|
| 1 | 2 | 3 | 4 | 5 | 6 |
7 | 8 | 9 | 10 | 11 | 12 | 13 |
14 | 15 | 16 | 17 | 18 | 19 | 20 |
21 | 22 | 23 | 24 | 25 | 26 | 27 |
28 | |
|
|
|
|
|
|
|
อ่านบทวิเคราะห์: ว่าด้วยเรื่องมูลค่าหุ้นที่เหมาะสม
หลายวันก่อนผมได้มีโอกาสอ่านบทวิเคราะห์หุ้นที่ได้รับฟอร์เวิดจากเพื่อน บทวิเคราห์หุ้นแต่ละตัวเมื่ออ่านจบก็รู้สึกว่าทำให้เราได้รู้จักกับหุ้นตัวนั้นๆมากขึ้น ก็อ่านไปเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงบทวิเคราะห์หุ้นในกลุ่มอสังหาริมทรัพย์จากโบรกฝรั่งรายหนึ่ง บทวิเคราะห์นี้เป็นแบบชุดใหญ่เลยครับ ร่วมหกสิบหน้าทีเดียว แต่หลังจากผมอ่านไปครึ่งทาง ผมก็เลิกอ่านต่อ ทำไมเหรอครับ ก็เพราะว่าบทวิเคราะห์ของโบรกดังกล่าวทำให้ผมมึนมาก ไม่ใช่มึนเพราะอ่านไม่รู้เรื่องนะครับ แต่มึนกับการวิเคราะห์ของนักวิเคราะห์คนนี้ต่างหาก มึนอย่างไรผมจะยกตัวอย่างให้ดูนะครับ ผมจะยกเฉพาะในส่วนที่ผมคิดว่าน่าจะมีปัญหาดังนี้
เมษายน 2008 ราคาหุ้น LPN เริ่มตกลงมาจาก 8 บาทกว่าๆ ลงมาเหลือไม่ถึง 3 บาทในเดือนตุลาคม เพียงแค่เวลา 4 เดือนเท่านั้น ราคาหุ้นได้ปรับลดลงมากถึงเกือบ 70% สาเหตุหลักๆเนื่องมากจากปัญหา subprime ของอเมริกา ซึ่งนอกจากจะฉุดหุ้นไทยแล้ว หุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์เป็นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบหนักมาก เพราะเป็น sector เดียวกันกับปัญหา subprime
หลังจากที่ราคาได้ปรับลงมามากแล้ว นักวิเคราะห์ได้ปรับมูลค่าเหมาะสมของหุ้น LPN ลงมา จากราคาเป้าหมายเดิมประมาณ 9.5 เหลือเพียง 3 บาท แปลความหมายได้ว่านักวิเคราะห์คาดว่ามูลค่าในระยะยาวของบริษัทซึ่งคิดจากผลการทำธุรกิจในระยะยาวเป็นสิบปีขึ้นไปนั้นควรจะมีมูลค่าลดลงมาประมาณ 70% จากไม่กี่เดือนก่อนหน้า ต่อมาเมื่อเศรษฐกิจได้ตกต่ำจนถึงจุดต่ำสุด เมื่อนักลงทุนคิดว่าอะไรๆคงไม่แย่กว่านี้แล้ว จึงได้เริ่มซื้อหุ้นกลับ ราคาหุ้นได้เริ่มไต่ขึ้นจากจุดต่ำสุดที่ 2 บาท ขึ้นมาเรื่อยๆ เมื่อราคาหุ้นได้ปรับตัวขึ้นสูงกว่ามูลค่าที่เหมาะสมที่ 3 บาทที่นักวิเคราะห์ได้คาดไว้จนขึ้นมาถึงประมาณ 4 บาท นักวิเคราะห์จึงได้ปรับราคาเป้าหมายใหม่ขึ้นมาเป็น 5 บาท และเมื่อราคาหุ้นปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง ทุกครั้งที่ขึ้นไปสูงกว่ามูลค่าที่เหมาะสม นักวิเคราะห์จะปรับราคาเป้าหมายขึ้นตามไปด้วยเสมอ จนสุดท้ายราคาเป้าหมายล่าสุดของหุ้น LPN อยู่ที่ 8 บาท
ถึงตรงนี้ผมได้ตั้งข้อสังเกตในการวิเคราะห์หุ้นดังนี้ 1. การคำนวณหามูลค่าที่เหมาะสมของหุ้นตัวใดตัวหนึ่งนั้น เราจะคำนวณจากการทำกำไรของบริษัทที่จะทำได้ในระยะยาวนับสิบๆปี การที่มูลค่านี้จะเปลี่ยนแปลงมากมาย จาก 9.5 เหลือ 3 บาทในระยะเวลา เพียงแค่ไม่กี่เดือน นั้น ดูจะไม่ค่อยสมเหตุสมผลเท่าไหร่
2. แม้ว่าตัวบริษัทอาจจะทำกำไรลดลง แต่บริษัทก็ยังมีสินทรัพย์ที่มีมูลค่าอยู่ ถ้าสมมติว่าหุ้นมี book value ที่6 บาท ณ ราคา 9 บาทนั้นจะเทรดที่ P/BV 1.5 เท่า และที่ ราคา 3 บาท P/BV จะเหลือแค่ 0.5 เท่า มูลค่าของบริษัทจึงควรมีค่าอย่างน้อยเท่ากับสินทรัพย์ที่มี นั่นคือ 6 บาท เพราะอย่างน้อยถ้าบริษัทขายกิจการทั้งหมดก็จะมีเงินสดกลับมาเท่ากับ 6 บาทต่อหุ้น (สมมติราคา book value คือราคา market value)
3. ที่แย่กว่านั้นก็คือ ในสี่เดือนที่หุ้นตก ได้มีการปรับมูลค่าที่เหมาะสมลงมาจาก 9.5 เหลือ 3 บาท และอีก 7 เดือนให้หลัง มุลค่าที่เหมาะสมจาก 3 บาท พุ่งกลับมาเป็น 8 บาท ซึ่งใกล้เคียงกับมูลค่าเดิมก่อนเกิดวิกฤติ subprime คำถามคือ มูลค่าของบริษัทในระยะยาวมันผันผวนได้ขนาดนี้เลยเหรอครับ 4. ประเด็นสุดท้าย ถ้าผมต้องการจะซื้อหุ้นตัวหนึ่ง ผมจะมองหาหุ้นที่ต่ำกว่ามูลค่าที่เหมาะสมมากๆ การที่นักวิเคราะห์กำหนดมุลค่าที่เหมาะสมโดยอิงราคาหุ้นนั้น ทำให้นักลงทุนเกิดความเข้าใจผิด และอาจถึงขั้นมองข้ามหุ้นที่ดี ยกตัวอย่าง ในเดือนเมษายน 2009 มูลค่าหุ้นที่เหมาะสมอยู่ที่ 3 บาท ซึ่งใกล้เคียงกับราคาหุ้นในขณะนั้น ซึ่งแน่นอนว่าถ้าผมอ่านบทวิเคราะห์ผมคงไม่ซื้อหุ้นนี้ เพราะดูไม่น่าสนใจ แต่ภายหลังสองเดือนราคาหุ้นปรับขึ้นอย่างรวดเร็ว และรวดเร็วพอกันนักวิเคราะห์ปรับมูลค่าที่เหมาะสมของหุ้นขึ้นไปเช่นกัน จาก 3 บาท เป็น 8 บาท ในช่วงสองเดือน ... สองเดือนนี้บริษัทมีความสามารถในการกำไรเพิ่มขึ้น ซึ่งส่งผลให้มูลค่าของบริษัทปรับเพิ่มขึ้น 170% !! และพอผมมามองหุ้นตัวนี้อีกทีสองเดือนให้หลังนี้ผมพบว่า ราคาหุ้นอยู่ที่ประมาณ 7 บาท และนักวิเคราะห์แนะนำให้ซื้อหุ้นเพราะมูลค่าที่เหมาะสมอยุ่ที่ 8 บาท ! (หมายเหตุ: LPN มี ROE เฉลี่ย 5 ปี เท่ากับ 25% โดยอยู่ในช่วง 22-29% ซึ่งถือว่าสูงอย่างสม่ำเสมอ มีกำไรขั้นต้น 30-35% ในช่วงเวลาดังกล่าว และมี D/E ต่ำกว่า 1 และที่ราคา 3 บาท มี PE 3 เท่า โดยยึดจาก historical earning และมี P/BV 0.75 เท่า และนักวิเคราะห์ให้ราคาเหมาะสมที่ 3 บาท )
ในความเห็นของผมแล้ว ราคาหุ้นอาจเปลี่ยนแปลงได้มาก เนื่องจากราคาหุ้นจะขึ้นกับ demand และ supply ของหุ้นในแต่ละช่วงนั้นๆ ซึ่ง demand และ supply นี้ก็ขึ้นกับทั้งผลการดำเนินงาน ความรู้สึกคาดหวังและหวาดกลัวของนักลงทุนสะท้อนอยู่ในนั้น การที่ราคาจะตกจาก 8 บาท เหลือ 2 บาทนั้นจึงเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ แม้ว่าจะเกิดในลักษณะนี้ไม่บ่อยนัก แต่มูลค่าของหุ้นเป็นคนละเรื่องกับราคาหุ้น มูลค่าหุ้นอาจจะใกล้เคียงหรือแตกต่างอย่างมากจากราคาหุ้นก็ได้ และมูลค่าหุ้นอาจจะมีการเปลี่ยนแปลงในทางเดียวกันหรือตรงกันข้ามกับราคาหุ้นก็ได้ แต่โดยปกติแล้วมูลค่าหุ้นที่เหมาะสมนั้นจะค่อนข้างคงที่หรือเปลี่ยนแปลงไม่มากนัก การคำนวณมูลค่าที่เหมาะสมจึงควรยึดกับความสามารถในการทำกำไรระยะยาว รวมถึงสินทรัพย์ที่บริษัทมีอยู่ การปล่อยให้ราคาหุ้น หรือบรรยากาศในการลงทุนในขณะใดขณะหนึ่งมีผลต่อการประเมินมูลค่าหุ้นจะทำให้ได้ผลลัพธ์ที่ไม่ถูกต้อง
สำหรับตารางข้างบนคือผลประกอบการที่เกิดขึ้นจริงในปี 2008 และ 2009 จะเห็นได้ว่าในความเป็นจริงบริษัทก็ยังทำผลกำไรได้สม่ำเสมอทุกปี และนักลงทุนที่ฉลาดได้เข้าซื้อหุ้นในราคาที่ต่ำกว่ามูลค่าที่เหมาะสมมาก เพราะเขาคาดว่าในระยะยาวเมื่อบริษัทกลับมาทำกำไรได้เท่าเดิม ราคาหุ้นก็ควรจะปรับตัวขึ้นมาใกล้เคียงกับมูลค่าที่เหมาะสม ซึ่งแน่นอนว่ามูลค่าที่เหมาะสมในสายตาของนักลงทุนเหล่านี้ไม่ใช่แค่ 3 บาทครับ ..
Create Date : 26 กุมภาพันธ์ 2553 |
|
4 comments |
Last Update : 26 กุมภาพันธ์ 2553 21:33:22 น. |
Counter : 1073 Pageviews. |
|
|
|
|
| |
โดย: หน่อยอิง 26 กุมภาพันธ์ 2553 18:27:31 น. |
|
|
|
| |
โดย: yagle 1 มีนาคม 2553 14:45:54 น. |
|
|
|
|
|
|
|