เมื่อเล่าถึงตอนนี้ เพื่อนในห้องหัวเราะ นึกไม่ถึงว่าแค่ยิงโฆษณาก่อนหรือหลังภาพยนตร์เรื่องดัง ก็สามารถสร้างอคติความชอบ/ไม่ชอบให้กับแบรนด์ได้ ฉันยังยกตัวอย่างสป็อตโฆษณาอื่นๆที่กลายเป็นขวัญใจคนติดจอ(หนัง)ทีวี ที่สามารถเลือกเวลายิงได้ดีด้วยกลยุทธ์เดียวกัน เช่น ตู้เย็นเควินเนเตอร์กับภาพยนตร์ชุด Lost in Space หรือภาคไทย โลกพิศวง ที่มีหมอสมิธจอมยุ่งกับหุ่นยนต์ท่องอวกาศแสดงด้วย เป็นต้น
พงษ์เป็นคนที่มองหลักการชัดเจน ขณะที่นุ่มลงรายละเอียดได้ไม่เคยพลาด กวินสามารถนำเสนอถ่ายทอดให้คนอื่นเข้าใจด้วยลีลาสนุกสนาน ส่วนยาย น้องสุดท้อง กำลังอยู่ในระหว่างค้นหาและพัฒนาทักษะของตัวเอง จึงทำหน้าที่ช่วยเหลือทั่วไป ขณะที่ฉันมีเวลาว่างมากกว่าใคร จึงรับอาสาค้นหาข้อมูลใหม่ๆป้อนให้กลุ่มเสมอ รวมทั้งทำบทสรุปคัดย่อของหนังสืออ่านนอกเวลาที่อาจารย์แนะนำให้ ซึ่งได้กลายเป็นข้อมูลอ้างอิงที่มีคุณค่าสำหรับทำรายงาน
นุ่มค่อยๆลดทีท่าเฉยเมยกับกวินและยายลง ยอมพูดจาเป็นพี่เป็นน้องมากขึ้น ไม่มองทะลุอีกฝ่ายเหมือนไม่มีตัวตน ( ซึ่งเป็นบ่อยมากถ้าเธอรู้สึกว่าคนๆนั้นไม่ได้เรื่องในสายตาจนบางครั้งกวินแอบกระซิบกับฉันว่า บางวันเขารู้สึกตัวเองเป็นวุ้นเส้นใสๆอย่างไรไม่รู้) ขณะเดียวกันในกลุ่มก็ยอมให้นุ่มจู้จี้ พิถีพิถัน ช่วยกันทำการบ้านล่วงหน้าเพื่อให้ได้ผลงานออกมาดีสุดๆ
อาทิตย์แรกผ่านไปอย่างสบายๆ เหมือนช่วงฮันนีมูนจ้ะจ๋า พอเข้าอาทิตย์ที่สอง น้ำผึ้งเริ่มไม่หวานแล้ว เมื่ออาจารย์แต่ละวิชาแสดงจำนวนรายงานที่ต้องส่งทั้งในนามส่วนตัวและกลุ่ม ดังที่เกริ่นไว้บ้าง เทอมนี้ ฉันต้องลงเรียนวิชาการเงินพื้นฐาน ซึ่งเป็นความหวาด หวั่นลึกๆแต่แรกเริ่ม โธ่..จะไม่ให้กลัวได้อย่างไร ถ้ารวมถึงช่วงมัธยมที่เลือกเรียนสายศิลป์ ฉันทิ้งเลขไปทั้งหมดกว่าค่อนชีวิต จะให้ฟื้นกลับมาง่ายๆ ก็เป็นการดูถูกตัวเองมากไปหน่อย
ส่วนอีก 2 วิชาที่เหลือคือการบริหารตลาด และพฤติกรรมองค์กร เท่าที่ดูหัวข้อเรียนและรายละเอียดไม่ค่อยมีคำนวณ เลยเบาใจขึ้นหน่อย ถึงจะมีงานเยอะก็เถอะ ฉะนั้นฉันต้องวางแผนการเรียนให้สมดุลใช้กลยุทธ์ 2 : 1 (ฉันเริ่มพูดภาษาธุรกิจเป็นบ้างแล้ว)คือพยายามยึด 2 วิชาหลังฉุดคะแนนของวิชาการเงินขึ้นมาให้ได้ เกรดเฉลี่ยออกมาจะได้ดูไม่น่าเกลียด
วิชาการเงินพื้นฐานเหมือนเปิดประตูชีวิตฉันสู่อีกโลกหนึ่งซึ่งเต็มไปด้วยตัวเลขมากมาย จำไม่หวาดไม่ไหว นอกจากนั้นก็ยังมีเรื่องของกราฟ ช่องตาราง สูตรคำนวณสารพัด ศัพท์แสงใหม่ๆที่ต้องเรียนรู้และทำความเข้าใจ
ถึงตอนนี้ฉันอดทึ่งนักบัญชีอย่างนุ่มไม่ได้ที่แทบจะซึมซับคำสอนของอาจารย์เต็มสมอง ตอบทุกคำถามได้หมดอย่างไม่มีข้อกังขาใดๆเลย เธอกลายเป็นศิษย์โปรดของชั้นเรียนวิชานี้ไปในที่สุด เพื่อนๆในห้องยกให้นุ่มเป็นน้องๆกูรูไปเลย นี่ถ้าไม่ใช่เป็นวิชาบังคับพื้นฐาน นุ่มคงไปลงทะเบียนวิชาอื่นเรียบร้อย ไม่มีความจำเป็นต้องมานั่งเรียนในสิ่งที่ตัวเองแม่นอยู่แล้ว
นุ่มจ๋า หม่าม้าไม่เข้าใจความแตกต่างของ 2 ตัวนี้ ระหว่าง Depreciation กับ Amortization ต่างกันอย่างไร
ฉันถามนุ่มหลังเลิกเรียน ทั้งชั้นบ่นพึมพำกับความยากของวิชา แถมอาจารย์ก็สอนเร็วมากจนคนกำลังจะเข้าใจเลยไม่เข้าใจ และคนที่ไม่เข้าใจเลยกลับดำดิ่งลึกหาก้นบึ้งไม่เจอ
นุ่มเริ่มสาธยายยาว Depreciation คือการคิดค่าเสื่อมราคาจากสินทรัพย์ที่เป็นรูปธรรมได้เช่น โรงงาน เครื่องจักร วัสดุที่ใช้ในกระบวนการผลิต ถึงตอนนี้ยายซึ่งนั่งอยู่ถัดจากฉัน ร่วมวงเข้ามาฟังอย่างตั้งอกตั้งใจ
ส่วน Amortization คือการคิดค่าเสื่อมจากสินทรัพย์ที่เป็นนามธรรม เช่น ค่าลิขสิทธิ์ ค่าเครื่องหมายการค้าที่เราขออนุญาตใช้ เป็นต้น
ไม่สาธยายเปล่า นุ่มจับปากกาเขียนตารางขึ้นบนกระดานให้คนที่รุมล้อมทั้งหมดได้เห็นชัดๆ
แล้วพวก Cost แล้วคะ พี่นุ่ม ยายยังงงๆอยู่เลย Fixed Cost กับ Variable Cost มีอะไรบอกได้ชัดเจนว่าใช่หรือไม่ใช่
Fixed Cost ต้นทุนคงที่ ดูง่ายๆ ว่าเป็นต้นทุนที่บริษัทต้องจ่ายสม่ำเสมอ ไม่ว่าจะผลิตแค่ไหน เช่น เงินเดือนพนักงาน ค่าเช่าออฟฟิค เห็นมั้ย ต่อให้ยอดขายตกก็ต้องจ่ายเงินเดือน จ่ายค่าเช่าออฟฟิคเท่าเดิมอยู่ดี หรือมีออฟ ฟิคไหนที่ยอดขายตกแล้วตัดเงินเดือนพนักงาน พอยอดขายดีขึ้นก็เพิ่มเงินเดือน
ยายทำหน้าเหรอพักหนึ่ง ก่อนส่ายหน้าเพราะไม่แน่ใจหรือไม่รู้ก็ได้
ที่บ้านมีโรงงาน น่าจะเห็นตัวอย่างได้ชัดเจนที่สุด นุ่มสำทับต่อ
ค่าโฆษณาส่งเสริมการขายก็เหมือนกัน ขายได้ชิ้นเดียวก็ต้องจ่ายเท่านี้ ขายพันชิ้นก็ต้องจ่าย ขายไม่ได้เลยก็ต้องจ่าย
ส่วน Variable Cost ต้นทุนผันแปร คือต้นทุนที่ต้องจ่ายให้สอดคล้องกับการผลิต เช่น ค่าการผลิตต่อหน่วย ค่าคอมมิชชั่นตามยอดขาย ไม่อธิบายเปล่า เธอพลิกเอกสารที่ได้รับแจกจากในชั้น ชี้ลงไปที่ตัวเลขสมมติ
ฉะนั้นเงินรายได้ของพวกเซลส์ในเคสที่อาจารย์ยกตัวอย่าง จึงมีทั้ง 2 ต้นทุน คือเงินเดือนประจำคงที่กับคอมมิชชั่นที่มากน้อยตามความขยัน
แล้วค่าจ้างรับเป็นรายวันจะอยู่ตรงไหน พงษ์ถามขึ้นบ้าง
อยู่ที่ว่า เขารับเป็นวันๆ หรือรับเป็นเงินเดือน ถ้ารับเป็นวัน วันไหนไม่มาไม่ได้เงิน ก็ถือเป็นต้นทุนผันแปร นุ่มสรุปง่ายๆ
นุ่มช่วยอธิบายคำว่า EBIT กับ EBITDA ให้ฟังหน่อยซิจ้ะ ใช้ต่างกันอย่างไร
อันแรกเป็นการคำนวณรายรับก่อนหักดอกเบี้ยและภาษี อันหลังเพิ่มค่าเสื่อมราคาที่จับต้องได้และไม่ได้ด้วย
ยังมีข้อสงสัยปลีกย่อยอีกมาก เช่น เรื่องของงบกระแสเงินสด เงินหมุนเวียน แต่ด้วยเกรงใจว่าดึกแล้ว มิฉะนั้นคงขอให้เธอเล็คเชอร์ใหม่หมด เห็นฝีไม้ลายมือ(และฝีปาก)ของนุ่มอย่างนี้ กลยุทธ์อีกข้อที่ฉันต้องเพิ่มเติมก็คือ ต้องจับนุ่มให้อยู่หมัด