......Romancini......
Group Blog
 
 
มิถุนายน 2555
 
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
24252627282930
 
22 มิถุนายน 2555
 
All Blogs
 

ย้อนตำนานอินทรีเหล็ก ( ตอนที่ 13 ป้องกันแชมป์ยุโรป 1976 )







ภายหลังจากที่ทีมเยอรมันตะวันตก เป็นแชมป์ยุโรปในปี 1972
และยังสามารถครอบครองตำแหน่งแชมป์โลกในปี 1974 ได้อย่างยิ่งใหญ่แล้ว
ทีมอินทรีเหล็กก็กลายเป็นสุดยอดทีมฟุตบอลที่ไร้เทียมทานแห่งยุค 70
อีกทั้ง แกนนำหลักในทีมชุดนี้ ที่เล่นอยู่กับสโมสรบาเยิร์น มิวนิค
อย่างเช่น ฟร๊านซ์ เบ็คเคนบาวเออร์ , เซปป์ ไมเออร์ , เกิร์ด มุลเลอร์
จอร์จ ซวาเซนเบ็ค และ อูลี่ เฮอเนส
ยังสามารถนำทีมบาเยิร์น มิวนิค ครองตำแหน่งแชมป์สโมสรยุโรปอีก 3 ครั้งซ้อน
ในปี 1974 , 1975 และ 1976
นี่คือยุคสมัยแห่งความสำเร็จของวงการฟุตบอลเยอรมันตะวันตกอย่างแท้จริง



[ ฟร๊านซ์ เบ็คเคนบาวเออร์พาทีมบาเยิร์น มิวนิคครองแชมป์ยูโรเปี้ยนคัพ 3 สมัย ]


แต่ความเปลี่ยนแปลง ก็ยังเป็นสิ่งที่ไม่อาจจะต้านทานได้
หลังจากการคว้าแชมป์โลกในปี 1974 แล้ว
บุนเดสเทรนเนอร์ เฮลมุต เชิร์น ก็ต้องสูญเสียนักเตะสำคัญของทีมไปหลายตำแหน่ง
เริ่มจากโวลฟกังค์ โอเวอร์รัธ มิดฟิลด์จอมเก๋าประกาศยุติบทบาทในทีมชาติไปหลังจากกรำศึกมาตั้งแต่ปี 1966
“ คนหัวแข็ง “ พอล ไบร์ทเนอร์ ก็หันหลังให้ทีมชาติไปอีกคน
เพื่อมุ่งมั่นกับการออกไปค้าแข้งที่สเปน กับทีมรีล มาดริดเช่นเดียวกับกุนเธ่อร์ เนตเช่อร์
และผู้เล่นในตำแหน่งที่สำคัญที่สุด ที่ทีมอินทรีเหล็กต้องสูญเสียไป
ก็คือ “ แดร์ บอมเบอร์ “ เกิร์ด มุลเลอร์ ดาวยิงจอมถล่มประตู ก็อำลาทีมไปอีกคน



[ พอล ไบร์ทเนอร์ และ กุนเธ่อร์ เน็ตเช่อร์ในสีเสื้อทีมรีล มาดริด ]


แต่คลื่นลูกใหม่ก็ยังคงสาดซัด ทับลูกเก่าอยู่เสมอมา
ทีมเยอรมันตะวันตก ก็มีดาวรุ่งดวงใหม่เข้ามาสู่ทีมเป็นการทดแทนผู้ที่เลิกลาไป
“ ไอ้แปดนิ้ว “ เบอร์นาร์ด ดีทซ์ กองหลังเชิงสูงจากทีมดุ๊ยส์บวกส์
ก้าวเข้ามาทดแทนตำแหน่งของ พอล ไบร์ทเนอร์ได้อย่างลงตัว
2 ดาวรุ่งอย่าง ฮานส์ บองก๊าซต์ และ ไฮนซ์ โฟลห์ โดดเด่นอย่างมากมายในแดนกลาง


[ ไฮนซ์ โฟลห์ มิดฟิลด์ดาวโรจน์จากทีมโคโลญจน์ ]


ส่วนในแดนหน้านั้น เฮลมุต เชิร์น ได้อีก 1 มุลเลอร์ มาทดแทนไอ้ลูกระเบิด อย่างรวดเร็ว
ดีเตอร์ มุลเลอร์ จอมถล่มประตูดาวรุ่งดวงใหม่วัย 22 ปี จากทีม วันเอฟซี โคโลญจน์
เขามี วิญญาณเพชฌฆาต และ ทักษะในการล่าตาข่าย ไม่แตกต่างไปจากเกิร์ด มุลเลอร์ แม้แต่น้อย


[ ดีเตอร์ มุลเลอร์ ศูนย์หน้าจอมล่าตาข่ายจากทีมแพะบ้าโคโลญจน์ ]


เมื่อประสานเข้ากับแกนหลักจากชุดฟุตบอลโลก 74 ที่ยังคงแข็งแกร่ง
อย่าง “ ไกเซอร์ “ ฟร๊านซ์ เบ็คเคนบาวเออร์ จอมทัพของทีม , แบร์ตี้ โฟ้กท์ส , อูลี่ เฮอเนส ,
เบิร์น โฮลเซนบายน์ และ ไรเนอร์ บอนฮอฟ
ทำให้ทีมอินทรีเหล็ก ที่จะต้องมีภารกิจในการป้องกันตำแหน่งแชมป์ยุโรป ปี 1976 นั้น
ยังคงความน่าเกรงขาม ต่อทุกๆทีมที่จะต้องลงสนามเผชิญหน้าด้วย.....



[ จุ๊ปป์ ไฮยเก้ และ แบร์ตี้ โฟ้กท์ส คู่หูจากโบรุสเซีย มึนเช่น กลัดบัค ]


ในรอบคัดเลือกศึกฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 1976 นั้น
ทีมอินทรีเหล็กเยอรมันตะวันตกในฐานะแชมป์เก่า ถูกจัดให้อยู่ในกลุ่มที่ 8
โดยมีเพื่อนร่วมกลุ่มอย่าง กรีซ , บัลแกเรีย และ มัลต้า
ซึ่งดูแล้ว หนทางสู่รอบ 4 ทีมสุดท้ายของทีมอินทรีเหล็กเปิดกว้างอย่างมากมาย
แต่ไปๆมาๆ แชมป์เก่าดันเจองานยากกว่าที่คิดไว้......



[ เบ็คเคนบาวเออร์ , ไมเออร์ และ เบิร์น คูลมันส์ 3 ผู้เล่นสำคัญของทีมอินทรีเหล็ก ]

เกมแรกในรอบคัดเลือกนั้น
ทีมอินทรีเหล็กต้องยกพลออกไปเยือนกรีซ ที่กรุงเอเธนส์ในวันที่ 20 พฤศจิกายน 1974
เมื่อเจอทีเด็ดจากจิออจิออส เดลิคาลิซ เจ้าของฉายา “ จานนี่ ริเวียร่า แห่งกรีซ “
ซัดให้เจ้าบ้านขึ้นนำแชมป์เก่าไปอย่างรวดเร็ว เพียงแค่ 13 นาทีเท่านั้น
แชมป์ยุโรปเก่าและแชมป์โลกทีมล่าสุด ก็มีอาการเป๋ไปไม่เป็น เลยทีเดียว
เกมในครึ่งเวลาแรกนั้น ตกเป็นของเจ้าบ้านจนหมดสิ้น
กรีซสร้างเกมบุกกดดันเยอรมันตะวันตก ได้อย่างน่ากลัว
ดีที่ เซปป์ ไมเออร์ ยอดนายทวารยังคงความเหนียวหนึบอยู่ ทำให้เยอรมันรอดพ้นการเสียประตูที่ 2 ไปได้



[ ทัพอินทรีเหล็กชุดป้องกันตำแหน่งแชมป์ในยูโรปี 1976 ]


เมื่อกลับลงมาเล่นกันในครึ่งเวลาหลัง
ลูกทีมของเฮลมุต เชิร์น มีอาการกระเตื้องขึ้นมาหลังจากที่ เบิร์น คูลมันส์ ซัดประตูตีเสมอได้ในนาทีที่ 51
เกมกลับมาเป็นของฝ่ายอินทรีเหล็กบ้างแล้ว แชมป์โลกพาบอลบุกถล่มใส่เจ้าบ้านอย่างน่ากลัว
กรีซก็เปิดเกมแลกกับเยอรมันแบบไม่มีเกรงศักดิ์ศรี
และแล้วในนาทีที่ 70 เยอรมันที่บุกอยู่เพลินๆ ก็โดนทีเด็ดของเจ้าบ้านอีกครั้ง
เมื่อ คอสทร๊าซ อีเลฟเธอราคิซ มิดฟิลด์เชิงสูง ได้จังหวะซัดบอลเต็มแรง
ลูกพุ่งวาบผ่านมือของไมเออร์ไปนอนสงบนิ่งอยู่ที่ก้นตาข่ายอย่างงดงาม ให้กรีซออกนำไปเป็น 2 – 1



[ เซปป์ ไมเออร์ เจองานหนักกว่าที่คาดในรอบคัดเลือกยูโร 1976 ]


คราวนี้พลพรรคอินทรีเหล็ก ก็อยู่นิ่งเฉยไม่ได้แล้ว
10 ขุนพลเยอรมันตะวันตกลุยแหลก ดาหน้าบุกถล่มปูพรมบอมบ์ใส่กรีซเป็นระลอก
จนก่อนหมดเวลา 7 นาที ความพยายามของทีมอินทรีเหล็กก็สำฤทธิ์ผล
เมื่อ เฮอร์เบิร์ต วิมเมอร์ มิดฟิลด์ไดนาโม จากทีมโบรุสเซีย มึนเช่น กลัดบัค
ได้จังหวะซัดไกลเกือบ 30 หลา ลูกพุ่งเลียดเฉียดเสาผ่านมือของนายทวารกรีซ
เข้าประตูไปอย่างสุดงามงด ให้เยอรมันตะวันตกปืนขึ้นมาจากหลุม
กลับมาตีเสมอกรีซได้ 2 ประตูต่อ 2 คว้า 1 แต้มสุดสำคัญออกมาจากดินแดนเทพเจ้าได้อย่างทุลักทุเลจริงๆ



[ เฮอร์เบิร์ต วิมเมอร์ จอมทัพแห่งกลัดบัค ]


เกมนัดต่อมาอินทรีเหล็กยังคงโชว์ฟอร์มบู่ ไม่เลิกรา
เมื่อทำได้เพียง 1 ประตูจากเบิร์น คูลมันส์ ในการออกไปเยือนสมันน้อยมัลต้า
เก็บ 2 แต้มกลับบ้านท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์ อย่างสาดเสียเทเสีย
จากบรรดาหนังสือพิมพ์กีฬาในประเทศเยอรมันตะวันตก ที่อดสูกับฟอร์มที่สุดทนของทีมแชมป์โลก
ในวันที่ 27 เมษายน ปี 1975 เยอรมันตะวันตกต้องลงเล่นนัดที่ 3 กับทีมบัลแกเรีย
การออกไปเยือนโซเฟีย ถิ่นของทีมบัลแกเรียในยามที่ฟอร์มของทีมหล่นหายแบบนี้
นับเป็นเรื่องที่น่าหวาดหวั่นใจแก่ขุนพลอินทรีเหล็กจริงๆ
และรูปเกมก็เป็นไปตามคาด…
เยอรมันเล่นได้ไร้รูปแบบเหมือนเคย ต่างคนต่างเล่น ต่างคนต่างทำ สะเปะสะปะไปหมด
เกมในครึ่งเวลาแรกที่จบลงด้วยการเสมอกันอยู่ที่ 0 – 0 นั้น
ดูจะสร้างความอึดอัดใจให้แก่ 11 ขุนพลอินทรีเหล็กจริงๆ โอกาสในการพังประตูแทบจะไม่มีให้เห็นเลย
เกมการเล่นของทีมเยอรมันตะวันตก ดูติดขัด ขาดๆเกินๆ ไปซะหมด



[ บุนเดสเทรนเนอร์ เฮลมุต เชิร์น และผู้ช่วยมือขวา จุ๊ปป์ แดร์วาล์ด ]


ครึ่งเวลาหลังนั้น เกมก็ยังคงเป็นไปในรูปแบบเดิม
การเล่นที่รุนแรงทำให้เกมไม่ลื่นไหล ทั้งสองทีมหันมาเตะคนมากกว่าเตะลูกฟุตบอลซะแล้ว
และในนาทีที่ 71 บัลแกเรียก็ได้ลูกโทษที่จุดโทษ เมื่อแบร์ตี้ โฟ้กท์ส ไปทำฟลาว์ในเขตโทษ
โบซิล โคเรฟ ไม่มีพลาดซัดให้เจ้าถิ่นขึ้นนำแชมป์เก่าไป 1 – 0
แต่บัลแกเรีย ดีใจได้เพียงแค่ 4 นาทีเท่านั้น ก็ต้องสียลูกจุดโทษคืนให้กับเยอรมันบ้าง
มานเฟร็ด ริชเชล อัดบอลเต็มแรงจนตาข่ายแทบขาดเป็นประตูสุดสำคัญ
ให้เยอรมันตีเสมอบัลแกเรียได้ 1 – 1 เก็บ 1 แต้มกลับบ้านได้แบบน่าผิดหวังจริงๆ



[ จุ๊ปป์ ไฮย์เก้ ในเกมที่ทัพอินทรีเหล็กออกไปเยือนบัลแกเรียที่โซเฟีย ]


2 เกมในบ้านของทีมเยอรมันนั้น ก็ยังคงความห่วยอยู่ไม่เลิกรา
11 ตุลาคม 1975 อินทรีเหล็กเปิดไรน์ สตาดิโอน ในดุ๊สเซนดอลฟ์เสมอกับกรีซไป 1 ประตูต่อ 1
โดย จุ๊ปป์ ไฮส์เก้ ซัดให้อินทรีเหล็กขึ้นนำไปก่อน ในนาทีที่ 68
แต่จอมแสบจิออจิออส เดลิคาลิซ ก็มาทำประตูให้กรีซตีเสมอได้ในนาที 78
ในวันที่ 19 พฤศจิกายน 1975 ที่เน็คค่า สตาดิโอน เมืองสตุ๊ตการ์ด
อินทรีเหล็กก็ได้ประตูโทน ประตูเดียวของ จุ๊ปป์ ไฮส์เก้ ในนาทีที่ 64
ทำให้เฉือนชนะบัลแกเรียไปแบบเฉียดฉิว 1 ประตูต่อ 0
มาถึงตอนนี้ อินทรีเหล็กแข่งไป 5 นัด มี 7 คะแนนเท่ากับกรีซ
แต่ว่ากรีซนั้นลงเตะครบ 6 นัดไปแล้ว ส่วนอินทรีเหล็กยังเคงหลือเกมนัดสุดท้ายกับมัลต้าอยู่
ซึ่งผลเพียงแค่เสมอ ก็จะเพียงพอต่อการเข้าไปเล่นในรอบต่อไปได้แล้ว
แต่ขุนพลอินทรีเหล็กหวังที่จะใช้เกมนัดสุดท้ายนี้ เรียกฟอร์มที่หล่นหายไปกลับคืนมาให้ได้....



[ ฟร๊านซ์ เบ็คเคนบาวเออร์ จอมทัพของบาเยิร์น มิวนิคและเยอรมันตะวันตก ]


และสมันน้อยมัลต้า ก็ต้องกลายเป็นเหยื่ออันโอชะให้แก่ฝูงอินทรี
ที่เวสต์ฟาเล่น สตาดิโอน ในดอร์ทมุนด์ วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 1976 นั้น
เยอรมันตะวันตก ปูพรมถล่มใส่มัลต้า จนเล่ะเป็นโจ๊กโดนระเบิดกระจัดกระจาย
ขุนพลอินทรีเหล็กดาหน้าผลัดกันเข้าทำประตูอย่างสนุกสนาน
จบเกมนั้น มัลต้าต้องแบกประตูกลับบ้านจนหลังแอ่น
เมื่อโดนเยอรมันทิ้งบอม์บไปกระจายถึง 8 ประตูต่อ 0 !!!



[ อินทรีเหล็กบอมบ์สมันน้อยมัลต้ากระจุยกระจาย 8 ประตูต่อ 0 ที่เวสต์ฟาเล่น ]


ในรอบก่อนรองชนะเลิศยูโร 76 นั้น จะเล่นกันแบบเหย้า - เยือน
เยอรมันตะวันตกจับติ้วโคจรมาเจอกับทีมกระทิงดุสเปน
โดยพลพรรคอินทรีเหล็ก จะต้องออกไปเยือนถิ่นกระทิงดุก่อนในนัดแรก
แล้วกลับมาเปิดบ้านรับมือสเปน ในนัดที่ 2 ซึ่งจะทำให้อินทรีเหล็กมีความได้เปรียบอยู่นิดๆ
เกมนัดแรกเล่นกันเมื่อวันที่ 24 เมษายน 1976 ที่สนามวินเซนเต้ กัลเดรอน ในมาดริด
ทีมกระทิงดุเจ้าถิ่นออกตัวอย่างร้อนแรง
ได้ประตูออกนำอินทรีเหล็กไปอย่างรวดเร็วเพียงแค่นาทีที่ 21 เท่านั้นเอง
เมื่อ ซานติลาน่า หัวหอกอันตรายจอมถล่มประตูจากทีมสโมสรรีล มาดริด
ได้จังหวะส่องไกลอย่างสุดสวย บอลพุ่งเสียบตาข่ายชนิดที่ เซปป์ ไมเออร์ ป้องกันได้เพียงแค่สายตาเท่านั้น



[ เยอรมันตะวันตกพบสเปนในรอบก่อนรองชนะเลิศยูโร 1976 ]


แต่ถึงจะโดนนำไปก่อนพลพรรคอินทรีเหล็กก็ไม่มีลนลาน
วันนี้ 11 ขุนพลเยอรมันตั้งใจเล่นกันอย่างเต็มที่
เพราะเวลาของเกมยังเหลืออยู่อีกเป็นชั่วโมง หากไม่เสียลูกที่ 2 ให้เจ้าถิ่นอีก
โอกาสของทีมอินทรีเหล็กก็ยังคงเปิดกว้างอยู่เสมอ
ถึงแม้ว่าทีมเสปนจะขึ้นนำเร็ว แต่ก็ไม่สามารถกดดันเยอรมันได้อย่างใจคิด
จนแล้วจนรอดสเปนก็ไม่สามารถทำประตูที่ 2 หนีห่างอินทรีเหล็กไปได้อีกจนจบ 45 นาทีแรก


[ ศึกแห่งศักดิ์ศรี...อินทรีเหล็ก - กระทิงดุ ]


เมื่อครึ่งเวลาหลังเริ่มต้นขึ้นมา
เกมกลับมาเป็นของพลพรรคอินทรีเหล็กทันที
สเปนไม่คิดเปิดหน้าสู้ เอาแต่พยายามรักษาประตูโทนที่ออกนำอยู่นั้นเอาไว้ให้ได้
โอกาสของเยอรมันมีเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ตามเวลาที่เดินผ่านไป
จนในนาทีที่ 60 ความพยายามของอินทรีเหล็กก็สำฤทธิ์ผล
เมื่อ ไอริธ เบียร์ กองกลางจอมขยันจากทีมแฮร์ธ่า เบอร์ลิน
ซัดด้วยซ้ายเต็มแรงบอลพุ่งผ่านมือของนายทวารเจ้าถิ่นไปนอนสงบนิ่งที่ก้นตาข่ายอย่างสวยงาม
1 – 1 เยอรมันตะวันตกได้ประตูสุดสำคัญ ทำเอากองเชียร์แดนกระทิงดุเกือบ 6 หมื่นคนในสนามเงียบกริบ



[ ไอริธ เบียร์ ฮีโร่ผู้ซัดประตูสุดสำคัญในศึกแห่งมาดริด ]


1 เดือนต่อมา….
วันที่ 22 พฤษภาคม 1976 สนามโอลิมปิค สตาดิโอน ในเมืองมิวนิค แน่นขนัด
ฝูงชนกว่า 8 หมื่นคนเข้ามาเป็นสักขีพยานในเกมนัดที่ 2
ที่ทีมชาติเยอรมันตะวันตกเปิดบ้านรับการมาเยือนของทีมสเปนบ้าง
และทุกอย่างก็เข้าทางของทีมอินทรีเหล็กตั้งแต่ต้นเกม
เมื่อเวลาผ่านไปเพียงแค่ 17 นาทีเท่านั้น อูลี่ เฮอเนส ก็พังประตูให้เจ้าถิ่นออกนำไปอย่างรวดเร็ว 1 – 0
ทำให้ประตูรวม 2 นัดนั้น เยอรมันตะวันตกออกนำไปเป็น 2 – 1 แล้ว
สเปนตั้งเกมบุกไม่ได้เลยในวันนี้ โดนเยอรมันกดดันใส่อย่างหนักตลอดครึ่งชั่วโมงแรกของเกม



[ อูลี่ เฮอเนส เล่นได้เยี่ยมวันอินทรีเหล็กถลกหนังกระทิง ]


และก่อนที่จะหมดเวลาการแข่งขันในครึ่งแรก 2 นาทีเจ้าถิ่นก็ได้ประตูที่ 2 จากการทำประตูของเคร๊าส์ ท๊อปโมลเลอร์
เยอรมันตะวันตกออกนำไปเป็น 2 ประตูต่อ 0 ส่วนประตูรวม 2 นัดก็หนีออกไปเป็น 3 – 1 แล้ว



[ เคร๊าส์ ท๊อปโมลเลอร์ ทำประตูยํ้าชัยชนะเหนือสเปน ]

ครึ่งเวลาหลัง เยอรมันก็ไม่ปล่อยให้สเปนได้โอกาสกลับมาอีกเลย
เมื่อครบ 90 นาที อินทรีเหล็กก็ทำได้สำเร็จ
โบยบินเข้าไปป้องกันแชมป์ยุโรป ในรอบ 4 ทีมสุดท้ายตามเปาหมายที่วางเอาไว้ได้....



[ อุลี่ เฮอเนส และ ป้ายประกาศสกอร์ที่อินทรีเหล็กกำราบกระทิงดุ 2 - 0 ที่มิวนิค ]


ในรอบรองชนะเลิศ ยูโร 1976 นั้น นอกเหนือจากแชมป์เก่าเยอรมันตะวันตกแล้ว
ก็ยังมี 4 ทีมที่ฝ่าฟันผ่านเข้ารอบมาได้คือ....
“ อัศวินสีส้ม ” ฮอลแลนด์ รองแชมป์โลก 1974 คู่แค้นเก่าของทีมอินทรีเหล็ก
ที่ยังคงมีนักเตะเทวดาโยฮัน ครอยฟ์ เป็นจอมทัพของทีมอยู่เช่นเดิม
เช็คโกสโลวาเกีย ที่พลิกล็อคล้ม 2 ยอดทีมอย่างอังกฤษ และ สหภาพโซเวียตมาได้อย่างเหลือเชื่อ
และ ยูโกสลาเวีย ที่รับหน้าเสื่อเป็นเจ้าภาพในรอบ 4 ทีมสุดท้ายนี้...



[ 4 ทีมสุดท้ายในยูโร 1976 ]


ภายหลังจากการจับสลากประกบคู่ ออกมาเป็น…
รองแชมป์โลก ฮอลแลนด์ พบกับจอมพลิกล็อค เช็คโกสโลวาเกีย
แชมป์ยูโร 1972 และแชมป์โลก1974 เยอรมันตะวันตก ต้องดวลกับเจ้าถิ่น ยูโกสลาเวีย
เซียนทุกสำนักก็พากันชื้ว่า คู่ชิงยูโร 1976 นี้ น่าจะเป็นการรีแม๊ตซ์ของนัดชิงฟุตบอลโลก 1974
ระหว่าง เยอรมันตะวันตก กับ ฮอลแลนด์ อย่างแน่นอน.....



[ โลโก้ยูโร 1976 ที่ยูโกสลาเวียเป็นเจ้าภาพในรอบ 4 ทีมสุดท้าย ]


แต่เซียนก็ต้องวิ่งหนีลงไปอยู่ในรูกันเป็นแถบๆ
เมื่อ ฮอลแลนด์ ดันดวงแตก ไม่ยอมมาตามนัด พ่ายแพ้ให้กับจอมพลิกล็อคเช็คโกสโลวาเกียไป 1 – 3
หลังจากที่ใน 90 นาทีเสมอกันอยู่ที่ 1 ประตูต่อ 1
ก่อนที่อัศวินสีส้มจะเหลือผู้เล่นเพียงแค่ 9 คนเท่านั้นในช่วงของการต่อเวลาพิเศษ
เลยทำให้เช็คฯที่มีตัวผู้เล่นเหนือกว่า มาทำได้ 2 ประตูรวดในนาทีที่ 114 และ 118
เข้าไปยืนรอในรอบชิงชนะเลิศก่อนใครเพื่อน....



[ โยฮัน ครอยฟ์ แลกธงกับ คาโล ดูบิยาส กับตันเช็คก่อนฮอลแลนด์พ่ายไปอย่างล็อคถล่ม ]


1 วันต่อมา ……
วันที่ 17 มิถุนายน 1976 ที่สนาม เซอเวน่า ซเวสด้า ในเบลเกรด
เจ้าถิ่น ยูโกสลาเวีย ลงสนามพบกับแชมป์โลกเยอรมันตะวันตก
แฟนฟุตบอลชาวสลาฟต่างพากันเข้ามาให้กำลังใจทีมร่วมชาติแน่นสนามกว่า 55,000 คน



[ สนาม เซอเวน่า ซเวสด้า ]


เฮลมุต เชิร์น จัด 11 ขุนพลอินทรีเหล็กชุดที่ดีที่สุดลงรับมือกับเจ้าภาพ
มี เซปป์ ไมเออร์ เป็นผู้รักษาประตู , แบร์ตี้ โฟ้กท์ส , จอร์จ ซวาเซนเบ็ค , ฟร๊านซ์ เบ็คเคนบาวเออร์ ,
เบอร์นาร์ด ดีทซ์ , เฮอร์เบิร์ต วิมเมอร์ , ไอริธ เบียร์ , ไรเนอร์ บอนฮอฟ , ดีทมาร์ แดนเนอร์ ,
อูลี่ เฮอเนส และ เบิร์น โฮลเซนบายน์



[ 11 ขุนพลอินทรีเหล็กก่อนเกมรอบรองชนะเลิศกับยูโกสลาเวีย ]


ทีมสลาฟเจ้าถิ่นจัด 11 ขุนพลลงรับมือกับอินทรีเหล็กอย่างเต็มอัตราศึก ประกอบไปด้วย..
อ๊อกเน่จ์ เปรโตวิช จอมหนึบจากเรดสตาร์เบลเกรดเป็นผู้รักษาประตู , อิวาน บูลจาน ,
ซลาวิซ่า ซุลกุล , โจซิป คาตาลินสกี้ , ดราเซน มูซินิก , จูลิก้า เจอร์โควิช , อิวิก้า เซอร์แย็ค ,
บรังโก อ๊อปลัก , โจวาน อซิโมวิค , ดานิโล โปปิโวดา และปีกซ้ายสุดอันตรายดาราของทีม ดราแกน ซาจิค



[ ทีมยูโกสลาเวีย ยูโร 1976 ]


เยอรมันเป็นฝ่ายที่ได้เริ่มเขี่ยบอลก่อน แต่เป็นยูโกสลาเวียที่ทำเกมได้ดีกว่า
เพียงแค่นาทีแรก ซลาวิซ่า ซุลกุล ก็เปิดบอลจากทางด้านปีกขวาเข้ามาที่หน้าประตูเยอรมัน
เป้าหมายอยู่ที่ จูลิก้า เจอร์โควิช หัวหอกจากทีมไฮดุ๊กซ์ สปริ๊ต
แต่ยังดีที่จอร์จ ซวาเซนเบ็คมาเบียดบังบอลออกหลังไปได้ก่อนอย่างหวุดหวิด
ทีมสลาฟยังคงดาหน้าเปิดเกมบุกกดดันเยอรมันอยู่เป็นระลอก
ดราแกน ซาจิค ล็อคบอลหลบ อูลี่ เฮอเนส ที่ระยะประมาณ 35 หลา
ก่อนที่จะหวดบอลเต็มแรงพุ่งแฉลบตัวของ ฟร๊านซ์ เบ็คเคนบาวเออร์ ออกหลังไปอย่างได้ลุ้น



[ ก่อนเกมเยอรมันตะวันตก - ยูโกสลาเวีย ]


และในนาทีที่ 15 ทีมอินทรีเหล็กก็น่าจะได้ประตูขึ้นนำไปก่อนอย่างที่สุด
เมื่อ อูลี่ เฮอเนส ได้บอลทางด้านปีกขวาและไหลบอลมาที่เบอร์นาร์ด ดีทซ์ ที่หนุนสูงขึ้นมา
ดีทซ์ เหลือบไปเห็น ไอริธ เบียร์ ยืนว่างอยู่ที่บริเวณหน้ากรอบเขตโทษจึงจิ้มบอลทะลุช่องไปให้ทันที
มิดฟิลด์เชิงสูงจากทีมแฮร์ธ่าร์ เบอร์ลิน หลุดเดี่ยวเข้าไปดวลกับอ๊อกเน่จ์ เปรโตวิชผู้รักษาประตูสลาฟ
ก่อนที่จะจิ้มบอลเข้าไปในตาข่ายอย่างสุดสวย
แต่ผู้กำกับเส้นดันมือไวยกธงเป็นสัญญาณว่าเบียร์อยู่ในตำแหน่งที่ล้ำหน้าไปก่อนแล้ว
ทั้งๆที่ดูจากมุมไหนลูกนี้ก็ไม่ออฟไซด์ล้านเปอร์เซ็นต์ อินทรีเหล็กเจอลูกเกรงใจเจ้าภาพจากกรรมการซะแล้ว



[ ลูกยิงของไอริธ เบียร์ที่โดนกรรมการปฏิเสธประตู ]


เมื่อเยอรมันทำไม่ได้ทีมสลาฟก็ฉวยจังหวะออกนำไปก่อนอย่างรวดเร็ว
จากจังหวะที่ไรเนอร์ บอนฮอฟ พาบอลจี้เข้าไปในเขตโทษของยูโกสลาเวีย
แต่ลูกผ่านมาที่หน้าปากประตูของเขาโดนโจซิป คาตาลินสกี้ตัดเอาไว้ได้ที่หน้าประตู
ก่อนที่ยูโกฯจะโต้กลับอย่างรวดเร็วมาที่กลางสนาม
และ จูลิก้า เจอร์โควิช มองเห็นช่องโหว่ในการประกบตัวของแบ็คเคนบาวเออร์และซวาเซนเบ็ค
ที่ปล่อยให้ดานิโล โปปิโวดา มีจังหวะว่างที่บริเวณหน้าประตูเยอรมัน
เร็วเท่าความคิด เจอร์โควิช วางบอลยาวอย่างเหมาะเหม็งไปที่จุดบอดนั้นทันทีทันใด
โปปิโวดาเอาบอลลงอย่างนิ่มนวล และ จิ้มลูกสวนตัวของเซปป์ ไมเออร์ ที่ผวาออกมาป้องกัน
1 – 0 สนามแทบแตกไปด้วยเสียงโห่ร้อง เมื่อเจ้าภาพออกนำไปอย่างไม่มีใครจะคาดคิด...



[ ดานิโล โปปิโวดา หลุดเข้าไปยิงสวนตัวไมเออร์ให้เจ้าภาพออกนําไปก่อน ]


กลายเป็นบอลได้ใจไปซะแล้ว...
ยูโกสลาเวียพับสนามบุกใส่อินทรีเหล็กอยู่ข้างเดียว
อิวิก้า เซอร์แย็ค เปิดบอลมาให้ดราแกน ซาจิคที่หน้าปากประตูของเยอรมัน
แต่ก่อนที่บอลจะถึงจุดนัดพบ ไอริธ เบียร์ มาแหย่ขาสกัดออกไปได้อย่างหวุดหวิด


[ ประตู 1 - 0 ของยูโกสลาเวียจากอีกมุม ]


ครึ่งชั่วโมงของเกมผ่านไป ทีมสลาฟก็ยังมาเป็นระลอกเหมือนคลื่นกระทบฝั่ง
ดราแกน ซาจิค ลากพาบอลจากปีกซ้ายมาที่กลางสนามก่อนที่จะวางบอลด้วยเท้าซ้าย
ถวายพานไปให้กับอิวาน บูลจาน ที่แอบเติมขึ้นมาจากแดนหลัง
ลูกยิงยัดเสาแรกของเขาไปติดบล็อกของเซปป์ ไมเออร์ ออกหลังไปอย่างได้ลุ้น



[ ดานิโล โปปิโวดา ผู้ทำประตูแรกให้กับยูโกสลาเวีย ]


อีก 2 นาทีต่อมาก็เป็นอิวาน บูลจานคนเดิม ที่ตัดบอลมาจากไรเนอร์ บอนฮอฟ ได้
ก่อนที่จะส่งผ่านไปให้กับซลาวิซ่า ซุลกุลทางปีกขวา
ซุลกุล เปิดบอลโด่งมาที่หน้าประตูเยอรมัน จากลูกที่ไม่น่าจะมีอันตรายใดๆนั้น
เซปป์ ไมเออร์ ดันทำหมูหกรับบอลไม่อยู่ ลูกหลุดมือตกลงมาเข้าทางปืนของดราแกน ซาจิค อย่างเหมาะเหม็ง
ระยะห่างจากประตูไม่เกิน 3 ก้าวอย่างนี้ ซาจิคไม่มีพลาด..ยูโกสลาเวีย 2 เยอรมันตะวันตก 0
แชมป์ยูโรเก่าและแชมป์โลกทีมล่าสุด กำลังจมลงไปในบ่อทรายดูดครึ่งตัวแล้ว...



[ เซปป์ ไมเออร์ ทำหมูหกให้ ดราแกน ซาจิคทำประตูที่สองอย่างง่ายดาย ]


ก่อนที่จะหมด 45 นาทีแรกของเกม ทั้งสองทีมมีโอกาสอีกคนล่ะหน
ยูโกสลาเวีย น่าจะได้ประตูที่ 3 อย่างที่สุด เมื่อซลาวิซ่า ซุลกุลได้จังหวะซัดเหน่งๆ
แต่ลูกยิงของเขาดันพุ่งไปติดตัวของเซปป์ ไมเออร์ อย่างน่าเสียดาย
ข้างฝั่งอินทรีเหล็กก็เกือบที่จะได้ประตูตีไข่แตก เมื่ออูลี่ เฮอเนสซัดบอลผ่านเปรโตวิชนายทวารสลาฟไปแล้ว
แต่ยังมีโจซิป คาตาลินสกี้ เป็นด่านที่ 2 สกัดบอลออกมาจากเส้นประตูได้อย่างเหลือเชื่อ



[ คาตาลินสกี้ สกัดลูกยิงของอูลี่ เฮอเนสได้ตรงเส้นประตูอย่างเหลือเชื่อ ]


แต่อันตรายยังไม่หมดเมื่อลูกสกัดนั้น ดันมาเข้าทางปืนของไอริธ เบียร์ ที่ยืนโล่งๆที่หน้าประตู
เบียร์ซัดด้วยขวาทันที แต่ลูกก็ไปชนตัวของเปรโตวิชผู้รักษาประตูยูโกฯอีกหน
บอลกระดอนกลับมาที่เบียร์อีกครั้ง เขาซัดสวนแบบไม่มีจับ เลยทำให้ลูกนั้นลอยข้ามคานออกหลังไป
ครึ่งแรกจบลงที่สกอร์ ยูโกสลาเวีย 2 เยอรมันตะวันตก 0 เฮลมุต เชิร์นมีโจทย์สุดยากให้แก้แล้ว...



[ จังหวะที่ ไอริธ เบียร์ ตามเข้าซํ้าลูกจ่อๆข้ามคานออกไปไกล ]


ครึ่งหลังอินทรีเหล็กปรับแผนใหม่
เชิร์น ส่งไฮนซ์ โฟลห์ลงมาเล่นแทนดีทมาร์ แดนเนอร์ที่เล่นไม่ออก
และ โฟลห์ก็ไม่ทำให้เฮลมุต เชิร์นต้องผิดหวัง
ในนาทีที่ 65 เขาได้จังหวะสับไกที่บริเวณกรอบเขตโทษของยูโกสลาเวีย
ลูกยิงของเขาพุ่งไปแฉลบตัวของเบอร์นาร์ด ดีทซ์เปลี่ยนทางเข้าประตูไปอย่างเหลือเชื่อ
เยอรมันตะวันตกไล่มาเป็น 1 – 2
ประตูนี้ได้ปลุกวิญญาณนักสู้ของขุนพลอินทรีเหล็กให้ลุกโชนขึ้นมาอีกครั้ง



[ ประตูตีไข่แตก 1 - 2 ที่อาศัยโชคช่วยของไฮนซ์ โฟลห์ ]


หลังจากนั้น นักเตะเยอรมันก็ดาหน้าบุกแหลกใส่ยูโกสลาเวียเพื่อประตูตีเสมอ
11 ตัวของทีมสลาฟก็ตั้งโซนรับอุดแหลก เพื่อรักษาสกอร์นี้เอาไว้ให้ได้เยี่ยงชีวิต
เมื่อเหลือเวลาของเกมอีก 10 นาที เฮลมุต เชิร์นก็ทิ้งไพ่ใบสุดท้าย
เขาเปลี่ยนเฮอร์เบิร์ต วิมเมอร์ออก และส่งดีเตอร์ มุลเลอร์ ดาวโรจน์จากทีมโคโลญจน์ลงมา
และเพียงสัมผัสแรกของเขาในสนาม มันก็กลายเป็นประตูทันที !!!



[ ดีเตอร์ มุลเลอร์ ลอยตัวขวิดลูกเต็มแรงเป็นประตูตีเสมอ 2 - 2 ]


จากมุมธงทางด้านซ้าย ไรเนอร์ บอนฮอฟเปิดลูกเตะมุมมาที่หน้าประตูยูโกฯ
แทบไม่น่าเชื่อว่าทีมสลาฟจะทำพลาดอย่างมหันต์ เมื่อไม่มีนักเตะยูโกฯคนไหนเลยที่อยู่ใกล้กับดีเตอร์ มุลเลอร์
เมื่อปล่อยให้ยืนโล่งโจ้งอยู่โดดเดี่ยวขนาดนั้น ดีเตอร์ มุลเลอร์ จึงโหม่งง่ายๆเข้าประตูไปอย่างสวยงาม
อินทรีเหล็กชูป้ายเนเวอร์เซย์ดาย ปีนกลับขึ้นมาจากก้นหลุมอีกครั้งหนึ่งแล้ว...



[ ประตูสุดสำคัญของจอมล่าตาข่ายดาวรุ่งดวงใหม่นาม..ดีเตอร์ มุลเลอร์ ]


90 นาทีอันสุดระทึกจบลงที่สกอร์ 2 – 2 ต้องไปเหนื่อยกันต่อในช่วงต่อเวลาพิเศษอีก 30 นาที
แต่ขวัญและกำลังใจได้บินหนีจากนักเตะยูโกฯ มาอยู่กับ11 ขุนพลอินทรีเหล็กแทนแล้ว
นักเตะเยอรมันแสดงให้นักเตะสลาฟได้เห็นว่าพวกเขายังมีพลังแฝงอยู่อีกอย่างเหลือเฟือ



[ ไกเซอร์ฟร๊านซ์บัญชาการเกมของทัพอินทรีเหล็กอย่างองอาจ ]


ไรเนอร์ บอนฮอฟ ลากเข้าไปซัดจ่อๆ แต่เปรโตวิชนายทวารสลาฟโชว์ซุเปอร์เซฟรับติดมืออย่างสวยงาม
ในนาทีที่ 115 ไฮนซ์ โฟลห์ลากหลบจูลิก้า เจอร์โควิชมาได้ทางด้านกราบซ้าย
ก่อนที่จะเปิดผ่านมาให้เบิร์น โฮลเซนบายน์ ทางด้านขวา
โฮลเซนบายน์ ไม่ยิง เขาป้ายต่อกลับมาที่หน้าปากประตูยูโกสลาเวีย
ที่ตรงนั้นมีดีเตอร์ มุลเลอร์ ยืนกางมุ้งรออยู่อย่างโดดเดี่ยว
มุลเลอร์ ซัดด้วยอีขวาสุดแรงส่งบอลพุ่งผ่านแสกหน้าของเปรโตวิชนายทวารยูโกฯเสียบเพดานตาข่ายเข้าไป
เยอรมันตะวันตกพลิกกลับมานำไปเป็น 3 – 2 อย่างสุดยอดเยี่ยม ....



[ ดีเตอร์ มุลเลอร์ ซัดบอลเสียบตาข่ายเต็มแรงให้อินทรีเหล็กขึ้นนำ 3 - 2 ]


เมื่อโดนทีเด็ดของดีเตอร์ มุลเลอร์เข้าไป เหล่าผู้เล่นของทีมสลาฟก็ถอดใจ
ในนาทีสุดท้ายของการต่อเวลาพิเศษเยอรมันก็ตอกตะปูดอกสุดท้ายส่งยูโกฯลงสู่ก้นหลุม
เมื่อ ไรเนอร์ บอนฮอฟ ซัดบอลเลียดด้วยซ้าย ลูกพุ่งผ่านมือของผู้รักษาประตูยูโกฯไปแล้ว
แต่บอลดันไปกระทบกับโคนเสาซ้าย กระเด้งกลับออกมาเข้าทางปืนของดีเตอร์ มุลเลอร์ที่หน้าประตู



[ แฮทริคตอกฝาโลงของดีเตอร์ มุลเลอร์ ส่งอินทรีเหล็กโบยบินเข้ารอบชิงชนะเลิศ ]


เมื่อมีโอกาสทำแฮททริคมาวางอยู่ตรงหน้า เพชรฆาตดวงใหม่ก็ไม่ปล่อยให้โอกาสนี้หลุดมือไป
เขาแปด้วยขวาง่ายๆ ส่งบอลกลับเข้าประตูไป
ให้อินทรีเหล็กใส่สกอร์ปิดกล่องดับฝันเจ้าภาพไปที่ 4 ประตูต่อ 2



[ เหล่านักเตะเยอรมันสุดแสนดีใจที่พลิกนรกล้มยูโกสลาเวียเข้าไปชิงชนะเลิศได้ ]


ผ่านเข้าไปป้องกันแชมป์ยูโรปกับเช็คโกสโลวาเกียที่พลิกล็อคโค่นฮอลแลนด์มาได้อย่างเหลือเชื่อ 3 ประตูต่อ 1 ...

.........................................................................
@ ย้อนตำนานอินทรีเหล็กตอนต่อไปห้ามพลาดเด็ดขาด
กับนัดชิงชนะเลิศยูโร 1976 ในตอน " มหกรรมดวลจุดโทษแห่งเบลเกรด "
แต่................ถ้าอ่านแล้วไม่สนุก ก็ตัวใครตัวมันแล้วกันเด้อ !!!!






 

Create Date : 22 มิถุนายน 2555
0 comments
Last Update : 22 มิถุนายน 2555 21:53:21 น.
Counter : 4365 Pageviews.

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 


Romancini
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




ผู้ชายธรรมดา มีความฝันที่ยังไปไม่ถึง แต่ไม่เคยคิดท้อที่จะทำความฝันนั้น ให้เป็นจริง...

" SHINE ON YOU CRAZY DIAMOND "

Remember when you were young, you shone like the sun.
Shine on you crazy diamond.
Now there's a look in your eyes, like black holes in the sky.
Shine on you crazy diamond.
You were caught on the crossfire of childhood and stardom, blown on the steel breeze.
Come on you target for faraway laughter, come on you stranger, you legend, you martyr,
and shine!

You reached for the secret too soon, you cried for the moon.
Shine on you crazy diamond.
Threatened by shadows at night, and exposed in the light.
Shine on you crazy diamond.
Well you wore out your welcome with random precision, rode on the steel breeze.
Come on you raver, you seer of visions, come on you painter, you piper, you prisoner,
and shine!

Nobody knows where you are, how near or how far.
Shine on you crazy diamond.
Pile on many more layers and I'll be joining you there.
Shine on you crazy diamond.
And we'll bask in the shadow of yesterday's triumph, and sail on the steel breeze.
Come on you boy child, you winner and loser, come on you miner for truth and delusion,
and shine!

Totó and Alfredo - ENNIO MORRICONE
Friends' blogs
[Add Romancini's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.