"เชียงคาน" ... เมืองงามแห่งความทรงจำ
(ความผันแปรเหนือสายน้ำ)
ภายในเวลาไม่กี่ปีมานี้เอง ที่ชื่อเสียงของเมือง เชียงคาน ได้ดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทุกทั่วสารทิศ (รวมถึง เรา) ...ให้ได้มาเยือนเมืองในฝัน อันสงบเยือกเย็นท่ามกลางสายหมอก แถมมีประเพณีและวัฒนธรรมเฉพาะถิ่นที่ชัดเจน คล้าย ๆ ดั่งการเดินทาง เพื่อเข้าไปค้นหารากเหง้าของอารยธรรมแห่งตน ภายในเมืองที่เหมือนกาลเวลาหมุนช้า เสียจนแทบจะหยุดนิ่ง
กับบรรยากาศอันขมุกขมัวของเมืองเชียงคาน ที่สายหมอกได้ห่มคลุมเรื่องราวแห่งอดีตกาลเอาไว้อย่างมากมายซึ่งจริง ๆ แล้ว เมื่อเราได้ลองมามองซึ่งความเป็นจริงแห่งประวัติศาสตร์ ... ความสงบนิ่งของเมืองเชียงคานอย่างที่ใคร ๆ เคยได้กล่าวมานั้น มันกลับกลายเป็นเพียงเสี้ยวเวลา แห่งความผันแปร เหนือแผ่นดินผืนเล็ก ๆ ริมสายน้ำโขงอันยิ่งใหญ่แห่งนี้เท่านั้น
เป็นเวลากว่าหนึ่งพันกว่าปีล่วงเลยมาแล้ว เท่าที่ประวัติศาสตร์จะสามารถจารึกได้ ถึงการถือกำเนิดของเมืองเชียงคาน (พ.ศ.1400) ที่กล่าวไว้ว่า ขุนคาน คือผู้ที่ให้กำเนิดอย่างเป็นทางการแก่เมือง ๆ นี้ ซึ่งเป็นช่วงเวลาก่อนหน้าที่ราชอาณาจักรที่สำคัญอย่าง ล้านช้าง เวียงจัน หลวงพระบาง หรือแม้กระทั่งอาณาจักร ล้านนา จะสถาปนาความยิ่งใหญ่ขึ้นมาเหนือผืนแผ่นเล็ก ๆ ผืนนี้เสียอีก ... นี่ยังไม่รวมถึงช่วงเวลาก่อนหน้าที่ประวัติศาสตร์จะสามารถบันทึกไว้ได้ ... เกี่ยวกับความเป็นจริงที่ว่าร่องรอยแห่งอารยธรรมโบราณหลาย ๆ แห่งในแถบลุ่มน้ำโขงนั้น ถือได้ว่าเป็นต้นกำเนิดของอารยะธรรมมนุษย์แห่งแรก ๆ เหนือผืนแผ่นดินเอเซียอาคเนย์แห่งนี้กันเลยทีเดียว
นับต่อมาอีกแปดร้อยปี (พ.ศ.2250) ที่อาณาจักรเล็ก ๆ แห่งนี้ค่อย ๆ เติบโตขึ้นมาอย่างเงียบสงบและมั่นคงเกาะเกี่ยวอยู่กับความอุดมสมบูรณ์สองฟากฝั่งของสายน้ำโขง พร้อมทั้งได้สั่งสมประเพณีและวัฒธรรมต่าง ๆ ที่กำเนิดเกิดขึ้นมาเหนือผืนแผ่นดินของตนเองมาอย่างยาวนาน นับจากนั้นเองเมือง เชียงคาน ก็ได้ก้าวสู่ช่วงเวลาแห่งความผันแปร ของผู้ที่ต้องการครอบครองผลประโยชน์เหนืออาณาจักรเล็ก ๆ แห่งนี้เรื่อยมา ... เมื่ออาณาจักร ล้านช้าง ที่ยิ่งใหญ่ในขณะนั้น ได้แตกแยกกลายเป็นสองอาณาจักรคือ อาณาจักรเวียงจันทร์ และ อาณาจักรหลวงพระบาง ทาง เวียงจันทร์ ได้ตั้งเมือง เชียงคานเดิม ซึ่งอยู่ฝั่งซ้ายของแม่น้ำโขงเป็นเมืองหน้าด่าน จากนั้นอาณาจักรหลวงพระบางจึงตั้งเมือง ปากเหือง ขึ้นมาเป็นเมืองหน้าด่านของราชอาณาจักรนี้ด้วยเช่นกัน
ภายใต้ลงไปของอาณาจักร ล้านช้าง ... แถบลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา อันเป็นถิ่นที่อยู่ของอารยะชนชาว สยาม ที่ได้เริ่มก่อร่างสร้างอาณาจักรของตนเองขึ้นมาควบคู่กัน ครั้นถึง พ.ศ. 2320 เมื่ออาณาจักรของชาว สยาม เริ่มมีอำนาจ และความเป็นปึกแผ่นมากขึ้นเรื่อยๆ พระเจ้ากรุงธนบุรีจึงได้โปรดให้ เจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก กับ พระสุรสีห์ ยกทัพไปตีกรุงเวียงจันทร์ หลังจากตีเวียงจันทร์สำเร็จจึงได้อัญเชิญ "พระแก้วมรกต" กลับมายังกรุงธนบุรี แล้วได้รวมทั้งสองอาณาจักรคือ เวียงจันทร์ และ หลวงพระบาง ให้กลับมาเป็นอาณาจักรเดียวกัน แล้วให้ อาณาจักรล้านช้าง ขึ้นเป็นหนึ่งในประเทศราชของไทย จากนั้นจึงกวาดต้อนผู้คนจากหลวงพระบาง ให้มาอยู่ที่เมือง ปากเหือง มากขึ้น แล้วโปรดเกล้าฯ ให้เมืองปากเหือง ขึ้นอยู่กับเมืองพิชัยในขณะนั้น
ต่อมาในยุครัตนโกสินทร์ตอนต้น เจ้าอนุวงศ์ เจ้าเมืองเวียงจันทร์คิดกอบกู้เอกราชเพื่อแยกเป็นอิสระจากราชอาณาจักรสยาม รัชกาลที่ 3 จึงโปรดเกล้าฯให้กองทัพไทยยกทัพไปปราบเจ้าอนุวงศ์ ที่นครราชสีมา เมื่อกองทัพของเจ้าอนุวงศ์พ่ายแพ้ เจ้าอนุวงศ์จึงถูกนำตัวมาจองจำที่กรุงเทพฯจนสิ้นชีวิตในที่สุด
ครั้นถึงสมัย พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 5) พวก จีนฮ่อ ได้ยกทัพมาตีเมืองเวียงจันทน์ กับเมืองหลวงพระบาง และได้เข้าปล้นสะดมเมือง เชียงคานเดิม ที่อยู่ฝั่งซ้ายของแม่น้ำโขง ชาวเชียงคานเดิมจึงอพยพผู้คนไปอยู่เมือง เชียงคานใหม่ (เมืองปากเหือง) เป็นจำนวนมาก ครั้นต่อมา เห็นว่าชัยภูมิเมืองเชียงคานใหม่ที่เมืองปากเหืองไม่มีความเหมาะสม ผู้คนส่วนใหญ่จึงอพยพไปตั้งรกรากใหม่อยู่ที่ บ้านท่านาจันทร์ ซึ่งใกล้กับที่ตั้งของอำเภอเชียงคานปัจจุบัน แล้วตั้งชื่อใหม่ว่า เมืองใหม่เชียงคาน
ย้อนกลับมาก่อนหน้านั้นเล็กน้อย ที่ดินแดนแห่งลุ่มน้ำโขง เริ่มเป็นที่รู้จักของชาวตะวันตกนักล่าอาณานิคม ผู้กระหายการช่วงชิงทรัพยากรธรรมชาติอันล้ำค่าจากซีกโลกตะวันออกโดยนักธรรมชาติวิทยาชาวฝรั่งเศสชื่อ อองรีมูโอต์ ได้เข้ามาเก็บข้อมูลสำรวจแม่น้ำโขงระหว่างปีพ.ศ. 2401 2404 ในสมัยพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๔ นั่นเป็นจุดเริ่มของการศึกษาเพื่อจะเข้ามายึดครองประเทศใหญ่ในเขตลุ่มน้ำโขง
ลัทธิอาณานิคม ฝรั่งเศส เข้ายึดครองประเทศเขมร ในปี พ.ศ. 2410 และบุกยึดครองประเทศเวียดนามอย่างเบ็ดเสร็จในปี พ.ศ. 2426 พร้อมกับการขยายอิทธิพลบุกยึดประเทศลาวสำเร็จในปี พ.ศ. 2436 ทำให้เมืองปากเหือง ที่อยู่ในอาณาเขตของประเทศลาว ในขณะนั้น ต้องตกเป็นของฝรั่งเศสตามไปด้วย คนไทยที่อยู่เมืองปากเหือง จึงอพยพมาอยู่ "เมืองใหม่เชียงคาน" หรืออำเภอ เชียงคานปัจจุบัน โดยสิ้นเชิง แล้วได้เปลี่ยนชื่อเมืองเป็นเมืองเชียงคานใหม่ได้ตั้งที่ทำการอยู่บริเวณ วัดธาตุ เรียกว่าศาลาเมืองเชียงคานต่อมาได้ย้ายที่อยู่บริเวณวัดโพนชัย
จนกระทั่งปี พ.ศ. 2452 เมืองเชียงคานซึ่งมี พระยาศรีอรรคฮาด (ทองดี ศรีประเสริฐ) ได้รับตำแหน่งนายอำเภอเชียงคานคนแรก ส่วนเมือง เชียงคานเก่า ถูกพื้นฟูขึ้นในปีพ.ศ. 2483 และใช้ชื่อใหม่ว่าเมือง สะนะคาม ต่อมาปี พ.ศ.2484 ได้ย้าย ที่ว่าการอำเภอเชียงคาน มาอยู่ ณ ที่อยู่ปัจจุบันตราบเท่าทุกวันนี้
จากสภาพภูมิประเทศและเรื่องราวทางประวัติศาลตร์ดังที่กล่าวมา จึงพอจะทำให้เรารับรู้ได้ว่าจากอดีตอันยาวนาน เมืองเชียงคานเป็นเมืองเล็ก ๆ ที่มีความสำคัญอย่างยิ่งทางประวัติศาลตร์ เนื่องจากเป็นจุดที่แม่น้ำสำคัญหลายสายไหลมาบรรจบกัน ทำให้เมืองเชียงคาน มีฐานะเป็น เมืองท่า ค้าขายที่สำคัญของหลาย ๆ อาณาจักรสำคัญในสมัยโบราณในแถบนั้นมาโดยตลอดทุกยุคทุกสมัย
ไหนเลยจะรวมถึงความงดงามทางธรรมชาติของสภาพภูมิประเทศ อันเป็นจุดบรรจบของแม่น้ำสายสำคัญต่าง ๆ ที่ถูกโอบล้อมเอาไว้ในเขตเทือกเขาสูง จึงทำให้เมืองเชียงคาน มีลักษณะความงามทางธรรมชาติที่เฉพาะตัว คลับคล้ายจะกลายเป็น เมืองปิด จากเทือกเขาที่โอบล้อมเอาไว้ให้พบอีกหนึ่งพรหมแดนคือสายน้ำโขงอันยิ่งใหญ่ นี่คือสองปราการทางธรรมชาติอันสำคัญ ที่ได้กับเก็บผืนแผ่นดิน ผืนเล็ก ๆให้ออกห่างจากอารยธรรมอื่น ๆ อันห่างไกล เมืองเชียงคานจึงกลายเมืองเล็ก ๆ ที่ผู้คนสามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ด้วยตัวของตัวเอง อันเกิดจากความเอื้ออำนวยของความอุดมสมบูรณ์ทางธรรมชาติในพื้นที่นั่นเอง
จนในท้ายที่สุดในยุค สงครามเย็น เมื่อความผันผวนทางการเมือง ได้บุกรุกเหนือดินแดนเล็กๆ แห่งนี้อีกครั้ง ความแตกต่างทางความคิดของลัทธิทางการเมือง ได้แบ่งแยกชาวบ้านทั้งสองฟากฝั่งออกจากกันจนแทบไม่ได้ไปมาหาสู่กันอีกต่อไป
ในอดีตที่ผ่านมาแม้จะเกิดความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองมากมายขนาดไหน แต่ชาวบ้านทั้งสองฟากฝั่งก็ยังสามารถไปมาหาสู่ทำมาหากินกันได้โดยปรกติ กระทั่งในยุคของสงครามเย็นนั่นเอง ที่ทำให้เกิดการแบ่งแยกชาวเชียงคาน ทั้งสองฟากฝั่งออกจากกัน เมื่อพรหมแดนแห่งแม่น้ำโขงถูกสั่งห้ามไม่ให้มีการข้ามฝั่งเพื่อค้าขาย หรือแม้กระทั่งการไปมาหาสู่กันอีก นับตั้งแต่ปี พ.ศ.2519 เป็นต้นมา
นับจากวันนั้นเอง ที่ความเป็น เมืองท่า ของเมืองเชียงคานได้หมดสิ้นความสำคัญลงไป เมือง ๆ นี้จึงกลายสภาพ เหมือนเป็นเมืองที่ถูกทอดทิ้งจากโลกภายนอก หลายคนต้องจำจากเมืองนี้ไปเมื่อการค้าขายสองฟากฝั่งไม่เฟื่องฟูดังเช่นเดิม พร้อมกับถนน ศรีเชียงคาน ถนนคู่ขนานที่กลายเป็นเส้นทางแห่งเศรษฐกิจสายใหม่ที่ตัดผ่านทอดยาวผ่านมาจากแดนไกล เป็นโอกาสให้กับชาวเชียงคานที่ยังคงปักหลักสู้ชีวิตอยู่ ได้มีโอกาสในการทำมาหากินกันต่อไป พร้อมกับทิ้งอดีตกาลแห่งความผันแปรเอาไว้ที่ถนนสายริมโขงแห่งนั้น...
ร่วมติดตามความเคลื่อนไหวกับพวกเราอีกหนึ่งช่องทางได้ที่ : https://www.facebook.com/ALittleBackpacker?ref=hl