Group Blog |
07 เทศกาล(คน)อกหัก เทศกาล(คน)อกหัก นามปากกา หนูน้ำ ตีพิมพ์ กันยายน 40 THE BOY ถุงกระดาษใบใหญ่ลวดลายสวยสดสองใบถูกวางลงบนม้าหินต่อหน้าชายหนุ่มผู้นั่งอยู่ก่อน หญิงสาวผู้นำมาก้มหน้าหลบสายตาเขา แล้วค่อยๆหยิบของจากถุงออกมาวางทีละชิ้นจนเต็มโต๊ะ “ทำไม…” คำถามนั้นแทบไม่ดังออกมาพ้นริมฝีปาก เมื่อเห็นว่าของเหล่านั้นคือสิ่งที่เขาให้หล่อนเป็นของขวัญในเทศกาลต่างๆตลอดระยะเวลาสามปีที่คบกันมา “อย่าถามเลย….” สุดท้ายคนตอบก็ถอนหายใจยาว….นาน “ปิ่นเองก็ไม่รู้จะอธิบายยังไงเหมือนกัน” บรรยากาศตกอยู่ในความเงียบสนิทนานพอสมควรก่อนที่คนถูกบอกเลิกจะสรุป “ตามใจปิ่นนะ โต๋คงบังคับใจปิ่นไม่ได้เมื่อปิ่นไม่ต้องโต๋แล้ว แต่ไม่จำเป็นเลยที่ปิ่นเอาของเหล่านี้มาคืนโต๋ โต๋อยากให่ปิ่นเก็บมันไว้เพื่อจำว่าครั้งหนึ่งเคยมีคนชื่อโต๋รักปิ่นมาก” เขาค่อยๆหยิบของแต่ละชิ้นกลับคืนใส่ถุงจนครบ แล้วเลื่อนไปเบื้องหน้า หากแต่คนที่นั่งอยู่ตรงข้ามรีบลุกขึ้น “เมื่อปิ่นเอามาคืนก็หมายความว่ายังไงก็ไม่เอากลับ โต๋เก็บไว้หรือให้ใครก็ได้ถ้าไม่อยากเห็นอีก ปิ่นยังเป็นเพื่อนของโต๋นะ เพียงแต่…….” หล่อนหันหลังเตรียมเดินจากไป “นัย…….เพื่อนใหม่ของปิ่นเค้าไม่ต้องการให้ปิ่นเก็บไว้………โต๋คงเข้าใจนะ” นายโต๋ค่อยๆเลื่อนถุงใบใหญ่กลับเข้ามาทางตัวเอง “จะให้โต๋เอาของของปิ่นมาคืนให้เมื่อไหร่” คำถามนั้นไม่ติดต่อกันเพราะพูดด้วยความรู้สึกฝืนใจ “ไม่ต้องหรอก ปิ่นแค่ไม่อยากเห็น ไม่อยากให้….ไม่พอใจ” ปิ่นเว้นชื่อของเพื่อนใหม่ไว้ เขาจึงเงียบเพราะจนคำพูด ปล่อยให้หล่อนเดินจากไป หายไปจากชีวิตเขา ถุงใบใหญ่สองใบนั้นถูกโยนใส่ที่ว่างหลังรถอย่างไม่ไยดี ของที่ปิ่นไม่ต้องการแล้ว ย่อมไม่มีคุณค่า รังแต่รำคาญสายตาเมื่อได้เห็นเท่านั้น…ก็แค่ของที่ถูกทิ้งถูกขว้าง ไม่ต่างกับหัวใจ เขาเลี้ยวรถแล่นผ่านหน้าคณะที่ปิ่นเรียนอยู่ เผลอไผลสติจนไม่เห็นนักศึกษาชายที่กำลังหอบถุงกระดาษใบใหญ่กระเร่อกระร่าข้ามถนนเล็กในมหาวิทยาลัย โชคดีที่เบรครถทันเวลา ไม่งั้นคงต้องไปนอนร้องเพลงอกหักในห้องขังให้ยุงฟัง ความตกใจทำให้นายแว่นคนนั้นปล่อยถุงออกจากมือ เขาก้าวลงไปอย่างคิดจะช่วย แต่พอเห็นของที่กระจัดกระจายอยู่ตามพื้นก็ชะงักไปนาน เขาเดาออกได้รางๆว่าตัวเองยังมีเพื่อนร่วมทุกข์อยู่อีกคนแน่ๆ ระหว่างที่มือช่วยเก็บและกล่าวคำขอโทษขอโพย เขาก็ตั้งใจพิจารณาหน้าตาของ “เจ้าทุกข์” เสียงแตรรถไล่หลังมาเตือนดังจนน่ารำคาญ ….พร้อมๆกับการเข้ามาช่วยเหลือของสุภาพบุรุษหนุ่มริมฟุตบาท เขาเงยหน้ายิ้มให้อย่างขอบคุณ จนกระทั่งข้าวของถูกเก็บหมดแล้ว เขาจึงชวนนายแว่นกับคนมีน้ำใจติดรถออกจากมหาวิทยาลัย “…ถ้าคุณสองคนมีเวลา และไม่รังเกียจ ขอเชิญทานข้าวเย็นด้วยกันดีไหมครับ” เมื่อได้รับความเห็นชอบ เขาก็เลี้ยวรถแล่นไปทางร้านอาหารร้านโปรดอย่างรวดเร็ว ระหว่างมื้ออาหาร เขาพยายามสังเกตทีท่าของนายแว่นผู้มีบุคลิกเปิ่นเชย แต่คนที่ทำให้เขาประหลาดใจกลับเป็นนายรูปหล่อ เมื่อเขาคนนั้นถามถึงของในถุงนั้นตรงแล้ว นายแว่นก็เล่าหมดเปลือกจนกระจ่าง อีกอย่างคือนายรูปหล่อเอาเข้าพวกนายแว่นหน้าตาเฉย พร้อมทั้งเล่าเรื่องของตัวเองให้เพื่อนใหม่ทั้งสองฟัง ซึ่งแน่นอนที่เขาจะต้องไม่รอช้าเลยที่จะนำตัวเองเข้าพวกด้วยอีกคน “ของผมมีสองใบอยู่ที่หลังรถ คุณล่ะ” เขาเห็นนายรูปหล่อถือเป้ใบกำลังเหมาะสะพายมาใบเดียว “เวลาครึ่งปีไม่ทำให้ผมต้องถือถุงใบเบ้อเริ่มอย่างพวกคุณหรอก” คำตอบเกือบหัวเราะทั้งที่กระแสเสียงเศร้าไม่แพ้กัน “มันเร็วเกินไป จริงมั้ยคุณ” เขาคนนั้นเริ่มระบายความในใจ เขากับนายแว่นซึ่งบัดนี้ได้แนะนำตัวแล้วว่าชื่อบูน มองสบตากันอย่างจะอ่านความคิด และแล้วเขาก็พูดขึ้น “ถ้าคุณเรียนรู้กันถึงสามปีเหมือนผมนะเชม คุณอาจดีใจมากกว่าที่บันทึกความทรงจำของคุณนั้นสั้นกว่าเราสองคน” “บางที บางทีนะ” เขาพูดตอบ แล้วเราสามคนก็เงียบกับความคิดตัวเองอีกครั้งหนึ่ง ถึงจะพูดอย่างนั้น แต่ผมก็รู้ว่าแม้ผมสามารถมองเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นวันนี้ตั้งแต่สองปีที่แล้ว ผมก็คงไม่เดินหนีจากจุดจบอันเจ็บปวดอยู่นั่นเอง ความรักมักมีอำนาจเสมอ สร้างได้สวยงาม และทำลายลงอย่างเลือดเย็น เราสามคนพูดคุยกันถึงเรื่องของที่ได้คืนมาอีกหลายประโยค เหมือนบัญญัติไตรยางค์ตรงที่ว่า…ยิ่งมากจำนวนปีเท่าใด สิ่งของก็มากชิ้นขึ้นตามกัน… ไม่ผิดกับความเจ็บปวด หรือเขานึกถึงตัวเองมากเกินไป เขาควรใส่ใจความรู้สึกของเพื่อนใหม่ให้มากกว่านี้ สุดสัปดาห์นั้น กลางหาดทรายเม็ดละเอียดของชายทะเลระยองยามค่ำคืน มีร่างสามร่างของชายวัยยี่สิบสามคนนอนทอดมองดวงดาวด้วยดวงตาเหมือนนำตัวเองเดินทางผ่านออกไปเวิ้งว้างในจักรวาลไร้สิ่งมีชีสิต ภาพของความว่างเปล่าสะท้อนกลับเข้ามาสู่จิตใจ และแล้วชายคนที่รูปหล่อที่สุดก็ถามขึ้น “คุณสองคนมีความหลังเกิดขึ้นกับทะเลบ้างไหม” บูนส่ายหัวทันที ขณะที่เขาตอบช้าๆ “ผมพบเธอครั้งแรกเมื่อมารับน้องที่นี่ แต่เรื่องราวของผมเริ่มหลังจากนั้น บางทีเธออาจมีเรื่องอื่นกับที่นี่มาก่อนเจอผมก็ได้” เชมยันตัวขึ้นมานั่ง มองเราทั้งสองคน เงียบเหมือนตั้งใจ แล้วก็หัวเราะ “ผมก็ถามไปอย่างนั้นเอง ไม่มีเรื่องราวมากมายหรอกกับเวลสเพียงครึ่งปีของผม” เราทั้งสามทอดทิ้งกองไฟที่ราเชื้อลง แล้วเดินไปตามทางที่มีเสียงดังทั้งคำพูด ตัวเลขมากมาย แสงไฟจากบังกาโลว์สาดจับใบหน้าที่มีรอยยิ้มแห่งความสุขของชายหนุ่มสองคนวัยไล่เลี่ยกับพวกเขาที่กำลังใส่เงินที่ได้จากการประมูลสิ่งของบนโต๊ะใหญ่ลงในกล่องกระดาษที่เขียนคำว่า “ความรักคือการให้” โดยพร้อมๆกันที่ทั้งสามกวาดตามองบนโต๊ะและหันมามองหน้ากันอย่างคาดหมาย รอยยิ้มปรากฎขึ้นพร้อมๆกันบนเรียวปากของคนทั้งสาม เขารู้ว่าสองคนนี้กำลังรอคอยเวลาที่จะมี “เพื่อนใหม่” อีกสองคนเหมือนกับเขา เมื่อผู้คนซาลงพร้อมกับจำนวนของที่ลดน้อยลงแล้ว ทั้งสามจึงมีโอกาสสนทนากับชายหนุ่มทั้งสองคนนั้น ได้รู้ว่าเงินทองที่ได้จากการขาย “ของที่เค้าไม่ต้องการ” นี้จะถูกนำไปบริจาคให้การกุศลตามความเหมาะสม นี่เองความหมายของประโยคที่เขียนไว้หน้ากล่อง “คนเราจะเจ็บปวดไปทำไมเมื่อไม่ได้รับความรัก ขอเพียงเรามีโอกาสให้ความรักแก่ใครสักคนก็พอแล้ว” เพื่อนใหม่คนที่ชื่อวินพูดขึ้นท่ามกลางแสงไฟกองใหม่ และความมืดที่มีดาวแซม ความรู้สึกเห็นด้วยแสดงออกมาจากทุกคนโดยไม่มีคำพูด เรารู้กันว่าเราเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน และเราทั้งห้าไม่ใช่คนที่เป็นทุกข์เพราะรักอีกต่อไป ถ้าคุณเป็นคนชอบเก็บความหลัง สุดสัปดาห์ต่อไปขอเชิญคุณมาเยือนทะเลแห่งนี้ยามค่ำคืน คุณจะพบชายหนุ่มห้าคนกับสินค้าหลากหลายชนิด นาฬิกา แหวนเงิน เทปเพลง กางเกง เสื้อยีนส์ ถุงนอน สร้อยคอ แว่นตา หนังสือ และอีกมากมาย มานอนมองผืนฟ้าแห่งรัตติกาล พูดคุยกับดวงดาวที่ส่งยิ้มให้คุณอย่างจริงใจ อาบประกายแห่งแสงนวลของดวงจันทร์ให้ทั่วร่างของคุณ…. และถ้าคุณถูกใครบางคนยื่นสิ่งของบางอย่างที่คุณเคยให้เป็นของขวัญแก่เขาคืนมาอย่างไม่ไยดี เราคงไม่ต้องบอกคุณหรอกนะว่า พวกเขารอรับคุณเข้าร่วมเป็นเพื่อนใหม่คนที่หก เจ็ด แปด ในการร่วมจัดงาน “เทศกาล(คน)อกหัก”อย่างเต็มใจ |
รินบุญญา
Rss Feed Smember ผู้ติดตามบล็อก : 4 คน [?] ร้านจำหน่ายหนังสือภาษาอังกฤษมือสอง ซื้อ 200 บ.ก็ส่งฟรีแล้วค่ะ |