|
9 เมษายน 2551
|
|
|
|
|
|
รุ้งพลบ |
|
|
|
Location :
กรุงเทพฯ Thailand
[ดู Profile ทั้งหมด]
|
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]
|
ใช้ชีวิตแสวงหามาหลายปี ปัจจุบันก็ยังแสวงหาไม่รู้จักเสร็จ บางอารมณ์เหนื่อยๆ ก็หยุดพัก แล้วตรองนิ่งเขียนบันทึกในสิ่งที่พบเห็น
บางอารมณ์ที่โมแรนติค ชอบดูสายรุ้งตอนโพล้เพล้
|
|
|
ปออ่อนเริ่มทำหน้าเหมือนไม่ค่อยจะเชื่อว่า หม่าม้าของบ้านนี้ยังปกติดีอยู่หรือเปล่า
โอ๊ย แก่เป็น ฮ นกฮูกอย่างนี้แล้ว ใครเขาจะจ้าง ฉันหัวเราะอย่างอารมณ์ดี
ก้อไปบริหารมูลนิธิการกุศลไง เขารับพวกเกษียณก่อนอายุไปทำงานก็เยอะ ป่านดำผู้มีคำตอบให้กับทุกเรื่องมองไกลไปโน่น
หม่าม้าไม่ลองเข้าคอร์สฝึกอบรมสั้นๆล่ะคะ เห็นมีตั้งหลายโปรแกรมสำหรับผู้ประกอบการรุ่นใหม่ เดี๋ยวหนูจะถามเพื่อนๆให้
ลินินยังยืนกรานให้ฉันทดสอบการกลับสู่ห้องเรียนของตัวเองอีกครั้งด้วยหลักสูตรสั้นๆเฉพาะหน้าเสียก่อน จนแน่ใจแล้วค่อยปักหลักจริงจัง
ไม่ล่ะ หม่าม้าอยากเริ่มต้นเรียนใหม่หมด อยากจะมีธุรกิจของตัวเอง....
คราวนี้ ลูกๆเงียบกริบ ไม่ทราบว่าเงียบเพราะตั้งตัวไม่ทัน หรืองุนงงกับอาการสมองกลับของผู้เป็นประมุขของครอบครัวหรือเปล่า
หม่าม้าที่พวกเขาเคยเห็นมาตลอดชีวิตคือผู้หญิงแม่บ้านคนหนึ่งที่ไม่เคยทำธุรกิจอะไรเลย นอกจากตื่นเช้าขึ้นมาก็สาละวนกับงานบ้านทุกชนิด พาลูกๆไปส่งโรงเรียน ไปจ่ายตลาด เข้าครัวทำอาหาร 3 มื้อ ( บางครั้งก็ขี้เกียจเหลือแค่ 2 มื้อ ) ทำงานบ้านด้วยตัวเองตั้งแต่ซักผ้า-รีดผ้า ถูบ้าน ดูแลความเรียบร้อยของห้องหับต่างๆ ขุดดิน ปลูกพืชผัก ถางหญ้าไม่ให้รก ตอนหัวค่ำก็สอนการบ้าน พร้อมดูแลปะป๊าที่เพิ่งเสร็จงานในเวลาเดียวกัน เสาร์-อาทิตย์ก็ต้องมีกิจกรรมให้พาไปร่วมไม่เว้น เรียนพิเศษ ว่ายน้ำ เล่นกีฬา ร่วมกิจกรรมโรงเรียน ฯลฯ จนวันหนึ่งอยากจะให้มีมากกว่า 24 ชั่วโมง แถมบางช่วง ลูกคนไหนป่วยเป็นอีสุกอีใส หัดหรือไข้หวัด หม่าม้าก็ต้องหยุดงานอื่น มาเฝ้าหยอดน้ำข้าวต้มอยู่ข้างเตียงไม่ห่าง
แล้วหม่าม้าจะเอาหัวที่ไหนมาคิดเรื่องทำธุรกิจ ถึงจะเคยทำงานออฟฟิศมาก่อนก็เถอะ แต่นั่นก็น้านนานมาแล้วก่อนจะแต่งงานกับปะป๊าเสียอีก
หม่าม้ารู้ว่าเพ้อเจ้อไปหน่อย แต่ตอนปะป๊าไม่สบาย ถ้าหม่าม้ามีความรู้ทางธุรกิจบ้างก็คงจะช่วยให้คำปรึกษา แบ่งเบาความกังวลใจได้บ้าง
ฉันตอบเรียบๆแม้จะอดสะท้อนใจไม่ได้ว่า หากมีลูกคนไหนสักคนเรียนสายธุรกิจมาก็คงจะพอช่วยสืบทอดกิจการของปะป๊าได้บ้าง แม้จะเป็นบริษัทเล็กๆ มีคนทำงานไม่ถึงสิบคนก็ตาม แต่นั่นแหละ ทางใครก็ทางมัน ปะป๊าและฉันเป็นพ่อแม่ที่ทันสมัย ไม่เคยบังคับหรือกำหนดเส้นทางเติบโต ความชอบส่วนตัวของลูกๆ
อีกอย่าง หม่าม้าไม่อยากจะเป็นภาระของพวกเรา ตอนแก่
หม่าม้า กลัวเราจะทอดทิ้งเหรอ
ปออ่อนพูดเสียงเครือๆเหมือนจะร้องไห้ ฉันลูบศีรษะลูกเบาๆ ปออ่อนเป็นลูกคนเล็กที่สนิทและออดอ้อนแม่มากที่สุด เธอเกิดในช่วงที่ฉันลาออกจากงานประจำมาเป็นแม่บ้านอย่างสมบูรณ์จึงมีเวลาเลี้ยงดู ฟูมฟักอย่างเต็มที่
เปล่า แต่หม่าม้ากลัวสมองฝ่อ ถ้าไม่ได้ใช้อะไร
ฉันนึกถึงภาพยนตร์จากช่องเคเบิ้ลทีวีหลายเรื่องที่แสดงชีวิตของคนแก่ซึ่งนั่งเฝ้าจ่มอยู่กับอดีตไปวันๆ ช่างเวิ้งว้างและว่างเปล่ากับวันคืนที่ผ่านเลย แล้วใจก็ทรุด กายก็เสาะ ป่วยเป็นโรคหลงๆลืมๆ พัฒนาไปถึงขั้นรุนแรงจนช่วยตัวเองไม่ได้ท้ายสุด กลายเป็นคนที่ถูกโลกลืมในไม่ช้า
ถ้าเกิดหม่าม้าอายุยืนถึง 90 ปีล่ะ พวกเราไม่ต้องแบ่งเงินเดือนมาให้ใช้ถึงตอนนั้นเลยเหรอ แล้วจะมีเงินเก็บกันพอได้อย่างไร ถ้ายิ่งแต่งงาน มีครอบครัว มีหลานๆอีกโขยง
ฉันพยายามอธิบายให้เห็นถึงความจริงในวัฎฎจักรที่เกิดขึ้นและเป็นไป ตราบเท่าที่พวกเขาแต่ละคนยังพอใจกับการใช้ชีวิตแบบคนในเมืองใหญ่ที่ทุกสิ่งทุกอย่างนับวันแต่จะมีราคาค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น วิถีชีวิตที่ดิ้นรนว่ายเวียนอยู่กับการทำมาหาเลี้ยงชีพไปวันๆ
หม่าม้าไม่อยากจะเป็นฝ่ายเฝ้าขอเงินลูกๆตลอดไป อยากมีชีวิตของหม่าม้าเองบ้าง ......