|
| 1 | 2 | 3 | 4 | 5 |
6 | 7 | 8 | 9 | 10 | 11 | 12 |
13 | 14 | 15 | 16 | 17 | 18 | 19 |
20 | 21 | 22 | 23 | 24 | 25 | 26 |
27 | 28 | 29 | 30 | 31 | |
|
|
|
|
|
|
|
นพ.สุรพงษ์แจง 5 ประเด็นโต้'แก้วสรร'แปรสัมปทานมือถือเอื้อชินฯ
9 พฤษภาคม พ.ศ. 2550 17:08:00 ที่มา //www.bangkokbiznews.com/2007/05/09/WW10_WW10_news.php?newsid=68250
"น.พ.สุรพงษ์" ป้อง"ทักษิณ" แจง 5 ประเด็นแปรสัญญาสัมปทานมือถือเอื้อชินคอร์ป ตอบโต้"แก้วสรร" บิดเบือน ระบุสมัยเป็นรมว.ไอซีที ไม่เคยถูกก้าวก่าย ยืนยันรัฐไม่เสียหาย ยังเก็บเงินเข้าคลังได้
กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ : น.พ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี อดีตรัฐมนตรีว่ากระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร แถลงถึงการทำหน้าที่ของคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ(คตส.) กรณีการระบุถึงตนสมัยดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีเอื้อต่อบริษัทชินคอร์ปฯ ของครอบครัวชินวัตร กรณีการแปรสัญญาสัมปทานเป็นภาษีสรรพสามิตว่า ตั้งความหวังไว้ว่าคตส.โดยเฉพาะนายแก้วสรร อติโพธิ ที่เป็นประธานคณะทำงานสืบหาข้อเท็จจริง จะได้มีการรวบรวมข้อมูลอย่างรอบด้าน เพื่อที่จะได้ให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย และผลประโยชน์ของประชาชนอย่างมากที่สุด
แต่จากการแถลงข่าวเมื่อวันที่ 8 พ.ค.เห็นว่า ข้อมูลที่นายแก้วสรรได้แถลงนั้นเป็นเพียงข้อมูลด้านเดียวจริงๆ ไม่มีโอกาสที่จะได้รับรู้ข้อมูลอย่างครบถ้วนรอบด้านโดยที่ตนเองไม่มีโอกาสที่จะเข้าไปให้ข้อมูลกับทางคตส.
“กรณีนี้เป็นการดำเนินการที่มติครม.เมื่อต้นปี2546 ในฐานะที่เป็นรมว.ไอซีทีในตอนนั้น ตั้งความหวังว่าจะให้กระทรวงพัฒนางานด้านไอซีที และเมื่อเข้ารับตำแหน่งนี้ผมเองได้มีโอกาสที่พูดคุยกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี โดยนโยบายของท่านที่ให้กับผมไว้คือ ให้รัฐมนตรีไปทำหน้าที่ให้ดีที่สุดพัฒนากิจการทางด้านไอซีทีให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อประเทศชาติและประชาชน ท่านไม่ต้องคำนึงกิจการของครอบครัวของนายกฯ กิจการของครอบครัวพร้อมที่จะแข่งขันในกติกาเป็นธรรมเท่าเทียม เพราะฉะนั้นให้ผมดำเนินการไปได้เลย โดยไม่ต้องคำนึงอะไรที่เป็นเรื่องของกิจการของครอบครัวนายกฯ” น.พ.สุรพงษ์ กล่าว
น.พ.สุรพงษ์ กล่าวอีกว่าตลอดเวลาที่ทำหน้าที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวง พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่เคยมาก้าวก่าย หรือสั่งการในสิ่งที่ทำให้เกิดความไม่ถูกต้อง หรือทำให้เกิดการสูญเสียผลประโยชน์ต่อประเทศชาติแม้แต่น้อย ในส่วนของประเด็นเกี่ยวกับภาษีสรรพสามิตในกิจการโทรคมนาคมนั้น ขอชี้แจงใน 5 ประเด็นดังนี้
1.กรณีที่นายแก้วสรร ระบุว่าเมื่อ รมว.ไอซีทีรับตำแหน่งในวันแรก ก็พูดถึงเรื่องเกี่ยวกับการนำภาษีสรรพสามิตมาใช้ในกิจการโทรคมนาคมนั้น ขอชี้แจงว่าว่า ถ้านายแก้วสรรได้อ่านข้อมูลที่ผมให้สัมภาษณ์ในสื่อมวลชนช่วงแรกที่มารับหน้าที่นี้ จะไม่มีการพูดถึงเรื่องภาษีสรรพสามิตแม้แต่น้อย
“ผมพูดตอนนั้นว่าต้องมีการแปรสัมปทาน แปรสัญญา แต่การแปรสัญญาในขณะนั้นยังไม่มีแนวคิดใดๆว่าจะมีข้อสรุป ที่จะนำไปสู่การแปรสัญญา ที่ทำให้เกิดประโยชน์สูงสุด ดังนั้นการอ้างว่าผมพูดเรื่องภาษีสรรพสามิตตั้งแต่วันแรกที่รับตำแหน่ง เป็นการกล่าวอ้างความผิดโดยสิ้นเชิง” น.พ.สุรพงษ์ กล่าว
2. เรื่องเกี่ยวกับกิจการโทรคมนาคมนั้นเป็นเรื่องที่มีมายาวนาน รัฐบาลหลายชุดได้มอบหมายให้องค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทยและการสื่อสารแห่งประเทศไทย เป็นตัวแทนของรัฐในการให้บริการโทรคมนาคมแก่ประชาชน แต่เมื่อประเทศชาติมีการพัฒนามากขึ้น การให้บริการของ 2 องค์กรนี ้ไม่สามารถตอบรับกับความต้องการของประชาชนได้
ดังนั้นถ้าหากกิจการโทรคมนาคมถูกผูกขาดโดยรัฐวิสาหกิจ ไม่สามรถที่จะเอื้ออำนวยประโยชน์ให้กับประชาชนได้ เพราะทั้ง 2 องค์กรทำหน้าที่ด้านการกำกับดูแล และเป็นผู้ที่ให้บริการไปพร้อมๆกัน
“รัฐธรรมนนูญ 2540 มีบทบัญญัติว่าให้มีการองค์กรจัดสรรคลื่นความถี่ เพื่อทำหน้าที่กำกับดูแลกิจการโทรคมนาคม จนเป็นที่มาของ กทช. จึงทำให้องค์การโทรศัพท์และการสื่อสารแห่งประเทศไทย แยกบทบาทการกำกับดูแลไปให้กทช.ซึ่งกำลังมีการสรรหากันในขณะนั้น และตัวเองมีหน้าให้บริการเพียงอย่างเดียว ในขณะเดียวกันก็มีแนวคิดการแปรรูปรัฐวิสาหกิจเป็นบริษัทมหาชน ผมบอกได้ว่าการแปรรูปรัฐวิสาหกิจอย่างองค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทยเกิดขึ้นก่อนที่จะมีกระทรวงไอซีที ส่วนการแปรรูปการสื่อสารแห่งประเทศไทยเกิดขึ้นตอนที่มีกระทรวงไอซีทีแล้ว และเป็นความต้องการของพนักงานรัฐวิสาหกิจนั้นๆ" น.พ.สุรพงษ์ กล่าว และว่าได้ถูกถามด้วยซ้ำไปว่าทำไปแปรรูปช้าจัง แสดงให้เห็นพนักงานเองประสงค์ต้องการที่จะให้มีการแปรรูปเป็นบริษัทมหาชนในช่วงปี 2545-2546 ทั้งนี้เป็นเพราะการแปรรูปจะทำให้พนักงานรัฐวิสาหกิจได้รับผลประโยน์มากมาย มีโบนัส และหุ้น
น.พ.สุรพงษ์ กล่าวว่า ทั้งหมดจึงเป็นเหตุให้สัญญาสัมปทานซึ่งมีส่วนแบ่งรายได้ ที่เมื่อก่อนรัฐให้กับองค์โทรศัพท์แห่งประเทศไทย และการสื่อสารแห่งประเทศไทย ในฐานะที่เป็นผู้กำกับดูแลและกำลังมีแนวโน้มจะเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ จะต้องถูกแบ่งส่วนที่เป็นรายได้ของรัฐกลับมาสู่กระทรวงการคลัง ไม่ใช่ติดตัวทั้งสององค์กรเข้าไปสู่ตลาดหลักทรัพย์ในฐานะบริษัทมหาชน จึงเป็นแนวคิดที่จะต้องมีการแบ่งส่วนรายได้ออกเป็นสองส่วน
“ส่วนหนึ่งยังคงเป็นขององค์โทรศัพท์แห่งประเทศไทย และการสื่อสารแห่งประเทศไทยต่อไป แต่อีกส่วนจะต้องกลับมาเป็นของกระทรวงการคลัง ต่อมาจึงได้ข้อสรุปเป็นรูปแบบของภาษีสรรพสามิต ดังนั้นช่วงที่มีการประกาศใช้ภาษีสรรพสามิตกระทรวงการคลังได้รับส่วนแบ่งรายได้ ในรูปแบบภาษีสรรพสามิตเดือนละ 1 พันล้านบาททุกเดือน แต่วันนี้เมื่อมีการยกเลิกไปรายได้ที่เข้ากระทรวงการคลังก็หายไปโดยสิ้นเชิง และกลับไปสู่รัฐวิสาหกิจที่ไม่ได้ทำหน้าที่กำกับดูแลต่อไปแล้วแต่ทำหน้าที่ให้บริการเพียงอย่างเดียว แต่มีรายได้ที่เป็นรายได้ของรัฐยังคงอยู่ในรัฐวิสาหกิจ แล้วทำให้เกิดความเข้าใจผิดว่ารัฐวิสาหกิจนั้นมีกำไร ซึ่งที่จริงแล้วกำไรนั้นควรจะมาจากการประกอบธุรกิจของรัฐวิสาหกิจไม่ใช่เกิดมาจากการได้ส่วนแบ่งรายได้ ในฐานะที่เป็นตัวแทนของรัฐในการกำกับดูแลอีก จึงเป็นแนวคิดที่นำมาสู่ภาษีสรรพสามิต“ น.พ.สุรพงษ์ กล่าว
3.ในเรื่องกิจการโทรคมนาคมยังมีความเหลื่อมล้ำระหว่างเมืองกับชนบท แนวคิดในตอนนั้นที่จะนำแนวคิดภาษีสรรพสามิตมา เพื่อสนับสนุนกิจการโทรคมนาคในชนบท โดยเฉพาะเรื่องอินเตอร์เน็ตโรงเรียน วันนี้ถามว่าหากไม่มีภาษีสรรพสามิตกิจการโทรคมนาคม และหวังเพียงการปันผลกำไรจากรัฐวิสาหกิจ รัฐบาลจะมีเงินพอหรือไม่ที่จะสร้างเครือข่ายโทรคมนาคมไปให้ถึงในชนบท
4. มีการกล่าวกันว่าการออกภาษีสรรพสามิตเพื่อกีดกันรายใหม่ บอกได้ว่าตลอดช่วงเวลาที่ทำหน้าที่รมว.ไอซีที ได้มีโอกาสพบผู้ประกอบการต่างประเทศ และคนไทยที่ประสงค์ประกอบกิจการโทรคมนาคมมากมาย ไม่มีใครพูดเลยว่าการที่มีภาษีสรรพสามิต จะทำให้เขาลังเลที่จะมาประกอบกิจการโทรคมนาคมในไทย ทุกคนบอกว่าเมื่อไหรที่กทช.เปิดโอกาสให้สามารถขอใบอนุญาติได้เขาจะดำเนินการทันที และทำให้มีการบริการที่มีคุณภาพมากขึ้น และราคาถูกลง ซึ่งวันนี้ก็ได้พิสูจน์แล้วว่ารายใหม่ที่ให้บริการโทรศัพท์ระหว่างประเทศเริ่มห็นแล้วว่าค่าบริการลดลงอย่างมากมาย ฉะนั้นการที่ผู้ประกอบการรายใหม่จะถูกกีดกันโดยภาษีสรรพสามิต จึงไม่ใช่เรื่องจริงโดยสิ้นเชิง ซึ่งเพียงเรื่องภาษีสรรพสามิตเรื่องเดียวไม่ใช่ประเด็นที่มากีดกันรายใหม่ การกีดกันรายใหม่ที่อาศัยว่าไม่ยอมให้ได้รับใบอนุญาตหรือการไม่ให้มีการขยายโครงข่ายต่างหากคือการกีดกันที่แท้จริง
5. ที่มีการพูดถึงได้ประโยชน์จาการแปรสัมปทาน 5 หมื่นล้านที่ทำให้ประเทศเสียหาย โดยดูจากมูลค่าของบริษัทในเครือชินวัตรในปี 2544 มาเทียบกับ 2549 เห็นว่าเป็นการพูดเพียงด้านเดียว ซึ่งถ้าดูดัชนีตลาดหลักทรัพย์ในปี 2544 มีดัชนีเพียงแค่ 200 กว่า ดัชนีในปี 2548-2549 มีตั้งแต่ 600-700 ดังนั้นการเติบโตของตลาดหลักทรัพย์ต่างหาก และความมั่นใจของนักลงทุน เป็นปัจจัยที่ทำให้มูลค่าของบริษทในตลาดหลักทรัพย์เพิ่มมากขึ้น ไม่ใช่เป็นเพราะการแสวงหาประโยชน์โดยมิชอบจากกิจการโทรมนาคมแต่อย่างใด และถ้าดูแล้วบริษัทกิจการโทรคมนาคมที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ล้วนแล้วแต่มีมูลค่าเพิ่มทั้งสิ้น มากบ้างน้อยบ้างแล้วแต่ผลประกอบการ หลายบริษัทในตอนนั้นมีผลประกอบการที่เติบโตกว่าบริษัทชินคอร์ปเองด้วยซ้ำไป และถ้าประมาณการณ์โดยคร่าวๆจะพบว่าบริษัทชินคอร์ปก็เติบโตเท่าๆกับค่าเฉลี่ยของการเติบโตในตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งการเติบโตของมูลค่าในตลาดหลักทรัพย์ จึงไม่ใช่เป็นเรื่องของภาษีสรรพสามิต
“ที่ผ่านมาคตส.รวบรวมข้อมูลเพียงด้านเดียว จึงขอให้คตส.ให้ความเป็นธรรม และรวบรวมข้อมูลให้รอบด้านขนาดนี้ และการที่ผมได้ทราบจากข่าวว่ามีการตั้งข้อกล่าวหาเฉพาะพ.ต.ท.ทักษิณ ว่าเป็นผู้แสวงหาประโยชน์ โดยมิชอบจากการออกมติ ครม.ในเรื่อง และอยากเรียกร้อง คตส.ว่าผมเองในฐานะที่เป็นผู้รับผิดชอบกิจการด้านไอซีทีในขณะนั้น ไม่สมควรถูกละเว้นขอให้ตั้งข้อกล่าวหาผมด้วยว่าผมเองทำโดยมิชอบ เพื่อที่ผมจะได้มีโอกาสไปให้ข้อมูลกับคตส.เพราะผมเชื่อมั่นในความบริสุทธิ์ใจ และพร้อมที่จะให้ข้อมูลกับคตส.อีกด้านหนึ่ง เนื่องจากที่ผ่านมาไม่ว่าจะเป็นคดีโครงการออกสลากพิเศษเลขท้าย2ตัว3ตัว โครงการจัดซื้อพันธุ์กล้ายาง ผมถูกคตส.ตั้งข้อกล่าวหาในฐานะที่เป็นรัฐมนตรีร่วมในการประชุมออกมติครม.มาแล้ว จึงไม่เข้าใจว่าในกรณีนี้ผมถึงไม่ถูกตั้งข้อกล่าวหา” น.พ.สุรพงษ์ กล่าว
เมื่อถามว่า ทำไมคณะรัฐมนตรรีตอนนั้นถึงไม่ทำตามคำวินิจฉัยของคณะกรรมการกฤษฎีกา ที่ให้ภาษีสรรพสามิตเป็นภาระของผู้ประกอบการไม่ใช่รัฐ น.พ.สุรพงษ์ กล่าวว่า คำวิจฉัยกฤษฎีกาเรื่องนี้ไม่ได้เกิดขึ้นจากการที่มีมติครม.ไป ก่อนที่จะมีคำวินิจฉัยของกฤษฎีกา ซึ่งที่มาของเรื่องนี้คือทางบริษัททศท.ได้ยื่นเรื่องนี้ เนื่องจากมีกรณีที่บริษัทTrue ในขณะนั้นได้ตั้งคำถามว่าในการเรียกเก็บค่าบริการนั้น เป็นการเรียกเก็บในนามของใคร ซึ่งTrue ประสงค์ที่จะเก็บในนามบริษัทTrue เองแล้วค่อยมาแบ่งรายได้ ซึ่งไม่ได้เป็นการพูดถึงเรื่องมติครม.ถูกต้องหรือไม่ถูกต้อง
ดังนั้น ถ้าไปดูกฤษฎีกาในเรื่องนี้จะระบุชัดเจนว่าเป็นกรณีที่ทศท.หารือไปยังกฤษฎีกา และการประชุมครม.ในตอนนั้นก็มีเจ้าหน้าที่ของกฤษฎีการ่วมประชุมด้วย แต่ก็ไม่ได้มีการทักท้วง
เมื่อถามว่า การออกมติครม.ลักษณะนี้เป็นการกระทบต่อสัญญาสัมปทานหรือไม่ น.พ.สุรพงษ์ กล่าวว่า ถึงวันนี้ยังไม่มีการแปรสัญญาสัมปทานใดๆทั้งสิ้น มีความพยายามหลายรูปแบบที่จะเสนอการแปรสัญญา แต่ไม่เป็นที่ยอมรับซึ่งกันและกันระหว่างเอกชนกับรัฐ และเรื่องภาษีสรรพสามิตโทรคมนาคมเป็นการแยกส่วนแบ่งรายได้ที่พึงมีจากสัญญาสัมปทานออกเป็นสองส่วน โดยส่วนหนึ่งกลับมาที่กระทรวงการคลังอีกส่วนเป็นรายรับของทศท.และการสื่อสารแห่งประเทศไทย
ดังนั้น เอกชนจึงจ่ายเท่าเดิมจากที่เมื่อก่อนจะจ่ายเข้ากระเป๋าขวาข้างเดียว แต่จ่ายเป็นกระเป๋าซ้ายข้างหนึ่ง และข้างขวาอีกส่วนหนึ่ง และรัฐยังได้ผลประโยชน์ครบถ้วนเหมือนเดิมตามสัญญา ดังนั้นผลประกอบการแต่ละบริษัทเช่น เอไอเอส True หรือดีแทคก็ดีขึ้นหรือไม่ขึ้นอยู่กับผลประกอบการ และวิธีการบริหารของแต่ละบริษัทเอง สัญญาสัมปทานถ้าจะมีการแก้ไขจะต้องเข้าสู่การพิจารณาของครม. ดังนั้นจึงเป็นการชี้ให้เห็นว่าครม.คือผู้ที่มีอำนาจจริงๆ ซึ่งหากอำนาจบริหารเป็นอำนาจ ที่ก่อให้เกิดประโยชน์กับประชาชน และออกเป็นมติ ครม.ก็สามารถที่จะทำได้แต่ครม.ต้องรับผิดชอบกับมตินั้น
เมื่อถามถึงกรณีที่ คตส.อ้างว่านโยบายดังกล่าวเป็นการดำเนินการตามงานสารนิพนธ์ของนายบุญลคลี ปลั่งศิร ิประธานกรรมการบริหารเครือชินคอร์ปที่ศึกษาในสมัยที่เป็นนักศึกษาวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร น.พ.สุรพงษ์ กล่าวว่า กรณีนี้ก็มีการพูดถึงในระหว่างการพิจารณาเรื่องนี้เหมือนกัน แต่บอกได้เลยว่างานวิจัยนั้นไม่ได้เหมือนกับรูปแบบการดำเนินการของรัฐบาล 100% แต่อาจมีบางเรื่องที่คล้ายกัน
เมื่อถามว่า หลังการรัฐประการได้มีการติดต่อกับพ.ต.ท.ทักษิณ หรือไม่ น.พ.สุรพงษ์ กล่าวว่า ยังไม่มีโอกาสได้พบท่านเลย และการแถลงข่าวของผมไม่ได้มีใครขอให้ผมแถลง
====================================== แมนมากเลยค่ะ ขอยกให้คุณหมอเป็น Man of the Year เลย
Create Date : 10 พฤษภาคม 2550 |
Last Update : 10 พฤษภาคม 2550 19:40:28 น. |
|
0 comments
|
Counter : 624 Pageviews. |
|
|
|
|
|
|
|
Location :
กรุงเทพฯ Thailand
[ดู Profile ทั้งหมด]
|
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember ผู้ติดตามบล็อก : 3 คน [?]
|
วันธรรมดาเป็นอาจารย์ที่น่ารัก วันหยุดพักเป็นสาวโสดโหดติงต๊อง เวลาว่างชอบอ่านหนังสือกับดูมะกันฟุตบอล ไม่ก็นอนเกาพุงป๊ะป๋าหม่าม๊าดูทีวี...
|
|
|
|
|
|
|