No. 603 บล๊อกประจำ จันทร์ - พฤหัสบดี |
|
หลายสิบปีก่อน ต้องระเห็จ ไปอยู่ บนดอย บ้านแม่ขะจาน อ.เวียงป่าเป้า เชียงราย |
ห่างจากเชียงใหม่กว่า 80 กม.. |
แม้บ้านแม่ขะจาน เป็นเมืองเล็ก ๆ อยู่ท่ามกลางดอยสูงขนาดกลาง ที่ทอดยาว รับน้ำจากฟ้าซึมซับเก็บไว้
|
บนดอย ต้นไม้ใบหญ้า แล้วค่อยไหลลงสู่พื้นราบของบ้านแม่ขะจาน ท้องนาเขียวชุ่มฉ่ำไปด้วยน้ำ |
ยามยืนมองจากดอยสูงบ้านสันกู่ ลงสู่ตัวเมือง ไอเย็นเกาะตัว สอดแทรกไปกับไม้ต้น กลายเป็นหมอก ยามลม |
พัดปลิวไปเบื้องหน้าไกล เป็นแผ่น เป็นกลุ่มของเมฆฝน
|
ความเย็นเพิ่มมากขึ้น เมฆเริ่มหนา จับตัวเป็นอณูหนัก ทิ้งตัวลงสู่ดิน เป็นสายฝน แสงแรกของวันสาดส่องยาม |
ต้องกับสายฝนเป็นประกาย สวยงาม
|
น้ำฝนที่ตกบนดอย จะไหลลงสู่พื้นราบ บ้านแม่ขะจาน บ้านแม่ห่างใต้ กับ เวียงกาหลง
ที่บ้านแม่ห่างใต้ บ้านป่าซาง บ้านแม่เจดีย์ บ้านสันกู่
ผมจะปักหลัก พักที่นั่น และสับเปลี่ยนเวร ขึ้นไปอยู่บนดอยเฝ้า ไร่ขิง
ในฤดูหนาว ก็หนาวมาก ในฤดูร้อน อากาศสบาย ๆ
หมู่บ้าน ละแวกนั้น เป็นท้องนา ปลูกข้าว ข้าวโพด กระเทียม หอม สวยสงบ อาหารการกินสมบูรณ์
นักร้อง ดัง ไปปลูกบ้านหลังใหญ่ กับทำพืชไร่ ให้พี่ชาย จัดการ
|
นั่งอยู่หน้ากระต๊อบหลังคาใบตองตึงที่หนา ห้องนอนสี่เหลี่ยมถูกกั้นเป็นฝาด้วยใบตองตึง จับเป็นตับกันละออง |
ฝนอยู่เบื้องหลัง พื้นนอนเป็นเพียงไม้ป่าที่เลื่อยด้วยมือใหญ่ ขรุขระ ตระเกียงน้ำมันก๊าด วางไว้ ห่างจากฝูก |
บาง ๆ ที่ม้วนเก็บรวมกับ หมอน มุ้งสีขาวมอ ๆ ตลบไว้
ข้างล่าง ถ่ายกระต๊อบที่เคยอยู่ ไว้หลายปีแล้ว ปลูกอยู่ที่ราบ เนิน สูงบนดอย ระหว่าง เชียงราย กับ ลำปาง
จากการทำงานผูกไทด์ ในห้องแอร์ เกือบยี่สิบปี ต้องไปอยู่กลางไร่คนเดียว ซึ้งมาก ๆ หุ หุ
|
เช้าวันนั้น อากาศเย็นจนหนาว อาหารเหลือเพียงเนื้อเค็มหนาสีดำแดง กับข้าวสารอีก 2 กระป๋องนม |
กะเก็บไว้กินตอนมื้อเที่ยง เผื่อรถขนคนงานขึ้นมาไม่ได้
|
ก่อกองไฟต้ม กาแฟโบราณ เสียงน้ำในกาดังซี้ๆ ไปเรื่อย ๆ หยิบหม้อข้าว เหลือข้าวเย็นอีก 1 ก้อน |
กับเศษเนื้อเค็มปิ้ง ใหญ่กว่าสองหัวแม่มือ ใช้มือควักน้ำพริกแดง บี้ ๆ ข้าวเย็น ในหม้อ หยิบด้วย 4 นิ้วจีบ |
เข้าปากพร้อมกับเนื้อเค็ม ได้เกือบ 6 คำ..เผ็ด เค็ม ก็หมด อร่อยดี |
|
กาน้ำสีดำจากควันไม้ฟืน เดือดคลั๊ก ๆ กลิ่นกาแฟโบราณฟุ้งออกมา หอม... ใช้ผ้าจับหูกา เทกาแฟใส่ |
แก้วมีหู หนาเปอะ เดินหาน้ำตาล หมด..อีก เฮ้อ
|
ไม่เป็นไร จิบกาแฟยี่ห้อตุงฮู หรืออะไรนี่แหละ มีสองยี่ห้อ ใช้ปน ๆ กัน ขมปิ๋ แต่หอม จิบร้อน ๆ พร้อมกับ |
ใช้ลิ้นดุนกากกาแฟทิ้ง ... ถุงชงกาแฟ หมาคงจะคาบไปเล่น หาไม่เจอ มันคงอดยาก |
|
รสชาดกาแฟที่ หอม ขม..จิบจนหมดแก้ว ครู่เดียวก็สดชื่น.. นั่ง ๆ นอน ๆ ฟังวิทยุเอเอ็ม เพลงอะไรไม่รู้ |
เกี่ยวกับ สาวรอชายหนุ่มที่ห่างหาย เฮ้อ... อะไรกันหนักหนา.. |
เป็นสาวเป็นนาง ไปห่วง โหยหาเจ้าหนุ่มทำไม วะ... 555
ตอนนั้นยังนึก ขำ ๆ อยู่ เพราะเราเอง |
อยู่กลางป่าบนดอย มันเหงาสุด ๆ แม้จะชอบสายฝน แต่สายฝนทำความลำบากไม่ใช่น้อย |
ถนนขาด รถยนต์ไต่ถนนดินลูกรัง ที่เจอน้ำฝนไหลกระแทก จนทางขาดเป็นตอน ๆ
|
|
และแล้วก็ได้เวลาขุดขิง ส่งโรงงานชานเมืองกรุงเทพที่ตกลงรับซื้อไว้ ฝนตกหนัก ทางลงเขาขาด รถสิบล้อ 3 คันขับขึ้น |
ไร่บนดอยไม่ได้ เรา ต้องเดินด้วยเท้า ลงดอย ไปติดต่อชาวบ้าน |
ระดมล้อเกวียน เทียมด้วยวัว หรือควาย ขึ้นไปบนดอย ขนขิงลงมา ใส่รถสิบล้อที่จอดรอ เสียเงินไปเยอะแต่ |
ก็ต้องจ้างเกวียน ไม่งั้นส่งขิงไม่ได้
|
แม้ผมจะชอบ ป่าไม้ สายฝน ความชุ่มฉ่ำของดิน ก็จริง ตอนนั้น นึกฝันว่า ขอให้ราชการ ทำถนนขึ้นมาบ้าง |
ที่ดินที่ซื้อแบบจับจองไว้ น่าจะมีราคาสูงขึ้น(ผิด หรือถูกตอนนั้นไม่ได้คิดเลย)
|
ที่ดินทำไร่ เป็นป่าเสื่อมโทรม เราเช่าจากทางการ ยังนึกหวังไว้ในใจว่า เช่าไว้ก็ดี เผื่อมีโอกาส |
ได้รับการจัดสรรบ้าง แหะ ๆ คิดแบบนั้นจริง ๆ
|
ใจคิดเลยว่า ถ้า "ได้" ก็จะปลูกไม้ยืนต้นให้เยอะ อย่างน้อยก็ 70 % ดินเก็บน้ำไว้จะทำให้ดินดี |
เคยอ่านพบว่า อเมริกาสมัยโบราณรุ่นบุกเบิก เขาให้ คนของเขาจับจองที่ดิน ทุ่งหญ้าโล่ง แต่มีข้อแม้ว่า |
จะต้องปลูกป่า ไม้ยืนต้น 60 % อย่างน้อย 6 ปีทางการจึงจะให้สิทธิครอบครองเป็นกรรมสิทธิ |
ผมว่าดีนะ ผมว่าคนอเมริกัน ขยันปลูกต้นไม้จริง (มั้ง)
|
(ตอนนั้นคนอเมริกัน คงจะปลูกต้นไม้ ในเอกสารไม่เก่งเท่าคนไทยในสมัยนี้ หุ หุ) |
ความหลังที่ ยากลำบาก แต่มีความสดชื่น ของไร่เขียวขจี บนยอดดอย ในภาคเหนือ มีทั้งทุกข์ และสุข |
ยังคงตราตรึงในความทรงจำ ...ตลอดมา
ภาพข้างล่างเป็นภาพ ที่เคยทำไร่กว้างกว่า 25 ไร่ ดูสวย... แตกต่างกับเมื่อก่อนมากมาย
|
|
ทำไร่ รับซื้อกระเทียมนาน.. แต่มีคนให้ ไปทำงานดูแลบัญชี ที่กรุงเทพ กินเงินเดือนบริษัทเดียว แต่ดูแล หลายแห่ง ก็โอเค
ทำให้เปิดโลกกว้าง ไปอีกมากมาย โอกาศมาก็ รีบรับ
ต้องจาก ไร่บนดอยสันกู่มาหลายปี เคยกลับไปดู ดูดีมาก มีต้นไม้ขึ้นบ้าง ทางการตัดถนนขึ้น สวย |
คงมีคนจับจองได้สิทธิทำกินไปแล้ว แต่ผมไม่เสียดายที่ไม่ได้สิทธินั้น |
เพราะรู้ว่า ตัวเองคงไม่เหมาะในการ ทำไร่...
ปัจจุบัน คนที่ครอบครอง น่าจะได้รับสิทธิในสิทธิหนึ่งจาก ทางการ มีการปักเสาปูน ขึงลวดหนาม
ถนนแม้จะยังไม่ลาดยาง ก็อัดแน่น ฤดูฝนรถวิ่งได้สบาย
ถ้ามองคิดว่า เป็นพื้นราบ แต่ไม่ใช่ครับ อยู่บนดอยสันกู่
|
แต่ก็ยัง อยากให้ป่าเสือมโทรมใน ไทย มีการคัดเลือกคน เข้าไปอยู่ในที่ดังกล่าว โดยจัดสรรให้เหมาะ |
คือให้อยู่จริง ไม่ใช่เจ้าของอยู่ใน กท. หรืออยู่ในเมือง
|
โดยให้ผู้อยู่อาศัย ปลูกป่าในที่ราบเชิงเขา ที่สูงชันน้อยกว่า 35 องศาแต่ต้องปลูกไม้ยืนต้น ไม้ทำกินก็ได้ |
อย่างน้อย 70 % ของพื้นที่ ไม่จำต้องปลูกต้นสัก ไม้พะยุง ก็มันกินไม่ได้ในเวลาอันสั้น |
แต่ ใครจะตัดไม้ ต้องขออนุญาต และปลูกทดแทน ใครไม่ปลูก ให้ตัดสิทธิในการอยู่ทันที |
|
เคยคุยกับเพื่อน ๆ เรื่องนี้ เลยได้ความรู้ ความริเริ่ม คือ มีคนคิดแย้งแบบ |
|
ไม่ได้หรอก คนไทยปลูกไม้ต้นในกระดาษได้สบาย ๆ แล้ว พิกงพิกัด จะดูได้ไง กว่าจะรังวัด ต้องจ้างคนรังวัด |
ลากเส้น ดิ่งเหล็กแหลม... แต่ละรายใช้เวลานาน...
|
เธ่อ... รัฐยอมจ่ายค่าดาวเทียม ให้ใช้สด ๆ ก็หมดเรื่อง ชัดแจ๋ว ปลูกต้นอะไรไว้ สูงขนาดไหนแล้ว |
จนท.ที่ดินดึงภาพดาวเทียมสด หรือดูภาพย้อนหลัง ระบุวันที่ถ่ายภาพ ชัดแจ๋วมาดูตามพิกัดได้อยู่แล้ว ว่า มีต้นไม้หรือไม่มี
|
แล้ว เขาไม่โต้แย้งเหรอ
|
จนท.ที่ดิน ก็ก๊อบปี้พรินต์ไว้เป็นหลักฐาน หากมีการโต้แย้งซิ เอออีกอย่าง ถ้าภาพถ่ายทางดาวเทียมศาลไม่ |
ยอมรับเป็นหลักฐาน ฝ่ายนิติบัญญัติก็ ออก พรบ.ไว้เลย ปัจจุบันก็เร่งออกปีละหลายฉบับ
ถ้าออกกฏหมาย ก็เพื่อประชาชน เขาคงทำอยู่แล้ว |
ขอเสริมเรื่องภาพถ่ายทางอากาศ พี่ผมคนหนึ่งเป็น นายทหารแผนที่ แม่กองสนาม ต้องไปเป็นพะยานที่ศาล เพื่อแย้งกับ
จำเลยว่า ปีที่จำเลยอ้างว่าเข้าอยู่อาศัย
ยังไม่มีการปลูกพืช หรือครอบครองที่ดินแต่อย่างใด โดยนำพะยานเอกสาร ภาพถ่ายจากเครื่องบิน ที่ทหารทำการบินสำรวจ ประจำมานานมากแล้ว
ถ้าใช้ภาพจากดาวเทียม ยิ่งดี ใครจะมากล่าวอ้างลอย ๆ ไม่ได้..
ในภาพจะมีวันเดือนปี ปรากฏอยู่ด้วย เจอแบบนี้ จำเลยก็จ๋อย ซิครับ
|
เพราะผมเชื่อว่า คนอยู่แทรกในป่าได้ เพราะเคยเห็นหลายแห่ง เขารักษาสภาพพื้นที่ได้ เช่นที่ป่าเมืองกาญจนบุรี |
เชียงใหม่ พิษณุโลก จันทบุรี |
|
มีตัวอย่างมาให้ดูว่า คนอยู่กับป่า อาศัยป่า ลำห้วยได้ดี
...
....
ถ้าสังเกต การใช้สีกลมกลืนกับสภาพแวดล้อม
ลำน้ำ สีแดงขุ่นไหลเอื่อย ๆ ไม่แรงเท่าใด แต่ถ้าข้างบนฝนตกหนัก จะไหลเชี่ยว..
...
เรา 4 คนนั่งกินอาหารเที่ยง ในเวลาบ่ายคล้อย ตรงข้างล่างนี้ อากาศเย็นสบาย
...
...
...
...
...
...
..
...
ใช่แล้ว ลำน้ำ เข็ก ไหลจาก เขาค้อลงมา ผ่านลงมา เลยไปอีกสิบกว่ากิโลเมตร สู่ อ.วังทอง
จะกลายเป็น ลำน้ำวังทอง
...
....
ที่นี่ผมก็เคยมา พักผ่อน สั่งอาหารเครื่องดื่ม และติดใจ ครั้งนี้กำลังหิว ต่างคนต่างสั่งอาหารจานเดี่ยว แล้วแต่ชอบ
ส่วนผมผัด สิ้นคิด หมูสับ กระเพรา น้ำดำ แล้วก็สั่งต้มยำข่าไก่ รสดีอร่อย เฉพาะต้มยำ 150 บาท
ทุกคนชอบรสอาหารที่นี่ อาหารจานเดี่ยวจานละประมาณ 70 บาท ก็โอเคครับ
หลายสิบปีก่อน ถนนมิตรภาพหมายเลข 12 จากพิษณุโลก ไป อ.หล่มสัก ซีกซ้าย ซีกขวา เป็นป่าไม้หนาแน่น มีสัตว์ป่า
เคยนั่งรถผ่านเวลากลางคืน กระต่ายป่า เดินหากิน ริมถนน เล่นแสงไฟจากรถ
ปัจจจุบัน ดูภาพถ่ายทางดาวเทียม จะเห็น ซีกซ้าย ป่าไม้ เหลือน้อย มีก็ หรอมแหรม เฮ้อ...
น่าวิตก.....หรือ ไม่....
ขอบคุณเพื่อนผู้เอื่อเฟื้อภาพ
end 869,894
st. ผู้เข้าชม 867,492
= 2,402 คน
งานเขียนประเภท Diarist
|
คงต้องหาทาง คิดเรื่องการทำลายป่า
จะป้องกันรักษาได้อย่างไร น่าคิดเหมือนกัน
ถนนมิตรภาพหมายเลข 12 จากพิษณุโลก (อ.วังทอง) ไป อ.หล่มสัก
ขับรถผ่านเห็นเป็นเขาหัวโล้นหลายแห่งเลยครับ