กายสบาย...ใจปลอดโปร่ง...โล่งสะอาด...
Group Blog
 
 
กันยายน 2548
 
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
252627282930 
 
14 กันยายน 2548
 
All Blogs
 
บันทีก - ว่าด้วยเรื่องธรรมชาติ ตอน 3

แม้ว่าจะมีคนมากมายแล้วก็ตาม ที่รู้ว่าในโลกนี้มีธรรมชาติหนึ่งที่เรียกว่า "ใจ" อยู่ด้วย แต่ว่าโลกของใจนั้นก็ยังนับว่ามีคนรู้จักมันน้อยเหลือเกิน คนบางคนในโลกอาจจะรู้เพียงแค่ว่า ใจตัวเองนั้นมีแค่อารมณ์ต่าง ๆ ความคิดต่าง ๆ เท่านั้นเอง แต่ที่จริงแล้ว โลกของใจ กลับเป็นโลกที่กว้างขวางกว่าสุดขอบจักรวาลมากนัก เพราะขอบเขตของใจนั้นเกินสุดขอบจักรวาลไปเสียอีก

บางทีเราอาจจะนึกว่า มันเอามาเปรียบเทียบกันไม่ได้ เพราะสุดขอบจักรวาลนั้นเป็นรูปธรรม ส่วนใจนั้นเป็นนามธรรม แต่โดยความจริงแล้วมันไม่ได้เป็นเช่นนั้น สิ่งที่เรานิยามกันว่าเป็นรูปธรรม ที่จริงก็หมายถึงสิ่งที่เราสามารถมองเห็นได้ด้วยตา หรือสัมผัสได้ด้วยกายนั่นเอง ส่วนนามธรรมก็คือสิ่งที่เรารับรู้ได้ทางอื่น ๆ โดยเฉพาะทางใจ ไม่สามารถมองเห็นได้โดยตรง ในการนิยามนั้น ก็ยังอยู่ในข้อจำกัดเดิม ๆ นั่นเอง คือใช้ประสาทสัมผัสของมนุษย์โดยทั่วไปเป็นตัวกำหนดนิยาม

แต่สิ่งที่ประสาทสัมผัสของมนุษย์ไม่สามารถสัมผัสได้ ไม่ได้หมายความว่าสิ่ง ๆ นั้นจะเป็นสิ่งที่ไม่มีทางมองเห็นได้ และในเรื่องนี้จึงจะเห็นได้ว่า ทำไมนักวิทยาศาสตร์จึงต้องพยายามหาข้อพิสูจน์ให้ได้ว่า สิ่งใดเป็นรูปธรรม สิ่งใดเป็นนามธรรม โดยการหาว่า สิ่ง ๆ นั้นมีมวลหรือไม่ ถ้าไม่มีมวลก็อาจจะเป็นพลังงานอะไรสักอย่าง ซึ่งถ้าเกิดสิ่งที่เราเข้าใจว่าไม่มีมวลมาตลอดนั้น เกิดมีมวลขึ้นมา ทฤษฎีที่เกี่ยวกับสิ่ง ๆ นั้นจะพลิกโฉมในทันที เพราะหมายความว่า มันเป็นรูปธรรม เป็นสิ่งที่สัมผัสได้ เพียงแต่ละเอียดมาก ๆ

ดังเช่นตัวอย่างเดิม คือ อากาศ พอพิสูจน์ได้ว่ามันเป็นรูปธรรม คือเป็นสิ่งที่มีอยู่ ไม่ได้อยู่แค่เพียงความรู้สึก ก็เกิดการศึกษาต่อว่ามันมีมวล แต่ทำไมมันลอยตัวอยู่ได้ และที่จริงแล้ว มันก็ไม่ได้ลอยอยู่ เพียงแต่ว่ามันทับถมกันอยู่อย่างหนาแน่นในชั้นบรรยากาศนั่นเอง แต่อณูมันเล็กมาก ๆ จนแทรกไปได้ในช่องว่างแทบทุกที่ ละเอียดอ่อนจนเหมือนลอยอยู่ได้เอง ไม่ได้รับอิทธิพลจากแรงดึงดูด ซึ่งความจริงหาเป็นเช่นนั้นไม่

นี่คือขอบเขตที่มนุษย์สามารถใช้ประสาทสัมผัสในการเข้าถึงได้ แต่ที่จริงแล้วก็ต้องอาศัยเครื่องมือที่คิดค้นขึ้นมาอย่างเหมาะสม มิฉะนั้นแล้วก็ไม่มีทางพิสูจน์ได้เช่นกัน เป็นแต่ทฤษฎีที่เชื่อ ๆ เท่านั้น และก็ต้องมีอยู่หลายทฤษฎีจนหาข้อสรุปลงไปไม่ได้ นอกจากว่าทฤษฎีไหนจะได้รับการยอมรับมากกว่า ซึ่งการยอมรับไม่ได้หมายความว่าทฤษฎีใด ๆ จะต้องเป็นจริงเสมอไป

เราจะเห็นว่า ลำพังประสาทสัมผัสของมนุษย์ธรรมดานั้น ไม่สามารถที่จะรู้หรือมองเห็นอะไรได้มากเลย แต่เพราะมนุษย์มีปัญญา จึงสามารถนำสิ่งต่าง ๆ มาช่วยทำให้การรับรู้นั้นขยายวงขึ้นได้ ทั้งนี้เพราะหลาย ๆ สิ่ง หลาย ๆ อย่างในโลกนี้นั้น มีความละเอียดอ่อนกว่าประสาทสัมผัสของมนุษย์ มันจึงช่วยให้มนุษย์สามารถขยายขีดการรับรู้ของตนเองออกไปได้

แน่นอนว่า การรับรู้ของมนุษย์ก็ย่อมจำกัดอยู่กับเครื่องมือเหล่านั้นเช่นกัน เพราะมนุษย์สร้างเครื่องมือจากสิ่งที่มีอยู่แล้วบนโลกเท่านั้น หรืออย่างดีก็สังเคราะห์ขึ้นมาใหม่ แต่ถ้าไม่สามารถค้นหาวัตถุดิบหรือสังเคราะห์วัตถุดิบใหม่ ๆ ที่มีประสิทธิภาพดียิ่งขึ้นได้ การค้นคว้าของมนุษย์ก็จะยังจำกัดอยู่เพียงแค่นั้น และก่อนที่มนุษย์จะพัฒนาเครื่องมือไปได้ถึงระดับนั้น ก็ยังไม่แน่ว่าเทคโนโลยีที่มนุษย์สร้างขึ้นจะก่อเรื่องขึ้นมาก่อนหรือเปล่า เพราะสิ่งที่มนุษย์ค้นพบย่อมมีการนำไปใช้อย่างกว้างขวาง แต่ไม่สามารถจำกัดให้ทุกคนนำไปใช้แต่ในทางที่มีประโยชน์ได้ จึงปรากฏว่า การค้นคว้าเทคโนโลยีทุกอย่างเป็นเหมือนดาบสองคม ที่พอมีอะไรใหม่ ๆ มา ก็พร้อมเสมอที่จะให้คนดีและคนชั่วนำไปใช้ได้พอ ๆ กัน อย่างที่ไม่มีทางเลี่ยงได้ เช่น โรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์กับระเบิดปรมาณู การหล่อเหล็กกับปืน กล้องรักษาความปลอดภัยกับกล้องแอบดู เป็นต้น

และเพราะขอบเขตจำกัดที่ไม่มีวี่แววว่าจะสิ้นสุดนี่เอง จึงทำให้ความรู้ของมนุษย์เหมือนจะย่ำอยู่ที่เดิม ไม่ว่าจะค้นพบสุดขอบจักรวาลได้ก็ตาม อย่างเช่นดวงดาวต่าง ๆ ที่ค้นพบแล้วว่าสามารถขึ้นไปเดินได้ ก็ยังไม่รู้ว่าจะค้นพบไปเพื่ออะไร จนมีกระทั่งทัวร์อวกาศเพื่อให้ผู้คนทั่วไปได้สำรวจดูบ้าง แต่วงจรชีวิตของคน ๆ หนึ่งนั้นมันสั้นเสียจนไม่มีความจำเป็นที่จะต้องไปรู้เรื่องนั้นเลยก็ได้ เพราะการจะไปรู้หรือเพียงได้เห็นอวกาศของจริงเพียงสักนิดในกรณีนี้ ต้องใช้ทุนมหาศาลอย่างไม่น่าเชื่อ ทั้งนี้เพราะเครื่องมือที่ดีพอที่จะสำรวจอวกาศนั้น ไม่ใช่ของที่ทำได้ง่าย ๆ นั่นเอง

ทว่า เครื่องมืออีกอย่างหนึ่งที่เป็นของฟรีอย่างที่สุด หรือเป็นสิ่งที่มนุษย์มีอยู่แล้ว นั่นก็คือใจของมนุษย์นั้น กลับเป็นเครื่องมือที่ดีที่สุดในการค้นคว้าเรื่องเหล่านี้ เพียงแต่ว่ามนุษย์ไม่ค่อยจะใส่ใจ ค้นหา หรือหัดใช้เครื่องมือชนิดนี้อย่างถูกต้อง คล้ายทำนองใกล้เกลือกินด่าง

และเพราะความจำกัดเดิม ๆ มนุษย์จึงเข้าใจว่า รูปธรรมกับนามธรรมนั้นแยกกัน สิ่งที่เราสามารถเดินทางไปถึงได้ด้วยยานอวกาศนั้นไม่สามารถไปถึงได้ด้วยสิ่งอื่น ๆ แต่ถ้าเราลองนึกดูให้ดี ยานอวกาศไม่ใช่สิ่งแรกที่เดินทางไปถึงดวงจันทร์ แต่ทว่ามีสิ่งอื่น ๆ ที่ละเอียดยิ่งกว่าได้เดินทางไปถึงดวงจันทร์เรียบร้อย นั่นก็คือ แสงและคลื่นแม่เหล็กต่าง ๆ เป็นต้น

เครื่องมือที่ละเอียดอ่อนและทันสมัยที่สุดของมนุษย์ก็มักจะต้องพึ่งคุณสมบัติของสิ่งที่ละเอียดอ่อนเหล่านี้นั่นเอง

และ "ใจ" นั้น เป็นสิ่งที่ละเอียดอ่อนยิ่งกว่าสิ่งใดทั้งหมด และมีประสิทธิภาพยิ่งกว่าสิ่งใดทั้งหมดด้วย ดังที่เรารู้กันว่า "แสง" นั้น เดินทางได้รวดเร็วมาก แต่นักวิทยาศาสตร์ก็ได้ค้นพบแล้วว่า "ใจ" ของมนุษย์นั้น เร็วกว่าแสงนับพันล้านเท่าทีเดียว

ต่อตอน 4 ...


Create Date : 14 กันยายน 2548
Last Update : 30 กันยายน 2548 19:00:04 น. 2 comments
Counter : 287 Pageviews.

 
อืม..ใจชอบเที่ยวไปเรื่อยๆ วันๆ ไม่ค่อยอยู่กับตัวเท่าไรค่ะ นอนก็ยังฝันอีก สะเปะสะปะน่าดูค่ะ

แต่มีเจริญสติบ้าง พอดึงๆรั้งกลับมาพักอยู่กับตัวบ้างเป็นบางเวลาค่ะ

งั้นที่ใจไปเที่ยวน่ะ คือไปจริงๆสิคะไม่ใช่แค่คิด

ขอบคุณค่ะ รอตอนสี่ค่ะ


โดย: ป่ามืด วันที่: 14 กันยายน 2548 เวลา:2:40:24 น.  

 
เวลาที่ไปเที่ยวแบบที่คนปกติทำไมได้นี่
คงสนุกดีเนอะ


โดย: ตะวันสีชมพู วันที่: 14 กันยายน 2548 เวลา:23:44:45 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

พักผ่อน
Location :
กรุงเทพ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




คนธรรมดา
Friends' blogs
[Add พักผ่อน's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.