กายสบาย...ใจปลอดโปร่ง...โล่งสะอาด...
Group Blog
 
 
กันยายน 2548
 
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
252627282930 
 
14 กันยายน 2548
 
All Blogs
 
บันทีก - ว่าด้วยเรื่องธรรมชาติ ตอน 4

ม่วง คราม น้ำเงิน เขียว เหลือง แสด แดง

แม้แต่รุ้งก็มีสีเขียวอยู่ตรงกลาง

ตะไคร่น้ำก็มีสีเขียว

สาหร่ายก็มีสีเขียว

อะไรก็ตามที่เกิดขึ้นเองและมีอยู่ทั่วไปก็มักจะเป็นสีเขียว

ธรรมชาติ ก็คือ ธรรมชาติ

แม้ว่าคนจะพยายามไปแบ่งแยกว่า นั่นธรรมชาติ นี่ไม่ใช่ นั่นธุรกิจ นี่ไม่ใช่ นั่นทางโลก นี่ทางธรรม แต่ธรรมชาติก็คือธรรมชาติ ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกย่อมตกอยู่ในกฏเกณฑ์ของธรรมชาติอันเดียวกันโดยไม่มีการแบ่งแยก ภายใต้ดวงอาทิตย์ดวงเดียวกันที่ไม่ได้เลือกส่องแสงให้ใครโดยเฉพาะ และก็ไม่มีผู้ใดสามารถแบ่งดวงอาทิตย์ไปใช้ส่วนตัวได้เช่นกัน

กฏธรรมชาติจึงเป็นกฏที่แทบจะไม่มีใครฝืนและหนีพ้นได้ เหมือนกับที่เรายังอยู่ในโลกก็ย่อมไม่สามารถหนีพ้นแรงดึงดูดของโลกได้ (นอกจากหนีออกไปนอกโลก) แม้ว่าเครื่องบินจะต้านแรงดึงดูดของโลกได้ แต่ก็ได้รับอิทธิพลของแรงดึงดูดอยู่เหมือนเดิม ถ้าเครื่องเกิดขัดข้องเมื่อไรก็มีอันโหม่งโลกได้เหมือนกัน คนที่พยายามฝืนแรงดึงดูดด้วยวิธีผิด ๆ เช่นติดปีกให้เหมือนนกแล้วโดดลงมาจากหน้าผา ก็มีอันไม่ตายก็คางเหลือง

กฏธรรมชาติก็เช่นกัน ย่อมไม่มีใครฝืนได้ ทุกคนย่อมตกอยู่ในกฏเหมือน ๆ กัน ไม่ว่าจะเป็นคนเหล่าไหน เช่น คนที่เกิดมา ถ้าไม่เจ็บก็ต้องป่วย ถ้าไม่ป่วยก็ต้องแก่ ถ้าไม่แก่ก็ต้องตาย ส่วนที่เกิดแล้วไม่ตายนั้นยังไม่เคยมี

แม้เราจะฝืนกฏธรรมชาติไม่ได้ แต่การที่เราศึกษาเรียนรู้ทำความเข้าใจให้ถูกต้องเกี่ยวกับกฏของธรรมชาตินั้น ก็สามารถทำให้เราพอเอาตัวรอดได้

โดยเฉพาะธรรมชาติหนึ่งที่ชื่อว่า "ใจ" ซึ่งผู้คนต่างให้คำนิยามกันมากมาย ใจนี้เป็นสิ่งอัศจรรย์นัก และโลกนี้ก็ถูกกำหนดความเป็นไปด้วยใจของคนทั้งโลกนั่นเอง

ใจเป็นสิ่งที่ละเอียดอ่อนและซับซ้อนอย่างที่สุด แม้จะมีผู้ที่รู้จักสิ่งที่เรียกว่าใจนี้เป็นอย่างดีอยู่มากแล้วก็ตาม แต่การจะจำกัดขอบเขตของใจไว้แค่เพียงสิ่งที่คน ๆ หนึ่งรู้จัก ย่อมเป็นการผิดมหันต์เลยทีเดียว เพราะเรื่องของใจนี้ แม้คนที่ฉลาดที่สุดในโลกและมีเวลาเป็นหมื่นปีมานั่งศึกษายังไงก็รู้จักได้ไม่หมด ไม่ใช่เพราะคนผู้นั้นไร้ความสามารถ แต่เพราะความสามารถในการรับรู้ของมนุษย์ต่างหาก ที่เป็นตัวกั้นประสิทธิภาพในการศึกษาของเขา

ตัวอย่างเช่น ปัญหาโลกแตกอีกปัญหาหนึ่งที่ยังเถียงกันไม่จบ อย่าง วิญญาณมีจริงหรือไม่ แน่นอนว่าให้ถามคนที่ไม่เคยพบไม่เคยเห็น แถมยังมั่นใจในการศึกษาแบบสมัยใหม่ของตัวเอง เขาย่อมตอบว่าไม่เคยเห็น ไม่มีจริง พิสูจน์ไม่ได้ ส่วนคนที่เคยพบเคยเห็น เขามีคำตอบที่น่าฟังทีเดียว เขาบอกว่า ถ้าเขาไม่ได้มาเจอด้วยตัวเอง แล้วมีคนอื่นมาเล่าให้ฟัง ยังไงเขาก็ไม่เชื่อแล้วต้องคิดว่าไอ้นี่บ้า หรือไม่ก็ต้องมาหลอกเราแน่ ๆ ยังไงก็ไม่เชื่อ แสดงว่าคนพูดยังมีสติสัมปชัญญะดีอยู่

และเพราะคนสมัยนี้หาคนเชื่อได้ยากจริง ๆ อีกทั้งยังมีคนจำนวนน้อยมากที่ได้พบเห็นสิ่งเหล่านี้ กระแสทั่วไปจึงยังคงปักแน่นอยู่กับสถานะใด ๆ ที่ไม่ทำให้ตัวเองสูญเสียความมักง่ายในการใช้ชีวิตไปเท่านั้น บรรดาคนที่ได้พบเห็นประสบการณ์เหล่านี้จึงมักเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ของคนในสังคมเสมอ ๆ โดยที่เขาเหล่านั้นก็ไม่มีใครคิดจะพิสูจน์อะไรให้จริงจังไปสักอย่างเดียว เพราะกลัวตัวเองจะเป็นฝ่ายไม่รู้ หรือรู้ทีหลังเขานั่นเอง เพราะแท้จริงแล้ว คนที่มั่นใจว่าไม่มี ย่อมไม่กลัวที่จะพิสูจน์ให้ทุกคนเห็นความจริงนั่นเอง (พฤติกรรมของคนบางประเภท)

ถามว่า ถ้าวิญญาณมีจริง ทำไมคนส่วนมากมองไม่เห็น นั่นก็เพราะว่า ประสาทสัมผัสของมนุษย์มีข้อจำกัดมาก ๆ อย่างเรื่องเดิมก็คือ หูแมว จมูกหมา ดีกว่าของมนุษย์เป็นร้อยเท่าพันเท่า แต่ทั้งนี้ "ตา" ของสุนัขนั้น ก็มองเห็นได้มากกว่าคนอีกด้วย ตาของสุนัขสามารถมองเห็นสิ่งที่คนมองไม่เห็นได้ นั่นก็คือ หลาย ๆ ครั้งที่เพิ่งมีคนตาย โดยเฉพาะการตายด้วยอุบัติเหตุ สุนัขบริเวณบ้านของผู้ตาย ก็มีอันต้องเห่าหอนไปทุกคืนเป็นเวลาหลายวัน ทั้งนี้เพราะมันเสียวสันหลังเวลาเห็น แน่นอนว่าทุกครั้งที่สุนัขหอน ไม่ได้หมายความว่ามันเห็นวิญญาณทุกครั้งไป มันหอนหาคู่ก็มี

ตัวอย่างอีกเรื่องที่คนอยู่บ้านต่างจังหวัดห่างไกลกระแสความศิวิไลซ์หน่อยอาจจะเคยเจอ นั่นก็คือ สุนัขของบ้าน ๆ หนึ่งซึ่งปกติจะวิ่งไปหาเจ้านายตอนเจ้านายมันกลับมาจากข้างนอก แต่คืนที่เจ้านายมันตาย มีเสียงหมาหอนไล่มาเป็นทางจนถึงหน้าบ้าน สุนัขตัวนี้มันกลับวิ่งออกไปหน้าบ้าน กระโดดโลดเต้น เอาจมูกดัน แล้วก็เดินตามเหมือนไปส่งเจ้านายเข้าบ้านเมื่อครั้งที่เจ้านายมันยังมีชีวิตอยู่ (เล่าแล้วขนลุก) ทั้งนี้ที่มันไม่หอนเหมือนตัวอื่น ๆ เพราะเป็นคนที่มันคุ้นเคยนั่นเอง ความดีใจทำให้มันไม่รู้สึกกลัวเหมือนสุนัขตัวอื่น ๆ

แม้ว่าบางคนจะไม่ค่อยมีความจริงใจ บางทีก็ชอบแต่งเรื่องให้สมจริง จนทำให้เราไม่สามารถปลงใจเชื่อได้ แต่สัตว์นั้นโกหกไม่เป็นเหมือนคน เวลามันไม่พอใจมันก็กัดกันเอาดื้อ ๆ ไม่มีลับลมคมใน อาการหลาย ๆ อย่างของสัตว์ จึงเป็นสิ่งหนึ่งที่เราพอจะเอาเป็นหลักฐานได้

อย่างเรื่องนกแสก หรือจิ้งจก ที่มักจะร้องเสียงแปลก ๆ เวลามีคนใกล้ตายก็เช่นกัน เพราะสัตว์ 2 ประเภทนี้มีสายตาที่ดีกว่าคน เวลามันเห็นยมทูตที่มารับวิญญาณของคน มันจึงกลัวแล้วก็ร้อง ประมาณว่ากลัวจนขยับตัวไม่ได้ ได้แต่ร้อง และแน่นอน ที่มันร้องเพราะเหตุนี้มีจำนวนน้อยมาก แล้วก็ไม่ได้หมายความว่า คนจะตายเพราะมันร้อง เพราะคนจะตายห้ามยังไงก็ตาย คนจะไม่ตายแม้ยมทูตจะมา บางทีก็เอาตัวไปไม่ได้ เขาถึงว่า "จะทำงานใหญ่อย่ากลัวจิ้งจกทัก"

ตัวอย่างนี้แค่เรื่องประกอบเล็ก ๆ น้อย ๆ แต่จากจุดนี้ทำให้เรามีข้อสังเกตว่า ขนาดสิ่งที่สัตว์รับรู้ มนุษย์ยังไม่สามารถสร้างเครื่องมือใด ๆ ที่ใกล้เคียงกับสิ่งที่สัตว์รับรู้ได้เลย อย่างกลิ่นที่อยู่ห่างออกไป 1,000 ไมล์ อย่างนี้ ไม่น่าเชื่อว่ามีสัตว์บางประเภทที่สามารถแยกแยะกลิ่นที่อยู่ไกลออกไปขนาดนี้ได้

แล้วถ้าวิญญาณมีจริง มนุษย์ยังไม่สามารถมองเห็นไม่ว่าจะใช้เครื่องมืออะไร แล้วใจของคนเราซึ่งมันซับซ้อนกว่านั้น จะมองเห็นได้อย่างไร ขนาดอากาศมีจริง ก็ไม่ใช่ว่าคนจะมองเห็น เพราะไม่ได้พกกล้องจุลทรรศน์ติดตัวตลอดเวลา

แต่ถ้าบอกว่า สัตว์สามารถเห็นวิญญาณได้ แล้ว "ใจ" ของคนเรา มีใครเคยเห็นบ้างหรือเปล่า ก็ต้องตอบว่า "มี" ...

ต่อตอน 5 ...


Create Date : 14 กันยายน 2548
Last Update : 30 กันยายน 2548 18:59:44 น. 3 comments
Counter : 276 Pageviews.

 
ธรรมชาติ ย่อมเป็นไปตามนั้น ถ้ารุ้เท่าทันธรรมชาติ
แล้ว ก็คงไม่ต้องทุกข์มากขนาดนี้



โดย: ตะวันสีชมพู วันที่: 14 กันยายน 2548 เวลา:5:45:15 น.  

 
เห็น..ใจ..


โดย: ป่ามืด วันที่: 14 กันยายน 2548 เวลา:9:08:27 น.  

 


โดย: เอย IP: 222.123.226.188 วันที่: 18 มีนาคม 2551 เวลา:18:56:45 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

พักผ่อน
Location :
กรุงเทพ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




คนธรรมดา
Friends' blogs
[Add พักผ่อน's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.