พฤศจิกายน 2552

1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
29
30
 
 
08 อุปการคุณ
อุปการคุณ
นามปากกา รินบุญญา
ตีพิมพ์ ตุลาคม 2540 ขวัญเรือน
มิเชลเป็นเด็กผู้หญิงวัยสิบสาม ลูกคนไทยแท้ แต่พ่อแม่ทำไมทิ้งมิเชลไว้คนเดียวมิเชลก็ไม่รู้ ตอนนี้มิเชลกำลังอยู่ในห้องเรียนกลางเมืองบอนน์ อากาศกำลังสบาย รู้สึกต้นไม้ดอกไม้พื้นหญ้าที่สนามข้างหน้าต่างสวยจนไม่อยากเรียนหนังสือเลย อยากแปลงกายเป็นผีเสื้อแล้วบินออกไปจาห้องเรียนเดี๋ยวนี้เลยจริงๆ
มิเชลรู้มาว่าคุณครูตัวใหญ่หน้าตกกระคนนี้เป็นพวกชาตินิยมหน่อยๆ ตอนที่มิเชลเข้าเรียนใหม่ๆ หล่อนเคยทำให้มิเชลกลัวจนตัวสั่น แต่นานๆไปหล่อนก็เป็นครูที่ใจดีคนหนึ่งของมิเชลเหมือนกัน ที่จริงแล้วหลายปีก่อนมิเชลเคยเจอคนอื่นที่ใจร้ายกับมิเชล กีดกันมิเชลจากโอกาสต่างๆเพราะความคิดชาตินิยมรุนแรงของเขา ตอนนั้นมิเชลยังเด็กกว่านี้มาก ไม่ค่อยเข้าใจเหตุผลอะไร นึกอยู่อย่างเดียวว่าตัวเองมาอยู่ท่ามกลางคนแปลกหน้าอย่างโดดเดี่ยว จึงต้องทนถูก “เจ้าถิ่น” รังแก
ยังจำได้ถึงภาพที่ตัวเองยืนเข้าแถวกับเพื่อนๆเด็กกำพร้าด้วยกันเรียงเป็นตับที่บ้านเด็กเล็กแห่งหนึ่ง รอให้ผู้หญิงผู้ชายตัวโตๆ หัวสีทองๆบ้าง แดงๆบ้าง มาเลือกตัวไปเหมือนซื้อของจากร้านค้า มิเชลซึ่งขณะนั้นชื่อ “มน” รู้สึกตื่นเต้นเวลามีคนมายืนพินิจตัวเธอ สายตาใสแจ๋วที่จ้องมอง และปากน้อยๆที่หยักสวยได้รูปเต็มอิ่มนั้นอาจเป็นเหตุให้แด๊ดกับแมมเลือกเธอล่ะมั้ง
ทุกวันนี้มิเชลคิดว่าตัวเองเป็นเยอรมันเต็มตัว แม้ว่าพี่ชายซึ่งเป็นลูกแท้ๆของแด๊ดกับแมมจะไม่มีอะไรเหมือนเธอเลยก็ตาม มิเชลมองข้ามองค์ประกอบทางกายภาพของตนเองไปจนหมด เพื่อจะสร้างความมั่นใจในการเข้ากลุ่มเพื่อน ทั้งๆที่ตอนเธอมาถึงเยอรมันใหม่ๆ สมัย5-6ขวบนั้น เธอคิดอยู่เสมอว่าเธอเป็นคนไทย ไม่ใช่คนของประเทศที่พ่อกับแม่ใหม่พามาให้อยู่ด้วย
จำได้ว่าตอนนั้นนอนร้องไห้ทุกคืน ทั้งๆที่ไม่รู้จะนึกถึงใคร มิเชลหรือ “มน” ไม่มีญาติพี่น้องคนไหนที่จะแสดงตัวยอมรับเธอเลยที่เมืองไทย จึงได้แต่คิดถึงพี่เลี้ยงวัยกลางคนที่ชื่อ แม่ละมุน ที่แสนใจดี กับเพื่อนเด็กๆด้วยกัน
มิเชลตื่นคนมากมาย ที่เข้ามาทำความรู้จักด้วย ในฐานะลูกคนใหม่ของแด๊ดกับแมม ทุกคนไม่มีใครมีสีผมเหมือนมิเชล สีผิว รูปร่าง แล้วพูดภาษาอะไรก็ไม่รู้ มิเชลฟังไม่รู้เรื่องเลย จึงมักร้องไห้ออกมาด้วยความกลัวอยู่บ่อยๆ มิเชลไม่เข้าใจว่า ทำไมมิเชลต้องมาอยู่ที่นี่
พอมิเชลโตขึ้นเรื่อยๆ ก็เริ่มจะรู้เรื่องเกี่ยวกับตัวเองมากขึ้น มิเชลรู้แล้วว่าตัวเองเป็นเด็กที่ไม่มีใครต้องการ จนถูกขับไล่ไสส่งเหมือนเนรเทศออกจากบ้านเกิดมาสู่ครอบครัวของแด๊ดกับแมม แต่ทั้งสองดีกับมิเชลมาก แม้ไม่ได้เป็นผู้ให้กำเนิด มิเชลก็รักท่านทั้งสองมากเหมือนกัน
มิเชลเคยสงสัยว่าทำไมพวกเขา (รวมทั้งเพื่อนๆของแด๊ดกับแมม) ต้องหาเด็กต่างชาติมาเลี้ยงดูด้วย คำตอบที่หาได้สั่นสะเทือนความภูมิใจในชาติและกำเนิดของตัวเองอย่างที่สุด นั่นคือเป็นเพราะการขอเด็กกำพร้าจากรัฐบาลในประเทศของตัวเองไปเลี้ยงดูนั้นมีข้อบังคับและกฎเกณฑ์มากมายจนหมดกำลังใจทีเดียว แต่การขอเด็กจากประเทศโลกที่สามหรือด้อย (กำลัง) พัฒนาทำได้ง่ายดายกว่ามาก คิดดูแล้วเหมือนกับเด็กของโลกที่สามเป็นวัตถุที่ไม่มีค่าอะไรเลยจริงๆ
เคยคิดจนเลิกคิดไปแล้วถึงการที่จะมีโอกาสได้กลับไปบ้านเกิดเมืองนอนของตัวเอง แต่ถ้าได้กลับไปสักครั้ง ก็จะหาคำตอบให้ได้ว่า คนไทยหรือรัฐบาลไม่มีปัญญาเลี้ยงดูเด็กกำพร้าอย่างพวกเธอเลยหรือ
และ “ความละอาย” กับ “การคิดถึงหน้าที่รับผิดชอบ” ต่อประชาชนเด็กๆของประเทศตัวเองนั้นจะมีความหมายต่อผู้กุมกฎเกณฑ์เงื่อนไขบ้างไหมนะ
ในห้องเรียนของมิเชล มีเพื่อนผิวดำที่ย้ายมาจากสหรัฐอเมริกาอยู่สองคนเป็นฝาแฝดชายหญิง เขาสองคนดีต่อมิเชลมาก มากกว่าเพื่อน “ฝรั่ง” หลายคน อาจเป็นด้วยความเข้าอกเข้าใจในปัญหาเดียวกัน เพราะถึงแม้ครอบครัวของเขาสองคนซึ่งเป็นพ่อและแม่แท้ๆนั้นจะมีฐานะร่ำรวยไม่น้อยหน้าใครในเมืองนี้ แต่เขาทั้งสองก็ยังเป็นเด็กผิวสีอยู่นั่นเอง
เด็กผู้หญิงเป็นคนน้องชื่อซูซาน ส่วนคนพี่ชื่อแจ็ค แจ็คเคยขอเดทกับมิเชลเมื่อปีกลาย แต่อาจเป็นเพราะจิตใจของมิเชลยังมีความเป็นไทยผสมอยู่มาก จึงไม่สามารถที่จะยอมรับการนัดของคู่รักอย่างวัยรุ่นตะวันตกได้ แจ็คเข้าใจความรู้สึกของเธอ และวางตัวเป็น “เพื่อน” ที่ดีต่อเธอเสมอมา ในขณะที่เด็กผู้ชาย “ฝรั่ง” บางคน พอถูกปฏิเสธก็แสยะใส่พร้อมด้วยการดูถูก เอ๊ อย่างนี้เด็กไทยเรียก “ขี้แพ้ชวนตี” รึเปล่า นะ
มิเชลพบกิริยาไม่ดีจากเด็กชายฝรั่งหลายคนจนทำใจได้แล้ว ทั้งๆที่รู้สึกแย่ๆเหมือนกันที่จะต้องรู้ว่า เขาอยากได้มิเชลเพราะเห็นเป็น “ของแปลก” แล้วพอไม่ได้ดังใจก็มองเป็น “ของประหลาด” เหยียบย่ำไปเลยจนหายแค้น มิเชลเจอหลายครั้งจนนึกสังเวชพวกเขาแทนที่จะโกรธเสียแล้ว
แจ็คเลื่อนแผ่นกระดาษใบเล็กๆมาให้ ในภาพนั้นเป็นสวนผีเสื้อ มีดอกไม้สวยเหมือนในสนามนอกหน้าต่าง ที่สำคัญผีเสื้อปีกสวยต่างพากันบินเป็นวงเกลียวรอบตัวหัวจรดเท้ามิเชลเลย รอยยิ้มเกิดขึ้นเองอย่างพึงใจ และส่งไปให้เจ้าของฝีมือเขียนรูปอย่างขอบคุณ แจ็คเซ็นใต้ภาพไว้ว่า “เจ้าหญิงตัวน้อย” แหม อย่างนี้แจ็คก็คงเป็นเจ้าชายน้อยๆสินะ แต่ยากนิดหนึ่งตรงที่แจ็คตัวสูงโตมากๆเลย ด้วยเหตุที่แจ็คคอยอยู่ใกล้มิเชล เด็กผู้ชายในห้องที่ต่างตัวเล็กกว่าจึงไม่กล้ามาตอแยกับมิเชลมากนัก
แต่อย่างไรก็ตาม มิเชลก็ยังรู้สึกตะขิดตะขวงที่จะเข้ากลุ่มกับเพื่อนๆของแจ็คและซูซานนอกโรงเรียน ไม่ใช่เพราะสีผิว แต่พวกเขาหลายคนเป็นเด็กอันธพาลร่อนเร่ บ้างติดยา บ้างเคยออกจากคุกมาแล้ว แต่ในความกลัวก็มีความสงสารและเห็นใจเจือปนอยู่
เพราะหลายๆคนที่เป็นไปอย่างนี้ บ้างเป็นเด็กกำพร้าต่างชาติที่ถูกรับตัวมาโดยทางการไม่มีการตรวจสอบประวัติผู้รับมอบให้รัดกุมรอบคอบพอ อย่างเช่น มาร์ก ที่ถูกเอาตัวออกนอกประเทศ พร้อมกับถูกใช้เป็นเครื่องมือขนเฮโรอีนและเดินทางไปหลายๆแห่งอีกหลายครั้งเท่าที่ความเป็นเด็กจะถูกใช้ประโยชน์ได้ สุดท้ายเขาทนไม่ไหวจึงหนีมาร่อนเร่ข้างนอกคนเดียว และได้มาเข้ากลุ่มกับเพื่อนที่ผ่านเรื่องราวเดียวกันมา
ถึงแม้พวกเขาจะมีพฤติกรรมที่น่ารังเกียจต่อสังคม แต่สิ่งหนึ่งที่ไม่เคยทำก็คือการเป็นมิจฉาชีพ เช่น ขโมย ฉกชิงวิ่งราว แต่อย่างใด พวกเขาทำงานหนักเพื่อหาเงินซื้อข้าว (รวมทั้งซื้อยาเสพติด) หล่อเลี้ยงชีวิตให้อยู่ไปวันๆ หลายคนหาคำตอบไม่ได้ว่า ถ้าเขายังเป็นเด็กในสถานกำพร้าที่ประเทศบ้านเกิด ชีวิตเขาจะมีความสุขมากกว่านี้หรือไม่
แด๊ดกับแมมเคยห้ามปรามด้วยความไม่พอใจที่มิเชลไปคบค้ากับ “เด็กพวกนั้น” มิเชลก็มองไม่ออกเลยว่าพวกเขาต่ำต้อยกว่ามิเชลนักหรือ เพราะมิเชลก็เป็นเด็กกำพร้าต่างบ้านต่างเมืองมาเหมือนๆกัน แม้ตอนนี้จิตใจจะเป็นเยอรมันแต่ลักษณะรูปกายก็ยังเป็นอย่างเดิม ไม่เปลี่ยนแปลง “ฝรั่ง” บางคนก็มองมิเชลไม่ต่างไปกับที่มองเพื่อนๆของแจ็คและซูซานเท่าไร อย่างนั้นแล้วอะไรเล่าที่ขีดคั่นช่องห่างระหว่างมิเชลกับพวกเขา
ญาติของแด๊ดกับแมมเคยพูดเข้าหูมิเชลบ่อยๆว่า มิเชลเป็นลูกเลี้ยงเลือดต่างชาติเลยไม่รักดี ไปคบกับพวกเด็กเลวๆ มิเชลอยากจะหัวเราะให้ฟันหัก ก็สมิธ ลูกชายวัย16 ของคุณป้าคนที่พูดน่ะแหละ เป็นตัวใหญ่ในสายส่งโคเคนในโรงเรียน ทียังงี้ละก็ไม่รู้เรื่องราวอะไรเลยหนอ คุณป้า
ออดเลิกเรียนดังขึ้น มิเชลกับแจ็คหันไปมองตากันอย่างรู้ใจ ต่อจากนั้นสิบนาที ทั้งสองก็อยู่บนรถจักรยานที่แล่นขึ้นเนินเขาย่อมๆ
“อยากมีบ้านอยู่บนเขาอย่างนี้ มีดอกไม้สวยๆเยอะๆ มีต้นแอปเปิลหนึ่งต้น แล้วก็มีลูกหมาสักตัว”
คำพูดนี้เป็นความฝันของทั้งสองคน ที่เกิดขึ้นจากความรู้สึกประทับใจยามขึ้นมาพักผ่อนบนเนินนี้ สายลมธรรมชาติที่สดชื่นและแผ่วพลิ้วผ่านตัวไปวันแล้ววันเล่า น้ำค้างที่เคยหยดเผาะลงพอดีเปลือกตาและปลุกให้ตื่นขึ้นมาพร้อมรอยยิ้ม ซึมซาบเข้าไปในดวงใจน้อยๆ จนยากลืมเลือน
แต่ทั้งสองนั้นมีคำถามถามตัวเองและถามกันเสมอว่า
“คิดจะตั้งรกรากในประเทศที่ไม่ใช่ถิ่นเกิดของตนจริงๆหรือ”
เมื่อเป็นคำถามที่ตอบได้ยาก แทนคำตอบ.. ทั้งสองจึงปล่อยใจไปกับท้องฟ้าเบื้องบนที่ดูยิ่งใหญ่เหมือนจะห่มคลุมจักรวาลทั้งหมด ตัวเขาและเธอเหมือนมดตัวเล็กตัวหนึ่งเท่านั้นเอง
ทั้งสองจูงจักรยานเดินลงมาถนนข้างล่างในเวลาบ่ายจัดๆ ใกล้ๆกันนั้นเป็นร้านขายเครื่องดื่มที่พวกวัยรุ่นมักไปจับกลุ่มกัน โดยไม่ขายเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์เจือปน
“น้ำส้มนะ” แจ็คพยักหน้ารับ ขณะกำลังตั้งจักรยานจอดในแถว
มิเชลเดินเข้าไปสั่งด้านในก่อน จึงไม่ได้ยินเสียงก่อกวนจากวัยรุ่นผิวขาวผมทองกลุ่มใหญ่
“จะเอามากัดผิวให้ขาวขึ้นหรือไงไอ้น้อง”
ถึงแม้จะมีร่างกายสูงใหญ่ แต่ถ้าเป็นเรื่องจุดด้อยของตนแล้ว แจ็คไม่สามารถอดทนโต้เถียงกับใครได้ เขาจึงรีบเดินตามมิเชลเข้าไปแต่ไม่ทันที่ถูกสกัดไว้
…ถ้าเป็นเพื่อนที่โรงเรียนก็คงรู้ว่า เวลาแจ็คเหลืออดขึ้นมา หนึ่งต่อร้อยเขาก็ยังไม่เคยถอย แล้วนับประสาอะไรกับคนไม่เกินสิบ
วันรุ่งขึ้นหลังเลิกเรียนคาบเช้า มิเชลขึ้นรถรางไปหาแจ็คที่บ้าน เพราะเขายังบอบช้ำมาโรงเรียนไม่ไหว แต่อาการขนาดนั้นหากเทียบกับลูกชายเทศมนตรี ซึ่งต้องเข้าโรงพยาบาลอยู่อีกหลายวันก็นับว่าน้อย
ถึงแม้มิเชลจะไม่ชอบการวิวาท แต่เธอก็รู้สึกเข้าข้างแจ็คเสมอ เพราะถ้าไม่ถึงที่สุดจริงๆ แจ็คจะไม่ก่อเรื่องรุนแรงอย่างนี้
“คงต้องเดือดร้อนกันครั้งใหญ่ล่ะ ทำเอาลูกเทศมนตรี นอนแบ็บอย่างนั้น”
แจ็คเพียงแต่ยิ้ม ซึ่งมิเชลอ่านความคิดเขาไม่ออกว่ามีอะไรแฝงไว้บ้าง
แด๊ดกับแม่ต่อว่าที่มิเชลแสดงตัวเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ เทศมนตรีมีอำนาจเหนือที่สามรถบีบให้แด๊ดกับแมมเดือดร้อนได้ ฉะนั้นจึงมีคำสั่งห้ามขาดไม่ให้เธอกับเขาติดต่อกันอีก แม้ยามพบกันในห้องเรียนก็ไม่อาจทักทายกันได้ ทั้งสองรู้สึกทรมานใจมาก แต่ไม่มีทางเลือก….
สำหรับมิเชล แด๊ดกับแมมมีอุปการคุณเลี้ยงดูมาจนโตขนาดนี้ เธอจึงไม่สามารถทำให้ท่านสองคนต้องรับความเดือดร้อนได้
สำหรับแจ็ค เขารู้ดีว่าเด็กผิวสีจะต้องเจอสภาพอย่างใดบ้าง พูดที่จริง ก็คือเขาชินเสียแล้วกับความไม่ยุติธรรมต่างๆ ที่สำคัญคือ เขาไม่อยากให้มิเชลและครอบครัวต้องลำบากใจ
แม้ตัวเขาเองต้องเก็บความแค้นที่ระบายไปกับหมัดและเท้าในคืนนั้นเท่าไหร่ก็ไม่สมใจไว้กับตัวเองต่อไปก็ตาม
เขาจะบอกเธอได้อย่างไรว่า ขีดความอดทนของเขาทลายลงด้วยประโยคของลูกชายเทศมนตรีผิวขาวคนนั้นคือ
“ไอ้นิโกรหาเมียเป็นลูกกะหรี่เอเชียเว้ยพวกเรา”
หมัดเขาค่อยๆกำเข้าทีละน้อย และถูกระดมออกไปในที่สุด…
แม้เขาจะรู้ล่วงหน้าได้ว่าเหตุการณ์คืนนั้นจะทำให้เขาลำบากอย่างไรบ้าง เขาก็คงยังทำในสิ่งที่ทำไปแล้วอยู่เช่นเดิม
ขอบคุณ อุปการคุณต่อเด็กต่างชาติทุกคนของท่านผู้หวังดีที่พาข้ามน้ำข้ามทะเลมาจนพบกับความใจต่ำของ “ผู้พัฒนาแล้ว”



Create Date : 13 พฤศจิกายน 2552
Last Update : 13 พฤศจิกายน 2552 10:42:25 น.
Counter : 393 Pageviews.

0 comments

รินบุญญา
Location :
กรุงเทพฯ  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 4 คน [?]




ร้านจำหน่ายหนังสือภาษาอังกฤษมือสอง
ซื้อ 200 บ.ก็ส่งฟรีแล้วค่ะ