{บ้านพักฝากอากาศ ณ เซี่ยงไฮ้}
 
เมษายน 2550
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
2930 
8 เมษายน 2550

0003: อยากเขียน แต่ไม่รู้จะเขียนอะไร ทำไงดี?

ถาม:
พี่เคยเป็นไหม อยากเขียน แต่ไม่รู้จะเขียนอะไร แล้วพี่ทำไงล่ะ?

(คำถามจากน้องนักอยากเขียนคนหนึ่ง ที่เจอกันในเอ็มเอสเอ็น)
----------------------------------------------------------------------------

ตอบ:
ก่อนอื่น คงต้องบอกก่อนเลยว่า ยังไม่ได้คิดว่าตัวเองเป็น “นักเขียน” และยิ่งไม่กล้าแม้แต่จะคิดที่จะมาพูดถึงเรื่อง “การเขียนหนังสือ” ในแบบของมืออาชีพ เพราะลำพังตัวเองก็ยังน่วมทุกครั้งที่ต้องลงสนามฟาดแข้งกับตัวหนังสือบนแป้นคีย์บอร์ด นับว่ายังอ่อนด้อยนักสำหรับการเขียน แต่อยากมาพูดคุยกับเพื่อนรุ่นน้องในฐานะคนที่ชอบเขียนหนังสือเหมือนกัน

เมื่อชอบก็เขียน เมื่อเขียนแล้วมีความสุข ก็เลยอยากเขียนอีก อีก อีก และอีก

ตอนแรกที่ฟังคำถาม ผมว่ามันก็แปลกๆ อยู่ แต่พอคิดดูดีๆ มันก็ไม่แปลกนะ
คงเหมือนเวลาเราอยากกินข้าว แต่ไม่รู้จะกินอะไร เหมือนเวลาอยากมีแฟน แต่ไม่รู้จะมียังไง
จำได้ว่าผมตอบน้องไปว่า “เคยสิ อยากเขียน แต่ไม่รู้จะเขียนอะไรน่ะ”

บางที เราก็อยากเขียนเหมือนอยากออกวิ่ง ทั้งที่ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะวิ่งไปไหน วิ่งแล้วจะเหนื่อยไหม วิ่งไปทำไม อารมณ์นั้นคงไม่ได้มานั่งคิดหรอกว่า การวิ่งช่วยทำให้ปอดแข็งแรง หัวใจสูบฉีด กล้ามเนื้อน่องเป็นก้อนกำยำ – มันก็แค่อยากวิ่ง

เวลาที่รู้สึกแบบนี้ วิธีแก้ก็คือ ออกวิ่ง!
โดยไม่ต้องสนใจว่ามันจะพาเราไปหยุดลงที่ตรงไหน มันจะเป็นการวิ่งที่ดีมีคุณภาพหรือไม่ก็ไม่สนใจ ในเมื่ออยากวิ่งก็วิ่ง! และหลายครั้งที่พอได้วิ่งให้เหงื่อหยดติ๋งๆ แล้ว เราก็จะรู้สึกปลอดโปร่งโล่งใจยังไงก็ไม่รู้ – เคยเป็นเหมือนกันไหม?

การเขียนหนังสือบางทีก็เหมือนการวิ่ง บางวันก็อยากนั่งลงเขียนอะไรสักอย่าง ทั้งที่ยังไม่รู้เลยว่าจะเขียนอะไร จุดสตาร์ทอยู่ที่ไหน? จะเริ่มด้วยตัวอะไร ก.ไก่ ข.ไข่ หรือ ฮ.นกฮูก ดี? อย่าไปใส่ใจ เขียน (แม่ง) ไปเลย!

อาจเริ่มต้นด้วยประโยคว่า “กูไม่รู้จะเขียนอะไรจริงๆ ว่ะ แต่กูอยากเขียน” จริงใจกับตัวเองหน่อย จากนั้นก็ปล่อยไหล ตามอารมณ์และความรู้สึก เบื่อก็เบื่อ เซ็งก็เซ็ง สับสนก็สับสน ปล่อยมันออกมา

เมื่อตัวหนังสือเริ่มออกวิ่งจากสมองสู่สองมือ มันก็จะเริ่มเป็นรูปเป็นร่างมากขึ้น จากสะเปะสะปะก็เริ่มจับประเด็นได้ จากไร้ลู่ทางก็เริ่มมองเห็นเป็น “เส้นทาง” ขึ้นมา

อย่าลืมว่า “ไม่รู้จะเขียนอะไร” ก็เป็นประเด็นหนึ่งในการเขียนหนังสือได้เหมือนกัน
และบทความ “ไม่รู้จะเขียนอะไร” ที่ดี อาจเป็นบทความที่ผู้เขียนเขียนตอนที่รู้สึกอย่างนั้นจริงๆ ก็เป็นได้

คราวหน้าถ้ามีอารมณ์ “อยากเขียน แต่ไม่รู้จะเขียนอะไร” ก็ลองออกวิ่งโดยไม่ต้องสนใจเส้นทางดูก็แล้วกัน

ข้อคิดหนึ่งที่ผมคิดอยู่เสมอกับตัวเองซึ่งช่วยให้การเขียนหนังสือเป็นเรื่องง่ายขึ้น ไม่เกร็งนัก ก็คือ การเขียนหนังสือไม่ใช่เรื่องยิ่งใหญ่ อะไรก็หยิบมาเขียนได้ อยากเขียนอะไรก็ได้ ทุกคนเขียนหนังสือได้ หากยังขยับมือไม้ได้ ก็เขียนได้แล้ว

เขียนได้ กับ เขียนดี เป็นคนละเรื่องกัน
และก็ไม่เห็นจำเป็นที่จะต้อง “เขียนดี” ทุกครั้งที่นั่งลงเขียน
ไม่จำเป็นว่าทุกข้อเขียนต้องนำไปตีพิมพ์ รวมเล่ม (หรือรวมเป็นหนังสือทำมือ)
เขียนเก็บไว้อ่านเองบ้างก็ได้

ก็เหมือนการวิ่งนั่นแหละ เราไม่จำเป็นต้องวิ่งให้ได้ต่ำกว่าสิบวินาทีทุกครั้งในการวิ่งร้อยเมตร แต่เราออกวิ่งเรื่อยเปื่อยบ้าง มันก็วิ่งเหมือนกัน นอกจากจะช่วยผ่อนคลายความตึงเครียดเพราะไม่ต้องพิสูจน์อะไรแล้วยังช่วยให้กล้ามเนื้อแข็งแรงอีกต่างหาก

วิ่งเรื่อยเปื่อย เสริมสร้างกล้ามขา
เขียนเรื่อยเปื่อย เสริมสร้างกล้ามสมอง

และการออกวิ่งด้วยความรู้สึกอิสระ กับการเริ่มเขียนงานด้วยความอิสระนั้น นับเป็นการเริ่มต้นที่ชวนให้กระชุ่มกระชวยดีแท้

คนเราก็ต้องมีบ้างเป็นบางเวลาที่ได้วิ่งเล่นในสนามที่ไร้กติกา และไม่มีคนดู
อยากแก้ผ้าวิ่งก็เชิญตามสบาย

แต่ในคำถามนี้ มันก็มีอีกคำถามหนึ่งซ่อนอยู่ ที่ไม่ได้คล้ายกับการไม่รู้ว่าอยากกินอะไร หรืออยากวิ่งไปไหน แต่กลับเป็นความอยาก “เป็น” สิ่งใดสิ่งหนึ่ง แต่ไม่รู้จะเริ่มต้น “ทำ” อย่างไร ซึ่งคงเป็นปัญหาใหญ่ของผู้ที่ “อยากเป็น” โน่นนี่มากมาย คำถามทำนองนี้มักเกิดขึ้นในวัยหนุ่มสาว ช่วงเวลาของการเลือกทางเดินชีวิต

อยากเป็นนักเขียน อยากเป็นผู้กำกับ อยากเป็นคนเขียนบท ตัวอย่างที่ยกมาล้วนเป็นอาชีพ “นักเล่าเรื่อง” และการที่จะเป็น “นักเล่าเรื่อง” ที่มีคนอยากฟังนั้น อย่างน้อยก็ต้องมีสองคุณสมบัติ อย่างใดอย่างหนึ่งก็ได้ แต่ถ้าได้ทั้งสองอย่างคงจะดีมาก

หนึ่ง คือ มี “เรื่อง” ที่คนอยากฟัง
สอง คือ มี “วิธีเล่า” ที่คนอยากฟัง

หากมีใครสักคนบอกว่า เป็นเมียบินลาเดนที่แอบไปกิ๊กกับท่านบุชตอนกลางคืน และรู้ความลับของทั้งสองคนเป็นอย่างดี เงี่ยหูมาสิ ฉันจะเล่าให้ฟัง รับรองว่า ทำหนังก็จะเป็นหนังขายดี เขียนหนังสือก็ขึ้นหิ้งอันดับหนึ่งแน่นอน ทั้งที่เธอไม่จำเป็นต้องเล่าเรื่องเก่งแต่อย่างใด

อีกแบบก็คือ คนที่สามารถเล่าเรื่องแมลงวันตัวหนึ่งบินไปตอมก้อนขี้ได้อย่างสนุกสนานชวนติดตามตาไม่กะพริบ ไอ้คนนี้ก็เป็นนักเล่าเรื่องที่ดีได้

ทีนี้ หากเราอยากเป็นนักเล่าเรื่อง หรือ อยากลงมือเขียนอะไรสักอย่าง ก็ต้องถามตัวเองก่อนว่า เราจะเล่าเรื่องอะไร เรื่องที่จะเล่ามันน่าสนใจไหม คนอื่นอยากรู้หรือเปล่า ใครที่เขาจะหันมาฟังเรา เมื่อเราอ้าปากเริ่มต้นที่จะเล่า ฯลฯ

ตั้งคำถามเล่นๆ กับตัวเอง แล้วหาคำตอบด้วยตัวเอง

เพราะเมื่ออยากเขียนให้คนอื่นอ่าน มันก็จะไม่ใช่การออกวิ่งสะเปะสะปะอีกต่อไป แต่มันต้องมีลู่ทางให้เรารู้ว่าจะวิ่งไปทางไหน และคนที่เขาอยากวิ่งไปพร้อมๆ กับเรา เขาจะได้ไม่งง ไม่หลงทาง

สมมุติอยากเล่าเรื่อง “ชีวิตในมหาวิทยาลัยของฉัน”
ลองคิดเล่นๆ ว่า ถ้ามีเพื่อนปากหมามันหันมาบอกกับเราว่า
“โอย ใครจะไปอ่านชีวิตมึ้ง มันมีอะไรให้อ่านวะ?”
เราจะตอบมันกลับไปว่ายังไง?
“เฮ้ย แต่กูควงดาวมาครบทุกคณะแล้วนะเว้ย ทั้งที่หน้าตากูก็เหมือนปลาหมออย่างนี้ มึงอยากรู้ไหมล่ะ ว่ากูทำได้ไง” ถ้า “พล็อต” เป็นแบบนี้ กู เอ้ย! ผมก็ยังอยากรู้เลยครับ

แต่บางที พล็อตของเราก็ไม่ได้น่าสนใจขนาดนั้น และไม่ได้พิสดารอะไรมาก มันก็เป็นแค่เรื่องปกติสามัญ เป็นเรื่องในมหาวิทยาลัยเหมือนที่พี่ๆ เคยผ่านไป เหมือนที่เพื่อนๆ กำลังประสบอยู่ แต่เราอาจมีมุมมองเฉพาะตัวบางอย่างที่มองโลกต่างจากชาวบ้านไปบ้าง อันนี้ก็นำเสนอได้ และเราอาจต้องลองมอง และลองเขียนออกมา จึงจะอธิบายได้ว่า เรื่องของเรามันน่าสนใจยังไง เพราะแบบหลังนี้ย่อมไม่ใช่คำตอบอันโคตรน่าสนใจที่จะตอบปากเปล่าได้เหมือนในแบบแรก

แต่ก่อนเขียน เราก็จะรู้ตัวแล้วว่า “เนื้อ” ของเรื่องธรรมดานี้น่าสนใจ แล้วเราจึงใช้ตัวหนังสือเป็นเครื่องมือถางทางนำไปสู่ประเด็นที่น่าสนใจนั้นได้ คือ เรื่องธรรมดา แต่ประเด็น (ที่มองผ่านลูกกะตาของไอ้คนนี้) น่าสนใจมาก อันนี้ก็น่าเขียน คือ มันอยู่ร่วมกันในสถานที่และสถานการณ์เดียวกันกับคนอื่นๆ แต่ทะลึ่งมองอีกแบบ

หรืออีกอย่างคือ ประเด็นไม่ใหม่ เรื่องไม่น่าสนใจ แต่อ่านแล้ว (แม่ง) โคตร “อิน” เลย
เรื่องแบบนี้จะเป็นเรื่องที่คนสามารถสัมผัสได้ มีส่วนร่วม เหมือนเคยเจอเหตุการณ์ทำนองนี้มา เฮ้ย! เขียนโคตรตรงใจกูเลยว่ะ คิดเหมือนกูเลยว่ะ มึงช่วยคายความคิดในสมองของกูมากองในหน้ากระดาษ ขอบใจมากๆ – ความรู้สึกแบบนี้ก็เป็นความมหัศจรรย์อีกประการของ “เรื่องเล่า”

เรื่องที่มนุษย์สามารถ “แชร์” กันได้

อีกวิธีหนึ่งที่ดูมีภูมิ คือ เน้น “เนื้อหา”
เล่า “เนื้อหา” ที่น่าสนใจมากๆ (เหมือนที่ได้ยกตัวอย่างไปแล้ว) หรือ “ข้อมูล” ใหม่ที่ยังไม่มีใครรู้ หรือมีคนรู้ในวงแคบ แต่เราดันเผอิญไปอ่านเจอมา อย่างสมมุติดันไปรู้มาว่า เชื้อเอดส์ตัวใหม่ติดต่อจากการกินไก่! (หมายถึงไก่จริงๆ ที่เป็นสัตว์ปีก) โอ้โห ถ้าเขียนขึ้นมารับรองว่าคนอ่านตรึม แต่การเขียนที่เน้น “ข้อมูล” นั้นต้องตรวจสอบข้อมูลให้ถูกต้องเสียก่อน ต้องทำงานด้วยความรอบคอบ มิให้หน้าแตกได้

วิธีสุดท้ายได้กล่าวไปแล้วในหัวข้อหลักคือ เล่าเรื่องปกติ ด้วยวิธีพิสดาร วิธีที่น่าสนใจสุดๆ ขำสุดๆ เศร้าสุดๆ วางไม่ลง บ้าที่ซู้ด อะไรทำนองนั้น วิธีนี้ผมก็ชอบอ่าน สนุกไปอีกแบบ

คงมีอีกหลายวิธีและหลายคำตอบที่จะงอกออกมา หากเราตั้งคำถามกับตัวเองว่า “เรื่อง” อะไร แบบไหน ที่คนสนใจอยากฟัง แล้วเราจึงออกตามล่าหา “เรื่องเล่า” นั้นใส่ตัว

หากอยากหาเรื่องก็ต้องออกไปใช้ชีวิตให้มาก อยากหามุมมองก็ต้องศึกษามุมมองของคนอื่น อยากหาวิธีก็ต้องหัดสังเกตวิธีการของพี่ๆ ลุงๆ อาๆ น้าๆ ทั้งหลาย (สังเกตข้ามแขนงดูบ้างก็ได้ อาทิ ใช้วิธีของจิตรกรในการเขียนหนังสือ) อยากหาข้อมูลก็ต้องเสพสื่อคุณภาพมากๆ - ผมเชื่อแบบนั้น

ซึ่งหากทำทั้งหมดนี้ (หรือมากกว่านี้) ก็น่าจะทำให้อาการ “ไม่รู้จะเขียนอะไร” ทุเลาลงไปได้บ้าง
และอาจงอกเงยกลายเป็น “อยากเขียน มีเรื่องให้เขียนเยอะแยะ แต่ไม่มีเวลามานั่งเขียน” ไปแทน

แต่ทั้งหมดของการ “อยากเขียน” ที่สอดคล้องกับลมหายใจในชีวิต ไม่น่าจะทำให้รู้สึกกังวลใจอะไร น่าจะเป็นอาการ “อยากเขียน” ที่นำไปสู่ความสุข และความสนุกที่ได้ทำ

ไม่ได้ “อยากเขียน” เพราะ “อยากเป็นนักเขียน”
แต่ “อยากเขียน” เพราะมีเรื่องที่อยากเล่าให้คนอื่นฟัง
“อยากเขียน” เพราะ “อยากเขียน”

แล้วทุกครั้งที่ได้นั่งลงเขียนหนังสือก็จะเหมือนได้ออกวิ่ง เหงื่อไหล อะดรีนาลีนหลั่ง
ไม่สนเส้นชัย ไม่สนชัยชนะ
แค่ได้วิ่งก็มีความสุขแล้ว


Create Date : 08 เมษายน 2550
Last Update : 8 เมษายน 2550 15:20:16 น. 34 comments
Counter : 6019 Pageviews.  

 
ทุกอย่างเริ่มต้นได้ หากคิดและลงมือทำ =]


โดย: สิ IP: 58.8.88.85 วันที่: 8 เมษายน 2550 เวลา:15:37:19 น.  

 
สิเป็นคนนึงแฮะที่อยากเขียนไดอารี่(เป็นเล่มๆ)

แต่แทบทุกครั้งก็ไม่สำเร็จซะที

รู้ตัวอีกทีก็เขียนไม่จบซะงั้นไป

สิว่า ความอยากเป็นแรงผลักดัน ให้เราเริ่มที่จะทำอะไรหลายๆอย่าง


โดย: สิ IP: 58.8.88.85 วันที่: 8 เมษายน 2550 เวลา:15:42:20 น.  

 
นั่นสิเนอะ

เหอะๆๆ แค่ได้วิ่งมันก็มีความสุขจริงๆนั่นแหละ



โดย: tikz (sisira ) วันที่: 8 เมษายน 2550 เวลา:15:43:07 น.  

 
เคยอ่านหนังสือซีรี่ส์ฟาสต์ฟูดธุรกิจของหนุ่มเมืองจันท์
จำไม่ได้แล้วว่าเล่มไหน
พูดว่าหจุ่มเมืองจันท์เคยคุยกับพี่จิก ประภาส ขลศรานนท์
ว่ามีน้องๆมาถามพี่จิกว่า อยากจะเขียนหนังสือ
มีคำแนะนำอะไรบ้าง
พี่จิกก็จะถามน้องเค้ากลับไปว่า
อ่านหนังสือเล่มล่าสุดเรื่องอะไร และอ่านมานานแค่ไหนแล้ว
ถ้าอ้ำๆอึ้งๆ ก็คงต้องกลับไปอ่านหนังสือมาให้มากๆก่อน
เพราะพี่เค้าเชื่อว่าคนที่จะเขียนหนังสือได้ดี
น่าจะต้องอ่านหนังสือมาพอสมควร
ถ้าน้องคนไหนตอบได้ฉะฉานถึงหนังสือเล่มล่าสุดที่อ่าน
พี่เค้าก็จะบอกกับน้องคนนั้นว่า

"ถ้าอยากเขียน ก็ลงมือเขียนเลย"

เนื้อความในหนังสือ น่าจะประมาณนี้นะ
ถ้าอยากทำอะไรก็ลงมือทำ
อาจจะหาแรงบันไดจาน (แรงบันดาลใจ) จากหลายๆสิ่งที่พบเจอ บางครั้งก็อาศัยจินตนาการ
เชื่อว่าหลายคนที่ผ่านเข้ามา "ในนี้" ก็คงจะได้อะไรอะไรกลับไป
ขอให้ได้ลงมือเขียน "วรรคทอง" กันถ้วนหน้านะคะ



โดย: jummdcu IP: 125.24.154.186 วันที่: 8 เมษายน 2550 เวลา:16:19:30 น.  

 
คำถามนี้โดนใจอย่างจังเลย
จริงๆแล้วคำตอบก็คงอยู่ที่คนถามนี่ล่ะ
ว่าจริงๆแล้วเราแค่...อยากเขียนหรือเปล่า?
เราก็เป็นคนหนึ่งที่" อยู่อย่างอยาก" มาตลอด
ความอยากของเรา ก็คือ ความฝันดีดีนี่เอง

แต่ถึงอย่างไรก็ตามสำหรับคำถามนี้
ก็ยังต้องการคนแนะนำอยู่ดีนะ

เราเพิ่งเริ่มอ่านเรื่อง Improvise ของทรงศีล
คำนำที่เป็นการ์ตูนเนี่ย...อืม...ได้อะไรมากกว่าที่คิด
บางทีเราก็อยากเขียนอะไรที่คิดว่ามันจะต้องเจ๋ง ต้องดี แปลกใหม่ ไม่เหมือนใคร
โดยที่ไม่รู้เลยว่า นั่นก็คือกรอบที่เราตีขึ้นมาครอบงำความคิดของเราเอง

และตราบใดที่ยังไม่ลงมือลบกรอบนั้น
เราก็คงต้องอยู่อย่างอยากต่อไป

สำหรับระหว่างนี้
เราก็ฝึกเขียนจดหมาย กับเขียนการ์ดอวยพร
ส่งให้เพื่อนๆไปก่อน
เพราะว่า 1 ปีเนี่ย มีเทศกาลให้ฝึกปรือฝีมือเยอะเลย
ทดสอบเรตติ้งคนอ่านจากเพื่อนๆกันเอง
ก็เสมือนมีนักวิจารณ์คมๆอยู่ใกล้ตัวเหมือนกันนะ






โดย: หนึ่ง IP: 203.113.71.201 วันที่: 8 เมษายน 2550 เวลา:20:27:53 น.  

 
"คำนำที่เป็นการ์ตูน" เหรอครับ?
น่าอ่านจังแฮะ

การทดสอบ "เรตติ้ง" จากคนใกล้ตัวที่จริงใจ เป็นวิธีที่ดีเลยครับ
สตีเฟ่น คิง ให้ "เมีย" เป็นคนอ่านคนแรกเสมอ
คนใกล้ตัวเรามักจะให้ความเห็นอย่างตรงไปตรงมาครับ นั่นเป็นสิ่งที่ดีสำหรับการพัฒนาฝีมือของเรา

พี่จุ๋มครับ
เห็นด้วยเรื่องการอ่าน อ่านเยอะ จะเขียนได้ดี
เพียงแค่ไม่น่าจะจำกัด "การอ่าน" ไว้แค่ "หนังสือ"
แต่น่าจะหมายถึงการ "อ่านโลก" คนบางคนอ่านหนังสือน้อยมาก แต่ผ่านโลกมาเยอะ ก็เขียนหนังสือได้น่าสนใจ

แต่คนที่อ่านเยอะ คงได้ "วิชา" ด้านการเขียนจากนักเขียนอื่นๆ มาบ้าง และที่สำคัญก็จะได้รู้ว่า ใครเขาเขียนอะไรไปแล้วบ้าง

อยากให้มีคนเขียนหนังสือเยอะๆ ครับ อยากอ่านหนังสือสนุกๆ และหลากหลาย


โดย: นิ้วกลม IP: 218.1.88.155 วันที่: 8 เมษายน 2550 เวลา:21:20:00 น.  

 
อยากวิ่งจังครับ แต่ยังขี้เกียจวิ่งอยู่เลยครับ
แฮะ แฮะ นิสัยไม่ดี ชอบดูแต่คนอื่นวื่ง

พี่จุ้ย ศุ บุญเลี้ยง เขียน 'นักอยากเขียน' ไว้
หน้าปกเขียวๆ จัดพิมพ์โดย สำนักพิมพ์วงกลม
ยังไม่ได้อ่านครับ เลยไม่มีอะไรจะบอก
อ่านเองนะครับ อ่านเอง


โดย: แขก IP: 125.24.217.6 วันที่: 9 เมษายน 2550 เวลา:1:51:47 น.  

 
หนังสือสำหรับ "นักอยากเขียน" ที่น่าอ่านมีอีกหลายเล่มเลยครับ
ลองไปเดินดูตามแผงหนังสือได้ (เพราะผมจำชื่อไม่ได้ ทั้งหมดอยู่ที่เมืองไทย)
แต่เล่มที่ผมชอบ มักจะเป็นเล่มที่อ่านแล้วทำให้ "อยาก" และ "กล้า" เขียนมากขึ้น
ลองอ่าน "เป็น" ของพี่คุ่น-ปราบดา หยุ่น ดูได้ครับ สนุกดี


โดย: นิ้วกลม IP: 202.136.209.2 วันที่: 9 เมษายน 2550 เวลา:8:30:47 น.  

 
ตอนไม่ออกวิ่งก็นึกไม่ออกว่าจะเป็นยังไง
มัวแต่คิดว่า...ทำไงดี...ออกท่าไหนสวย...?????
แต่ว่า "จะคิดไปทำไมนักหนาวะตรู????"

่สำคัญที่เรารู้ใจตัวว่า อยากวิ่ง รึเปล่า

และวิ่งแล้วควรเข้าให้ถึงเส้นชัยด้วย ได้ที่เท่าไหร่ ไม่สำคัญ



โดย: pattararanee IP: 125.25.80.181 วันที่: 9 เมษายน 2550 เวลา:11:06:00 น.  

 
เหมือนที่พี่เอ๋บอก

แค่ประโยคที่ว่า"ไม่รู้จะเขียนอะไรดี"ก็เป็นประเด็นที่จะเขียนได้

เอาใจช่วยคนที่กำลังจะออกวิ่ง+วิ่งอยู่ทุกๆคนค่ะ

สู้ๆ!!


โดย: Modz(มด) IP: 58.137.48.4 วันที่: 9 เมษายน 2550 เวลา:12:07:34 น.  

 
อ่านหัวข้อวันนี้แล้วคิดถึงเรื่อง 'แรงบันไดจาน' ที่พี่เขียนลงคอลัมน์ใน a day ((รวมอยู่ใน 'อิฐ'))
...
'รอบ' ตัวเรามีเรื่องให้เขียนมากมาย
ปัญหาอยู่ที่ว่าจะ 'เขียนยังไง' ... มากกว่า 'เขียนอะไร' อีกแฮะ
...
วิ่ง วิ่ง วิ่ง วิ่ง วิ่ง
...
ป.ล. กรุงเทพฯ ฝนตกมาสักพักแล้ว - - บรรเทาอาการ 'ร้อนอึดอัด' ไปได้ชั่วคราว :) ทางโน้นเป็นเช่นไรบ้างท่าน


โดย: เติ้ล IP: 202.57.183.108 วันที่: 9 เมษายน 2550 เวลา:13:43:35 น.  

 
ใช้นิ้ววิ่ง(ไถ)บนหนู จนมาชนบ็อกนี้


โดย: เป๋อน้อย วันที่: 9 เมษายน 2550 เวลา:13:57:42 น.  

 
ยิ้มตั้งแต่ลูกตากวาดไปเห็นหัวข้อบรรทัดแรกของพี่เลยครับ

มันเป็นความรู้สึกอย่างนั้นจริงๆครับ
อยากเขียน แต่ไม่รู้จะเขียนอะไร
ก็มันอยากเขียนนี่หว่า
บางทีก็เริ่มเขียนมันซะเลย จากที่ไม่รู้จะเขียนอะไรนี่แหละ
เขียนไปเรื่อยๆ แล้วตัวหนังสือมันก็พาให้เรามีเรื่องเขียนขึ้นมาเอง
เหมือนที่พี่บอกเลยคับ อยากวิ่ง แต่ไม่รู้จะวิ่งไปไหน
ก็วิ่ง แม่ง เลย
เดี๋ยวพอเหงื่อออก หรือ เหงื่อไม่ออก
แต่ได้ทำตามความอยากของตัวเองแล้ว
ก็มีความสุขสุดๆเลยคับ

ขอบคุณสำหรับคำตอบ ที่มันเป็นคำถามสำหรับผมมานานนะคับ

คราวนี้ คงได้เขียนตามที่อยาก

โดยไม่มีอาการข้างเคียงแล้วครับ

ขอบคุณครับพี่เอ๋ ^^


โดย: iPao IP: 202.28.121.131 วันที่: 9 เมษายน 2550 เวลา:16:10:23 น.  

 
เคยคุยกับนักเขียนท่านหนึ่ง
จริงๆที่คำถามที่ว่า อยากเขียนแต่ไม่รู้จะเขียนอะไร เป็นคำถามยอดฮิต เค้าสอนว่า ให้ลองเอากระเป๋าตังค์ตัวเองขึ้นมา เปิดออกดูว่ามีของอะไรที่เราคิดว่ามันไม่ควรอยู่ในกระเป๋า แต่เราเอามาใส่ไว้ แล้วลองเขียนเรื่องของสิ่งนั้นออกมาดู ครั้งนั้นของที่อยู่ในกระเป๋าตังค์ เป็นบัตรละครเวที ที่ได้ดูเมื่อนานมาแล้ว เลยได้คิดถึงเรื่องในอดีตเมื่อครั้งไปนั่งหัวเราะกับเพื่อนๆที่นั่น
เห็นด้วยค่ะที่ว่า “อยากเขียน” เพราะมีเรื่องที่อยากเล่าให้คนอื่นฟัง
เหมือนเราเจอหนังสือดีๆ สักเล่ม หรือหนังที่มันโดนๆ พอเราได้อ่าน หรือได้ดูแล้ว เราก็อยากให้เพื่อนๆ และคนรอบข้างได้อ่าน ได้ดูเหมือนเราบ้าง


โดย: therainyseason IP: 58.8.187.169 วันที่: 9 เมษายน 2550 เวลา:16:44:26 น.  

 
ทำไมสิเดินออกจากบ้านทีไร ฝนตกทุกที

ไอ้วันที่อยู่บ้าน ดันไม่ตก - -"

ปล. รอคำตอบอยู่นะพี่เอ๋ =]


โดย: สิ IP: 58.8.94.44 วันที่: 9 เมษายน 2550 เวลา:16:56:50 น.  

 
อ่านแล้วแอบอมยิ้มค่ะ

เพราะประโยคบ่นๆ ที่ว่า "อยากเขียน แต่ไม่รู้จะเขียนอะไรดี"
กะ "มีเรื่องอยากเขียนเยอะมากเลย แต่ไม่มีเวลา"
(หรือบางทีก็กลายเป็น "มีเรื่องอยากเขียนเยอะมากเลย แต่ขี้เกียจเขียน")
เป็นสอง(สาม)ประโยคที่เจอได้บ่อยมากใน diary ตัวเอง

ตอนว่างๆ ก็ชอบไม่มีเรื่องเขียน
พอมีเรื่องจะเขียน ก็มักจะไม่ว่าง
โดยเฉพาะตอนยุ่งๆ เนี่ย นึกเรื่องนู้นเรื่องนี้ได้เยอะนักเชียว
แต่...พอหายยุ่งปุ๊บ "เฮ่อ ขี้เกียจเขียนอะ"

...จัดเป็นนักขี้เกียจวิ่งตัวยง


โดย: Shau_Leuw_Hiang IP: 203.131.217.34 วันที่: 9 เมษายน 2550 เวลา:17:17:47 น.  

 




ขอบคุณครับได้ความรู้เพิ่มเติมอีกเยอะเลย.....

แม้จะเป็นความรู้ที่เคยรู้มาแล้วแต่เทคนิคง่ายๆ บางทีเราก็ลืมครับ...




โดย: ฟ้าสดใส ทะเลสีคราม วันที่: 9 เมษายน 2550 เวลา:18:42:53 น.  

 
เช่นกันค่ะ แค่ได้วิ่งก็มีความสุขแล้ว

และได้ดูคุณเอ๋วิ่งก็มีความสุขแล้ว :D


โดย: happyloneliness (bluegirl_bluesea ) วันที่: 9 เมษายน 2550 เวลา:19:38:25 น.  

 
เคยอ่านบทสัมภาษณ์ของปู่ 'รงค์ วงษ์สวรรค์ ครับ
ปู่แกบอกว่าแกใช้เทคนิคของเฮมมิงเวย์ในการเริ่มเขียนหนังสือในเวลาไม่รู้จะเขียนอะไร
เฮมมิงเวย์บอกว่าให้เริ่มต้นโดยการเขียนความจริง
ความจริงอะไรก็ได้บนโลกอย่าว"ใบไม้วันนี้แม่งมีสีเหลืองว่ะ" จากนั้นก็ปล่อยให้ตัวอักษรไหลเป็นชอคโกแลตลงสู่ทุ่งข้าวสาลี

เป็นอีกวิธีหนึ่งที่ลองใช้ได้ครับ


โดย: ภูมิ IP: 203.156.114.65 วันที่: 9 เมษายน 2550 เวลา:19:56:46 น.  

 
รู้แหละว่าวิ่งแล้วมันต้องเหนื่อย ยิ่งคนเริ่มวิ่งยิ่งเหนื่อย

แต่ก็ยังชอบวิ่ง อยากวิ่ง มีความสุข***


โดย: *modx IP: 124.120.51.55 วันที่: 9 เมษายน 2550 เวลา:20:45:18 น.  

 
กลับไปอ่านไดอารี่เก่าๆตอนที่คิดว่าตัวเองยังเขียนไม่เป็น (ตอนนี้ก็ไม่ได้เขียนเป็นหรอกค่ะ แต่คิดว่าเริ่มเขียนได้ตรงประเด็นตรงอารมณ์เพิ่มขึ้นเท่านั้นเอง)

ตอนนั้นไม่รู้จะเขียนอะไร เลยเล่ากิจวัตรตัวเองอย่างละเอียด ..ตามที่คิดว่าไดอารี่มันคงจะเป็นอย่างนี้กระมัง
มันน่าเบื่อมากเลย ..ตอนเขียนน่ะ

5 ปีผ่านไป
มหัศจรรย์มากเลย ไม่น่าเชื่อว่าเราเคย เคย และเคย ทำ/คิด/พบ สิ่งที่เขียนไว้นั้นทั้งหมด
จำอะไรไม่ได้เลยจริงๆ
สัจธรรมที่ทุกอย่างต้องเปลี่ยนไป

สนุกดี

อิจฉาคนที่เริ่มเขียนตั้งแต่เล็กๆจริงๆ ..ช่วงที่ดีที่สุดช่วงหนึ่งของชีวิต
แต่ก็ละนะ ถ้าตอนนั้นเด็กอย่างเรานั่งเขียนไดอารี่
เราก็คงไม่ใช่เราในทุกวันนี้:)


โดย: โปรดทำให้ฉันหยุดหัวเราะ วันที่: 9 เมษายน 2550 เวลา:22:52:24 น.  

 
ไม่น่าเชื่อเลย... เคยคิดว่าจะเขียนอธิบายความรู้สึกตอนเขียนหนังสือของตัวเอง แต่คุณนิ้วกลมอธิบายได้ดีกว่าหลายเท่า(เช่นเคย)

ก็ขอคอมเม้นท์สั้นๆ แค่นี้แหละค่ะ หวังว่าจะยังมีความสุขและสนุกกับงาน(หนัก)ในเมืองใหญ่ :)

จากคน "อยากเขียน" เพราะ "อยากเขียน" ไ่ม่ใช่เพราะ "อยากเป็นนักเขียน" อีกคน.


โดย: คนชายขอบ IP: 124.120.216.39 วันที่: 9 เมษายน 2550 เวลา:23:49:12 น.  

 
เขียน เพราะอยากให้คนอ่าน
บางครั้งมีเรื่องอยากเขียน.......แต่กลัวไม่มีคนมาอ่าน
เลยเขียนไว้เยอะๆ เท่าที่อยากเขียน
เพราะคนคงหลงมาอ่าน......สักอัน

นอกจากจะได้วิ่งอย่างมีความสุขแล้ว
การได้รับรางวัล เป็นการตอบรับจากคนอ่านบ้าง
มันช่วยให้เรามีกำลังใจที่จะฟิตซ้อมร่างกาย
ให้ทำผลงานได้ดียิ่งขึ้น

ป่านนี้ขาพี่เอ๋คงเป็นกล้ามเนื้อมัดโตทีเดียวนะคะ
ดูแลสุขภาพนะคะพี่


โดย: Tuang-Talent IP: 125.25.95.97 วันที่: 9 เมษายน 2550 เวลา:23:58:54 น.  

 
ระหว่างที่พี่กำลังทำงานอยู่

กรุงเทพฯโดนฝนหลงฤดูเล่นงานซะแล้ว
ชุ่มฉ่ำ เย็นใจไปตามๆกัน
หวังว่าจะฉลองสงกรานต์อย่างมีความสุขนะครับ


โดย: ตะวัน IP: 210.213.18.182 วันที่: 10 เมษายน 2550 เวลา:10:00:29 น.  

 
เปา ฮ่าฮ่า ได้ตอบสักทีเนอะ ขอบคุณเช่นกันที่ถามมา

โหย ดีใจ (และตกใจ) "คนชายขอบ" อ่านบล็อกเราด้วยหรือเนี่ย?! ฮ่าฮ่า
สวัสดีครับ ยังมีความสุขดีครับ เหมือนจะมีเวลาเขียนหนังสือเยอะขึ้นครับ
แต่บางสัปดาห์ก็เหลือเวลาน้อย (กระทั่งเวลานอน) ถึงจะเขียนบ่อยแค่ไหน ก็ต้องยอมแพ้อยู่คนหนึ่งครับ คนนั้นนี่อัดแน่นไปด้วยปริมาณและคุณภาพ ขอคารวะจริงๆ ครับ

ปล. คุณยุ้ยรู้จัก "อ.ม่อน" ที่สอนที่ถาปัด จุฬาฯ ไหมครับ?

ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่าน และเสริมความรู้ (และมุมมอง) เพิ่มเติมนะครับ


โดย: นิ้วกลม IP: 202.136.209.2 วันที่: 10 เมษายน 2550 เวลา:10:55:02 น.  

 
โฮ่ โลกนี้กลมจริงๆ ด้วย รู้จักพี่ม่อนค่ะ เพราะคุณพ่อพี่ม่อนกับคุณแม่ของยุ้ยเคยทำงานอยู่บริษัทเดียวกัน เลยเห็นกันมาตั้งแต่เด็กๆ แต่พอโตแล้วไม่ค่อยได้คุยกันเท่าไหร่

ไม่ต้องคารวะหรอกค่ะ สิ่งที่เขียนอยู่นั้นจำ "ขี้ปาก" ของคนอื่นเ้ค้ามาทั้งนั้น เพราะไม่ีมีปัญญาจะสร้างสรรค์อะไรออกมาจากสมองของตัวเองเหมือนกับคุณนิ้วกลม ฉะนั้นจึงต้องคารวะกลับหนึ่งที (ว่าแต่ชมกันไปมาแบบนี้ คนอ่านจะแหวะไหมเนี่ย )


โดย: คนชายขอบ IP: 58.8.8.119 วันที่: 10 เมษายน 2550 เวลา:13:45:28 น.  

 
ฮ่าฮ่า โลกกลมจริงๆ ครับคุณยุ้ย
ที่ถามก็เพราะผมไปอ่านสัมภาษณ์ในผู้จัดการแล้วเห็นชื่อบริษัททิสโก
ก็เลยนึกถึงพี่ม่อนขึ้นมาครับ ตอนแรกนึกว่าเป็นพี่น้องกันด้วยซ้ำครับ
ขอบคุณที่แวะมาตอบครับ

อ้อ ผมได้อ่านบล็อก "คนชายขอบ" อยู่เรื่อยๆ จากการอุปถัมภ์ของคุณ epsilon
ตอนใหม่อ่านแล้วน้ำลายไหลครับ หิวหนังสือ!!!



โดย: นิ้วกลม IP: 202.136.209.2 วันที่: 10 เมษายน 2550 เวลา:18:13:02 น.  

 
มีหนังสือมาแนะนำอีก 1 เรื่อง
ถ้ายังคิดอะไรไม่ค่อยออก...
ของคุณวินทร์ เลียววาริณ
เรื่องยาแก้สมองผูกตราควายบิน
ลองอ่านดูกันนะ สนุกดีล่ะ


โดย: หนึ่ง IP: 203.113.71.196 วันที่: 10 เมษายน 2550 เวลา:21:46:43 น.  

 
6 วันผ่านไป
ไม่มีใครมา
16 เมษา
ยังตั้งตารอ


โดย: Bei IP: 124.120.120.108 วันที่: 16 เมษายน 2550 เวลา:20:58:16 น.  

 
สวัสดีครับเอ๋


โดย: พี่ม่อน ไอดี IP: 58.136.1.47 วันที่: 19 เมษายน 2550 เวลา:9:24:25 น.  

 
สวัสดียุ้ย


โดย: พี่ม่อน IP: 58.136.1.47 วันที่: 19 เมษายน 2550 เวลา:9:25:20 น.  

 
เฮ้ย!! สวัสดีครับพี่ม่อน มาได้ไงเนี่ย?


โดย: นิ้วกลม (roundfinger2547 ) วันที่: 20 เมษายน 2550 เวลา:17:50:55 น.  

 
ไสยศาสตร์มีจริง


โดย: พี่ม่อน IP: 58.136.1.47 วันที่: 20 เมษายน 2550 เวลา:22:54:10 น.  

 
สาธุ

รีบกลับบอร์ดนิ้วกลม ด่วน


โดย: ช่อแก้ว(away_G) IP: 58.147.74.243 วันที่: 22 เมษายน 2550 เวลา:13:31:58 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิกช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

roundfinger2547
Location :
1155 North Shaanxi Road, BLK 1, Room 2103, Shanghai, China

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 10 คน [?]




นิ้วกลม คือ ผู้ชายที่ชอบกินป๊อกกี้คนหนึ่ง
Free Hit Counter
[Add roundfinger2547's blog to your web]