|
|
1 | 2 | 3 | 4 | 5 | 6 | 7 |
8 | 9 | 10 | 11 | 12 | 13 | 14 |
15 | 16 | 17 | 18 | 19 | 20 | 21 |
22 | 23 | 24 | 25 | 26 | 27 | 28 |
29 | 30 | |
|
|
|
23 เมษายน 2550
|
|
|
|
คำคิดจีน : ขงจื่อ (วรศักดิ์ มหัทธโนบล)
เป็นที่รู้กันดีว่า จีนคืออู่อารยธรรมหนึ่งของโลกที่มีแนวคิดในทางสังคม การเมือง และวัฒนธรรมเป็นของตนเองมานานหลายพันปีนั้น บุคคลที่จัดว่ามีความสำคัญในฐานะผู้รังสรรค์ความคิดของจีนคนหนึ่งอย่างชนิดที่จะขาดซึ่งการกล่าวถึงไม่ได้เลยก็คือ ขงจื่อ
ขงจื่อ (หรือที่เสียงจีนแต้จิ๋วออกว่า "ขงจื๊อ") เป็นปราชญ์จีนผู้มีนามอุโฆษขจรไกลจนเป็นที่รู้จักกันทั่วโลกได้ตราและเรียบเรียงหลักคิดให้แก่สังคมจีนอย่างมากมายเหลือคณานับ โดยหลักคิดที่เขาได้ตราและเรียบเรียงขึ้นนี้ต่อมาได้ยังอิทธิพลอยู่ในสังคมจีนมาตราบจนทุกวันนี้
ดังนั้น เมื่อจะกล่าวถึงความคิดต่างๆ ของสังคมจีนผ่านรูปคำต่างๆ แล้ว การทำความรู้จักภูมิหลังของขงจื่อ จึงเป็นเรื่องที่จำเป็น อย่างน้อยก็เพื่อจะได้รู้และเข้าใจว่า หลักคิดที่จะอธิบายผ่านรูปคำต่างๆ ที่ว่านั้น เกิดขึ้นและดำรงอยู่ได้อย่างไร หรือเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร
ขงจื่อ เป็นบุตรของ ข่งเหอ กับ เอี๋ยนเจิงจ้าย คู่สามีภรรยา เกิดเมื่อ 551 ปีก่อน ค.ศ. หรือคิดให้ง่ายก็คือ เกิดเมื่อ 8 ปีก่อน พ.ศ. หรือเมื่อ ขงจื่อ มีอายุ 8 ขวบนั้นเป็นปีเดียวกับที่พระพุทธเจ้าปรินิพพาน อันที่จริงแล้วชื่อ "ขงจื่อ" นี้เป็นชื่อที่เรียกกันอย่างยกย่องในชั้นหลัง คือยกย่องให้ ขงจื่อ เป็นปราชญ์ ด้วยว่าคำว่า "จื่อ" หมายถึง ปราชญ์ อาจารย์ ครู ส่วนชื่อจริงของเขาคือ ชิว ดังนั้น เมื่อเรียกเต็มทั้งชื่อสกุลและชื่อตัว ขงจื่อ จึงมีชื่อว่า ข่งชิว
เมื่อดูจากปีเกิดและปีตายของ ขงจื่อ ที่อยู่ในระหว่าง 551-479 ปีก่อน ค.ศ. แล้ว ในเบื้องต้นย่อมทำให้เข้าใจได้ว่า ขงจื่อ ถือกำเนิดในยุควสันตสาร์ทหรือ "ชุนชิว" (770-476 ปีก่อน ค.ศ.) และลาจากโลกไปในช่วงต้นของยุครัฐศึกหรือ "จ้านกว๋อ" (475-221 ปีก่อน ค.ศ.) ทั้งสองยุคนี้จัดเป็นช่วงที่จีนแตกแยกอย่างหนัก คือแตกแยกนับเป็นร้อยรัฐในยุควสันตสาร์ท และเมื่อการแก่งแย่งอำนาจกันด้วยสงครามผ่านไป รัฐต่างๆ จึงค่อยๆ งวดน้อยลงเหลือเพียงกว่าสิบรัฐ แต่ที่ทรงอิทธิพลจริงในชั้นหลังนั้นมีอยู่ 7 รัฐใหญ่ ช่วงนี้ก็คือยุครัฐศึกนั่นเอง จากเหตุนี้ ช่วงชีวิตของ ขงจื่อ ตั้งแต่เกิดจนจากโลกไปจึงไม่ใช่ช่วงชีวิตที่ราบรื่นนัก
ตระกูลของ ขงจื่อ เป็นชนชั้นผู้ดีเก่าแห่งรัฐซ่ง โดยมีเชื้อสายขัตติยะผูกพันกับราชวงศ์อิน อันเป็นอีกชื่อหนึ่งของราชวงศ์ซาง (ศตวรรษที่ 16-1046 ปีก่อน ค.ศ.) ชั่วรุ่นที่ 5 ของตระกูลถือเป็นช่วงที่ได้ตั้งชื่อสกุลของตระกูลมาเป็น "ข่ง" และครั้นต่อมาเมื่อปู่ของเขาถูกนักการเมืองผู้ทรยศคนหนึ่งฆ่าตายแล้ว คนในตระกูลจึงได้หนีออกจากเมืองซ่งมายังเมืองชี๋ว์ฟู่ ซึ่งเมืองหลวงของรัฐหลู่ และจากการที่ต้นตระกูลของ ขงจื่อ สามารถสืบสาวไปจนถึงราชวงศ์ซางหรืออินนี้เอง ขงจื่อ จึงมักอ้างว่าตนเป็น "คนอิน" หรือ "ชาวอิน" อยู่เสมอ
ข่งเหอ ผู้เป็นบิดาของ ขงจื่อ แม้จะเป็นตระกูลผู้ดีก็ตาม แต่เมื่อสืบทอดมาถึงชั่วรุ่นที่ 4 ผลจากยุควสันตสาร์ทก็สะเทือนมาถึงตระกูลของเขา เมื่อเกิดมีการล้มล้างการปกครองกันขึ้น และแน่นอนว่า บรรพชนของตระกูลซึ่งหลบหนีมาตั้งหลักแหล่งอยู่ที่รัฐหลู่นี้ แม้จะสืบทอดตระกูลมาจากชนชั้นผู้ดีก็ตาม แต่ฐานะผู้ดีนี้ก็ถึงคราวตกอับ ด้วยเหตุนี้ ข่งเหอ ซึ่งมีอาชีพรับราชการทหารอยู่ในรัฐนี้ และมีวีรกรรมเป็นที่เลื่องลืออยู่บ้าง แต่ก็มีตำแหน่งที่ไม่สูงส่งนัก
ควรกล่าวด้วยว่า ขงจื่อ ไม่ได้เกิดจากภรรยาคนแรกของ ข่งเหอ เนื่องจากเธอเสียชีวิตไปก่อน โดยทิ้งบุตรชายคนหนึ่งเอาไว้ การเป็นพุ่มม่ายตกอยู่แก่ ข่งเหอ เป็นเวลาหลายปี กระทั่งเมื่อมีอายุมากขึ้น เขาจึงได้ตัดสินใจแต่งงานใหม่อีกครั้งหนึ่งกับหญิงที่มีอายุอ่อนกว่าเขาหลายปี นั่นก็คือ เอี๋ยนเจิงจ้าย เนื่องจากการแต่งงานครั้งนี้ไม่ได้เป็นไปตามธรรมเนียมประเพณี ชีวิตคู่ของคนทั้งสองจึงไม่ใคร่เป็นที่ยอมรับของชุมชนมากนัก และมักจะได้รับการค่อนขอดเหยียดหยามอยู่เสมอ
ดังนั้น เมื่อ ขงจื่อ ถือกำเนิดขึ้นมา ชีวิตของเขาจึงเลี่ยงไปจากสภาพแวดล้อมดังกล่าวไปไม่ได้ ยิ่งเมื่อบิดาของเขาต้องมาลาจากไปหลังจากที่เขามีอายุได้เพียง 3 ขวบด้วยแล้ว ชีวิตในวัยเด็กของ ขงจื่อ จึงไม่ต่างกับถูกซ้ำเติมให้หนักลงไปอีกและไม่ได้สะดวกสบายเยี่ยงเด็กทั้งหลายพึงมีพึงเป็น แต่ก็ด้วยชีวิตเช่นนี้เองที่ต่อมาได้กลายเป็นแรงขับให้เขามีบุคลิกภาพที่แปลกกว่าเด็กอื่นในบางประการ
ประการแรก วัยเด็กของ ขงจื่อ ไม่มีของเล่น การเล่นของเขาจึงถูกสร้างขึ้นตามอัตภาพด้วยการนำเอาสิ่งที่มีในบ้านอยู่แล้วมาเล่น จินตนาการที่ถูกแสดงออกมาจึงกลายเป็นการเล่นที่เกี่ยวกับจารีตพิธีกรรมต่างๆ ในประการต่อมา สภาพแวดล้อมที่กดดันได้ทำให้ ขงจื่อ กลายเป็นเด็กที่มีความระมัดระวังตัวสูง มีความคิดอ่านที่รอบคอบ และรู้จักช่วยเหลือผู้อื่น แต่จะด้วยบุคลิกภาพเช่นนี้หรือไม่ก็ตาม ปรากฏว่า ขงจื่อ มีสนใจในการศึกษาเล่าเรียนตั้งแต่ในวัยเด็ก
จากสภาพครอบครัวที่ยากจนและแวดล้อมไปด้วยความกดดันเช่นนี้ จึงหลังจากที่ เจิงจ้าย ผู้เป็นแม่ได้ให้ ขงจื่อ เรียนหนังสือตามอัตภาพแล้ว ขงจื่อ ก็ได้แสดงออกถึงความปรารถนาในอันที่จะได้เรียนในระดับที่สูงขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ จนเป็นเหตุให้ เจิงจ้าย ต้องส่งเขาไปทางภาคอีสานของรัฐหลู่เพื่อพบบิดาของเธอ หรือตาของ ขงจื่อ เพื่อให้เป็นครูของเขาต่อไป
ตาของ ขงจื่อ ใช้ชีวิตอยู่ในรัฐหลู่มาช้านาน
การศึกษาเล่าเรียนของ ขงจื่อ ดำเนินมาจนถึงอายุ 15 เขาก็ได้แสดงให้เห็นถึงปณิธานอันแรงกล้าในอันที่จะแสวงหาความรู้ในระดับที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น ตราบจนมีอายุได้ 18 ความรู้ที่ได้จากผู้เป็นตาก็กลายเป็นพื้นฐานที่ดีสำหรับเขา เวลานั้นตรงกับ 533 ปีก่อน ค.ศ. อย่างไรก็ตาม มารดาของ ขงจื่อ ได้ลาจากโลกไปเมื่อ ขงจื่อ มีอายุได้ 17 ปี
ความแรงกล้าในปณิธานของ ขงจื่อ นับว่ามีความมั่นคงอย่างมาก เพราะแม้เขาจะแต่งงานเมื่อมีอายุได้ 19 ปี แต่ชีวิตคู่ก็หาได้มากระทบกับการศึกษาหาความรู้ของเขาไม่ เพราะครั้นในวัย 20 เศษที่ ขงจื่อ ได้รับราชการนั้น เขายังคงศึกษาค้นคว้าหาความรู้ต่อไป แม้จะไม่ปรากฏว่า ขงจื่อ หาความรู้จากผู้ใดหรือสำนักใดก็ตาม แต่นั่นดูเหมือนไม่เป็นปัญหามากนักหากเราจะเข้าใจถึงภูมิหลังของตระกูลของเขา และภูมิหลังของรัฐหลู่ ภูมิหลังของตระกูลที่เป็นชนชั้นผู้ดีนั้นย่อมเป็นที่แน่นอนอยู่แล้วที่จะต้องมีการถ่ายทอดความรู้ให้แก่ลูกหลาน
แต่กับภูมิหลังของรัฐหลู่นั้นเป็นที่รู้กันดีว่าเป็นรัฐที่เป็นแหล่งรวมความรู้ตลอดจนภูมิปัญญาต่างๆ ในยุคนั้นเอาไว้อย่างอุดมสมบูรณ์ ด้วยเหตุนี้ เมื่อประกอบเข้าด้วยปณิธานอันแรงกล้าอีกทั้งสติปัญญาอันเป็นเลิศของ ขงจื่อ ด้วยแล้ว ในวัยเพียง 30 เศษ เขาก็กลายเป็นนักปราชญ์ที่รอบรู้ศิลปวิทยาการต่างๆ ตลอดจนระเบียบแบบแผนของราชสำนักจนเป็นที่ยอมรับกันไปทั่ว
ชื่อเสียงของ ขงจื่อ ขจรขจายไปไกลในฐานะผู้ปราดเปรื่องทางด้านอักษรศาสตร์ รัฐศาสตร์ นิติศาสตร์ ประวัติศาสตร์ ดาราศาสตร์ คีตศาสตร์ และวัฒนธรรม ที่สำคัญคือ ขงจื่อ หาได้กักเก็บความรู้เอาไว้แต่เฉพาะตัวไม่ หากแต่ยังได้ปฏิบัติตนเป็นครูผู้ถ่ายทอดวิชาความรู้นั้นให้แก่ผู้ที่ปวารณาตนเป็นศิษย์ของเขาอีกด้วย
การใช้ความเป็นปราชญ์ของตนมาถ่ายทอดความรู้ให้แก่ศิษย์ของ ขงจื่อ นับเป็นปรากฏการณ์ทางประวัติศาสตร์ที่ทรงความหมายอย่างยิ่ง เพราะการกระทำดังกล่าวได้เท่ากับเป็นการปลดปล่อยให้ภูมิปัญญาความรู้ต่างๆ ที่เคยสงวนเอาไว้เฉพาะชนชั้นกษัตริย์และผู้ดีได้กระจายลงสู่คนชั้นล่าง อันเป็นการกระจายลงอย่างอิสระและกว้างขวาง ที่สำคัญคือ ขงจื่อ ไม่ได้เก็บค่าเล่าเรียนแพง ผู้ที่มาศึกษาเล่าเรียนกับเขาจึงย่อมมีที่มาจากหลายชนชั้นและเป็นไปอย่างเสมอภาค
กล่าวสำหรับหลักคำสอนของขงจื่อแล้วก็ไม่แตกต่างไปจากหลักคำสอนของนักปราชญ์คนอื่นๆ ของโลกที่มักมีรายละเอียดเฉพาะตนอยู่ และพอเวลาผ่านไปก็จะมีผู้แบ่งเป็นหมวดหมู่ทางความคิดออกเป็นชุดๆ พร้อมกับตีความความสำคัญหรือสาระหลักที่อาจจะเหมือนกันบ้าง ต่างกันบ้าง ตามแต่ความคิดของปราชญ์ในชั้นหลังและตามแต่ยุคสมัย แต่โดยสรุปแล้ว แนวคิดของ ขงจื่อ อาจแบ่งได้เป็น 2 สถาน สถานหนึ่ง เป็นแนวคิดทางการเมืองและการปกครอง อีกสถานหนึ่ง เป็นแนวคิดในทางจริยธรรมและขนบจารีต ทั้งสองสถานนี้จะอยู่ควบคู่กันไปยากที่จะแยกออก
แม้ ขงจื่อ จะได้ตั้งสำนักของตนขึ้นเพื่อเผยแพร่ความรู้ให้แก่ชนโดยทั่วไปก็ตาม แต่ในบางช่วงของชีวิตเขายังได้นำตนเองเข้าไปมีบทบาททางการเมืองควบคู่กันไปด้วย โดยบทบาททางการเมืองของเขาอาจแบ่งได้เป็น 2 ช่วง
ช่วงแรก เป็นช่วงที่มีระยะเวลาเพียง 2 ปี และเป็นช่วงที่เขามีอายุ 35-37 ปี หลังจากนั้นจึงได้ยุติบทบาทไปอีกนานนับเป็นสิบปี ช่วงที่สอง ขงจื่อ เริ่มบทบาทของตนระหว่างอายุ 51-55 ไปจนถึงอายุ 68 ปี รวมแล้วยาวนานกว่าสิบปีจึงได้ยุติบทบาทลงอย่างสิ้นเชิง ฉะนั้น หากรวมเวลาที่ ขงจื่อ มีบทบาททางการเมืองโดยตรงแล้วจะไม่เกิน 20 ปี โดยเวลาส่วนใหญ่ของเขาได้อุทิศให้กับการศึกษาค้นคว้าหาความรู้เสียมากกว่า
นอกจากผลงานอันทรงคุณค่าแก่สังคมจีนที่เป็นแนวคิดทางการเมืองและจริยธรรมของ ขงจื่อ แล้วก็ยังมีผลงานรวบรวมทางด้านกวีหรือคีตนิพนธ์ที่เรียกว่า "ซือจิง" และผลงานการรวบรวมและเรียบเรียงเอกสารข้อมูลทางประวัติศาสตร์จากหอจดหมายเหตุของรัฐหลู่ขึ้นเป็น "จดหมายเหตุวสันต-สาร์ท" หรือที่เรียกว่า "ชุนชิว" จดหมายเหตุนี้เป็นบันทึกเหตุการณ์สำคัญที่เกิดขึ้นในรัฐต่างๆ ขณะนั้นโดยเรียงลำดับเดือนและปีผ่านศักราชของรัฐหลู่
บั้นปลายชีวิตของ ขงจื่อ สังคมจีนยังหาได้สงบลงไม่ การศึกสงครามยังดำเนินอย่างต่อเนื่อง และแม้ว่าตัวเขาจะเป็นที่เคารพยกย่องจากชนชั้นปกครองของรัฐต่างๆ ก็ตาม แต่ก็เห็นได้ชัดว่าคนที่ยกย่องเขาก็ใช่ว่าจะนำแนวคิดของเขามาใช้ปฏิบัติสักกี่มากน้อย การณ์ทั้งหลายคงเป็นเช่นนี้ตราบจนวันที่เขาลาจากโลกนี้ไป ขงจื่อ จากไปเมื่อ 479 ปีก่อน ค.ศ. ในขณะที่มีอายุ 73 ปี
(เงาตะวันออก มติชน สุดสัปดาห์ ฉ. 1384)
Create Date : 23 เมษายน 2550 |
|
2 comments |
Last Update : 23 เมษายน 2550 17:14:25 น. |
Counter : 640 Pageviews. |
|
|
|
| |
โดย: ช่อแก้ว (คนกันเอง มาช้า แต่มาตั้งนานแล้ว ) IP: 124.157.210.170 24 เมษายน 2550 14:20:33 น. |
|
|
|
| |
โดย: ช่อแก้ว (คนกันเอง มาช้า แต่มาตั้งนานแล้ว ) IP: 124.157.210.170 24 เมษายน 2550 14:22:52 น. |
|
|
|
| |
|
|
roundfinger2547 |
|
|
|
|
ค่อยๆอ่าน
แต่แก้วค่อนข้างอ่อนแอในเรื่องของประวัติศาสตร์
แก้วจำได้บ้างไม่ได้บ้างปะติปะต่อไม่ค่อยได้
พอดีว่าไม่ชอบเรื่องพวกนี้
แต่เท่าที่รูสึกว่า
ขงจื่อ เหนื่อยจัง
การจะเป็นคนที่มีความหมายเหนื่อยจัง