากค้าง น้ำตาของเธอแทบไหลออกมาขณะกล่าว

“ท่าน...ท่าน...วิปลาสไปแล้วที่คิดว่ารามิตทรยศ”

ดวงตาคมจัด เพ่งมองกลับไปที่เทพทิศเหนือ

“ระวังปากของเจ้าหน่อยแม่นางน้อยบุษบรรณ...นี่เห็นว่าเผ่าภูระกับตระกูลตะวันตกมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันมาช้านาน ข้าจะไม่เอาความในวันนี้ เจ้าจงไปเสียเถิด ข้าไม่มีเวลากับเรื่องไร้สาระเช่นนี้!”


*****

To be continued…



Create Date : 04 พฤศจิกายน 2551
Last Update : 7 ธันวาคม 2551 13:59:34 น. 2 comments
Counter : 731 Pageviews.

 
หนูอ่านตอนต่อไปไม่ได้อ่า
ภาค2 เลยไม่ค่อยรู่เรื่อง

ทำไงดีคะ
เพิ่งคิดได้ว่ายังอ่านเล่มสองไม่จบ


โดย: อัญญ์-- IP: 1.1.240.209 วันที่: 26 มกราคม 2556 เวลา:23:26:48 น.  

 
เอ่อ...แนะนำอย่างไรดี?

หากคุณน้องอัญญ์มีเล่มสองอยู่ในมือแล้ว อ่านได้เลยค่ะ เพราะตอนที่ 23 ที่หนูอ่านอยู่ในหน้าบล็อคนี้มีพิมพ์อย่างสมบูรณ์อยู่ในเล่มสองอยู่แล้วค่ะ

เนื่องจากข้อความดังข้างต้นที่เรื่องนี้มีพิมพ์เป็นหนังสือแล้ว ทำให้พี่ต้องเก็บตอนต่อๆ ไปของเรื่องนี้ค่ะ ตามข้อตกลงระหว่างคนเขียนและสำนักพิมพ์ค่ะ

ขออภัยในความไม่สะดวกนะคะ


โดย: run saya วันที่: 27 มกราคม 2556 เวลา:13:06:37 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

run saya
Location :
Hong Kong Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 11 คน [?]




บอกเล่าเก้าสิบ:)

เราย้ายกลับมาทำงานที่ออฟฟิคในกรุงเทพฯ แล้วค่ะ ช่วงนี้งานการยังยุ่งตามระเบียบ แต่ถึงอย่างไรจะพยายามหาเวลามาเขียนหนังสือและจบต้นฉบับ (ร่าง) ของเล่มสามให้ได้ภายในปีนี้ค่ะ (หวังว่า)

ขอบคุณนักอ่านทุกท่านที่กรุณาเข้ามาสอบถามความคืบหน้านะคะ
Friends' blogs
[Add run saya's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.