1 2 3 4 5 6 7
8 9 10 11 12 13 14
15 16 17 18 19 20 21
22 23 24 25 26 27 28
29 30
ย้อนตำนานอินทรีเหล็ก ร่วมฉลอง100 ปีของทีมชาติเยอรมัน ( ตอนที่1 ปฐมบทแห่งตำนาน )
เนื่องจากในปี 2008 นี้เป็นปีที่ครบรอบ 100 ปี ของทีมชาติเยอรมัน นับตั้งแต่เกมการแข่งขันนัดแรก กับทีมชาติสวิสเซอร์แลนด์ ที่เมืองบาเซิ่ล เมื่อวันที่ 5 เมษายน 1908 [ ทีมชาติเยอรมันในนัดแรกกับทีมชาติสวิสเซอร์แลนด์ ที่เมืองบาเซิ่ล 1908 ] ทีมชาติเยอรมัน มีสถิติที่น่าทึ่งและยิ่งใหญ่ สามารถเข้ารอบฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายได้ทุกครั้ง ที่เข้าร่วมการคัดเลือกทั้งหมด 16 ครั้ง (ยกเว้นที่ไม่เข้าร่วมคัดเลือกด้วยคือ ค.ศ.1930 และค.ศ. 1950) สามารถคว้าแชมป์โลกมาในปี 1954, 1974, 1990 ตลอดจนเป็นแชมป์ฟุตบอลแห่งชาติยุโรปในปี 1972, 1980 และ 1996... มีนักฟุตบอลที่เป็นตำนานของวงการฟุตบอลมากมาย เช่น ฟริซต์ วอลเตอร์ กับตันทีมที่นำทีมชาติเยอรมันตะวันตก เป็นแชมป์ฟุตบอลโลกครั้งแรกที่สวิสเซอร์แลนด์ ในปี 1954 และ ฟร๊านซ์ เบ็คเค็นเบาเออร์ ที่สามารถนำทีม เป็นแชมป์ฟุตบอลโลกในปี 1974 ในฐานะนักฟุตบอล ก่อนที่ในการแข่งขันฟุตบอลโลกปี 1990 ที่อิตาลี่ เขา ก็ สามารถนำทีมชาติเยอรมันคว้าแชมป์ฟุตบอลโลก มาครองได้สำเร็จอีกครั้ง ในการทำหน้าที่ในฐานะี่ทีมเชพ [ ฟริซต์ วอลเตอร,ฟร๊านซ์ เบ็คเค็นเบาเออร์ และอูเว่ ซีเลอร์ ] หรือจะเป็นนักฟุตบอลที่เป็นตำนานทำสถิติติดทีมชาติสูงสุดถึง 150 นัด อย่างโลธ่าร์ มัทเธอุส และยอดดาวยิงตลอดกาลอย่าง " เดอะ บ็อมเบอร์ " แกร์ด มุลเลอร์ ดาวยิงสูงสุด ที่สามารถทำประตูได้ถึง 68 ประตู ในการลงเล่นให้ทีมชาติเพียงแค่ 62 นัด และทําสถิติในการทำประตูสูงสุด ในการแข่งขันฟุตบอลโลกในรอบสุดท้าย โดยเขาสามารถยิงไปได้ทั้งสิ้น 14 ประตู จาการลงเล่นในฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายในปี 1970 จนถึงปี 1974 [ สุดยอดนักฟุตบอลของเยอรมัน ] รวมไปถึง อูเว่ ซีเลอร์ ผู้ผ่านการลงเล่นในฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายถึง 4 สมัย ตั้งแต่ปี1958 ทีสวีเดน จนถึงฟุตบอลโลกที่ประเทศเม็กซิโก ในปี1970 [ โลธ่าร์ มัทเธอุส นักเตะที่ทำสถิติติดทีมชาติสูงที่สุดของเยอรมัน ] จาก 100 ปีที่ผ่านมาของทีมชาติเยอรมันนั้น อินทรีเหล็กมีเทรนเนอร์คุมทีมแค่ 10 คน โดย เซปป์ แฮร์แบร์เกอร์ รับหน้าที่ยาวนานที่สุดเกือบ 28 ปี พาทีมชาติเดเอฟเบ กลายเป็น “ฮีโร่แห่งกรุงเบิร์น” คว้าแชมป์โลก 1954 เป็นหนแรก [ บุนเดสเทรนเนอร์ และทีมเชฟของเยอรมัน ] เฮลมุทเชิน ทำหน้าที่ 14 ปี จากนั้นช่วงเวลาในการนั่งในตำแหน่งลดลงไป จุ๊ปป์ แดร์วัลล์ และฟร้านซ์ แบ็คเคนเบาเออร์ คนละ 6 ปี หรือ แบร์ตี้ โฟ้กท์ส 8 ปี, รูดี้ โฟเลอร์ 4 ปี, เอริค ริบเบ็ค กับเจอร์เก้น คลิ้นส์มันน์ 2 ปี โดยล่าสุด โจอัคคิม เลิฟ เป็นบุนเดสเทรนเนอร์คนล่าสุด โดยเขาเข้ารับตำแหน่งต่อมาจากคลิ้นส์มันน์ หลังจากจบฟุตบอลโลกปี 2006 เป็นต้นมา... [ ทีมเยอรมันลงดวลแข้งกับทีมอิตาลีในปีค.ศ.1924 ] และต่อไปนี้ี่คือสมุดภาพ ที่ จะย้อนรอย กลับไปยังจุดเริ่มต้น ของตำนานความสำเร็จและล้มเหลว ที่ผ่านมาในรอบ 100 ปี ของทีมชาติเยอรมัน จากอดีต จวบจนถึงปัจจุบัน..... ........................................................................ 1934 ฟุตบอลโลกที่ประเทศอิตาลี่ (อินทรีเหล็กกับครั้งแรกในฟุตบอลโลก ) ทีมชาติเยอรมัน ไม่ได้เข้าร่วมในการแข่งขันฟุตบอลโลกในครั้งแรก ที่จัดขึ้นที่ประเทศอุรุกวัย เมื่อปี 1930 เนื่องจากเหตุผลหลายประการเช่น การใช้เวลาเดินทางที่ยาวนานหลายสัปดาห์ในเรือโดยสาร กว่าที่จะไปถึงทวีปอเมริกาใต้ และ ความไม่แน่ใจในความสำเร็จ ของการจัดการแข่งขันฟุตบอลโลกครั้งแรกของทางฟีฟ่า [ โปรแกรมโปรโมตการแข่งขันของทีมชาติเยอรมัน ในยุคที่พรรคนาซีเรืองอำนาจ ] แต่เมื่อการแข่งขันได้กลับมาจัดขึ้นในผืนแผ่นดินยุโรป ที่ประเทศอิตาลี่ ในปี 1934 คราวนี้สมาพันธ์ฟุตบอลของเยอรมัน ก็ได้ตกลงใจที่จะส่งทีมชาติเข้าร่วม ในมหกรรมการแข่งขันฟุตบอลโลกเป็นครั้งแรก ทีมเยอรมันมี อ็อตโต แน็ซ ทำหน้าที่บุนเดสเทรนเนอร์เป็นคนแรก ควบคุมทีมมาแข่งในดิินแดนแห่งรองเท้าบู๊ซ ในหนนี้ [ อ็อตโต แน็ซ บุนเดสเทรนเนอร์คนแรกของทีมเยอรมัน ] โดยทีมอินทรีเหล็กได้ลงเล่นเป็นคู่เปิดสนามของเวิล์ดคัพ 34 พบกับทีมชาติเบลเยี่ยมในวันที่ 27 พฤษภาคม ที่สนาม จิโอวานนี่เบอร์ต้า ของเมืองฟลอเรนซ์ ซึ่งทีมอินทรีเหล็กได้แสดงศักยภาพ ที่น่าเกรงขามให้แฟนฟุตบอลของอิตาลี่ได้ชม โดยทำการถล่มทีมเบลเยี่ยม ที่เคยแข่งฟุตบอลโลกหนแรกที่อุรุกวัยมาแล้ว ถึง 5 ประตูต่อ 2 เข้ารอบต่อไปได้อย่างสวยงาม [ คูโซล่าร์ , เซลล์ปานส์ และทีบูสกี้ 3 ประสานอินทรีเหล็ก ] ในรอบควอเตอร์ไฟนัล ที่แข่งกันที่สนามซานซิโร่ ของเมืองมิลาน ทีมเยอรมัน ต้องพบกับ ยอดทีมจากสแกนดิเนเวีย อย่างทีมสวีเดน ที่ในการแข่งขันรอบแรก สามารถพลิกล็อคโค่นรองแชมป์เก่าอย่างทีมอาร์เจนติน่า มาได้อย่างสุดมัน 3 ประตูต่อ 2 แต่ปาฎิหารย์ของทีมจากแดนไวกิ้ง ก็ถูกหยุดอยู่ที่รอบนี้ [ ทีมชาติเยอรมันชุดที่ไปโดนทีมชาติอังกฤษถล่ม 3-0 ที่ไวท์ฮาร์ท เลน ] เมื่อโดนทีเด็ดของ คาร์ล ฮ็อซมันส์ ผู้เล่นจากทีม วีเอฟแอล เบอร์ลัทล์ ทำคนเดียวสองประตู ในนาทีที่ 60 และ 63 ก่อนที่ทีมอินทรีเหล็กจะเอาชนะทีมไวกิ้งไปด้วยสกอร์ 2-1 โผนทะยานเข้าไปสู่รอบตัดเชือกที่โรม ก่อนใคร โดยรอที่จะพบกับผู้ชนะของทีมสวิสเซอร์แลนด์ ที่จะแข่งกับทีมเช็คโกสโลวาเกีย และในที่สุดในรอบรองชนะเลิศ ที่กรุงโรม ทีมอินทรีเหล็กก็ลงสนามพบกับทีมเช็คฯ ที่พลิกกลับมาเอาชนะสวิสเซอร์แลนด์ ได้อย่างสุดตื่นเต้น 3 ประตูต่อ 2 ด้วยประตูชัยในนาทีที่ 82 ของ โอลด์ดริจ เน็จเร่ห์ ยอดดาวซัลโวของทีมเช็็คฯ [ ฟริซต์ เซลล์ปานส์ กับตันทีมเยอรมันจับมือกับ พลานิ๊กก้าผู้รักษาประตูกับตันทีมเช็็คฯ ] เมื่อการแข่งขันเริ่มต้นขึ้น ทั้งสองทีมต่างผลัดกันรุกและรับอย่างตื่นเต้น จนเมื่อเวลาผ่านมาถึงนาทีที่ 19 ของการแข่งขัน กองหลังของทีมเยอรมันก็พลาดเป็นครั้งแรกของเกมส์ และผลที่ได้รับก็คือ การเสียประตูของทีมโดยการยิงของโอลด์ดริจ เน็จเร่ห์ ดาวยิงประจำทีมเช็คฯนั่นเอง หลังจากเสียประตูไปทีมอินทรีเหล็กก็เปิดเกมส์บุกแหลก เพื่อตามเอาประตูที่เสียไปคืนมา และแล้วเมื่อเข็มของนาฬิกาสนามผ่านไปจนถึงนาทีที่ 62 รูดอร์ฟ โนอักซ์ก็ทำประตูให้กับเยอรมันตีเสมอได้สำเร็จ [ เกมรอบรองชนะเลิศฟุตบอลโลก 1934 เยอรมันปะทะเช็คโกสโลวาเกีย ] ต่อจากนั้นทีมอินทรีเหล็กก็ได้ใจ ดาหน้าเปิดเกมส์บุกหวังที่จะถล่มทีมเช็คฯให้แหลกคามือ และผลของการเล่นเกมส์รุกโดยไม่สนใจหลังบ้าน ทีมเช็คฯจึงอาศียจังหวะโต้กลับ ทำประตูนำไปอีกโดยเน็จเร่ห์ คนเดิมในนาทีที่ 71 เมื่อโดนนำไปอีกครั้งเยอรมันก็เหมือนโดนสะกดให้มึนไปทั้งทีม [ พอล ไซร์ลินส์กี้ , ฟริซต์ เซลล์ปานส์ และ วิลลี่ บุสต์ ] และในนาทีที่ 80 โอลด์ดริจ เน็จเร่ห์ ก็สอดขึ้นมายิงประตูปิดท้ายเป็นแฮทริก ทำให้เช็คโกสโลวาเกีย สามารถเอาชนะทีมเยอรมันไปได้ 3-1 ผ่านเข้าไปชิงชนะเลิศกับทีมอิตาลี่ชาติเจ้าภาพต่อไป ปล่อยให้ทีมอินทรีเหล็กใจสลายต้องไปเล่นเกมส์ชิงที่ 3 กับทีมออสเตรียที่พ่ายให้กับอิตาลี่มา 1 ประตูต่อ 0 [ พลานิ๊กก้า( เช็คฯ ) , คอมบิ ( อิตาลี่ ) และ ฟริซต์ เซลล์ปานส์ ( เยอรมัน ) ] ในนัดชิงที่ 3 ทีมเยอรมันก็ไม่ยอมแพ้ต่อทีมบ้านพี่เมืองน้อง อินทรีเหล็กสามารถคว้าตำแหน่งที่ 3 มาครองได้สำเร็จโดยการเอาชนะออสเตรียไปได้ 3-2 ที่สนามจิออจิโอ อัสคาเรลลี่ในเมืองเนเปิ้ล ถือเป็นการเปิดหน้าความสำเร็จของทีมอินทรีเหล็ก ในการแข่งขันในทัวนาเมนท์ระดับชาติ ได้อย่างสวยงาม... ........................................................................ 1938 ฟุตบอลโลกที่ประเทศฝรั่งเศส ( เวิล์ดคัพกลางไฟแห่งสงคราม ) หลังจากความล้มเหลวของทีมชาติเยอรมัน ในการแข่งขันฟุตบอลในกีฬาโอลิมปิคที่เบอร์ลินปี 1936 ที่ไม่สามารถที่จะคว้าเหรียญทองมาครองได้ โดยลูกทีมของอ็อตโต แน็ซ พ่ายให้กับม้านอกสายตา อย่างทีมจากนอร์เวย์ ไป 2-0 ต่อหน้าต่อตาของอด็อฟ ฮิตเล่อร์ ที่เข้ามาชมเกมอยู่ด้วย ที่โอลิมปิค สตาดิโอน กรุงเบอร์ลิน < [ อ็อตโต แน็ซ และผู้ช่วยมือขวา เซปป์ แฮร์แบร์เกอร์ ] ทำให้อ็อตโต แน็ซ ต้องยุติเส้นทาง ของการเป็นบุนเดสเทรนเนอร์ของทีมเยอรมันไปในปี 1937 และได้เซปป์ แฮร์ืแบร์เกอร์อดีตผู้ช่วยมือขวาของเขา มาเป็นกุนซือคนใหม่ของทีมเยอรมัน เตรียมความพร้อมที่จะเข้าร่วมการแข่งขันฟุตบอลโลกปี 1938 ที่ฝรั่งเศสจะเป็นเจ้าภาพ โดยการเข้ามาเปลี่ยนแปลงของแฮร์ืแบร์เกอร์ ผลงานของทีมเยอรมันดูจะกระเตื้องขึ้นมาอย่างทันตา จากฟอร์มอันแข็งแกร่งในการปูพรมถล่มทีมเดนมาร์กไป 8 ประตูต่อ 0 ในการอุ่นแข้งก่อนฟุตบอลโลกจะเริ่มต้นขึ้น ได้สร้างขวัญและกำลังใจให้กับทีมอินทรีเหล็กเป็นอย่างยิ่ง [ " วันเดอร์ทีม " ทีมชาติออสเตรียสุดยอดทีมแห่งยุค 30 ] และผลจากเกมการเมืองที่อด็อฟ ฮิตเล่อร์ ได้ทำการผนวกประเทศออสเตรียให้กลับเข้ามาเป็น ของเยอรมันในเดือนมีนาคมปี1937 ทำให้ " เดอะ วันเดอร์ทีม " ทีมชาติออสเตรีย ที่ถือกันว่าเป็นสุดยอดทีมแห่งยุคนั้น ต้องถึงแก่กาลยุติลงไป เพราะนักเตะที่เคยร่วมอยู่ในทีมออสเตรียชุดนี้5-6 คน ได้โอนย้ายเข้ามาร่วมกับทีมชาติเยอรมันอย่างหน้าตาเฉย ตามนโยบายแห่งอาณาจักร ไรซ์ที่ 3 ในเวลานั้น ทำให้ทีมเยอรมันมีความแข็งแกร่งเพิ่มมากยิ่งขึ้นเป็นเท่าตัว... [ นักฟุตบอลทีมเยอรมันทำความเคารพแบบนาซีก่อนการเตะนัดเปิดสนามกับสวิสเซอร์แลนด์ ] เยอรมันได้เตะกับทีมสวิสเซอร์แลนด์เป็นคู่เปิดสนามของฟุตบอลโลก 1938 ที่สนามปาร์ค เดอ แปรงค์ ในกรุงปารีส เมื่อวันที่ 4 มิถุนายน ท่ามกลางคนดู 27,000คน แต่ทั้งสองทีมเล่นกันแบบระวังตัวกันจนเกินไป เอาแต่ระมัดระวัง ทำให้เกมในช่วงแรกดูเนือยๆ จนกระทั่ง จุ๊บป์ เกาเชลล์ ศูนย์หน้าของทีมเยอรมัน ได้จังหวะซัดลูกผ่านมือของวิลลี่ ฮูเบอร์ ผู้รักษาประตูของทีมสวิสฯเข้าไปได้ก่อนในนาทีที่ 29 ของการแข่งขัน [ สองกับตันทีมจับมือกันก่อนเตะในนัดเปิดสนามฟุตบอลโลก 1938 ] แต่ก่อนที่จะจบครึ่งเวลาแรกเพียง 2 นาที อังเดร อาเบ็กเกรน กองหลังของทีมสวิสฯ ก็ดอดขึ้นมาทำประตูตีเสมอได้ และครึ่งเวลาหลังทั้งสองทีมก็ไม่สามารถที่จะทำประตูเพิ่มได้อีก ทำให้เสมอกันไป 1-1 ต้องไปเตะกันใหม่ในนัดรีเพลย์อีก 5 วันถัดมา... การแข่งขันในนัดรีเพลย์ มีขึ้นในวันที่ 9 มิถุนายน ที่สนามปาร์ค เดอ แปรงค์ เช่นเดิม ท่ามกลางสักขีพยานชาวเมืองปารีส 22,000 คน เกมเริ่มต้นขึ้นด้วยความตื่นเต้น ผิดจากเกมในนัดเปิดสนามอย่างสิ้นเชิง เยอรมันมาแนวใหม่ เปิดเกมบุกถล่มใส่สวิสเซอร์แลนด์แบบไม่ให้ตั้งตัว ตั้งแต่เสียงนกหวีดจากกรรมการเอ็กลินด์ชาวสวีเดนดังขึ้น และเพียงแค่นาทีที่ 8 เท่านั้นเยอรมันก็ขึ้นนำสวิสฯไปก่อน จากการทำประตูของวิลเฮมส์ ฮานนิมันน์ อดีตนักเตะของทีมชาติออสเตรีย และดูราวกับว่าประตูสู่รอบต่อไป ของทีมอินทรีเหล็กจะเปิดกว้างยิ่งขึ้นอีก เมื่อเออเนส โล็ทเชอร์ กองหลังของสวิสเซอร์แลนด์ สกัดบอลพลาดเข้าประตูตัวเองในนาทีที่ 22 [ รูดอลฟ์ เราวท์ ผู้รักษาประตูของเยอรมันระวังการบุกจากกองหน้าของสวิสฯ ] แต่ก่อนที่จะจบครึ่งแรก ยูจีน วอลลาสเช็็ค ก็ยิงประตูตีตื้นให้สวิสฯตามมาเป็น 1-2 ในนาทีที่42 ครึ่งหลังเริ่มขึ้นมากลับเป็นทีมสวิสฯ ที่เรื่มหันมาชวนเยอรมันมาเล่นเกมเปิด ผลัดกันรุกและรับอย่างน่าตื่นเต้น เยอรมันเกือบที่จะทำประตูหนีห่างออกไปได้อีกหลายครั้งหลายหน แต่กองหน้ากับยิงพลาดกันไปหมด เกมดำเนินมาถึงนาทีที่ 64 ความพยายามของทีมสวิสฯก็บรรลุผล เฟร็ดดี้ บิ๊กเกล สามารถทำประตูตีเสมอ 2-2 ให้กับทีมได้ หลังจากที่นำห่างสองลูกกลับมาโดนตีเสมอ เยอรมันก็เริ่มปั่นป่วน ทำเกมไม่ขึ้นต้องตกเป็น ฝ่ายที่ตั้งรับการบุกเป็นพายุของทีมสวิสเซอร์แลนด์ ที่ได้กำลังใจจากกองเชียร์ชาวฝรั่งเศสซึ่งไม่ค่อย จะชอบชาวเยอรมันคอยหนุน และเมื่อเหลือเวลาของการแข่งขันอีกเพียง 15 นาทีจะหมดเวลา อังเดร อาเบ็กเกรน ผู้ที่ทำประตูให้สวิสฯเสมอมาในนัดแรก ก็สบโอกาสที่กองหลังของเยอรมันประกบพลาด ยิงประตูให้สวิสฯออกนำไป3-2 [ รูดอลฟ์ เราวท์ ผู้รักษาประตูของเยอรมัน และ เฟร็ดดี้ บิ๊กเกล ของทีมสวิสเซอร์แลนด์ ] และไม่ทันที่จะให้ทีมอินทรีเหล็กได้มีเวลาตั้งตัว ในอีก 2 นาทีต่อมา อาเบ็กเกรน ก็ทำประตูที่สองของตัวเองและเป็นประตูชัย ให้สวิสเซอร์แลนด์ เอาชนะทีมเยอรมันไปได้ 4-2 ส่งทีมอินทรีเหล็กกลับบ้านไปเพียงแค่รอบแรกเท่านั้นเอง และพวกเขาต้องรอเวลาในการที่จะกลับมาเล่น ในฟุตบอลโลกอีกครั้งถึง 16 ปี เพราะต่อมาไม่นานนัก อด็อฟ ฮิตเล่อรได้ทำให้์ทั้งยุโรปและทั่วโลก ต้องตกอยู่ในไฟของสงครามโลกครั้งที่ 2 ไปจนกว่าจะถึงปี คศ.1945 เลยทีเดียว........ .................................................................... ~ คอยพบกับย้อนตำนานอินทรีเหล็กตอนที่ 2....ยุคทองของอินทรี " มหัศจรรย์แห่งเบิร์น " อีกไม่นานเกินรอ!!!!! credit : ข้อมูลบางส่วนจากคอลัมน์ - ช่อคูณชวนคุย หนังสือพิมพ์สยามกีฬาสตาร์ซอคเกอร์ .............................................................................
Create Date : 24 มิถุนายน 2551
Last Update : 6 ตุลาคม 2552 1:53:18 น.
27 comments
Counter : 2709 Pageviews.
โดย: พรหมญาณี วันที่: 24 มิถุนายน 2551 เวลา:12:50:34 น.
โดย: porranat วันที่: 24 มิถุนายน 2551 เวลา:17:59:59 น.
โดย: porranat วันที่: 24 มิถุนายน 2551 เวลา:18:07:49 น.
โดย: porranat วันที่: 25 มิถุนายน 2551 เวลา:7:09:09 น.
โดย: พรหมญาณี วันที่: 25 มิถุนายน 2551 เวลา:8:13:22 น.
โดย: พรหมญาณี วันที่: 25 มิถุนายน 2551 เวลา:11:29:43 น.
โดย: พรหมญาณี วันที่: 25 มิถุนายน 2551 เวลา:19:41:09 น.
โดย: พรหมญาณี วันที่: 25 มิถุนายน 2551 เวลา:19:41:16 น.
โดย: พรหมญาณี วันที่: 26 มิถุนายน 2551 เวลา:8:50:31 น.
โดย: พรหมญาณี วันที่: 26 มิถุนายน 2551 เวลา:8:55:59 น.
โดย: porranat วันที่: 27 มิถุนายน 2551 เวลา:7:07:31 น.
โดย: พรหมญาณี วันที่: 27 มิถุนายน 2551 เวลา:10:03:19 น.
โดย: porranat วันที่: 27 มิถุนายน 2551 เวลา:12:36:35 น.
โดย: สาวอิตาลี วันที่: 27 มิถุนายน 2551 เวลา:12:57:44 น.
Location :
กรุงเทพฯ Thailand
[ดู Profile ทั้งหมด]
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [? ]
ผู้ชายธรรมดา มีความฝันที่ยังไปไม่ถึง แต่ไม่เคยคิดท้อที่จะทำความฝันนั้น ให้เป็นจริง... " SHINE ON YOU CRAZY DIAMOND " Remember when you were young, you shone like the sun. Shine on you crazy diamond. Now there's a look in your eyes, like black holes in the sky. Shine on you crazy diamond. You were caught on the crossfire of childhood and stardom, blown on the steel breeze. Come on you target for faraway laughter, come on you stranger, you legend, you martyr, and shine! You reached for the secret too soon, you cried for the moon. Shine on you crazy diamond. Threatened by shadows at night, and exposed in the light. Shine on you crazy diamond. Well you wore out your welcome with random precision, rode on the steel breeze. Come on you raver, you seer of visions, come on you painter, you piper, you prisoner, and shine! Nobody knows where you are, how near or how far. Shine on you crazy diamond. Pile on many more layers and I'll be joining you there. Shine on you crazy diamond. And we'll bask in the shadow of yesterday's triumph, and sail on the steel breeze. Come on you boy child, you winner and loser, come on you miner for truth and delusion, and shine!
ปอเอากาแฟมาเสริฟค่ะ
แวะไปเที่ยวอีกบ่อยๆ นะคะ งุงิ
/>