|
1 | 2 | 3 | 4 | 5 | 6 | 7 |
8 | 9 | 10 | 11 | 12 | 13 | 14 |
15 | 16 | 17 | 18 | 19 | 20 | 21 |
22 | 23 | 24 | 25 | 26 | 27 | 28 |
29 | 30 | 31 | |
|
|
|
|
|
|
|
รำเถิดเทิง
ประวัติความเป็นมา การเล่นเถิดเทิง มีผู้สันนิษฐานว่าเป็นของพม่านิยมเล่นกันมาก่อน เมื่อครั้งพม่ามาทำสงครามกับไทย ในสมัยกรุงธนบุรี หรือสมัยต้นแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ เวลาพักรบพวกทหารพม่าก็เล่นสนุกสนานด้วยการเล่น ต่าง ๆ ซึ่งทหารพม่าบางพวกก็เล่น กลองยาว พวกไทยเราได้เห็นก็จำมาเล่นกันบ้าง ยังมีเพลงดนตรีเพลงหนึ่งซึ่งดนตรีไทยนำมาใช้บรรเลง มีทำนองเป็นเพลงพม่า เรียกกันมาแต่เดิมว่า เพลงพม่ากลองยาว ต่อมาได้มีผู้ปรับเป็นเพลงระบำ กำหนดให้ผู้รำแต่งตัวใส่เสื้อนุ่งโสร่งตา ศีรษะโพกผ้าสีชมพู (หรือสีอื่น ๆ บ้างตามแต่จะให้สีสลับกัน เห็นสวยอย่างแบบระบำ)มือถือขวานออกมาร่ายรำเข้ากับจังหวะเพลงที่กล่าวนี้ จึงเรียกเพลงนี้กันอีกชื่อหนึ่งว่า เพลงพม่ารำขวาน อีกความหนึ่งมีผู้กล่าวว่า การเล่นเทิงบ้องกลองยาวนี้ เพิ่งมีเข้ามาในเมืองไทยเมื่อสมัยรัชกาลที่ 4 กรุงรัตนโกสินทร์นี้เอง กล่าวคือ มีพม่าพวกหนึ่งนำเข้ามาในรัชกาลนั้น ยังมีบทร้องกราวรำยกทัพพม่า ในการแสดงละครเรื่องพระอภัยมณี ตอน เก้าทัพ ซึ่งนิยมเล่นกันมาแต่ก่อน สังเกตดูก็เป็นตำนานอยู่บ้างแล้ว คือ ร้องกันว่า ทุงเล ฯ ทีนี้จะเห่พม่าใหม่ ตกมาเมืองไทย มาเป็นผู้ใหญ่ตีกลองยาว ตีว่องตีไวตีได้จังหวะ ทีนี้จะกะเป็นเพลงกราว เลื่องชื่อลือฉาว ตีกลองยาวสลัดได ๆ เมื่อชาวไทยเราเห็นเป็นการละเล่นที่สนุกสนานและเล่นได้ง่าย ก็เลยนิยมเล่นกันแพร่หลายไปแทบทุกหัวบ้านหัวเมือง สืบมาจนตราบทุกวันนี้ กลองยาวที่เล่นกันในวงหนึ่ง ๆ มีเล่นกันหลายลูกมีสายสะพายเฉวียงป่าของผู้ตี ลักษณะรูปร่างของกลองยาวขึงหนังด้านเดียวอีกข้างหนึ่งเป็นหางยาว บานปลายเหมือนกับกลองยาวของชาวเชียงใหม่ แต่กลองยาวของชาวเชียงใหม่เป็นกลองยาวจริง ๆ ยาวถึงประมาณ 2 วา ส่วนกลองยาวอย่างที่เล่นกันนี้ ยาวเพียงประมาณ 3 ศอกเท่านั้น ซึ่งสั้นกว่าของเชียงใหม่มาก ทางภาคอีสานเรียกกลองยาวชนิดนี้ว่า กลองหาง กลองยาวแบบนนี้ของพม่าเรียกว่า โอสิ มีลักษณะคล้ายคลึงกับของชาวไทยอาหมในแคว้นอัสสัม เว้นแต่ของชาวไทยอาหมรูปร่างคล้ายตะโพน คือ หัวท้ายเล็ก กลางป่องใบเล็กกว่าตะโพน ขึ้นหนังทั้งสองข้าง ผูกสายสะพายตีได้ ตามที่เห็นวิธีเล่นทั้งกลองยาวของพม่าและกลองของชาวไทยอาหม ดูวิธีการเล่นเป็นแบบเดียวกัน อาจเลียนแบบการเล่นไปจากกันก็ได้ เมื่อรัฐบาลไทยมอบให้คณะนาฏศิลป์ของกรมศิลปากรไปแสดงเพื่อเชื่อมสัมพันธไมตรี ณ นครย่างกุ้งและมัณฑเลย์ ระหว่างเดือนมีนาคมและเมษายน พ.ศ.2509 ทางรัฐบาลพม่าได้จัดนักโบราณคดีพม่าผู้หนึ่งเป็นผู้นำชมพิพิธภัณฑ์สถานและโบราณสถานเรื่องกลองยาวได้กล่าวว่า พม่าได้กลองยาวมาจากไทยใหญ่อีกต่อหนึ่ง การละเล่นประเภทนี้ว่า เถิดเทิง เทิงบ้องนั้น คงเรียกตามเสียงกลองยาว กล่าวคือ มีเสียงเมื่อเริ่มตีเป็นจังหวะ หูคนไทยได้ยินเป็นว่า เถิด-เทิง-บ้อง-เทิง-บ้อง ก็เลยเรียกตามเสียงที่ได้ยินว่าเถิดเทิง หรือเทิงบ้องกลองยาวตามกันไป เพื่อให้ต่างกับการเล่นอย่างอื่น
ลักษณะการแสดง ก่อนเล่นมีการทำพิธีไหว้ครู มีดอกไม้ธูปเทียน เหล้าขาว บุหรี่และเงินค่ายกครู 12 บาท การไหว้ครูใช้การขับเสภา เมื่อไหว้ครูแล้วจะโห่ขึ้น 3 ลา แล้วเริ่มแสดง โดยนักดนตรีประกอบเริ่มบรรเลงผู้ร่ายรำก็จะเดินและร่ายรำไปตามจังหวะกลอง มีท่าร่ายรำทั้งหมด 33 ท่า ท่าที่หวาดเสียวและตื่นเต้นมากที่สุดก็เห็นจะเป็นท่าที่ 30 - 31 คือท่าที่มีการต่อกลองขึ้นไป 3 ใบ ให้ผู้แสดงคนหนึ่งขึ้นไปยืนบนกลองใบที่ 3 แล้วควงกลอง และคาบกลอง ซึ่งผู้แสดงต้องใช้ความสามารพิเศษเฉพาะตัว ผู้ตีกลองยาวบางพวกก็ตีหกหัวกัน แลบลิ้นปลิ้นตา กลอกหน้ายักคิ้ว ยักคอไปพลาง และถ้าผู้ตีคนใดตีได้จนถึงกับถองหน้ากลองด้วยศอก โขกด้วยคาง กระทุ้งด้วยเข่า โหม่งด้วยเข่า โหม่งด้วยหัว เล่นเอาผู้ตีคลุกฝุ่นคลุกดินขะมุกขะมอมไปทั้งตัวสุดแต่จะให้เสียงกลองยาวดังขึ้นได้เป็นสนุกมาก และนิยมกันว่าผู้ตีกลองยาวเก่งมากผู้เล่นก็ภูมิใจ นอกจากนั้นก็มีคนรำแต่งตัวต่าง ๆ สุดแต่สมัครใจ คนดูคนใดรู้สึกสนุกจะเข้าไปร่วมรำด้วยก็ได้เพราะเป็นการเล่นอย่างชาวบ้าน ใครจะสมัครเข้าร่วมเล่นร่วมรำด้วยก็ได้ บางคนก็แต่งตัวพิสดาร ผัดหน้าทาตัวด้วยแป้งด้วยเขม่าดินหม้อ หน้าตาเนื้อตัวดำด่าง สุดแต่จะให้คนดูรู้สึกทึ่งและขบขัน ออกมารำเข้ากับจังหวะเทิงบ้อง แต่ที่แต่งตัวงาม ๆ เล่นและรำกันเรียบ ๆ น่าดูก็มี เช่นที่ปรับปรุงขึ้นเล่นโดยศิลปินของกรมศิลปากร และมีผู้นำแบบอย่างไปเล่นแพร่หลายอยู่ในสมัยนี้ เพราะฉะนั้นการเล่น ย่อมเป็นส่วนของวัฒนธรรมที่แสดงออกมา จะเป็นวัฒนธรรมอยู่ในระดับใดก็แล้วแต่สถานที่และโอกาสเหมาะกับถิ่นหนึ่งแต่ไม่เหมาะกับอีกถิ่นหนึ่งก็ได้ ถ้าปรับให้มีลักษณะเหมือนกันตลอดทุกถิ่น ก็ไม่เป็นความเจริญในทางวัฒนธรรม ความเจริญของวัฒนธรรมอยู่ที่แปลก ๆ ต่าง ๆ กัน แต่ว่าเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันในส่วนรวม และรู้จักดัดแปลงแก้ไขให้เหมาหะกับความเป็นอยู่ของแต่ละท้องถิ่นตามกาลสมัย แต่ไม่ทำลายลักษณะอันเป็นเอกเทศของแต่ละถิ่นให้สูญไป เปรียบเหมือนเป็นคนไทยด้วยกัน
Create Date : 18 มกราคม 2555 |
|
58 comments |
Last Update : 15 สิงหาคม 2560 0:38:17 น. |
Counter : 49415 Pageviews. |
|
|
|
|
| |
โดย: พรหมญาณี 20 มกราคม 2555 10:56:24 น. |
|
|
|
| |
โดย: ดรสา 20 มกราคม 2555 11:17:57 น. |
|
|
|
| |
โดย: ถปรร 20 มกราคม 2555 11:39:13 น. |
|
|
|
| |
โดย: หอมกร 20 มกราคม 2555 11:54:09 น. |
|
|
|
| |
โดย: JohnV 20 มกราคม 2555 12:26:54 น. |
|
|
|
| |
โดย: กิ่งฟ้า 20 มกราคม 2555 15:37:55 น. |
|
|
|
| |
โดย: PhueJa 20 มกราคม 2555 15:43:56 น. |
|
|
|
| |
โดย: tifun 20 มกราคม 2555 15:54:40 น. |
|
|
|
| |
โดย: คุณต่อ (toor36 ) 20 มกราคม 2555 18:27:15 น. |
|
|
|
| |
โดย: ก้นกะลา 20 มกราคม 2555 22:02:00 น. |
|
|
|
| |
โดย: Shaz 21 มกราคม 2555 3:59:52 น. |
|
|
|
| |
โดย: Tristy 21 มกราคม 2555 5:46:09 น. |
|
|
|
| |
โดย: ญามี่ 21 มกราคม 2555 6:02:10 น. |
|
|
|
| |
โดย: หอมกร 21 มกราคม 2555 10:08:48 น. |
|
|
|
| |
โดย: pranfun 21 มกราคม 2555 13:28:41 น. |
|
|
|
| |
โดย: nart (sirivinit ) 21 มกราคม 2555 20:04:09 น. |
|
|
|
| |
โดย: haiku 21 มกราคม 2555 22:03:26 น. |
|
|
|
| |
โดย: nart (sirivinit ) 21 มกราคม 2555 22:24:26 น. |
|
|
|
| |
โดย: อุ้มสี 22 มกราคม 2555 5:51:20 น. |
|
|
|
| |
โดย: mastana 22 มกราคม 2555 10:57:13 น. |
|
|
|
| |
โดย: ญามี่ 22 มกราคม 2555 13:13:17 น. |
|
|
|
| |
โดย: ถปรร 22 มกราคม 2555 15:43:14 น. |
|
|
|
| |
โดย: nootikky 22 มกราคม 2555 16:39:56 น. |
|
|
|
| |
โดย: JohnV 22 มกราคม 2555 21:56:34 น. |
|
|
|
| |
โดย: PhueJa 22 มกราคม 2555 22:12:43 น. |
|
|
|
| |
โดย: Gunpung 23 มกราคม 2555 6:47:49 น. |
|
|
|
| |
โดย: มินทิวา 23 มกราคม 2555 6:59:47 น. |
|
|
|
| |
โดย: jamaica 23 มกราคม 2555 7:32:21 น. |
|
|
|
| |
โดย: d__d (มัชชาร ) 23 มกราคม 2555 7:34:24 น. |
|
|
|
| |
โดย: เป็ดน้อย IP: 49.230.129.63 30 มกราคม 2563 21:43:51 น. |
|
|
|
|
|
|
|
ปญฺญา สุตวินิจฺฉินี
ปัญญา เป็นเครื่องวินิจฉัยสิ่งที่ได้เล่าเรียน
ใช้ปัญญาคู่กับสติในการดำรงชีวิต ตลอดไป...นะคะ