กายสบาย...
ใจปลอดโปร่ง...
โล่งสะอาด...
Group Blog
หน้าปก
ธรรมชาติสีชมพู
ธรรมชาติสีเขียว
ธรรมชาติสีรุ้ง
ธรรมชาติสีขาว
กันยายน 2548
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
29
30
15 กันยายน 2548
บันทึก - ว่าด้วยเรื่องธรรมชาติ ตอน 6
All Blogs
ยิ่งกว่าความเชื่อ ... เหนือกว่าความจริง
ไม่มีเหตุผล
บันทีก - ว่าด้วยเรื่องธรรมชาติ ตอน 8
บันทีก - ว่าด้วยเรื่องธรรมชาติ ตอน 7
บันทึก - ว่าด้วยเรื่องธรรมชาติ ตอน 6
บันทีก - ว่าด้วยเรื่องธรรมชาติ ตอน 5
บันทีก - ว่าด้วยเรื่องธรรมชาติ ตอน 4
บันทีก - ว่าด้วยเรื่องธรรมชาติ ตอน 3
บันทึก - ว่าด้วยเรื่องธรรมชาติ ตอน 2
บันทึก - ว่าด้วยเรื่องธรรมชาติ ตอน 1
บันทึก - ว่าด้วยเรื่องธรรมชาติ ตอน 6
ธรรมชาติที่มีชื่อว่า "ใจ" เป็นสิ่งที่ซับซ้อน ละเอียดอ่อน รู้ได้ยาก เห็นได้ยาก
แต่ในโลกนี้ก็มีเรื่องราวของผู้ที่สามารถรู้ใจของผู้อื่นได้อยู่พอสมควร
การศึกษาใด ๆ โดยเฉพาะเรื่องที่เกี่ยวพันกับความจริงของชีวิต จำเป็นต้องอาศัยความรอบคอบ และไม่ควรอย่างยิ่งที่จะมองข้ามรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ อันใดไป เพราะประสาทสัมผัสของมนุษย์นั้นมีจำกัดมาก การที่เราเชื่อมั่นแต่สิ่งที่ตนคุ้นเคยและยอมรับมา จึงเป็นการปิดโอกาสที่เราจะได้รู้ความจริงของชีวิตเพิ่มเติมนั่นเอง และผู้ที่เดือดร้อนนั้นก็ไม่ใช่ใคร แต่ก็คือตัวของเราเอง
ดูอย่างในปัจจุบันนี้ ผู้คนมีแนวความคิดในเรื่องความจริงของชีวิตแตกแยกออกเป็นกลุ่มมากมาย ทั้งมีส่วนที่คล้ายกัน ทั้งมีส่วนที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง แต่ทั้งหมดนั้น ต่างก็เชื่อมั่นในสิ่งที่ตนยึดถือกันอย่างเหนี่ยวแน่น เรื่องจะเปลี่ยนความยึดถือนั้นเป็นเรื่องยากทีเดียว (เฉพาะคนประเภทนี้) แต่ถามว่า ในบรรดาผู้คนที่ต่างยึดถือกันอย่างเหนียวแน่นนั้น เขามีอะไรต่างจากเรา เราว่าของเราถูก เขาก็ว่าของเขาถูก เราอาจจะมีประสบการณ์ที่ทำให้เราเชื่อในสิ่งนี้ แต่คนอื่น ๆ เขาก็มีเช่นกัน จุดร่วมตรงนี้เองที่ทำให้ไม่มีใครสามารถบอกได้ว่า อะไรกันแน่ที่เป็นความจริง
เพราะความจริง ย่อมไม่มีทางแตกเป็นสอง แน่นอนว่า ของสิ่งเดียวกัน คนเห็นมาคนละด้าน มาคุยกันด้วยความรู้ไม่ทั่วในของสิ่งนั้น ก็ย่อมจะตกลงกันไม่ได้ เหมือนคนตาบอดหลาย ๆ คน ต่างไปคลำถูกตัวช้างคนละส่วน แล้วมาคุยกัน ต่างคนก็ต่างเชื่อมั่นในสิ่งที่ตนเองประสบ ถ้าเกิดจะลดความเชื่อมั่นของตนเองลงสักนิด แล้วลองกลับไปคลำดูใหม่ ก็อาจจะพบคำตอบที่มากขึ้นก็ได้ เพราะความสำคัญตัวเองผิดนี่เอง ทำให้ไม่คิดจะสอบสวนให้มากขึ้น แต่การที่ไม่เชื่อมั่นตนเองเลย พอคนอื่นเขาว่าไม่เหมือนเรา ก็เริ่มไม่มั่นใจ แล้วก็พลอยเชื่อตามคนอื่น คิดว่าตัวเองคงเข้าใจผิด โดยที่ไม่ได้หาทางพิสูจน์เพิ่มเติม ย่อมเป็นเรื่องที่น่าเสียดายเช่นกัน ยิ่งถ้ารู้ตัวเร็ว ก็ไม่ต้องมัวเสียเวลามาทะเลาะกันนาน แล้วชวนกันไปพิสูจน์ให้รู้จริง จึงปรากฏว่า คนที่คิดจะค้นหาความจริงนั้น เป็นบุคคลที่น่ายกย่อง แม้ว่าเขาจะยังไม่รู้ว่าจะค้นหาความจริงได้ที่ไหนก็ตาม ความจริงของชีวิตมีแต่จะรอผู้คนค้นพบมากขึ้นและมากขึ้น หาได้อยู่ที่ความเชื่อมั่นของใคร ๆ ไม่
อย่างคำของคนโบราณเราอาจจะใช้และจำความหมายกันมาด้วยความเคยชิน แต่มีหลาย ๆ คำที่ทำให้เรามองผ่านไม่ได้ทีเดียว แต่เพราะสมัยนี้มีการพิสูจน์และศึกษากันแบบจดจำมากมาย กรอบความคิดของทุกคนจึงอยู่ในวงจำกัดของการศึกษาเท่านั้น พอมีสิ่งใดที่คนโบราณพูดไว้ ด้วยความที่เราไม่เข้าใจเราก็มักจะดูหมิ่นว่าคนโบราณนั้นงมงายไร้สาระ เพราะว่าคนในยุคสมัยไหนก็เป็นเหมือนกัน คือมีทั้งผู้ที่งมงายและผู้ที่มีปัญญาแท้จริง การที่เราใช้วิธีเหมารวมว่า คนโบราณมีความคิดล้าหลัง จึงไม่ควรเป็นอย่างยิ่ง เราต้องแยกให้ออกเป็นกรณี ๆ ไป
เช่นที่จะยกมานี้ เพราะว่าคำของคนโบราณบังเอิญไปตรงกับเรื่องราวบางอย่างที่คนสมัยนี้ไม่ค่อยรู้ จึงได้ยกมากล่าวไว้เป็นข้อสังเกตเล็ก ๆ น้อย ๆ มิใช่เพราะว่าอยู่ดี ๆ ก็นำคำของคนโบราณมานั่งคิด
อย่างคำง่าย ๆ ที่เราใช้กันอยู่นี่แหละ
"เห็นอกเห็นใจ"
"รู้เห็นเป็นใจ"
"ตั้งใจ"
"ดวงใจ"
ฯลฯ
หรือแม้แต่ที่นิยมนำมาใส่กันในเพลงด้วยความเคยชิน เช่น "จิตใจดวงกลม ๆ" ทั้ง ๆ ที่สมัยนี้เราได้ศึกษากันว่า หัวใจของมนุษย์นั้นมีลักษณะอย่างไร แต่คำพวกนี้ก็ยังคงอยู่ จนไม่รู้ว่าที่เรานำคำเหล่านี้มาใช้ ๆ กัน ที่มาของคำเหล่านี้นั้นเป็นอย่างไรกันแน่
หรือกระทั่งเรื่องราวของราหูอมจันทร์ กระต่ายบนดวงจันทร์ รามสูรกับเมขลา เราคงจะแปลกใจเป็นแน่ ถ้าได้รู้ว่า เรื่องราวเหล่านี้มีเขียนอยู่ในตำราสัจธรรมอันยิ่งใหญ่อย่างพระไตรปิฎก ที่เรามักจะเข้าใจกันแต่ว่า เป็นข้อคิด เป็นคำสอน เป็นปรัชญาชีวิต หรือเป็นหลักศีลธรรม
เราคงจะไม่พูดถึงกันว่า เรื่องเหล่านี้นั้น มีจริงหรือไม่ เพราะเป็นเรื่องเหลือวิสัยไปมาก แต่นำมาประกอบกันเท่านั้นว่า มีความเป็นไปได้บ้างไหม ถ้าเกิดว่าเราใช้ทฤษฎีของมิติเข้ามาเกี่ยวข้อง
และก่อนที่จะเตลิดไปกว่านี้
เราก็มาดูต่อว่า สิ่งที่ละเอียดอ่อนอย่าง "ใจ" นั้น เป็นสิ่งที่มีตัวตนหรือไม่ หรือว่าเป็นแต่เพียงนามธรรมที่หาตัวตนไม่ได้
ต่อตอน 7 ...
Create Date : 15 กันยายน 2548
Last Update : 30 กันยายน 2548 18:59:14 น.
4 comments
Counter : 380 Pageviews.
Share
Tweet
สวัสดีคะ เข้ามาทักทายจ้า
ยังไม่ได้อ่านสักกะตอนเลยคะ
แต่ว่า เซฟ บล๊อคของคุณพักผ่อนเอาไว้แล้ว
ว่างๆ จะเข้ามาอ่านที่หลังนะคะ
โดย:
ตะวันสีชมพู
วันที่: 15 กันยายน 2548 เวลา:2:45:21 น.
ไม่คิดว่าคนโบราณมีความคิดล้าหลังค่ะ คิดว่ามีคนโบราณบางยุคที่เข้าถึงธรรมของ "ใจ" และสื่อสารด้วยใจค่ะ
อืม..บางทีก็รู้สึกว่ารู้ใจคนอื่นนะคะ
ขอบคุณค่ะ
โดย:
ป่ามืด
วันที่: 15 กันยายน 2548 เวลา:2:49:17 น.
japaneseghost..อิอิ..
โดย:
ป่ามืด
วันที่: 15 กันยายน 2548 เวลา:3:00:50 น.
ใจหนอ...ใจ.....
...เฮ้อ...สำหรับบางคนยากที่จะเข้าใจ ...อยากที่จะรับรู้...
นี้แหละใจ.......
โดย: กำลังใจ^_^ IP: 202.142.219.16 วันที่: 18 กันยายน 2548 เวลา:13:45:00 น.
ชื่อ :
Comment :
*ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
พักผ่อน
Location :
กรุงเทพ Thailand
[ดู Profile ทั้งหมด]
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [
?
]
คนธรรมดา
Friends' blogs
โสมรัศมี
ป่ามืด
รสา รสา
ตะวันสีชมพู
pataree
โบโลน่าหมูพริก
ตัวยุ่งจัง
หมูน้อยหน้าใส
พิรุฬห์
LiTa Long Time Can't See
monamy
Ka - Ti
maxpal
สาวไกด์ใจซื่อ
มัชฌิมา
STAR ALONE
palmpada
ลูกแมวขี้อ้อน
ดำรงเฮฮา
ป้าเอม
ขี้เหร่ใจร้าย
kayook
sweetez_g
นู๋ฟุ้ง
ถึงหนูจะไม่สวยแต่หนูก็จนนะคะ
swichet
Webmaster - BlogGang
[Add พักผ่อน's blog to your web]
Links
ลานธรรมเสวนา
ลานธรรมจักร
ศาลาสาระ
Bloggang.com
Pantip.com
|
PantipMarket.com
|
Pantown.com
| © 2004
BlogGang.com
allrights reserved.
ยังไม่ได้อ่านสักกะตอนเลยคะ
แต่ว่า เซฟ บล๊อคของคุณพักผ่อนเอาไว้แล้ว
ว่างๆ จะเข้ามาอ่านที่หลังนะคะ