เมษายน 2551
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
27282930 
14 เมษายน 2551

ตอนที่ 5 เพื่อนเรียนร่วมรัง

โรงเรียน ฮ นกฮูก
เรื่องราวของหม่าม้า ที่ร้างราตำราเรียนร่วม 30 ปี แล้วตัดสินใจกลับสู่ห้องเรียนใหม่ในวัย ฮ นกฮูก




ตอนที่ 5 เพื่อนเรียนร่วมรัง

ดังที่เคยเกริ่นไว้แล้วว่า การเรียนในระดับปริญญาโท เพื่อนร่วมกลุ่มเป็นองค์ประกอบที่จำเป็นต่อความสำเร็จ ถึงตอนนี้ฉันขอแนะนำเพื่อนต่างวัยที่มาร่วมชะตากรรมเดียวกันกับ ฮ นกฮูก อย่าง(ไม่รู้ว่า) เต็มใจ (หรือเปล่า)

ก่อนอื่น เรามาทำความรู้จักกับนักเรียนทั้งห้องว่าเป็นใครมาจากไหนกันบ้าง
เพื่อนต่างวัยของฉันมีอยู่ประมาณ 30 คน เป็นผู้หญิงเสียกว่าค่อน เหลือชายหนุ่มประมาณ 10 คนเอง ราวกับเป็นเรื่องปกติที่ผู้หญิงขยันหมั่นเพียรการเรียนมากกว่าผู้ชาย ฉะนั้นชายหนุ่มหล่อ ไม่หล่อในชั้นจึงได้รับความสนใจเอ็นดูจากเพื่อนสาวๆเป็นพิเศษในฐานะชนกลุ่มน้อยและชนชายขอบ (เพราะชอบนั่งแอบๆใกล้ๆที่นั่งแถวขอบประตู) อาจารย์เกือบทุกท่านจะจำชื่อนักเรียนชายได้เร็วกว่า (น่าน้อยใจแทนบรรดาผู้หญิงจริงๆ)

อายุอานามของเพื่อนรุ่นลูกเหล่านี้ คงอยู่ในวัยประมาณ 20 ต้นๆ ถึงต้น 30 เท่านั้นเอง ทุกคนแปลกใจที่ในชั้นมีนักเรียนสูงวัย ฮ นกฮูก มาร่วมนั่งเรียนอย่างสงบเสงี่ยม แรกๆพวกเขาก็เกร็งๆกันพอสมควร ราวกับว่ามีญาติผู้ใหญ่ที่บ้านมาเฝ้าพฤติกรรม คล้อยหลังไปสัปดาห์ที่สองและสาม ก็เริ่มมีใครกล้าเข้ามาทักทายพูดคุยกับฉันมากขึ้น

หลังจาก(แอบ)สอบประวัติ ความเป็นมาของเพื่อนๆแต่ละคนแล้ว ก็พอจะจัดเป็นกลุ่มใหญ่ๆได้ 3 กลุ่มดังนี้

หนึ่ง กลุ่มลูกเจี๊ยบ กลุ่มเด็กหน้าใสเพิ่งจบปริญญาตรีมาหมาดๆ ไม่เคยทำงานที่ไหนมาก่อน หรืออาจจะทำเพียงแค่ไม่ถึงปีก็ลาออกมาเรียนต่อ บางคนมาจากมหาวิทยาลัยที่เรียนเดิมเดียวกัน จึงค่อนข้างจับกลุ่มแน่น เสียงดังกว่ากลุ่มอื่น หลายคนในกลุ่มมีแนวโน้มว่าจะไปเรียนต่อที่เมืองนอกอีก เรียนที่นี่ ก็แค่รอฆ่าเวลาเท่านั้น

สอง กลุ่มลูกจ้าง มีจำนวนเยอะที่สุด หลากหลายอาชีพ เป็นผู้บริหารระดับต้นถึงกลาง มาจากนักบัญชีบ้าง วิศวกรบ้าง เป็นเซลส์ บ้าง มีไม่น้อยที่ทำงานตำแหน่งปิดทองหลังพระ คือเป็นฝ่ายสนับสนุนของบริษัท (Back Office Support) ทุกคนล้วนมีความฝันว่า สักวันหนึ่งอยากมีกิจการของตัวเอง

สาม กลุ่มลูกเถ้าแก่ กลุ่มนี้จะมีประสบการณ์ทำงานมาบ้าง แต่ที่แน่ๆก็คือที่บ้านมีกิจการรอรับอยู่แล้ว ฉะนั้นพวกเขาจะมีเป้าหมาย ที่ชัดเจน ต้องกลับไปสืบทอดธุรกิจที่บุพการีสร้างสมมา บางคนจึงตั้งใจเรียนอย่างแน่วแน่ บางคนก็เรียนเพื่อรู้ผ่านๆ อย่างไม่อนาทรร้อนใจ อย่างไรเสียไม่ต้องดิ้นรนหางานที่ไหน ช่างน่าเสียดายจริงๆ

และกลุ่มสุดท้ายก็คือ กลุ่มลูกให้เงิน(ค่าขนม)มาเรียน แม่บ้านเต็มเวลาที่หวนคืนห้องเรียนใหม่ ซึ่งมีฉันเป็นมาเฟียใหญ่กร่างอยู่คนเดียว (ไม่มีลูกน้องเลย)

เพื่อนๆในห้องจะเรียกฉันว่า “หม่าม้า” เหมือนที่ลูกๆเรียก แม้แรกๆเขาจะเกรงใจเรียก “พี่”แทน “น้า”หรือ “ป้า” (ฟังดูแล้วสาวขึ้นทันตา ) แต่เมื่อฉันลดท่าเกรงขาม ให้ความเป็นกันเอง ไม่ถือตัวก็เลยเป็น “หม่าม้า” ของชั้นเรียนได้ไม่ขวยเขิน

หลายคนคิดว่านักเรียนอาวุโสคนนี้เป็นผู้บริหารระดับสูง แล้วมาเพิ่มพูนทักษะความรู้ ฉันไม่อาจปล่อยให้พวกเขาวางภาพไว้เลิศเลอเกินไป (กลัวจะผิดหวังภายหลัง)จึงบอกความจริงว่า

“เป็นหม่าม้าเต็มตัวค่ะ ลูกๆโตๆหมดห่วงแล้ว เลยขออนุญาตมาเรียนค่ะ”

ยิ่งบอก ก็ยิ่งสร้างความฉงนบนสีหน้าคนฟัง เออหนอ...รู้เลยว่าพวกเขาต้องมีคำถามในใจแบบเดียวกันว่า แก่แล้วมาเรียนทำไม แต่ด้วยมารยาทที่ดีก็เลยได้รับคำชื่นชมแทน

“ หม่าม้าขยันจังนะคะ”

“อยากให้หม่าม้าที่บ้าน แอคตีฟแบบนี้บ้าง”

“โอ้โฮ ลูกๆหม่าม้าใจดีจัง ส่งเสียให้แม่เรียนหนังสือ”

ฉันยิ้มๆ ไม่ได้พูดต่อกระไร ปล่อยให้พวกเขาเข้าใจว่ามีลูกกตัญญูส่งเสียจุนเจือแม่เรียนหนังสือก็ไม่เสียหลาย



Create Date : 14 เมษายน 2551
Last Update : 14 เมษายน 2551 13:27:22 น. 4 comments
Counter : 514 Pageviews.  

 

“หม่าม้าขา ยายเข้าเรียนไม่ทันครี่งแรกแน่ๆ รถติดอย่างกะอะไร ฝากเก็บชีทให้ด้วยนะคะ”

สาวน้อยในกลุ่มส่งเสียงร้อนรนมาทางโทรศัพท์ มือถือ ซึ่งฉันจะเปิดไว้จนกว่าจะถึงชั่วโมงเรียน แล้วปิดตลอดระหว่างนั่งฟังเลคเชอร์ จนถึงช่วงพักนั่นแหละค่อยเปิดอีกที เผื่อลูกสาวหรือลูกชายโทรมาถามไถ่

แม้อาจารย์ผู้สอนจะไม่เคร่งครัดเรื่องการรับโทรศัพท์มือถือระหว่างนั่งฟังบรรยาย แต่ในทัศนะคติของ ฮ นกฮูกอย่างฉัน มันคือตัวบ่งชี้มรรยาทที่ดีที่ได้รับการอบรมมา หลายคนอาจเห็นเป็นเรื่องไม่สำคัญ เปิดเสียงโทรศัพท์ดังและรับสายพูดระหว่างเรียนทำให้การบรรยายสะดุดบ่อยๆ

“ อาจารย์จะมี Quiz ตอนครึ่งหลังนะ เพิ่งบอกเมื่อกี้นี้เอง ยายมาให้ทันแล้วกัน”

ฉันส่งเสียงบอกเรื่องเร่งด่วนไป อาจารย์ผู้สอนชอบนักเชียว อยากให้นักเรียนตื่นตัวเสมอ จึงมีการทดสอบโดยไม่บอกแจ้งล่วงหน้า ทั้งที่เก็บและไม่เก็บคะแนน

“ ทันแน่ๆค่ะ หม่าม้า เนี่ยปาดซ้าย ปาดขวาทะลุตลอดแล้ว”

ฉันหัวเราะเบาๆ นึกถึงหน้าคนพูดในกลุ่ม “ลูกเจี๊ยบ” กึ่ง “ลูกเถ้าแก่” ยายเป็นคนแรกในกลุ่มเพื่อนเรียนที่ขอแนะนำให้คุณผู้อ่านรู้จัก

อย่าแปลกใจที่ทำไมยังสาวยังแส้หน้าตาสดใสแต่มีชื่อเรียกว่า “ยาย” เธอเล่าว่า หน้าตามีประพิมประพายคล้ายคุณยาย (หรืออีกนัยก็คือดูแก่ตั้งแต่เกิดเลย..อันนี้คนอื่นแซว) แม่เลยตั้งชื่อว่า "ยาย"

แรกๆที่รู้ตัวก็อดกระเง้ากระงอนไม่ได้ ยังไม่ทันสาวเลยก็แก่เสียแล้ว ต่อเมื่อได้มีโอกาสเห็นรูปคุณยายเมื่อตอนสาวเลยเข้าใจ ยายเป็นเด็กที่สุดในกลุ่ม ที่บ้านมีกิจการโรงงานกล่องกระดาษของตัวเอง ยายเพียงแต่ช่วยเล็กๆน้อยๆ เธออยากจะไปทำงานเป็นลูกจ้างที่อื่นก่อน แล้วค่อยกลับมาทำงานให้ที่บ้าน

“ทำงานในโรงงาน น่าเบื่อออกค่ะ”

ยายเคยเปรย หากจะต้องทำจริงๆก็คงจะหาธุรกิจอื่นทำไปด้วยเพราะไม่อยากจะแย่งงานกับพวกพี่ๆ บุคลิกคล่องแคล่วช่างพูดอย่างยายคงจะเหมาะกับตำแหน่งงานที่อาศัยการเจรจาเป็นหลัก

ยายลังเลที่จะเข้ากลุ่มซึ่งมีฉันนั่งเป็นประธานโด่เด่ (เพราะยังไร้สมาชิก) จนเมื่อจวนตัวแล้วนั่นแหละ ถึงยอมตกลงปลงใจ ภายหลังเธอมาแอบสารภาพว่า

“ ตอนแรกกลัวว่า ยิ่งเข้ากลุ่มจะยิ่งแก่ เพราะใครๆก็เรียกหนูว่า ยาย อยู่แล้ว เฮอ..แต่ก็ดีนะ อบอุ่น เหมือนมีหม่าม้าที่บ้านมานั่งเรียนด้วย”

ทุกคนในห้องออกจะแปลกใจที่คนวัย ฮ นกฮูกกับลูกเจี๊ยบ กลับสนิทชิดเชื้อ ไม่มีปัญหาระหว่างวัย ยายเคยออกปากขออาสาส่งฉันหลังเลิกเรียน ฉันปฏิเสธโดยอ้างว่ามีลูกชายมารับ จริงๆแล้ว ไม่กล้านั่งรถเหาะที่เธอขับต่างหาก


โดย: กูรูขอบสนาม วันที่: 14 เมษายน 2551 เวลา:13:17:02 น.  

 

เพื่อนสาวคนต่อมาที่อยากเชื้อเชิญให้รู้จักก็คือ นุ่ม นักบัญชีจากสำนักงานผู้ตรวจบัญชีระดับใหญ่ ผู้วางมาดขรึมเคร่งตามแบบฉบับวิชาชีพของเธอ แม้ชื่อจะบ่งบอกว่าอ่อนละมุน แต่นุ่มกลับมีอุปนิสัยใจคอที่ค่อนข้างฝืนกับชื่อมาก ในวัยแค่ต้นสามสิบ นุ่มน่าจะมีโลกที่สดใส สนุกสนานไม่แพ้ยาย เธอแต่งชุดสูทสีขรึมประจำ ในมือต้องมีเอกสารหรือหนังสืออ่านเสมอ คำพูดคำจาของเธอบอกได้เลยเป็นคนที่ไม่ไร้สาระ

“ งานเครียดค่ะ มีแต่ตัวเลขทั้งวัน”

นุ่มเคยเล่าลักษณะงานให้ฟัง เหมือนเป็นงานที่ต้องจับผิดข้อบกพร่องของคนอื่น ทั้งๆที่ไม่ได้ตั้งใจให้เกิดขึ้นเลย ดังนั้นเธอจึงต้องปฏิบัติตนเป็นต้นแบบที่ดี กระนั้นก็เถอะ ฉันว่านุ่มต้องมีเรื่องเครียดอย่างอื่นอยู่ด้วย ใครจะมีสีหน้านิ่งเฉยได้ตลอดทั้งคาบเรียนแม้ช่วงพักรับประทานอาหารว่าง

“ นุ่มไม่ดื่มชา - กาแฟค่ะ ยิ่งดื่ม ตายิ่งสว่าง เดี๋ยวไม่ได้นอน ปกติก็นอนไม่ค่อยหลับอยู่แล้ว”

นุ่มเป็นคนที่ตรงต่อเวลามาก เธอจะมาคนแรกของห้องและยึดที่นั่งริมซ้ายแถวหน้าสุด ก้มหน้าทบทวนบทเรียนโดยไม่สนใจเสียงว้อกแว้กทักทายของสาวๆในชั้น บุคลิกของนุ่ม เผลอๆดูเป็นอาจารย์ได้ เธอไม่แสดงอาการแปลกใจมากนัก เมื่อฉันบอกว่าจะมาเป็นเพื่อนร่วมชั้นเรียน

“ ที่ทำงานนุ่ม นักบัญชีเก่งๆหลายคนยังเรียนโน่น เรียนนี่ไม่หยุดเลยค่ะ”

นุ่มสุภาพพอที่จะไม่พูดว่า นักบัญชีแก่ๆหลายคน ทำให้ฉันรู้สึกค่อนข้างดีกับเธอแต่แรก หลังจากนั้นเราก็นั่งคู่กันทุกชั้นเรียน

ฉันชื่นชมทัศนะคติของนุ่มหลายๆอย่าง โดยเฉพาะความมุ่งมั่นในการเรียน ความขยันและความละเอียดใส่ใจในงาน
กลุ่ม บอกได้อย่างไม่อายเลยว่า ฉันพึงพิงเธอด้านวิชาการมากกว่าคนอื่น ตัวเธอเองก็ดูเหมือนจะเลือกคบคุยกับเพื่อนๆในชั้นมีกี่คน ไม่จี๋จ๋าเจ๊าะแจ๊ะเหมือนเด็กสาวทั่วไป

คราวนี้ถึงคิวชายหนุ่มชนกลุ่มน้อยบ้าง หนุ่มคนแรกที่พลัดเข้าในกลุ่มคือ พงษ์ วิศวกรเคมีภัณฑ์บริษัทฝรั่ง บุคลิกเงียบๆ เขินๆ พูดสั้นๆ ทำให้ฉันอดเอ็นดูไม่ได้ ดูจากภูมิหลังแล้ว พงษ์เป็นคนหนุ่มที่มีอนาคตไกล พื้นฐานการศึกษาก็ดี อาชีพการงานก็ดี ถ้าเรียนจบคงได้เลื่อนตำแหน่งเป็นผู้บริหารระดับสูงกว่านี้ ครอบครัวพงษ์มีกิจ การรับเหมาก่อสร้างในจังหวัดใหญ่แห่งหนึ่ง ฉันเลยจัดเขาอยู่ในกลุ่มลูกผสมระหว่างลูกเถ้าแก่กึ่งลูกจ้าง

“ทำงานกับฝรั่งก็ได้เรียนรู้อะไรเยอะนะครับ ทั้งระบบ การวางแผนงาน ใครออก ใครเข้าไม่กระทบสายงาน มาถึงก็ทำต่อได้เลย แต่บทจะฟันทิ้ง ไม่เอาใคร ก็เล่นได้หน้าตาเฉย”

พงษ์บอกเหตุผลที่ทำให้เขาอยากมาเรียนต่อเพื่อเตรียมตัวสำหรับอนาคตที่สามารถขีดเส้นเดินทางเองได้ ไม่ต้องขึ้นกับนายจ้างหรือบริษัท

“วันดี คืนดี ถูกควบกิจการ หรือถูกขาย จะก็ตกงานทันที”

แต่แรกฉันทำหน้าเหรอหรา ทำไมต้องทำกันรุนแรงถึงเพียงนี้ เรื่องการตกงานหรือลอยแพพนักงานไม่ใช่วิถีปฎิบัติของสังคมไทยเท่าไร กระทั่งเจอวิกฤตเศรษฐกิจทางการเงินครั้งรุนแรง อีกทั้งภายหลังได้มีโอกาสอ่านกรณีศึกษาเกี่ยวกับบริษัทหยูกยาและเคมีภัณฑ์ต่างๆจึงรู้ว่า เป็นหมวดอุตสาหกรรมที่มีสถานภาพอ่อนไหวที่สุด เพราะแรงดึดดูดด้านเม็ดเงิน ผลกำไรตอบแทนมหาศาล จึงมักจะมี กระแสข่าวซื้อ ขาย ควบรวมกิจการเข้าด้วยกันเป็นระยะ เพื่อแข่งขันชิงตำแหน่งผู้นำของอุตสาหกรรม หน่วยงานที่เป็นหัวใจของบริษัทเหล่านี้คือ วิจัยและพัฒนา หากรวมกันได้ก็จะลดค่าใช้จ่ายในการบริหารงานได้มากทีเดียว

พงษ์เข้ากลุ่มเรียนกับพวกเรา โดยฉันเป็นฝ่ายชวนก่อน เพราะเห็นเขานั่งมองรอบๆ ไม่รู้จะเข้ากับกลุ่มใครดี เช่นเดียวกับฉัน ยายและนุ่ม พงษ์มาเรียนแบบศิลปินเดี่ยว ไม่รู้จักใครเลย ไม่แน่ใจว่าจะปฎิบัติตัวได้กลมกลืนกับเพื่อนในชั้นที่มีแต่ผู้หญิงเสียส่วนใหญ่

การได้พงษ์เข้ามาในกลุ่ม ช่วยเรื่องมุมมอง เหตุผลและกรอบของการวิเคราะห์ได้เยอะทีเดียว จนเราแอบให้สม ญานามภายหลังว่า “เจ้าพ่อกรอบ”(.....ความคิด ไม่ใช่กรอบ...จน ถึงไม่อวดตัว ที่บ้านของพงษ์ก็คงมีเงินพอสมควรตามภาษาเศรษฐีหัวเมือง)


โดย: กูรูขอบสนาม วันที่: 14 เมษายน 2551 เวลา:13:24:10 น.  

 

คนสุดท้ายที่เข้ามาร่วมกลุ่มก็คือ กวิน หนุ่มโบรกเกอร์ซื้อขายหุ้นของบริษัทหลักทรัพย์

ความจริง กวินมีเพื่อนเรียนกลุ่มใหญ่อยู่อีกกลุ่มหนึ่งซึ่งมี สมาชิกครบแล้ว จึงกลายเป็นบุคคลส่วนเกินที่ต้องหากลุ่มใหม่ กลุ่มของเราเพิ่งมีแค่ 4 คนเท่านั้น ยังสามารถเพิ่มได้อีก เจ้าตัวเลยตกในภาวะจำยอมมาอยู่ด้วย อาจจะฝืนๆในตอนแรก แต่หวังว่าอยู่ๆไปก็น่าจะปรับตัวกลมกลืนได้

กวินแก่กว่ายายสักสี่ห้าปี แต่หน้าตาผิวพรรณสะอาดสะอ้าน ทรงผมตัดสั้นๆ ทำให้ดูเหมือนยังวัยรุ่นอยู่ กิริยากระตุ้งกระติ้งหน่อยๆจีบปากจีบคอนิดๆส่ออาการเกินชายเล็กน้อย

กวินจะเข้าห้องเรียนพร้อมเสียงทักทายแต่ไกล พอพักครึ่งเวลาก็คุยเฮฮาเสียงใสกับบรรดาเพื่อนต่างกลุ่มอย่างสนิทสนม ดูเหมือนเจ้าตัวจะมีเรื่องเล่าได้ตลอดไม่หยุด ดูช่างเป็นคนที่ป๊อปปูลาร์เข้ากับใครๆก็ได้ เหมือนหนุ่มเจ้าสำราญใช้ชีวิตสนุกสนานไปวันๆ บุคลิกเช่นนี้ไม่สบอารมณ์นุ่มเท่าไหร่

“ หม่าม้า จะไหวเหรอคะ นุ่มว่าเค้าแปลกๆนะ ถ้าเขามีอะไรดี ทำไมเพื่อนในกลุ่มไม่เอาเค้าล่ะ”

นุ่มมองอากัปกิริยาของผู้ที่ถูกกล่าวถึงอย่างแคลงใจ เธอแสดงคุณสมบัติความเป็นนักบัญชีข้อแรกด้วยอาการสงสัยในพฤติกรรมฝ่ายนั้น ถ้ากวินเป็นทรัพย์สินหรือ ตัวเลขทางบัญชีล่ะก้อ ต้องถูกตรวจสอบละเอียดยิบแน่

ฉันปรายตามองหนุ่มโบรกเกอร์ผู้กำลังหมุนตัวอวดรองเท้าคู่ใหม่สีสันแสบตาให้บรรดาสาวๆกรี๊ดกร๊าด และยิ่งกรี๊ดหนัก เมื่อบอกแหล่งซื้อในราคาที่ถูกกว่าครึ่งจากตามห้าง

“ก็เขายอมเสียสละออกจากกลุ่มเดิมข้ากลุ่มใหม่ไง แปลว่า อยู่ที่ไหนก็ได้ ”

ฉันพยายามมองโลกในแง่ดี แม้จะรู้สึกทะแม่งๆกับบุคลิกที่ลื่นไหลของกวินอยู่บ้าง ลูกชายคนเดียวที่มีอยู่ก็ไม่มีอาการกระตุ้งกระติ้งเช่นนี้ พลอยให้โล่งใจไปได้หน่อย ไม่ใช่จะมีอคติอะไรหรอกนะ แต่ตามประสาแม่ๆทั่วไปก็อยากจะเห็นลูกๆมีวิถีชีวิตแยกหญิง แยกชายชัดเจน

นุ่มยังไม่คล้อยตามง่ายๆ แสดงทีท่าอิดออดไม่เต็มใจรับเลย หันไปถามความเห็นของพงษ์ พยายามหาพวกสนับสนุน(คือล็อบบี้กลายๆ) พงษ์เองไม่ใช่คนคิดอะไรมาก พยักหน้ายอมรับกวินเข้ากลุ่มด้วย ส่วนยายบอก ไม่มีปัญหา

กวินเป็นคนเสียงดัง สนุกสนาน หน้าที่ของตัวเองคือต้องเชียร์ลูกค้าในห้องค้าซื้อๆ ขายๆ หลักทรัพย์เพื่อให้ได้ปริมาณจำนวนหนึ่ง บริษัทจึงจะอยู่ได้และเพื่อนโบรกเกอร์เองก็จะอยู่ได้ด้วย แต่กวินไม่ค่อยจะทำหน้าที่ครบบริบูรณ์นัก กลับชอบชวนลูกค้าคุยเรื่องสัพเพเหระให้สบายใจ เคยเปรยว่า อยากจะเปลี่ยนงาน ถ้ามีความรู้ดีและแน่นขึ้น

“อยู่ตรงนี้เหมือนหมาไล่เนื้อน่ะ หม่าม้า พอหมดเขี้ยวเล็บก็คงไม่มีใครต้องการ”

บางเย็น กวินจะมาด้วยหน้าตาหอบเหนื่อย เข้าชั้นเรียนสาย เพราะติดพันคำสั่งซื้อขายจากลูกค้ารายใหญ่ แต่ก็มีขนมนมเนยติดไม้ติดมือเป็นลาภปากของเพื่อนๆ

“ลูกค้าซื้อมาฝาก ได้กำไรหุ้นเยอะเมื่อวันก่อน”

นุ่มแอบกระซิบอย่างไม่ค่อยวางใจนัก “หวังติดสินบนฝากให้ช่วยฟังเลคเชอร์น่ะซิ”

ยังมีเพื่อนร่วมกลุ่มอีกคนคือ เพ็ชร ซึ่งไม่ค่อยได้มาเรียน หรือวันไหนที่มาได้ก็เข้าห้องช่วงครึ่งหลัง แยกไปนั่งตอนท้ายแถว ฉันเลยยังไม่มีโอกาสทำความรู้จักเธอใกล้ชิดนัก

แต่เพื่อนต่างวัย ต่างใจ ต่างบุคลิกทั้ง 4 คือ ยาย นุ่ม พงษ์และกวิน ก็คงพอให้ท่านผู้อ่านจินตนาการได้ว่า กลุ่มเราจะไปตลอดรอดฝั่งหรือเปล่า คอยลุ้นกันต่อๆไปก็แล้วกัน




โดย: กูรูขอบสนาม วันที่: 14 เมษายน 2551 เวลา:13:31:18 น.  

 


โดย: กูรูขอบสนาม วันที่: 14 เมษายน 2551 เวลา:13:33:12 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิกช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

รุ้งพลบ
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]




ใช้ชีวิตแสวงหามาหลายปี ปัจจุบันก็ยังแสวงหาไม่รู้จักเสร็จ
บางอารมณ์เหนื่อยๆ ก็หยุดพัก แล้วตรองนิ่งเขียนบันทึกในสิ่งที่พบเห็น

บางอารมณ์ที่โมแรนติค ชอบดูสายรุ้งตอนโพล้เพล้
New Comments
[Add รุ้งพลบ's blog to your web]