ในทางไฟแนนซ์แล้ว หุ้น PE ถูกหรือแพงเราจะดูที่ อัตราการเติบโตของกำไร(earning growth) ประกอบกัน หุ้นที่มี PE สูง ถ้าผลกำไรโตมากหลายปีติดต่อกันก็กลายเป็นหุ้น PE ถูกได้
ลองดูตัวอย่างง่ายๆนะครับ หุ้น A เทรดที่ PE 20 เท่า ราคา 20 บาท มีกำไร 1บาท/หุ้น กำไรโตปีละ 25%, หุ้น B เทรด PE 15 เท่า ราคา 15 บาท กำไร 1 บาทต่อหุ้นเหมือนกัน แต่กำไรโตแค่ปีละ 5% ดูผิวเผินแล้วหุ้น B อาจจะถูกกว่าหุ้น A เพราะเทรดที่ PE ต่ำกว่า แต่ถ้าถือลงทุนยาวๆล่ะ สมมติว่ามองไปที่ 3 ปีข้างหน้าจะเกิดอะไรขึ้น กำไรของหุ้น A จะกลายเป็น 1.95 บาทต่อหุ้น(=1.25×1.25×1.25) ซึ่งถ้าเทียบกับราคาหุ้นปัจจุบันที่ราคา 20 บาท PE จะเหลือ 10.2 เท่า ในขณะที่หุ้น B กำไรจะโตขึ้นเป็น 1.15 บาทต่อหุ้น(=1.05×1.05×1.05)ทำให้ที่ราคาปัจจุบันที่ 15 คิดเป็น 13 เท่า ซึ่งหมายความว่า ถ้าเรากระโดดไปอยู่ในอนาคต 3 ปีข้างหน้า และ"ถ้า" ผลกำไรของทั้งสองบริษัทเป็นไปตามที่เราคาด หุ้น A จะมี PE 10.2 เท่าซึ่งถูกกว่าหุ้น B ที่มี PE 13 เท่า
อะไรที่ทำให้หุ้น A ที่เคยมี PE แพงกว่า กลับมี PE ถูกกว่า คำตอบคือ การเติบโตนั่นเอง ดังนั้นในสายการลงทุนเวลาเราดู PE เราจึงมักพูดถึง อัตราการเติบโตของผลกำไร (earning growth) ควบคู่ไปด้วยเสมอ นอกจากนั้นเรายังมีสูตรง่ายๆแต่เป็นที่นิยมกันมากอยู่สูตรนึง ซึ่งเราเรียกว่า PEG (PE to Growth ratio) เอาไว้คำนวณความถูกหรือแพงของ PE ระดับดังกล่าว ซึ่งถ้าหุ้นตัวไหนมี PEG ต่ำกว่าก็แปลว่าถูกกว่านั่นเอง
สูตรการคำนวณคือ PEG = PE ratio / Growth
ซึ่ง PEG นี้เรานำมาใช้งานกันสองรูปแบบคือ
1. เปรียบเทียบหุ้นสอง หุ้นที่มีค่า PEG ต่ำกว่าย่อมเป็นหุ้นที่ถูกกว่า
2. เปรียบเทียบความถูกแพงของตัวมันเอง หุ้นที่มีค่า PEG < 1 แสดงว่าเป็นหุ้นถูก (แปลว่าเทรดที่ระดับ PE ไม่สูงเมื่อเทียบกับการเติบโตที่ทำได้)
ดังนั้นสำหรับในกรณีข้างต้น หุ้น A มี PEG 20/25 = 0.8 และ หุ้น B มี PEG 15/5 = 3.0
ซึ่งแสดงว่าหุ้น B นั้นแพงกว่าหุ้น A มาก (PEG 3.0 > 0.8) และหุ้น A มีความถูกมากพอเหมาะสมต่อการลงทุน (PEG < 1.0)
การเลือกซื้อหุ้น PE ต่ำๆ จึงมักเป็นเหตุผลอันดับต้นๆของนักลงทุนมือใหม่ที่ประสบปัญหาซื้อหุ้นถูกๆแล้วหุ้นไม่ไปไหน (ถูกไปเรื่อยๆ หลายปีผ่านไปก็ยังถูกเหมือนเดิม) เพราะลืมดูเรื่องการเติบโตควบคู่ไปด้วย ซึ่งภาษาไฟแนนซ์เราเรียกว่า Value trap (กับดักของการซื้อหุ้นถูก)
อย่างไรก็ตาม วิธีดังที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ จะใช้ไม่ได้เลยถ้าเราคำนวณการเติบโตผิดพลาด หุ้น A อาจเป็นหุ้นที่แพงถ้า การเติบโตจริงต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ แล้วอะไรที่จะทำให้การเติบโตไม่เป็นไปตามที่คาด ผมจะพูดถึงประเด็นนี้ในตอนถัดไปครับ