KEEP WALKING
Group Blog
 
<<
พฤศจิกายน 2551
 1
2345678
9101112131415
16171819202122
23242526272829
30 
 
15 พฤศจิกายน 2551
 
All Blogs
 
การผจญภัยของโรบิ้น : เชียงใหม่ - อุทัยธานี

บันทึกการเดินทางภาคพิสดาร : การผจญภัยของ Robinhood

แม้ช่วงเวลานั้นจะผ่านไปเนิ่นนานหลายเดือนแล้ว แต่ประสบการณ์ขี่รถมอเตอร์ไซค์จากเชียงใหม่ ถึงอุทัยธานีบ้านเกิดยังคงอยู่

จำได้ลาง ๆ ว่าตอนนั้นกำลังเอ้อระเหยลอยชายอยู่เชียงใหม่ แล้วสนพ.เรียกตัวไปคุยที่บริษัทอมรินทร์กะทันหัน อ่อ...จำได้แล้ว ๆ ราวกลางเดือนเมษายนอันร้อนระอุ

ปกติ เวลาคนเขียนเดินทางกลับบ้าน จะต้องแหกขี้ตาตื่นแต่เช้า (ซึ่งคนเขียนเกลียดที่สุดคือการตื่นเช้านี่แหละ) เพราะต้องไปจับรถเที่ยวที่จะไปทันรถกลับบ้านอีกต่อหนึ่ง คือถ้าไปสาย จะเสี่ยงกับการตกค้างที่นครสวรรค์ การเดินทางก็เริ่มขี่รถเครื่องออกจากหอพักแถวโป่งน้อย ไปฝากที่บ้านเพื่อนแถววัดเจ็ดยอด แล้วให้เพื่อนขี่รถไปส่งปากซอย หลังจากนั้น เราก็โบกรถไปยังอาเขต ซึ่งส่วนมากจะใช้บริการรถตุ๊กตุ๊ก เพราะรถสองแถวแดงมักโก่งราคา และเล่นตัว เพื่อนเคยพูดว่า

“กะอีแค่นั่งรถจากตูดไปดาก เอาตั้งห้าสิบหกสิบ” (ขออภัยที่ไม่สุภาพ)

เคยมีเงินติดตัวเกือบไม่พอค่ารถถึงบ้าน แล้วเจอรถแดงโก่งราคา ไปอาเขตจะเอาตั้งห้าสิบบาททั้งที่มีผู้โดยสารอยู่บนรถสองสามคน (ถ้ามีเราโดยสารคนเดียวว่าไปอย่าง) เลยโบกมือบ๊ายบาย และอดทนรอต่อไป ทั้งที่มั่นใจว่าคงไปไม่ทันรถทัวร์เที่ยวเก้าโมง จะกลับหอรอไปวันพรุ่งก็ใช่ที่ เลยยืนเสียใจอยู่ข้างทาง

ปรากฏว่ามีรถตุ๊กตุ๊กแล่นออกมาจากซอยข้างวัด เหมือนจะไปเข้าคิวที่ไหนสักแห่ง เขาเห็นเรามีสัมภาระบ่งบอกว่าไปอาเขตแน่ ๆ เลยจอดถาม “ไปอาเขตเหรอ”

คนเขียนไม่กล้าสบตา บอกเขาไปว่า “ไม่มีเงินนั่งตุ๊กตุ๊กหรอก” แล้วชะเง้อรอรถต่อไป

แต่เหมือนฟ้ามาโปรด เมื่อคนขับบอกว่า “ไปไหมล่ะ ผมเอาซาวบาท”

ซาวบาท! นั่งตุ๊กตุ๊กจากเจ็ดยอดไปอาเขตในราคายี่สิบบาท! มีหรือฉันจะปฏิเสธ รีบพุ่งขึ้นรถโดยพลัน

คนขับที่หน้าตาคล้ายยิ่งยง ยอดบัวงาม ผู้มีน้ำใจงาม แปรเปลี่ยนเป็นหล่อเหลาราวโดม ปกรณ์ ลัม ไปในบัดดล

ทุกวันนี้ยังไม่เคยลืมน้ำใจคนขับรถตุ๊กตุ๊กคนนั้น แม้จะจำหน้าไม่ได้แล้ว

มาเข้าเรื่อง วันเกิดเหตุ ผีเข้าสิงตอนขี่รถมาถึงสี่แยกโรงแรมเชียงใหม่ภูคำ ปกติขี่รถเลยไฟแดงไป แล้วยูเทิร์นกลับมาเลี้ยวเข้าซอยเล็ก ๆ ตรงไปบ้านเพื่อน แต่เพราะผีเข้า เลยตัดสินใจเลี้ยวขวา ตรงไปยังสี่แยกกาดรินคำ แล้วออกซูเปอร์ไฮเวย์ เส้นทางอันแสนคุ้นเคย

ยังไม่ได้กินข้าว ดื่มไมโลกล่องเดียว แดดร้อน คนเขียนสวมหมวกกันน้อกแบบครึ่งหน้านึกออกไหม แต่เป็นคนตัวดำไม่กลัวแดดกลัวฝนมาแต่ไหนแต่ไร เช้า ๆ ราวเจ็ดโมงกว่า ๆ แบบนั้นเลยชิล ๆ

กระเป๋าเดินทางอยู่ตรงหว่างขา กับเสื้อแจ๊กเก็ตตัวโคร่ง ข้างหลังเป็นกล่องใส่ของ ภายในบรรจุโน้ตบุ๊กที่วางทับด้วยผ้าขี้ริ้วหลายชั้นกันร้อน มองไกล ๆ เหมือนคนส่งน้ำปลา ขี่ตรงออกนอกตัวเมืองไปเรื่อย ๆ

ที่ตลก คือใส่รองเท้าแตะ ตีนเปลือย ๆ นั่นแหละ พอขึ้นขุนตาน รองเท้าเริ่มปริขาด ผ่านศาลเจ้าพ่อขุนตาน คนเขียนกดแตรพลางยิ้มเผล่ ไม่รู้เจ้าพ่อจะตกใจจนร้องเฮ้ยเมื่อเห็นเราหรือเปล่า เพราะทุกครั้ง ถ้าไม่ใช่รถทัวร์ก็รถยนต์ แต่วันนี้ลูกช้างขี่รถมอเตอร์ไซค์

ศาลเจ้าพ่อ เป็นจุดสูงสุดของขุนตาน ขาล่องจากเชียงใหม่จะไม่ชันเท่าขาขึ้นจากลำปาง สังเกตได้จากขาขึ้นรถใหญ่จะคลาน ไม่ได้แล่น ทีนี้พอผ่านศาล ก็เหมือนทางมันจะดิ่งลงอย่างเร็ว พอพ้นศาล คนเขียนก็ละคันเร่งได้เลย เพราะรถเครื่องพุ่งหวือไปตามถนนแบบไม่ต้องเร่ง คอยควบคุมทิศทางอย่างเดียว

มีอยู่ช่วง ที่อีกเลนไร้รถสวนขึ้น และไร้รถตามหลัง เหมือนเขาทั้งลูก และถนนทั้งสายมีเราอยู่คนเดียว ป่าเขียวลมแรงข้างทาง อารมณ์ตอนนั้นอยากหยุดถ่ายรูปมาก แต่เพราะต้องทำเวลา จึงจำใจขี่ต่อไป

ถึงตลาดของฝากทุ่งเกวียนเกือบ ๆ เก้าโมง ยังมีแก่ใจแวะซื้อของฝากแม่ รองเท้าใกล้จะขาดแต่ลืมซื้อใหม่ ซื้อแต่ถุงเท้ามาใส่ เอาของฝากพวกแคบหมู น้ำพริก และของจุกจิกยัดรวมกันใส่ตะกร้าหน้ารถ แล้วออกเดินทางต่อ ท่ามกลางแดดที่เริ่มร้อน

แวะกินข้าวร้านโกแดงเจ้าประจำที่เถิน ทำกระมิดกระเมี้ยนซ่อนเท้าเมื่อเด็กในร้านจ้องมองอย่างสนอกสนใจ เพราะรองเท้าจะขาดมิขาดแหล่ อิ่มแล้วออกเดินทางต่อ

ผ่านด่านตรวจสามสี่ด่านฉลุย เพราะสารรูปเหมือนชาวบ้านขนข้าวไปให้หมู ช่วงไหนไม่มีรถเป็นบิดโลด ช่วงไหนรถเยอะก็เจียมตัวหน่อย แวะปั๊มซื้อกาแฟเย็นดื่มพอสดชื่น เจอกลุ่มรถซิ่งล่องจากเชียงใหม่ลงกรุงเทพฯ รถเก๋งแต่งท่อเสียงดัง เราเข้าไปสอบถาม บอกว่าเป็นคาราวานอะไรสักอย่าง แบบว่าทดสอบประสิทธิภาพรถราคาเกือบห้าล้าน ทั้งขบวนมีสิบกว่าคัน ตอนเราออกจากปั๊ม รถพวกนี้แล่นแซงไปหวือ ๆ ขับกันเร็วมาก คนต่างจังหวัดพูดไม่ผิดหรอก ที่ว่าคนกรุงฯ ส่วนใหญ่ชอบขับรถเร็ว

ปั๊มถัดมาที่ตาก เป็นคาราวานช็อปเปอร์ พอคนเขียนออกจากเซเว่น เจอสิงห์ช็อปเปอร์สองสามคนกำลังยืนมองรถเรา และเถียงกันว่าทะเบียนรถเรามันย่อมาจากจังหวัดอะไร คนหนึ่งว่า อน ย่อมาจากอุบลราชธานี อีกคนว่า อุดรธานี

เราบอกผิดทั้งคู่ อน ย่อมาจากอุทัยธานี (ว่ะ)

คุยไปคุยมา ได้ความว่าเชียงใหม่ล่องกรุงเทพฯ เหมือนกัน คนเขียนบอกว่าของเราก็ล่อง แต่แวะอุทัยฯ เจอสายตาทึ่งกลับมา เราบอกชินแล้ว ขี่รถส่งน้ำปลาอยู่หลายปี มีเสียงแว่ว ๆ มาว่า “โกหก ท่าทางไม่เหมือนคนขายน้ำปลา...”

“พี่ใจถึงดี...ปีหน้ามีคาราวานบิ๊กไบต์กรุงเทพฯ – เชียงใหม่ พี่สนไหม ผมหารถให้...” อีกคนหนึ่งเริ่มด้วยหน้าตาจริงจัง ที่เหลือก็ขำกันกลิ้ง

เราโบกมือจากลามิตรภาพใหม่ ๆ แล้วเดินทางต่อ จากตากถึงกำแพงเพชร แดดร้อนเปรี้ยงเชียวละ แถมทางก็ตรงแน่วชวนง่วงนอนที่สุด คนเขียนเริ่มเมื่อยขา พอปลอดรถก็ยืนขี่บ้าง กางขาบ้าง เป็นการคลายเมื่อยขบ

คนภาคกลางมีความรู้สึกเหมือนกันว่า เมื่อถึงกำแพงเพชร คือถึงบ้าน คนเขียนก็เช่นกัน จากตากไปคือเมืองเหนือ ไกล และอ้างว้างว้าเหว่ แต่พอเข้าเขตกำแพงฯ คือบ้าน ความอบอุ่นมาเยือนหัวใจ

ระยะทางจากกำแพงเพชรไปนครสวรรค์ร้อยกว่ากิโลฯ ร้อนมาก และตรงนี้เองที่รองเท้าข้างซ้ายขาด! ทางไกลไร้ปั๊ม ร้านค้า ด้วยความงก ก็หยิบรองเท้ามายัดไว้ในตะกร้าหน้ารถ แล้วไปต่อด้วยเท้าข้างซ้ายที่สวมเพียงถุงเท้า

พอพ้นเขตจังหวัดกำแพงฯ ถนนเรียบเลยบิดรถจี๋ด้วยความคะนอง รองเท้าหน้ารถปลิวหวือข้ามหัวไปเลย เราร้องเฮ้ย แต่จะกลับไปเก็บก็เสียเวลา เลยขี่ต่อไปจนเลยเขาหน่อเขาแรด

ใครคิดตามรอยโรบินฮู้ด...ให้จับตามองเขาหน่อเขาแรดไว้ เลยเขาพวกนี้ไปนิดเดียว จะมีสะพานลอย ซ้ายมือมีป้ายบอกว่าเป็นบ้านหนองสังข์ และไปคลองลาน ลาดยาว ฯลฯ ตรงนี้ผึ้งน้อยโรบิ้นก็ชิดขวา ยูเทิร์นกลับมานิดหน่อย แล้วเลี้ยวซ้าย มุ่งตรงไปยังอำเภอลาดยาว บ้านเกิดของนายซัน ระยะทางไม่ถึงห้าสิบกิโลฯ พ้นจากนั้นคืออำเภอสว่างอารมณ์ นี่คือเขตอุทัยธานีแล้ว และต่อด้วยอำเภอทัพทัน และหนองฉาง บ้านเกิดคนเขียน

เส้นทางเป็นถนนสองเลน สองข้างทางเป็นทุ่งนาเสียส่วนใหญ่ คนเขียนคุ้นเคยกับทางสายนี้มาก และไม่ต้องอ้อมไปทางเมืองนครสวรรค์ด้วย

ในที่สุดผึ้งน้อยผจญภัยก็ถึงบ้านตอนห้าโมงเย็น

ท่านผบ.ทบ.ได้ยินเสียงรถ เดินออกมาดูด้วยความประลาดใจ เพราะคนเขียนบอกว่าจะนั่งรถทัวร์กลับ

แล้วทั้งแม่ทั้งลูกก็หัวเราะกันลั่นบ้าน คนเขียนมอมแมมจากเขม่าควันรถบรรทุก สวมรองเท้าแตะข้างเดียว มือเท้าดำปี๋ คืนนั้นต้องนั่งขัดมือเท้าอย่างถึงขนาด และหลับเป็นตาย เช้าวันรุ่งขึ้นไปก็ไปอมรินทร์ นั่งรถตู้แบบง่วง ๆ มึน ๆ

และอีกวันก็ขี่รถกลับ คราวนี้กล่องใส่โน้ตบุ๊กเป็นกล่องมิสทีน ที่คนเขียนนำไปใส่ลูกหมาจากบ้านลูกศิษย์ มาให้เพื่อนสนิท มันฉี่รดไว้แต่แห้งกรอบไปแล้ว ออกเดินทางมุ่งขึ้นเชียงใหม่ตอนสายหน่อย

แหม...แวะเติมน้ำมันทีไร เด็กปั๊มถามทุกปั๊มเมื่อเห็นกล่องท้ายรถ ว่าพี่ไปส่ง (มิสทีน) ที่ไหนเหรอ (ถามซื่อ ๆ)

คนเขียนทำหน้าเฉย โกหกว่า “แถว ๆ นี่แหละ ลูกค้าพี่เยอะ” แต่ความจริง พอขี่รถพ้นปั๊มก็ขำก๊าก

ขากลับไม่เมื่อยเหมือนขาไป แต่ร้อน แวะศาลาข้างทาง ยังไม่ทันถอดเสื้อแจ๊กเก๊ต ดันมีแมลงเข้าไปในเสื้อแล้วต่อย เราก็แหกปากสิ ร้องแว้ก ๆๆๆ แล้วถอดเสื้อออกทุลักทุเล หนอย...ขอแวะพักเหนื่อยก็ไม่ได้ ไอ้แมลงเฮงซวย เลยตัดใจขี่รถต่อ

และคราวซวยก็เกิดอีก เมื่อรองเท้าแตะที่ซื้อใหม่ ดันขาดข้างเดิมเมื่อขี่รถถึงเขตกำแพงเพชร แต่ด้วยความขี้เกียจ เลยยังไม่ซื้อใหม่ แวะกินข้าวร้านนายหยาข้างทาง พอขี่ต่อไปสักพัก แวะเซเว่นในปั๊ม ถามพนักงานด้วยท่าทางอันน่ากลัวว่ามีรองเท้าแตะไหม

พนักงานมองเราหัวจดเท้า (หยุดมองที่เท้านานหน่อย เพราะเราสวมรองเท้าข้างเดียว) แล้วบอกเราขลาด ๆ ว่า

“ขอโทษค่ะ เราไม่มีบริการรองเท้าแตะค่ะ” สรุปแวะซื้อที่ตาก นี่เป็นคู่ที่สาม สำหรับทริปนี้

ถึงขุนตาน แวะกราบเจ้าพ่อพร้อมพวงมาลัยอย่างดี ตำรวจนายหนึ่งยืนอยู่หน้าศาล มองเราตาปริบ ๆ แล้วถามตอนที่คนเขียนเดินกลับไปที่รถว่า “มาจากไหน”

“คอนหวัน...”

“โอะ...” เขาอุทาน แต่เรารีบขี่รถออกมาเสียก่อน ขี้เกียจคุย

ถึงเชียงใหม่ตอนห้าโมงกว่า ๆ เหมือนเดิม ขัดมือขัดเท้าอย่างถึงขนาด แต่พอได้อาบน้ำสบายตัวแล้ว ก็นอนหลับปุ๋ย

ทุกวันนี้ยังเป็นเรื่องเล่าที่คนฟังอ้าปากหวอ แต่สำหรับคนที่เคยทำมาแล้ว จะเห็นว่าเป็นเรื่องธรรมดามาก เพราะเราคุ้นเคยทาง คิดเสียว่ามันก็แค่ไกล...และเมื่อย ก็เท่านั้นเอง

เป็นคนที่มี “อะไร ๆ” ปกปักรักษา คุ้มครองทุกเส้นทางที่ไป เลยไม่ค่อยกลัว กลัวอยู่สองอย่าง หนึ่ง ฝน

และสอง กลัวรองเท้าแตะขาด


Create Date : 15 พฤศจิกายน 2551
Last Update : 15 พฤศจิกายน 2551 13:45:37 น. 6 comments
Counter : 1267 Pageviews.

 
555 อ่านแล้วขำได้ใจมาก เราว่าออกเป็นพ็อตเก็ตบุ๊คดีก่ามั๊ง หุ หุ หุ


โดย: ทรายขาว IP: 203.170.231.232 วันที่: 20 พฤศจิกายน 2551 เวลา:18:03:57 น.  

 
โอ๊ะ วีรกรรมคุณโรบิ้นครั้งนี้สุดยอดจริง


โดย: Kwanita IP: 58.8.67.29 วันที่: 20 พฤศจิกายน 2551 เวลา:21:11:18 น.  

 
ทำไปได้


โดย: maple IP: 117.121.208.2 วันที่: 26 พฤศจิกายน 2551 เวลา:15:51:45 น.  

 
น่าลองทำบ้างจัง

แต่ใจไม่กล้าพองะ


โดย: ม่านน้ำตา IP: 222.123.55.156 วันที่: 27 พฤศจิกายน 2551 เวลา:23:50:37 น.  

 

ขับรถยังเหนื่อย

ขี่มอไซด์ ไ่ม่กล้าคิดเลย ผมเป็นหมันแน่ๆ ขี่แป๊บๆ ยังชาเลย


โดย: จ๊ะจ๋าฯ IP: 161.200.255.162 วันที่: 6 ธันวาคม 2551 เวลา:13:09:34 น.  

 
บังเอิญจิงงที่แวะมาเจอนาย..สุดยอดทำได้ไงจะขี่ไปขี่มาทามไมเนี่ยะแต่เอาเถอะ..เราล่ะทึ่งนาย

ก้อให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครองให้นายเดินทางไปถึงจุดหมายโดยปลอดภัยทุกครั้งนะ




โดย: คนบ้านเดียวกันเน้ออ IP: 118.172.199.122 วันที่: 18 มิถุนายน 2553 เวลา:11:28:59 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

BAHAMAS
Location :
อุทัยธานี Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 4 คน [?]




 "Robinhood : คนที่จับพลัดจับผลูมาเขียนนิยาย และมีอุ้งมืออบอุ่นของคนอ่านรองรับ  ไม่มีอะไรจะตอบแทน   นอกจากจะพยายามเขียนนิยายที่คนอ่านชอบไปเรื่อยๆ"


จำนวนผู้เข้าชม



Friends' blogs
[Add BAHAMAS's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.