กายสบาย...
ใจปลอดโปร่ง...
โล่งสะอาด...
Group Blog
หน้าปก
ธรรมชาติสีชมพู
ธรรมชาติสีเขียว
ธรรมชาติสีรุ้ง
ธรรมชาติสีขาว
กันยายน 2548
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
29
30
14 กันยายน 2548
บันทีก - ว่าด้วยเรื่องธรรมชาติ ตอน 5
บันทีก - ว่าด้วยเรื่องธรรมชาติ ตอน 4
บันทีก - ว่าด้วยเรื่องธรรมชาติ ตอน 3
All Blogs
ยิ่งกว่าความเชื่อ ... เหนือกว่าความจริง
ไม่มีเหตุผล
บันทีก - ว่าด้วยเรื่องธรรมชาติ ตอน 8
บันทีก - ว่าด้วยเรื่องธรรมชาติ ตอน 7
บันทึก - ว่าด้วยเรื่องธรรมชาติ ตอน 6
บันทีก - ว่าด้วยเรื่องธรรมชาติ ตอน 5
บันทีก - ว่าด้วยเรื่องธรรมชาติ ตอน 4
บันทีก - ว่าด้วยเรื่องธรรมชาติ ตอน 3
บันทึก - ว่าด้วยเรื่องธรรมชาติ ตอน 2
บันทึก - ว่าด้วยเรื่องธรรมชาติ ตอน 1
บันทีก - ว่าด้วยเรื่องธรรมชาติ ตอน 4
ม่วง คราม น้ำเงิน เขียว เหลือง แสด แดง
แม้แต่รุ้งก็มีสีเขียวอยู่ตรงกลาง
ตะไคร่น้ำก็มีสีเขียว
สาหร่ายก็มีสีเขียว
อะไรก็ตามที่เกิดขึ้นเองและมีอยู่ทั่วไปก็มักจะเป็นสีเขียว
ธรรมชาติ ก็คือ ธรรมชาติ
แม้ว่าคนจะพยายามไปแบ่งแยกว่า นั่นธรรมชาติ นี่ไม่ใช่ นั่นธุรกิจ นี่ไม่ใช่ นั่นทางโลก นี่ทางธรรม แต่ธรรมชาติก็คือธรรมชาติ ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกย่อมตกอยู่ในกฏเกณฑ์ของธรรมชาติอันเดียวกันโดยไม่มีการแบ่งแยก ภายใต้ดวงอาทิตย์ดวงเดียวกันที่ไม่ได้เลือกส่องแสงให้ใครโดยเฉพาะ และก็ไม่มีผู้ใดสามารถแบ่งดวงอาทิตย์ไปใช้ส่วนตัวได้เช่นกัน
กฏธรรมชาติจึงเป็นกฏที่แทบจะไม่มีใครฝืนและหนีพ้นได้ เหมือนกับที่เรายังอยู่ในโลกก็ย่อมไม่สามารถหนีพ้นแรงดึงดูดของโลกได้ (นอกจากหนีออกไปนอกโลก) แม้ว่าเครื่องบินจะต้านแรงดึงดูดของโลกได้ แต่ก็ได้รับอิทธิพลของแรงดึงดูดอยู่เหมือนเดิม ถ้าเครื่องเกิดขัดข้องเมื่อไรก็มีอันโหม่งโลกได้เหมือนกัน คนที่พยายามฝืนแรงดึงดูดด้วยวิธีผิด ๆ เช่นติดปีกให้เหมือนนกแล้วโดดลงมาจากหน้าผา ก็มีอันไม่ตายก็คางเหลือง
กฏธรรมชาติก็เช่นกัน ย่อมไม่มีใครฝืนได้ ทุกคนย่อมตกอยู่ในกฏเหมือน ๆ กัน ไม่ว่าจะเป็นคนเหล่าไหน เช่น คนที่เกิดมา ถ้าไม่เจ็บก็ต้องป่วย ถ้าไม่ป่วยก็ต้องแก่ ถ้าไม่แก่ก็ต้องตาย ส่วนที่เกิดแล้วไม่ตายนั้นยังไม่เคยมี
แม้เราจะฝืนกฏธรรมชาติไม่ได้ แต่การที่เราศึกษาเรียนรู้ทำความเข้าใจให้ถูกต้องเกี่ยวกับกฏของธรรมชาตินั้น ก็สามารถทำให้เราพอเอาตัวรอดได้
โดยเฉพาะธรรมชาติหนึ่งที่ชื่อว่า "ใจ" ซึ่งผู้คนต่างให้คำนิยามกันมากมาย ใจนี้เป็นสิ่งอัศจรรย์นัก และโลกนี้ก็ถูกกำหนดความเป็นไปด้วยใจของคนทั้งโลกนั่นเอง
ใจเป็นสิ่งที่ละเอียดอ่อนและซับซ้อนอย่างที่สุด แม้จะมีผู้ที่รู้จักสิ่งที่เรียกว่าใจนี้เป็นอย่างดีอยู่มากแล้วก็ตาม แต่การจะจำกัดขอบเขตของใจไว้แค่เพียงสิ่งที่คน ๆ หนึ่งรู้จัก ย่อมเป็นการผิดมหันต์เลยทีเดียว เพราะเรื่องของใจนี้ แม้คนที่ฉลาดที่สุดในโลกและมีเวลาเป็นหมื่นปีมานั่งศึกษายังไงก็รู้จักได้ไม่หมด ไม่ใช่เพราะคนผู้นั้นไร้ความสามารถ แต่เพราะความสามารถในการรับรู้ของมนุษย์ต่างหาก ที่เป็นตัวกั้นประสิทธิภาพในการศึกษาของเขา
ตัวอย่างเช่น ปัญหาโลกแตกอีกปัญหาหนึ่งที่ยังเถียงกันไม่จบ อย่าง วิญญาณมีจริงหรือไม่ แน่นอนว่าให้ถามคนที่ไม่เคยพบไม่เคยเห็น แถมยังมั่นใจในการศึกษาแบบสมัยใหม่ของตัวเอง เขาย่อมตอบว่าไม่เคยเห็น ไม่มีจริง พิสูจน์ไม่ได้ ส่วนคนที่เคยพบเคยเห็น เขามีคำตอบที่น่าฟังทีเดียว เขาบอกว่า ถ้าเขาไม่ได้มาเจอด้วยตัวเอง แล้วมีคนอื่นมาเล่าให้ฟัง ยังไงเขาก็ไม่เชื่อแล้วต้องคิดว่าไอ้นี่บ้า หรือไม่ก็ต้องมาหลอกเราแน่ ๆ ยังไงก็ไม่เชื่อ แสดงว่าคนพูดยังมีสติสัมปชัญญะดีอยู่
และเพราะคนสมัยนี้หาคนเชื่อได้ยากจริง ๆ อีกทั้งยังมีคนจำนวนน้อยมากที่ได้พบเห็นสิ่งเหล่านี้ กระแสทั่วไปจึงยังคงปักแน่นอยู่กับสถานะใด ๆ ที่ไม่ทำให้ตัวเองสูญเสียความมักง่ายในการใช้ชีวิตไปเท่านั้น บรรดาคนที่ได้พบเห็นประสบการณ์เหล่านี้จึงมักเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ของคนในสังคมเสมอ ๆ โดยที่เขาเหล่านั้นก็ไม่มีใครคิดจะพิสูจน์อะไรให้จริงจังไปสักอย่างเดียว เพราะกลัวตัวเองจะเป็นฝ่ายไม่รู้ หรือรู้ทีหลังเขานั่นเอง เพราะแท้จริงแล้ว คนที่มั่นใจว่าไม่มี ย่อมไม่กลัวที่จะพิสูจน์ให้ทุกคนเห็นความจริงนั่นเอง (พฤติกรรมของคนบางประเภท)
ถามว่า ถ้าวิญญาณมีจริง ทำไมคนส่วนมากมองไม่เห็น นั่นก็เพราะว่า ประสาทสัมผัสของมนุษย์มีข้อจำกัดมาก ๆ อย่างเรื่องเดิมก็คือ หูแมว จมูกหมา ดีกว่าของมนุษย์เป็นร้อยเท่าพันเท่า แต่ทั้งนี้ "ตา" ของสุนัขนั้น ก็มองเห็นได้มากกว่าคนอีกด้วย ตาของสุนัขสามารถมองเห็นสิ่งที่คนมองไม่เห็นได้ นั่นก็คือ หลาย ๆ ครั้งที่เพิ่งมีคนตาย โดยเฉพาะการตายด้วยอุบัติเหตุ สุนัขบริเวณบ้านของผู้ตาย ก็มีอันต้องเห่าหอนไปทุกคืนเป็นเวลาหลายวัน ทั้งนี้เพราะมันเสียวสันหลังเวลาเห็น แน่นอนว่าทุกครั้งที่สุนัขหอน ไม่ได้หมายความว่ามันเห็นวิญญาณทุกครั้งไป มันหอนหาคู่ก็มี
ตัวอย่างอีกเรื่องที่คนอยู่บ้านต่างจังหวัดห่างไกลกระแสความศิวิไลซ์หน่อยอาจจะเคยเจอ นั่นก็คือ สุนัขของบ้าน ๆ หนึ่งซึ่งปกติจะวิ่งไปหาเจ้านายตอนเจ้านายมันกลับมาจากข้างนอก แต่คืนที่เจ้านายมันตาย มีเสียงหมาหอนไล่มาเป็นทางจนถึงหน้าบ้าน สุนัขตัวนี้มันกลับวิ่งออกไปหน้าบ้าน กระโดดโลดเต้น เอาจมูกดัน แล้วก็เดินตามเหมือนไปส่งเจ้านายเข้าบ้านเมื่อครั้งที่เจ้านายมันยังมีชีวิตอยู่ (เล่าแล้วขนลุก) ทั้งนี้ที่มันไม่หอนเหมือนตัวอื่น ๆ เพราะเป็นคนที่มันคุ้นเคยนั่นเอง ความดีใจทำให้มันไม่รู้สึกกลัวเหมือนสุนัขตัวอื่น ๆ
แม้ว่าบางคนจะไม่ค่อยมีความจริงใจ บางทีก็ชอบแต่งเรื่องให้สมจริง จนทำให้เราไม่สามารถปลงใจเชื่อได้ แต่สัตว์นั้นโกหกไม่เป็นเหมือนคน เวลามันไม่พอใจมันก็กัดกันเอาดื้อ ๆ ไม่มีลับลมคมใน อาการหลาย ๆ อย่างของสัตว์ จึงเป็นสิ่งหนึ่งที่เราพอจะเอาเป็นหลักฐานได้
อย่างเรื่องนกแสก หรือจิ้งจก ที่มักจะร้องเสียงแปลก ๆ เวลามีคนใกล้ตายก็เช่นกัน เพราะสัตว์ 2 ประเภทนี้มีสายตาที่ดีกว่าคน เวลามันเห็นยมทูตที่มารับวิญญาณของคน มันจึงกลัวแล้วก็ร้อง ประมาณว่ากลัวจนขยับตัวไม่ได้ ได้แต่ร้อง และแน่นอน ที่มันร้องเพราะเหตุนี้มีจำนวนน้อยมาก แล้วก็ไม่ได้หมายความว่า คนจะตายเพราะมันร้อง เพราะคนจะตายห้ามยังไงก็ตาย คนจะไม่ตายแม้ยมทูตจะมา บางทีก็เอาตัวไปไม่ได้ เขาถึงว่า "จะทำงานใหญ่อย่ากลัวจิ้งจกทัก"
ตัวอย่างนี้แค่เรื่องประกอบเล็ก ๆ น้อย ๆ แต่จากจุดนี้ทำให้เรามีข้อสังเกตว่า ขนาดสิ่งที่สัตว์รับรู้ มนุษย์ยังไม่สามารถสร้างเครื่องมือใด ๆ ที่ใกล้เคียงกับสิ่งที่สัตว์รับรู้ได้เลย อย่างกลิ่นที่อยู่ห่างออกไป 1,000 ไมล์ อย่างนี้ ไม่น่าเชื่อว่ามีสัตว์บางประเภทที่สามารถแยกแยะกลิ่นที่อยู่ไกลออกไปขนาดนี้ได้
แล้วถ้าวิญญาณมีจริง มนุษย์ยังไม่สามารถมองเห็นไม่ว่าจะใช้เครื่องมืออะไร แล้วใจของคนเราซึ่งมันซับซ้อนกว่านั้น จะมองเห็นได้อย่างไร ขนาดอากาศมีจริง ก็ไม่ใช่ว่าคนจะมองเห็น เพราะไม่ได้พกกล้องจุลทรรศน์ติดตัวตลอดเวลา
แต่ถ้าบอกว่า สัตว์สามารถเห็นวิญญาณได้ แล้ว "ใจ" ของคนเรา มีใครเคยเห็นบ้างหรือเปล่า ก็ต้องตอบว่า "มี" ...
ต่อตอน 5 ...
Create Date : 14 กันยายน 2548
Last Update : 30 กันยายน 2548 18:59:44 น.
3 comments
Counter : 276 Pageviews.
Share
Tweet
ธรรมชาติ ย่อมเป็นไปตามนั้น ถ้ารุ้เท่าทันธรรมชาติ
แล้ว ก็คงไม่ต้องทุกข์มากขนาดนี้
โดย:
ตะวันสีชมพู
วันที่: 14 กันยายน 2548 เวลา:5:45:15 น.
เห็น..ใจ..
โดย:
ป่ามืด
วันที่: 14 กันยายน 2548 เวลา:9:08:27 น.
โดย: เอย IP: 222.123.226.188 วันที่: 18 มีนาคม 2551 เวลา:18:56:45 น.
ชื่อ :
Comment :
*ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
พักผ่อน
Location :
กรุงเทพ Thailand
[ดู Profile ทั้งหมด]
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [
?
]
คนธรรมดา
Friends' blogs
โสมรัศมี
ป่ามืด
รสา รสา
ตะวันสีชมพู
pataree
โบโลน่าหมูพริก
ตัวยุ่งจัง
หมูน้อยหน้าใส
พิรุฬห์
LiTa Long Time Can't See
monamy
Ka - Ti
maxpal
สาวไกด์ใจซื่อ
มัชฌิมา
STAR ALONE
palmpada
ลูกแมวขี้อ้อน
ดำรงเฮฮา
ป้าเอม
ขี้เหร่ใจร้าย
kayook
sweetez_g
นู๋ฟุ้ง
ถึงหนูจะไม่สวยแต่หนูก็จนนะคะ
swichet
Webmaster - BlogGang
[Add พักผ่อน's blog to your web]
Links
ลานธรรมเสวนา
ลานธรรมจักร
ศาลาสาระ
Bloggang.com
Pantip.com
|
PantipMarket.com
|
Pantown.com
| © 2004
BlogGang.com
allrights reserved.
แล้ว ก็คงไม่ต้องทุกข์มากขนาดนี้